กลุ่มธนาคารกำลังเจอกับความท้าทาย ของผลประกอบการในไตรมาส 2

กลุ่มธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย กำลังเจอกับความท้าทาย ผลพวงมาจากพิษเศรษฐกิจ ในแง่ของผลประกอบการช่วงไตรมาส 2 ในปี 2568 คาดว่าจะประกาศตัวเลขการเงินต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 นี้ หลายสำนักประกาศตัวเลขการเงินต่อตลาาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงกรกฎาคม 25658 มีการประเมินตัวเลขออกมาว่า ในไตรมาส 2 ดูไม่ค่อยดี แต่เรื่องการจ่ายเงินปันผลยังคงโดดเด่น และ การซื้อหุ้นคืน ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยพยุงเนื่องจากมีประเด็นความเสี่ยง และ แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 2568

เปิดเผยข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยังเจอกับภาวะชะลอตัวในไตรมาส 2 ของปี 2568 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติมโตที่ไม่มาก รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทำให้กำไรของกลุ่มธนาคารอ่อนตัวลงเมื่อเที่ยบกับไตรมาสก่อนหน้า สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง. ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เลหือการประชุมอีก 3 ครั้ง คาดว่า กนง. มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้ง มาอยู่ในระดับ 1.50% สอดคล้องกับพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ปรับตัวลงไปใกล้ 1.5% ซึ่งสะท้อนว่าดอกเบี้ยนโยบายยังมีโอกาสลดลงได้อีก เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากการที่ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังอาจจะมีแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจของธนาคาร

 

เปิดรายละเอียดขั้นตอนการรับมือน้ำท่วม และ พายุ

จากข่าวพายุวิภา ที่กำลังจะเข้าประเทศไทย ซึ่งผลกระทบโดยตรงที่ทำให้น้ำท่วมฉับพลัน อาคารเสียหายในหลายๆพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ, อีสานตอนบน และ ภาคกลางฝั่งตะวันตก โดยอาจจะได้รับสิทธิผลต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี หลายคนที่กำลังจะเจอกับน้ำท่วมฉับพลัน และ น้ำป่าไหลหลาก รวมไปถึงพายุ ซึ่งประเทศไทยไม่ค่อยได้พบได้เจอ ทำให้ไม่มีความรู้ในการรับมือ วันนี้เราไปเช็คกันดีกว่าว่า ขั้นตอนในการรับมือน้ำท่วมฉับพลัน และ พายุ ต้องทำอย่างไร

สาเหุตน้ำท่วมฉับพลันเกิดจากอะไร?

น้ำท่วมฉับพลัน คือภัยพิบัติที่มาจากฝนตกหนัก หรือ ฝนตกต่อเนื่อง จากพายุ และ ลมมรสุม หรือ หย่อมความกดอากาศต่ำ นอกจากนี้ยังเกิดจากเขื่อนพัง น้ำป่าไหลหลากหรือ น้ำทะเลหนุนสูง

10 วิธีรับมือน้ำท่วมฉับพลัน และ พายุ

  1. ติดตามข่าวสาร หรือ สถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด เนื่องจากน้ำท่วมฉับพลันเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจจะต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ
  2. จัดเตรียมกระเป๋า หรือของสำคัญเช่นพวกเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, สมุดบัญชีธนาคาร, บัตรต่างๆ, ข้าวสาร อาหารแห่ง รวมไปถึงน้ำดื่ม, ยาสามัญประจำบ้าน
  3. เตรีนมอุปกรณ์สื่อสารให้พร้อม ชาร์จโทรศัพท์มือถือ หรือ แบตสำรองเอาไว้
  4. เตรียมขนย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้า และ เฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ โดยเฉพาะอุปกรณ์ไฟฟ้า ให้นำขึ้นที่สูง, ปิดวงจรไฟ ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
  5. เตรียมอุปกรณ์หรือ วิธีในการป้องกันน้ำไหลเข้าบ้าน เช่นวางกระสอบทราบ, ปิดท่อระบายน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วมที่ขึ้นมาจากท่อ
  6. บันทึกหรือจดเบอร์โทรศัพท์ของหน่วยงานที่สำคัญ
  7. ศึกษาเส้นทางอพยพ หรือ เส้นทางปลอดภัยใกล้บ้านล่วงหน้า หรือ เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เวลาเจอของจริงจะได้สามารถอพยพทันที
  8. หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ และ สัมผัสโลหะเสาไฟ หรือ ราวสะพาน เนื่องจากอาจจะถูกไฟดูดได้
  9. อยู่ให้ห่างจากอาคาร หรือ สิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง เนื่องจากจะส่งผลให้อาคารถล่มถูกทับ หรือ บาดเจ็บได้
  10. ถ้าเจอพายุแรงๆ หรือ ลมแรงๆ แนะนำให้ปิดประตูบ้าน หรือ หน้าต้างให้มิด เพื่อป้องกันอันตราย

หากเกิดน้ำท่วมแบบฉับพลัน และ พายุ ไม่ควรขับรถฝ่าน้ำหลาก แนะนำให้ออกจากรถและขึ้นไปอยู่ในพื้นที่สูง นอกจากนี้หากมีเด็กเล็กแนะนำให้สอนวิธีป้องกัน และ เอาตัวรอดเอาไว้ด้วย เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จะได้เตรียมความพร้อมเอาไว้ได้ทัน

 

 

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ทยอยคืนเงินที่หักเกิน

กยศ. ทยอยคืนเงินที่หักเกินพร้อมคืนค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีเดิมของผู้กู้ยืมที่ถูกหักบัญชีเงินฝากเพื่อชำระเงินคืนแบบอัตโนมัติ หรือ Auto Debit เฉพาะผู้ที่ถูกหักเงินซ้ำซ้อนหรือหักเงินเกินยอดที่จะต้องชำระตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2568

สาเหตุเกิดขึ้นเนื่องจากวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ทาง กยศ. ได้มีการหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้กู้ยืมเพื่อชำระเงินคืนแบบอัตโนมัติ หรือ Auto Debit ซึ่งเป็นยอดหนี้ที่คำนวณคลาดเคลื่อนของระบบการคำนวณหนี้ใหม่ ส่งผลให้ผู้กู้ยืมเงินถูกหักเงินแบบซ้ำซ้อน ในบางรายหรือ หักเงินเกินยอดที่จะต้องชำระเงิน ตามที่ปรากฎในข่าว กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ในสื่อสังคมออนไลน์ มีการโพสเรียกร้องจากผู้กู้ยืมเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ผู้กู้ยืมเงนิบางรายได้ชำระหนี้ตามปกติตามงวดรายปี หรือ ชำระหนี้เกินกว่างวดที่ต้องชำระ ทาง กยศ. ได้ดำเนินการเร่งตรวจสอบสาเหตุ พบว่าเกิดจากความคลาดเคลื่อนของระบบการคำนวณหนี้ใหม่ ทำให้การหักบัญชีเงินฝากของผู้กู้ยืมเงินเพื่อชำระเงินคืนแบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะผู้กู้ยืมเงิน กยศ. คำนวณหนี้ใหม่แล้วส่งผลให้เกิดการหักซ้ำซ้อนในบางราย หรือหักเงินเกินยอดที่จะต้องชำระ

ทาง กยศ. ได้ออกมาขออภัยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ จะเร่งดำเนินการคืนเงินที่หักเกิน พร้อมคืนค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีเดิมของผู้กู้ยืมโดยอัตโนมัติให้เร็วที่สุดภายใน 3 วัน ทำการหลังจากได้รับการตรวจสอบร่วมกับผู้พัฒนาระบบแล้ว ขอให้มั่นใจว่าจะดำเนินการอย่างถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ต้องเสียประโยชน์

บัตรกดเงินสด UOB CashPlus อิสระทางการเงิน

ในโลกปัจจุบันที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ การมีเครื่องมือทางการเงินที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้ง่าย คือกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงในชีวิต บัตรกดเงินสด UOB CashPlus จึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านความคล่องตัว ความรวดเร็ว และการวางแผนทางการเงินในระยะยาว

ทำความรู้จักกับบัตรกดเงินสด UOB CashPlus

บัตรกดเงินสด UOB CashPlus คือผลิตภัณฑ์ทางการเงินจากธนาคารยูโอบี (UOB) ที่ออกแบบมาเพื่อมอบวงเงินสดหมุนเวียนให้ผู้ถือบัตรสามารถนำไปใช้ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะใช้เป็นเงินสดฉุกเฉิน ผ่อนชำระสินค้า หรือจ่ายค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝัน โดยไม่จำเป็นต้องยื่นกู้ใหม่ทุกครั้ง

คุณสมบัติเด่นของ UOB CashPlus

  • วงเงินสูงสุด 1,000,000 บาท หรือไม่เกิน 5 เท่าของรายได้
  • เบิกถอนเงินสดได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านตู้ ATM ทั่วประเทศ
  • ผ่อนชำระขั้นต่ำเพียง 2.5% ของยอดค้างชำระ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด
  • สมัครง่าย อนุมัติเร็ว ภายใน 3 วันทำการ

ความยืดหยุ่นที่คุณควบคุมได้เอง

หนึ่งในจุดแข็งของบัตร UOB CashPlus คือความยืดหยุ่นในการเบิกถอนเงินสดและการชำระคืน ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ ไม่จำเป็นต้องใช้วงเงินทั้งหมดในคราวเดียว และเมื่อมีเงินสดเข้ามาในบัญชี ก็สามารถชำระยอดบางส่วนหรือทั้งหมดได้ทันทีโดยไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

ผ่อนสบาย ไม่บีบรัดทางการเงิน

ด้วยการชำระคืนขั้นต่ำเพียง 2.5% ของยอดค้างชำระ หรือขั้นต่ำ 500 บาท ทำให้ผู้ถือบัตรสามารถวางแผนการเงินได้ดีขึ้นโดยไม่รู้สึกว่าต้องแบกรับภาระมากเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่มีรายจ่ายสูง เช่น ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าเล่าเรียน

อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่ควรรู้

แม้บัตรกดเงินสดจะเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เข้าถึงง่าย แต่การใช้งานอย่างมีสติและเข้าใจอัตราดอกเบี้ยคือสิ่งสำคัญ สำหรับ UOB CashPlus อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกสูงสุดไม่เกิน 25% ต่อปี ตามกฎหมายกำหนด ทั้งนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและการพิจารณาของธนาคาร

สมัครบัตรเครดิต UOB CashPlus ได้ที่นี่

ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง

ผู้ถือบัตรจะไม่ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการกดเงินสดจากตู้ ATM รวมถึงไม่มีค่าธรรมเนียมในการสมัครหรือค่ารักษาบัตรรายปี ซึ่งถือเป็นข้อดีเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน

UOB CashPlus เหมาะกับใคร?

บัตร UOB CashPlus เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวงเงินสำรองฉุกเฉิน มีรายได้ประจำ และต้องการความคล่องตัวในการจัดการรายจ่าย เช่น

  • พนักงานเงินเดือนที่ต้องการวงเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายไม่คาดฝัน
  • เจ้าของกิจการขนาดเล็กที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น
  • ผู้ที่มีแผนผ่อนสินค้า แต่ไม่อยากใช้บัตรเครดิต

ขั้นตอนการสมัครง่าย ไม่ยุ่งยาก

การสมัครบัตร UOB CashPlus ไม่ซับซ้อน ใช้เอกสารเพียงไม่กี่อย่าง และสามารถสมัครออนไลน์หรือที่สาขาได้ทันที

เอกสารที่ต้องใช้

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สลิปเงินเดือนเดือนล่าสุด หรือหนังสือรับรองเงินเดือน
  • สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 3 เดือน

คุณสมบัติผู้สมัครเบื้องต้น

  • อายุ 20 – 60 ปี
  • มีรายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป
  • มีเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้

ข้อควรระวังและการใช้อย่างมีวินัย

แม้บัตร UOB CashPlus จะช่วยให้เข้าถึงเงินสดได้ง่าย แต่การใช้วงเงินอย่างไม่ระมัดระวังอาจนำไปสู่หนี้สินที่ไม่จำเป็น ดังนั้นควรวางแผนการใช้เงินอย่างรอบคอบ และชำระคืนให้ตรงเวลาเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น

เคล็ดลับในการใช้บัตรอย่างชาญฉลาด

  • ใช้เฉพาะในกรณีจำเป็นหรือเหตุฉุกเฉิน
  • ตรวจสอบรายการใช้จ่ายทุกเดือนผ่านแอป UOB TMRW
  • วางแผนผ่อนชำระให้หมดภายในระยะเวลาที่เหมาะสม

UOB CashPlus คือตัวช่วยทางการเงินที่ให้คุณควบคุมได้

ในยุคที่ทุกคนต้องรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ บัตรกดเงินสด UOB CashPlus จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการเงินที่ตอบโจทย์ ทั้งในเรื่องความสะดวก รวดเร็ว และไม่มีข้อผูกมัดที่ยุ่งยาก การมีวงเงินฉุกเฉินอยู่ในมือ ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ชีวิตเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง

เปิดเงื่อนไขการลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาท

เปิดเผยข้อมูลจากทางด้าน รองนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับรายละเอียด การลงทะเบียน รถไฟฟ้า 20 บาท สำหรับมาตรการอัตราค่ารถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาท ตลอดสายนั้น ประชาชนจะได้ใช้มาตรการนี้แน่นอน ซึ่งจะครอบคลุมโครงข่ายเส้นทางรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทาง ระยะทางรวม 276.84 กิโลเมตร ทั้งหมด 194 สถานี จากากรประชุมระหว่างผู้ว่าราชการกรุงเทพ มหานคร หรือ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และ คณะทำงานรวมถึงภาคเอกชนผู้ได้รับสัมปทาน โดยในที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน ทุกฝ่ายพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่ และ ยินดีสนับสนุนพร้อมผลักดันมาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายให้เกิดผลสำเร็จ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการตามที่เคยได้วางแผนเอาไว้

การแก้ไข พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. และ พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋ว ในการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมจะต้องเตรียมนำเข้าที่ประชุมสภาภายในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 นี้ และจำนำขึ้นทูลเกล้าฯ พร้อมกับออกกฎหมายลูกในการบังคับใช้ รวมถึงการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อไป ในส่วนของแหล่งเงินทุนหลังจากที่มีการแก้ พ.ร.บ. ตั๋วร่วมแล้วทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. จะนำรายได้สะสมส่งเข้ากระทรวงการคลัง และนำเข้ากองทุนภายใต้ พ.ร.บ. ตั๋วร่วม เพื่อนำเงินไปชดเชยส่วนต่างๆของรายได้ค่าโดยสารให้กับผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายต่างๆจากการเก็บค่าโดยสารในอัตรา 20 บาทตลอดสาย

ภายในเดือนสิงหาคม 2568 จะมีการเปิดให้ประชาชนที่สนใจ ลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ โดยจะต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย ระบุตัวเลขบัตรประชาชน 13 หลัก, บัตรเครดิต, บัตรเดบิต และ บัตรโดยสาร Rabbit Card ที่ลงทะเบียน ที่จะใช้งานกับระบบรถไฟฟ้า ซึ่งบัตรที่ได้รับการยืนยันการลงทะเบียน จะได้รับสิทธิโดยอัตโนมัติ สำหรับนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถือว่าเป็นนโยบายที่ประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี เห็นได้จากตัวเลขของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าอนาคตปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นแน่นอน สาเหุตหลักเลยก็คือ นโยบายนี้เป็นนโยบายหลักที่จะสามารถช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนที่เดินทางได้ แถมยังเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะอย่างเท่าเทียม

 

เปิด 8 โรงพยาบาลเอกชนใน กรุงเทพฯ ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทได้

เปิดเผยข้อมูลจากทางด้านรองเลขาธอการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช. กล่าวว่ากรุงเทพมหานครนอกเหนือจากการเป็นพื้นที่ที่มีความซับซ้อนในการเข้าถึงบริการ และยังมีหน่วยบริการที่จำกัด โดยเฉพาะในส่วนของหน่วยบริการภาครัฐ เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรในกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ส่งผลต่อการเข้าถึงบริการของประชาชนผู้ที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท

ที่ผ่านมาทางด้าน สปสช. ได้ประสานงานร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้กับประชาชนผู้ใช้สิทธิ โดยล่าสุดในส่วนของหน่วยงานบริการปฐมภูมิ สปสช. ได้ร่วมมือกับทางโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่เพิ่มเป็น 8 แห่งในการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นที่เรียบร้อย ขณะนี้มีผู้ใช้สิทธิบัตรทองลงทะเบียนไปแล้วจำนวน 46,339 คน

8 โรงพบาลเอกชนเข้าร่วมบัตรทอง

  1. โรงพบายาลเพชรเวช เขตห้วยขวาง มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 14,642 คน ติดต่อ 1390
  2. โรงพยาบาลเอ็มเอช ธนบุรี เขตราษฎร์บูรณะ มีผู้ลงทะเบียนแล้วจำนวน 11,300 คน ติดต่อ 02-427-9966
  3. โรงพยาบาล ไอเอ็มเอช สีลม เขตบางรัก มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 7,129 คน ติดต่อ 02-635-7123 เบอร์มือถือ 083-945-8591
  4. โรงพยาบาล บานา 1 เขต บางนา มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 6,602 คน ติดต่อ 02-746-8630-8
  5. โรงพยาบาล แพทย์ปัญญา เขตสวนหลวง มีผู้ลงทะเบียนแล้ว จำนวน 4,269 คน ติดต่อ 02-314-0727
  6. โรงพยาบาล เดอะซีพลัส ประเวศ เขตประเวศ มีผู้ลงทะเบียนแล้ว จำนวน 1,178 คน ติดต่อ 02-322-9555
  7. โรงพบายาลมิตรประชา เขตภาษีเจริญ มีผู้ลงทะเบียนแล้วจำนวน 910 คน ติดต่อ 02-455-5599
  8. โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 3 เขตบางนา มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 282 ติดต่อ 064-569-9098

ทางสปสช. ขอเชิญชวนประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งที่มีผู้ลงทะเบียนบ้านในกรุงเทพฯ หรือ ผู้ที่เข้ามาทำงานและพักอาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนมาในพื้นที่ สามารถลงทะเบียนเปลี่ยนหน่วยบริการปฐมภูมิและหน่วยบริการประจำได้ ติดต่อได้ที่โรงพยาบาลเอกชนทั้ง 8 แห่ง

 

 

UOB TMRW App จัดการบัตรเครดิต UOB ได้ทุกที่ทุกเวลา

ในยุคที่ชีวิตเราผูกกับสมาร์ตโฟนและเทคโนโลยีมากขึ้นทุกวัน การมีแอปพลิเคชันธนาคารที่ช่วยให้คุณควบคุมการเงินของตัวเองได้แบบครบวงจรจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น แอป UOB TMRW คือคำตอบสำหรับผู้ใช้บัตรเครดิต UOB ที่ต้องการความสะดวก ปลอดภัย และรวดเร็วในการจัดการบัตรได้ทุกที่ทุกเวลา

UOB TMRW App คืออะไร?

UOB TMRW (อ่านว่า ยูโอบี ทูมอร์โรว์) คือแอปพลิเคชันธนาคารจาก ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานยุคดิจิทัลโดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่ใช้เช็กยอดเงินในบัญชีเท่านั้น แต่ยังสามารถ จัดการบัตรเครดิต ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายยอดบัตร สะสมคะแนน ใช้คะแนน แลกของรางวัล ไปจนถึงฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยอย่างการเปิด/ปิดบัตร หรือจำกัดวงเงิน

ฟีเจอร์เด่นในการจัดการบัตรเครดิต UOB ผ่าน UOB TMRW

1. ตรวจสอบยอดบัตรและรายการใช้จ่ายได้ทันที

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แค่เปิดแอป UOB TMRW คุณก็สามารถเช็กยอดบัตรเครดิตได้แบบเรียลไทม์ พร้อมดูรายละเอียดรายการใช้จ่ายย้อนหลัง เพื่อช่วยให้คุณควบคุมค่าใช้จ่ายและวางแผนการเงินได้ดีขึ้น

2. จ่ายบัตรเครดิตผ่านแอปได้ทันที

หมดปัญหากับการต้องเดินทางไปสาขา หรือจ่ายผ่านเคาน์เตอร์ เพียงเชื่อมบัญชีเงินฝาก UOB เข้ากับแอป คุณสามารถ ชำระยอดค้างบัตรเครดิตได้ทันที ทั้งแบบเต็มจำนวนหรือขั้นต่ำก็ได้

3. ใช้คะแนน UOB Rewards Plus แลกของรางวัลง่ายๆ

ผู้ถือบัตรเครดิต UOB ที่มีระบบสะสมคะแนนสามารถตรวจสอบยอดคะแนน และใช้แลกของรางวัลได้ทันทีผ่านแอป เช่น บัตร Starbucks, Central, หรือใช้คะแนนแทนเงินสดผ่าน UOB PAYWITHEASE ก็ได้

4. ควบคุมความปลอดภัยของบัตรได้ด้วยตัวเอง

  • สามารถเปิดหรือปิดบัตรได้ชั่วคราวหากสงสัยว่าบัตรสูญหาย
  • ตั้งค่าวงเงินรายวัน หรือจำกัดการใช้งานบัตร เช่น การซื้อของออนไลน์
  • ป้องกันการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ขอใบแจ้งยอด และจัดการงวดผ่อน 0% ได้ผ่านแอป

ผู้ใช้สามารถ ขอใบแจ้งยอดบัตร ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงจัดการโปรแกรมผ่อนชำระสินค้า เช่น เปลี่ยนรายการใช้จ่ายให้เป็นยอดผ่อน 0% ผ่าน UOB iPlan ได้ทันที

UOB TMRW ใช้งานง่าย รองรับทั้ง Android และ iOS

แอปนี้ถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย มีเมนูภาษาไทยครบถ้วน มีระบบ Touch ID และ Face ID สำหรับความปลอดภัยสูงสุด โดยสามารถดาวน์โหลดได้จากทั้ง Google Play Store และ App Store

ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการใช้ UOB TMRW จัดการบัตรเครดิต

  • ประหยัดเวลา: ไม่ต้องโทรหาคอลเซ็นเตอร์หรือไปธนาคาร
  • เพิ่มความปลอดภัย: สามารถควบคุมบัตรของคุณเองได้ 100%
  • เข้าใจการเงินตัวเองดีขึ้น: ด้วยรายงานการใช้จ่ายที่ชัดเจน
  • ไม่พลาดโปรโมชั่น: แอปจะแจ้งข่าวสาร โปรโมชั่น และดีลเด็ดจากบัตร UOB ให้คุณก่อนใคร

สมัครบัตรเครดิตUOB ได้ที่นี่

UOB TMRW App เหมาะกับใคร?

แอป UOB TMRW เหมาะสำหรับผู้ที่มีบัตรเครดิต UOB ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น UOB Yolo Platinum, UOB Lady’s, UOB Premier หรือแม้แต่บัตรร่วมรายการอย่าง UOB Grab และต้องการความสะดวกในการจัดการบัตรบนมือถือโดยไม่ต้องใช้เอกสารหรือเดินทาง

UOB TMRW คือผู้ช่วยจัดการบัตรเครดิตยุคใหม่

หากคุณต้องการการจัดการบัตรเครดิตที่ครบ จบในแอปเดียว UOB TMRW คือคำตอบที่ใช่ ทั้งเรื่องความสะดวก ความปลอดภัย และการใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่บ้าน ที่ทำงาน หรือระหว่างเดินทาง แอปนี้พร้อมให้บริการคุณตลอด 24 ชั่วโมง เริ่มต้นใช้งานวันนี้ เพียงดาวน์โหลด UOB TMRW จาก เว็บไซต์ UOB หรือสโตร์มือถือ แล้วเชื่อมต่อบัญชีและบัตรของคุณ ก็พร้อมจัดการการเงินได้ทุกที่ทุกเวลา

 

ประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนพายุ วิภา ส่งผล 58 จังหวัดเตรียมรับมือ

ผลพยากรณ์อากาศ ประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับล่าสุดจัดตาเส้นทางพายุวิภา ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ทำให้ 58 จังหวัดเกิดฝนตกหนัก 4 วันติดตั้งแต่วันที่ 21 ถึง 24 กรกฎาคม 2568

พายุโซนร้อนกำลังแรงที่มีชื่อว่า วิภา ตอนนี้ศูนย์กลางอยู่บริเวณเมืองจ้านเจียง มณฑลกวางตุ้ง ของประเทศจีน มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่นตัวไปทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีการคาดการณ์ออกมาว่า จะเคลื่อนตัวลงสู่อ่าวตังเกี๋ย และเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 21 ถึง 22 กรกฎาคม 2568 และ จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับ หลังจากนั้นมีแนวโน้มเคลื่อนตัวตามแนวร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศลาวตอนบน และ ภาคเหนือตอนบนต่อไป ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉี่ยงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และ อ่าวไทย

จากอิทธิพลพายุวิภา และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะส่งผลให้ช่วงวันที่ 20-24 กรกฎาคม 2568 บริเวณภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน, ภาคตะวันตกของภาคกลาง, ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ กรมอุตุแจ้งขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และ ฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และ พื้นที่ลุ่ม

จังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากพายุวิภา

วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 

  • ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย, พะเยา, น่าน, แพร่, อุตรดิตถ์, ตาก, กำแพงเพชร, พิจิตร, พิษณุโลก และ เพชรบูรณ์
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดเลย, หนองคาย, บึงกาฬ, อุดรธานี, สกลนคร, นครพนม และ มุกดาหาร
  • ภาคกลาง จังหวัดนครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, ลพบุรี, สระบุรี, อ่างทอง, พระนครศรีอยุธยา, สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, ราชบุรี, นครปฐม, สมุทรสงคราม และ สมุทรสาคร รวมถึงกรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑล
  • ภาคตะวันออก จังหวัดนครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, จันทบุรี และ ตราด
  • ภาคใต้ จังหวัดเพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, ระนอง และ พังงา

วันที่ 22 กรกฎาคม 2568

  • ภาคเหนือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, น่าน, แพร่, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, ตาก, กำแพงเพชร, พิจิต, พิษณุโลก และ เพชรบูรณ์
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดเลย, หนองบัวลำภู, อุดรธานี, หนองคาย, บึงกาฬ, สกลนคร, นครพนม, ชัยภูมิ, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์, มุกดาหาร, ยโสธร, อำนาจเจริญ, นครราชสีมา และ อุบลราชธานี
  • ภาคกลาง จังหวัดนครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, สุพรรณบุรี, ลพบุรี, สระบุรี, กาญจนบุรี, ราชบุรี
  • ภาคตะวันออก จังหวัดนครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, จันทบุรี และ ตราด
  • ภาคใต้ จังหวัดเพชรบุรี, ประจวบคุรีขันธ์, ระนอง และ พังงา

วันที่ 23-24 กรกฎาคม 2568

  • ภาคเหนือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, น่าน, แพร่, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, พิษณุโลก, พิจิตร, เพชรบูรณ์, กำแพงเพชร, และ ตาก
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดเลย, หนองบัวลำภู, อุดรธานี, หนองคาย, บึงกาฬ, สกลนคร, นครพนม, ชัยภูมิ, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์, มุกดาหาร, ยโสธร, อำนาจเจริญ, นครราชสีมา และ อุบลราชธานี
  • ภาคกลาง จังหวัดนครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, สุพรรณ์บุรี, สระบุรี, กาญจนบุรี, ราชบุรี และ พระนครศรีอยุธยา
  • ภาคตะวันออก จังหวัดนครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, จันทบุรี และ ตราด
  • ภาคใต้ จังหวัดเพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ระนอง และ พังงา

สำหรับทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงสุด 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

 

ครม. ไฟเขียวแล้ว รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

เปิดเผยข้อมูลจากทางด้าน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสาย ในราคาไม่เกิน 20 บาท ตลอดสายตามนโยบายของรัฐบาล ที่กระทรวงคมนาคมเสนอเป็นไปตามที่นโยบายของรัฐบาลต้องการลดราคาค่าครองชีพในทุกมิติ ให้กับประชาชน เช่นการปรับราคาค่าครองชีพ, ค่าสาธารณูปโภค และ ค่าพลังงานต่างๆ

นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จัดอยู่ในนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้คำมั่นไว้กับประชาชน ที่เร่งดำเนินการ ซึ่งมั่นใจว่าปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าในปัจจุบันมีรูปแบบสัญญาสัมปทาน และ สัญญาจ้างเดินรถที่มีข้อกำหนดหรือเงื่อนไข ทางธุรกิจแตกต่างกัน ได้มีการกำหนดให้ประชาชนที่ลงทะเบียน ตามเงื่อนไขที่กำหนดบนแอปพลิเคชั่นทางรัฐ เพื่อรองรับการใช้งานตามนโยบาย สำหรับรายละเอียด และ เงื่อนไขการลงทะเบียน รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สามารถดูรายละเอียดได้ด้านล่าง

เงื่อนไขการลงทะเบียน รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

  • ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น
  • ระบุตัวเลขบัตรประชาชน 13 หลัก
  • สามารถใช้ผ่านบัตรเครดิต, บัตรเดบิต และ บัตรโดยสาร Rabbit Care ที่เคยลงทะเบียนไว้ ที่จะใช้งานกับรถบบรถไฟฟ้าผ่านแอปฯ ทางรัฐ

บัตรที่ได้รับการยืนยันการลงทะเบียนจะได้รับสิทธิ์โดยอัตโนมัติ เมื่อใช้งานหลังจากเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยจะครอบคลุมทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน ในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ตามรถไฟฟ้าสายสีต่างๆด้านล่าง

  • รถไฟฟ้าสายสีเขียว
  • รถไฟฟ้าสายสีทอง
  • รถไฟฟ้าสายสีเหลือง
  • รถไฟฟ้าสายสีชมพู
  • รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
  • รถไฟฟ้าสายสีม่วง
  • รถไฟฟ้าสายสีแดง
  • แอร์พอร์ต เรลลิงก์ (ARL)

การใช้บัตร Rabbit Card หรือ บัตรเติมเงิน สามารถใช้ได้กับสายสีเขียว, สายสีทอง, สายสีเหลือง และ สายสีชมพู ในขณะที่บัตร EMV Contactless หรือ บัตรเครดิต, บัตร Visa, หรือ บัตร Mastercard สามารถใช้ได้กับ 6 สาย ได้แก่ สายสีแดง, สายสีน้ำเงิน, สายสีม่วง, สายสีเหลือม, สายสีชมพู, แอร์พอร์ต เรลลิงก์ ไม่รวมสายสีทอง และ สายสีเขียว โดยอนาคตจะมีการเปิดระบบสแกน QR Code ในมือถือ แทนการใช้บัตร เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน

 

รัฐจ่ายเต็มจำนวน 3,000 เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568

จองแล้วเที่ยวได้เลย สำหรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง รัฐบาลจ่ายให้ 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่งผ่าน Amazing Thailand เป็นอีกหนึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศ รับสิทธิ์ส่วนลดค่าที่พัก 5 ห้องต่อคืน และ ค่าอาหาร รวมไปถึงกิจกรรมท่องเที่ยว ลดสูงสุด 50%

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กลับมาเปิดระบบลงทะเบียนโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ชวนคนไทยร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวในประเทศ รับสิทธิส่วนลดค่าที่พัก, ค่าอาหาร และ กิจกรรมท่องเที่ยวสูงสุด 50% พร้อมยกระดับความปลอดภัยและความโปร่งใส ด้วยการยืนยันตันตนผ่านแอปพลิเคชั่น ThaID เน้นย้ำความสำคัญของการใช้ข้อมูลนักท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในประเทศไทยแบบยั่งยืน

ถือได้ว่าเป็นข่าวดีสำหรับนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ หลังจากที่รอกันมาพักใหญ่ๆ เนื่องจากติดปัญหาในการลงทะเบียน แล้วไม่ได้รับ OTP ยืนยันผ่านอีเมล โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ก็กลับมาเปิดระบบให้ประชาชน สามารถทำการลงทะเบียนได้อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ทำการปรับปรุงระบบ และ พัฒนาระบบให้มีความพร้อมมากยิ่งขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน ประชาชนที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ผ่าน 2 ช่องทางหลัก

  1. แอปพลิเคชั่น Amazing Thailand
  2. เว็บไซต์ เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com

การลงทะเบียนครั้งนี้ ไม่จำกัดจำนวนผู้ลงทะเบียน แต่จำกัดสิทธิ์สำหรับแต่ละคนสูงสุด ไม่เกิน 5 สิทธิ์ แบ่งเป็นที่พักในเมืองหลัก 3 สิทธิ์ และ เมืองน่าเที่ยวอีก 2 สิทธิ์ ที่สำคัญคือผู้ที่ชำระค่าที่พัโดยตรงกับทางโรงแรมก่อนจะได้รับสิทธิ์ก่อน First Come First Served และ สามารถใช้สิทธิ์ได้วันละ 1 ห้องต่อคืนเท่านั้น

งบประมาณ 1.75 พันล้านบาท หนุนเที่ยวไทย

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้รับงบประมาณสำหรับการดำเนินการโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 จำนวน 1,750 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณทั้งหมดนี้จะถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนค่าที่พัก, คูปองอาหาร และ กิจกรรมท่องเที่ยวในอัตรา 50% กับผู้ประกอบการตามที่นักท่องเที่ยวได้ใช้สิทธิ์ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง