สำนักงานประกันสังคม ยืนยันจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ต่อเนื่องไม่สะดุด
เปิดเผยข้อมูลจากทางเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม แจ้งว่าสำนักงานประกันสังคมได้ออกมากำหนดวิธีการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้กับสถานพยาบาลคู่สัญญา ของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งในปี 2568 นั้นมีจำนวนทั้งหมด 271 แห่ง ในส่วนวิธีการจ่ายเงินนั้นจะเป็นในรูปแบบเหมาจ่ายค่าบริการทางการแพทย์รายหัวต่อคนต่อปี ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้ประกันตนทั้งหมดที่ได้ลงทะเบียนกับสถานพยาบาลคู่สัญญา มีการจ่ายเงินเพิ่มเติมนอกเหนือจากการเหมาจ่าย เช่น การจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ตามภาระเสี่ยง ซึ่งเป็นการจ่ายตามผลลัพธ์การรักษา หรือ Value Based Payment การจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ประเภทผู้ป่วยในโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งเป็นการจ่ายชดเชยค่าบริการที่สอดคล้องกับต้นทุน และทรัพยากรทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลใช้ในการรักษาพยาบาล
ประกันสังคมยืนยันจ่ายค่ารักษาให้กับสถานพยาบาลตามเดิม
สำนักงานประกันสังคมได้ออกมาแจ้งว่า ในปี 2568 นั้นได้มีการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้กับสถานพยาบาลคู่สัญญาซึ่งเต็มไปตามแผนการจ่ายที่กำหนดเอาไว้ตามรายละเอียดด้านล่าง
- ค่าบริการทางการแพทย์แบบเหมาจ่าย ซึ่งได้มีการโอนจ่ายให้กับสถานพยาบาลคู่สัญญากับสถานพยาบาลภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน ซึ่งจ่ายไปแล้วทั้งหมด 7 งวด
- ค่าบริการทางการแพทย์ตามภาระเสี่ยง ซึ่งได้กำหนดแผนการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ในงวดแรก คือเดือนมีนาคมของทุกปี ตามข้อมูลการรายงานผลลัพธ์ และ ประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยประกันสังคม และเป็นการจ่ายตรงตามกำหนดเวลา ซึ่งได้จ่ายไปแล้ว 4 งวด ทั้งนี้ในปี 2568 เป็นปีแรกที่สำนักงานประกันสังคมมีมาตรการตรวจสอบข้อมูลค่าบริการทางการแพทย์ประเภทผู้ป่วยด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายที่สูงก่อนจ่ายให้กับสถานพยาบาลคู่สัญญาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงบประมาณค่ารักษาพยาบาลของกองทุนประกันสังคมให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งผู้รับบริการ และ ผู้ให้บริการ ซึ่งได้ดำเนินการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ไปแล้ว 2 งวด และเร่งรัดการจ่ายงวดถัดไปตามแผนการจ่ายเงินที่กำหนดเอาไว้
ประกันสังคมได้ออกมาแจ้งมาตรการดังกล่าวให้กับสถานพยาบาลรับทราบแล้ว โดแนวทางการจ่ายค่าบริการทางกรแพทย์ได้กำหนดให้สถานพยาบาลส่งรายงานข้อมูลภายใน 2 เดือนหลังจากจำหน่ายผู้ป่วยออกจากสถานพยาบาล ซึ่งเมื่อสำนักงานประกันสังคมตรวจสอบแล้วพบว่าข้อมูลที่ส่งมานั้นไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ จำได้แจ้งให้กับสถานพยาบาลดำเนินการแก้ไข ส่งผลให้เกิดความล่าช้า และผลกระทบต่อแผนการจ่ายที่กำหนดไว้เล็กน้อย
อัปเดตสถานการณ์ไวรัสซิกา ระบาดในไทยล่าสุด
เปิดเผยข้อมูลจากกรมควบคุมโรค แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสซิกา แจ้งว่าไวรัสซิกา กำลังระบาดในหน้าฝนของไทย ตอนนี้มี 3 จังหวัดที่มีผู้ป่วยสูง ในช่วงฤดูฝนนี้ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสซิกา เตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังโรคติดต่อเชื้อไวรัสซิกา กำลังระบาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงฤดูฝน
โรคไวรัสซิกา คืออะไร?
โรคไวรัสซิกา คือโรคที่มียุลายเป็นพาหะนำโรค ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง ยกตัวอย่างเช่น ไข้ต่ำมีผื่น ปวดข้อ ตาแดง ถ้าหากหญิงตั้งครรภ์ถูกยุงที่มีเชื้อไวรัสซิกากัด อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะภาวะศรีษะเล็ก หรือ Microcephaly
วิธีป้องกันไวรัสซิกา
- เก็บบ้านให้สะอาด
- กำจัดน้ำขังในบ้านให้หมด
- เก็บขยะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด
- ทายากันยุง
- สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด
- นอนในมุ้ง หรือ ห้องที่มีมุ้งลวด
บัตรเครดิต UOB Lady’s ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้หญิง
บัตรเครดิตที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์ที่ดูสวยหรู แต่ยังมาพร้อมสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความงาม การช้อปปิ้ง หรือสุขภาพ บัตรเครดิต UOB Lady’s Card จึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้หญิงยุคใหม่ที่มองหาความคุ้มค่า และความมั่นใจในการใช้จ่าย
จุดเด่นของบัตร UOB Lady’s Card
1. รับคะแนนสะสมสูงสุด 10 เท่าในหมวดที่เลือกเอง
ผู้ถือบัตรสามารถเลือกหมวดหมู่ที่ใช้งานบ่อยเพื่อรับคะแนนสะสมได้สูงสุดถึง 10 เท่า จากยอดใช้จ่ายในหมวดที่เลือก ได้แก่:
- แฟชั่น
- ห้างสรรพสินค้า
- ท่องเที่ยว
- อาหาร
- ความงาม
- ซูเปอร์มาร์เก็ต
คุณสามารถเปลี่ยนหมวดที่เลือกได้ทุกไตรมาส เพื่อให้ตรงกับพฤติกรรมการใช้จ่ายในแต่ละช่วงเวลา
2. UOB Lady’s LuxePay ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน
ไม่ต้องรอช่วงโปรโมชัน เพราะ UOB Lady’s Card ให้สิทธิพิเศษ ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับร้านค้าในเครือข่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ โดยไม่ต้องทำรายการผ่าน Call Center หรือแอปเพิ่มเติม
3. ประกันมะเร็งเฉพาะผู้หญิงฟรี
บัตร UOB Lady’s Card มอบความอุ่นใจด้วยประกันภัย โรคมะเร็งเฉพาะผู้หญิงฟรี วงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสมตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด
สมัครบัตรเครดิตUOB Lady’s Card ได้ที่นี่
สิทธิพิเศษเพิ่มเติมสำหรับผู้ถือบัตร
สิทธิ์ใช้ห้องรับรองพิเศษที่สนามบิน
สมาชิกบัตรระดับ Lady’s Solitaire ยังสามารถรับสิทธิ์เข้าใช้บริการ ห้องรับรองพิเศษสนามบิน (Lounge) ได้หลายครั้งต่อปี (ขึ้นอยู่กับระดับบัตรและยอดใช้จ่ายสะสม)
สิทธิพิเศษจากร้านค้าพันธมิตร
บัตร UOB Lady’s Card มาพร้อมโปรโมชันจากร้านค้าชั้นนำ เช่น Sephora, Central, Watsons และแบรนด์แฟชั่นที่ร่วมรายการ พร้อมส่วนลดหรือเครดิตเงินคืนแบบรายเดือน
บริการแจ้งเตือนรายการใช้จ่าย
เพื่อให้คุณสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้ดีขึ้น บัตรนี้มีบริการ แจ้งเตือนผ่าน SMS และแอป UOB TMRW ทันทีเมื่อมีรายการใช้จ่ายเกิดขึ้น
เหมาะกับใคร?
บัตรเครดิต UOB Lady’s Card เหมาะสำหรับ:
- ผู้หญิงที่ชอบช้อปปิ้งและใส่ใจเรื่องไลฟ์สไตล์
- ผู้ที่มีรายได้ประจำและต้องการบัตรที่ให้สิทธิพิเศษตอบโจทย์ในชีวิตประจำวัน
- ผู้ที่มองหาประกันสุขภาพเพิ่มเติมโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
- คนที่ใช้จ่ายเป็นประจำในหมวดความงาม ท่องเที่ยว หรืออาหาร
เปรียบเทียบ Lady’s Card กับบัตร UOB แบบอื่น
| คุณสมบัติ | UOB Lady’s Card | UOB Preferred Platinum |
|---|---|---|
| คะแนนสะสม | สูงสุด 10X ในหมวดที่เลือก | 4X ในหมวดออนไลน์/ร้านอาหาร |
| ผ่อน 0% | สูงสุด 10 เดือน | สูงสุด 6 เดือน |
| ประกันมะเร็งผู้หญิง | มี | ไม่มี |
| สิทธิพิเศษร้านค้า | เฉพาะกลุ่มผู้หญิง | ทั่วไป |
ค่าธรรมเนียมและเงื่อนไข
รายได้ขั้นต่ำ
- สำหรับบัตร Lady’s Card ปกติ: รายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาท/เดือน
- สำหรับบัตร Lady’s Solitaire: รายได้ขั้นต่ำ 70,000 บาท/เดือน
ค่าธรรมเนียมรายปี
- ปีแรก: ฟรี
- ปีถัดไป: ฟรีเมื่อใช้จ่ายตามเงื่อนไข
การสมัคร
สามารถสมัครผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคาร UOB หรือสาขาใกล้บ้าน โดยใช้เอกสารแสดงรายได้เช่น สลิปเงินเดือน และสำเนาบัตรประชาชน
คุ้มไหมกับบัตร UOB Lady
หากคุณกำลังมองหาบัตรเครดิตที่เข้าใจผู้หญิงอย่างแท้จริง ทั้งในเรื่องสิทธิพิเศษ ความคุ้มค่า และบริการเสริมด้านสุขภาพ UOB Lady’s Card เป็นตัวเลือกที่ควรพิจารณาอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ให้คุณใช้จ่ายได้อย่างมั่นใจ แต่ยังเพิ่มมูลค่าจากทุกยอดที่คุณใช้ ด้วยคะแนนสะสม และสิทธิประโยชน์มากมาย
สำนักงานประกันสังคมเปิดสิทธิประโยชน์ เงินทดแทนลูกจ้างกรณี ทุพพลภาพ
สิทธิประโยชน์ประกันสังคมล่าสุด ทางสำนักงานประกันสังคม ได้เปิดขั้นตอนขอรับเงินทดแทนกรณีลูกจ้างที่สูญเสียอวัยวะ หรือ ทุพพลภาพจากการทำงาน ผ่านกองทุนเงินทดแทน
2 สิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับ
1. กรณีสูญเสียอวัยวะ หรือ สมรรถภาพไม่เกิน 60% ของร่างกาย
- ได้รับค่าทดแทนร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน
- รับเงินทดแทนสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
2. กรณีสูญเสียอวัยวะหรือสมรรถภาพ เกินกว่า 60% ของร่างกาย ถือเป็นทุพพลภาพ
- ได้รับค่าทดแทนร้อนละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน
- รับเงินทดแทนตลอดชีวิต
ขั้นตอนการขอรับเงินทดแทน
- นายจ้างต้องยื่นแบบแจ้งการประสบอันตราย กท.16 ต่อสำนักงานประกันสังคมภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ
เงื่อนไขการประเมินการสูญเสีย
- เมื่อสิ้นสุดการรักษา หรือพ้นกำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ลูกจ้างประสบภัยอันตราย
- หากเกิดเหตุร้ายแรง ต้องรีบนำตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทันที และแจ้งสำนักงานประกันสังคมโดยเร็ว
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
- เว็บไซต์: sso.go.th
- สายด่วนประกันสังคม 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง
เปิดรายละเอียดถอนเงินไม่ใช่บัตรธนาคารกสิกรไทย ผ่านตู้ ATM เสียค่าธรรมเนียมไหม
รายละเอียดสำหรับลูกค้าธนาคารกสิกรไทย ที่ต้องการถอนเงินผ่านตู้ ATM ธนาคารกสิกรไทย อยากทราบว่าจะมีค่าธรรมเนียมเท่าไหร่บ้าง ซึ่งปัจจุบันลูกค้าสามารถถอนเงินไม่ใช้บัตร โดยสามารถตั้งรายการถอนเงินบน K PLUS และ รับเงินสดที่ตู้ ATM ของธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศได้ทันที โดยไม่ต้องใช้บัตร
ช่องทางถอนเงินผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ
- SCB Easy ธนาคารไทยพาณิชย์
- KTB Next ธนาคารกรุงไทย
- Bangkok Bank ธนาคารกรุงเทพ
- MyMo ธนาคารออมสิน
- KKP Mobile ธนาคารเกียรตินาคินภัทร
- LHB You ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
- AEON THAI Mobile
- Umay+ Application
ถอนเงินไม่ใช้บัตรมีค่าธรรมเนียมหรือไม่?
การถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรผ่าน K PLUS ด้วยช่องทางต่างๆ จะมีค่าธรรมเนียมตามรายละเอียดด้านล่าง
- ATM ธนาคารกสิกรไทย ฟรีค่าธรรมเนียม
- ตู้ ATM ต่างธนาคาร ค่าธรรมเนียม 10 บาท
- สาขาธนาคารกสิกรไทย ค่าธรรมเนียมร้อยละ 0.10 ของจำนวนเงินที่ถอน ต่ำสุด 10 บาท และ ค่าบริการ 20 บาทต่อรายการ
- เคแบงก์เซอร์วิส ค่าธรรมเนียม 15-45 บาท ต่อรายการ ขึ้นอยู่กับตัวแทนผู้ให้บริการ
เราสามารถถอนเงินไม่ใช้บัตรได้เท่าไหร่ต่อครั้ง และ สูงสุดเท่าไหร่ต่อวัน?
- สำหรับเด็กทุกสัญชาติ อายุต่ำกว่า 15 ปี สามารถถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรได้สูงสุด 20,000 บาทต่อวัน ไม่รวมวงเงินทำรายการผ่าน K PLUS
สำหรับบุคคลธรรมดาทุกสัญชาติ ผู้ที่มีอสยุ 15 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป
- สามารถถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรได้สูงสุด 20,000 บาท ต่อวันไม่รวมวงเงินทำรายการผ่าน K PLUS สำหรับบัตรเครดิต วงเงินสูงสุดที่ถอนได้ต่อขึ้นขึ้นอยู่กับประเภทบัตร
สถานการณ์เรียกเก็บภาษี Reciprocal Tariffs ไทยยอม 0%
กลายเป็นแรงกดดันและจุดเปลี่ยนทั้งประเทศ หากการเจรจาภาษีระหว่างประเทศไทย และ สหรัฐอเมริกาไม่ลงตัว หรือ ไม่สำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แถมตอนนี้เพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย และ เวียดนาม นำหน้าเราไปแล้วผ่านมาตรการ ลดภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ 0% ตอนนี้กลายเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างมากกับภาคเอกชนของประเทศไทย โดยเฉพาะสภากลุ่มอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลัวว่าไทยจะถูกดันให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันแม้ไทยจะมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูงถึง 45,000 ล้านดาลลาร์ในปีที่ผ่านมา เป็นตัวเลขที่มากกว่าอินโดนีเซียถึง 2.5 เท่า แถมยังมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาที่ 18% เมื่อเทียบกับเวียดนาม ที่มากกว่า 30%
จากแรงกดดันทางภาษีดังกล่าวทาง ส.อ.ท. ได้ออกมาประกาศจุดยืนที่ชัดเจนแทนภาคเอกชนไทย โดยระบุว่าประเทศไทยสามารถยอมรับการลดภาษีนำเข้าให้เหลือ 0% ให้กับสหรัฐอเมริกาได้ เพียงบางรายการสินค้าเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ยา ที่สหรัฐมีความสามารถในการผลิตยาคุณภาพสูง แต่ไม่เห็นด้วยหากจะลดภาษีเป็น 0% สำหรับกลุ่มเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนสูง และ ยังอยูในช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ โจทย์ที่ท้าทายยิ่งกว่าสำหรับทีมเจรจาของไทย ที่จะต้องใช้ความรู้ ความสามารถ และ ทักษะอีกเพียบในการรับมือ เพื่อรักษาสมดุล และ ประโยชน์ของประเทศ
เรื่องภาษีนำเข้าก็เรื่องนึงแต่ยังมีอีกเรื่องที่ประเทศไทยต้องเจอนั่นก็คือ การตรวจสอบและควบคุมการใช้ Local Content หรือวัตถุดิบในประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อเป็นการป้องกันการสวมสิทธิ สินค้าสำหรับสินค้าที่จะส่งออกไปยังอเมริกานั่นเอง มาตรการนี้ถูกมองว่าเป็นการควบคุมและสกัดกั้นปัญหาสินค้าที่ถูกสวมสิทธิ หรือ Transshipment ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีประมาณ 10-15 กลุ่มอุตสหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีการใช้วัตถุดิบในประเทศน้อยกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ การป้องกันการฉวยโอกาส และเสริมความได้เปรียบของสินค้า Made in Thailand กลายเป็นความท้าทายที่สำคัญที่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมืออย่างเข้มงวดจากทุกกระทรวง ทบวง ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- กระทรวงพาณิชย์
- กระทรวงการคลัง
- กระทรวงอุตสาหกรรม
- สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ
กระทรวงเหล่านี้มีอำนาจในการออกใบอนุญาต และ สามารถส่งเสริมการลงทุนรวมไปถึงการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า เป็ฯอีกหนึ่งความท้าทางที่ประเทศไทยกำลังเจอยู่ตอนนี้ ทำให้ไม่ใช่แค่เพียงเจรจาเรื่องภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่ยังต้องทำให้ครอบคลุมถึงการสร้างความแข็งแกร่งและโปร่งใสให้กับห่วงโซ่อุปทานการผลิตของไทยเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าไทยยังได้รับการยอมรับในตลาดโลก และ ช่วยให้ไทยสามารถรักษาสมดุลทางการค้ากับทุกกลุ่มประเทศที่ประเทศไทยทำการค้าด้วย โดยไม่เอียงไปประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการนำพาประเทศให้สามารถก้าวผ่านสถานการณ์การค้าโลกที่ผันผวนได้
ค่าแรงงานสายเทคราคาพุ่ง Google แจ้งจ่ายวิศวกรแตะ 12 ล้านบาทต่อปี
กระแส AI กำลังเป็นที่ร้อนแรงขึ้นทุกวัน บริษัทเทคโนโลยี ก็ยิ่งทุ่มทุนหนักเข้าไปอีก เพื่อชิงตัวคนเก่งๆ โดยเฉพาะการให้ค่าตอบแทน เป็นเครื่องหลักในการดึงคนเก่งๆเข้ามา และ Google เป็นอีกหนึ่งบริษัทระดับโลก ที่ยังคงเดินหน้าทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อดูดแรงงานสายเทคที่มีทักษะสูงๆ โดยเฉพาะสายงานวิศวกรรมซอฟต์แวร์ วิจัย และ วิเคราะห์ข้อมูล
ข้อมูลจากแบบฟอร์มขอวีซ่าทำงานของแรงงานต่างชาติที่บริษัทต้องยื่นต่อกระทรวงแรงงานสหรัฐในรายงานเปิดเผยว่าพนักงานในตำแหน่งวิศวกรซอฟตฺแวร์ของ Google มีรายได้สูงถึง 340,000 ดอลลาร์ต่อปี ฟังไม่ผิดถ้าคิดเป็นเงินบาทจะตกราวๆ 12.4 ล้านบาทเลยทีเดียว รายได้นี้ยังไม่ได้รวมโบนัส และ หุ้นบริษัทที่จะเป็นส่วนหนึ่งของค่าตอบแทน ถึงแม้ค่าตอบแทนเหล่านี้จะดูว่าเป็นจำนวนที่สูง แต่เสี่ยงสะท้อนจากพนักงาน Google หลายๆท่านในเอกสารในปี 2023 ระบุว่า พวกเข้ายังคงรู้สึกว่าค่าตอบแทนไม่เป็นธรรม แม้ว่าจะมีรายได้สูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมก็ตาม ทำให้พนักงานจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่า รายได้ยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับแรงกดดันและเป้าหมายที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
การแข่งขัน AI ที่ถูกเดิมพันด้วยทุน
การแข่งขันระหว่างยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเพื่อแย่งชิงบุคลากรเอไอ ไม่ได้เป็นเพียงปรากฎการณ์ที่สะท้อนความต้องการด้านทักษะเฉพาะทาง ถ้าหากยังเป็นสัญญาญของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจการผลิต บุคลากรที่มีความสามารถในการพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ เขียนโค้ดขั้นสูง หรือออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึม กลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลในสายตาของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สามารถผลิตซอฟต์แวร์และนวัตกรรมใหม่ๆที่ไม่เพียงแค่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังอาจจะกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม และภูมิรัฐศาสตร์เทคโนโลยี
Google ได้มีการเปลี่ยนเกณฑ์การประเมินพนักงานในรูปแบบใหม่ โดยระบุไว้ชัดเจนเลยว่า ผลงานที่สูง คือปัจจัยหลักในการเลื่อนขั้น และได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ซึ่งสะท้อนแนวโน้มเดียวกันกับ Meta และ Microsoft ที่ทยอยปลดพนักงานที่ไม่สามารถทำผลงานตามเป้าได้ ทำให้สามารถพูดได้เลยว่า ระบบการประเมินผลกลายเป็นกลไกควบคุม ในยุคที่บริษํทที่ไม่ต้องการเพียงแค่แรงงานที่เก่ง แต่ต้องการแรงงานที่แข่งขันเพื่อพิสูจย์ตัวเอง
รายได้โดยประมาณต่อปีของ Google เห็นแล้วว้าวมา
สายวิศวกรรม
- วิศวกรซอฟต์แวร์ (Software Engineer) 4.0 ถึง 12.5 ล้านบาท
- วิศวกรอาวุโส (Senior Software Engineer) 6.9 ถึง 9.4 ล้านบาท
- วิศวกรวิจัย (Research Engineer) 5.6 ถึง 9.8 ล้านบาท
- วิศวกรความปลอดภัย (Security Engineer) 3.6 ถึง 8.6 ล้านบาท
- ผู้ออกแบบวงจรชิป (Silicon Engineer) 5.4 ถึง 9.3 ล้านบาท
สายข้อมูลและเอไอ
- นักวิทยาศาสตร์ ข้อมูล (Data Scientist) 4.9 ถึง 9.6 ล้านบาท
- นักวิจัยเอไอ (Research Scientist) 5.7 ถึง 11.2 ล้านบาท
สายบริหารจัดหาร
- ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ (Product Manager) 5.0 ถึง 10.3 ล้านบาท
- ผู้จัดการโครงการเทคนิค (Technical Program Manager) 4.2 ถึง 10 ล้านบาท
สายที่ปรึกษาและออกแบบ
- ที่ปรึกษาด้านโซลูชัน (Solution Consultant) 3.7 ถึง 10.4 ล้านบาท
- นักออกแบบ UX (UX Designer) 4.6 ถึง 8.5 ล้านบาท
ปรับเพิ่มเงินทดแทนว่างงาน ผู้ประกันตน ม.33 รับสูงสุด 9000 บาท
ข่าวดีสำหรับผู้ประกันตน ม.33 ปรับเพิ่มเงินทดแทนว่างงานเป็นร้อนละ 60 ไม่เกิน 180 วันรับเงินชดเชยสูงสุด 9,000 บาทต่อเดือนเผยเงื่อนไขมีอะไรบ้าง สามารถลงทะเบียนได้ผ่านช่องทางไหนเช็คได้เลย
ข้อมูลล่าสุดเปิดเผยจากทางด้านรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งข่าวดีเกี่ยวกับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ถูกเลิกจ้างหรือว่างงาน หลังราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศกฎกระทรวงแรงงานฉบับใหม่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว กฎกระทรวงฉบับนี้ ได้ปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนให้สูงขึ้น เพื่อบรรเทาภาระของผู้ประกันตน และเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศราฐกิจ และ สังคมในปัจจุบันซึ่งเป็นสาระสำคัญของกฎกระทรวงแรงงานฉบับใหม่นี้คือให้ลูกจ้างประกันสังคมได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากการเลิกจ้างเพิ่มขึ้นเป็นอัตราร้อยละ 60 จากเติมร้อยละ 50
จากการประกาศดังใช้ดังกล่าวทำให้ผู้ประกันตน ได้รับประโยชน์ทดแทนสูงสุดไม่เกินเดือนละ 9,000 บาทจากเดิมสูงสุดเดือนละ 7,500 บาท โดยระยะเวลา 180 วัน หรือ 6 เดือนจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้สูงสุด 54,000 บาทจากเดิมที่จะได้รับสูงสุดอยู่ที่ 45,000 บาท
วิธีลงทะเบียนว่างงาน-เลิกจ้าง รับเงินชดเชย
สำหรับวิธีลงทะเบียนว่างงาน เลิกจ้างเพื่อรับเงินชดเชยจากประกันสังคม ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ลาออก หรือ ถูกเลิกจ้าง สามารถลงทะเบียนผู้ว่างงานผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th ภายใน 30 วันนับจากวันที่สิ้นสุดการจ้างงาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณีตามรายละเอียดด้านล่าง
- กรณีถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 60% ของเงินเดือนเฉลี่ยอย่างเช่น ถ้าเคยได้เงินเดือน 10,000 บาท ก็จะได้เดือนละ 6,000 บาท โดยจะจ่ายให้ไม่เกิน 6 เดือนใน 1 ปี รวมกันไม่เกิน 180 วัน
- กรณีลาออกเอง หรือ หมดสัญญาจ้างจะได้ 30% ของเงินเดือนเฉลี่ยเช่น ถ้าเคยได้เงินเดือน 10,000 บาทจะได้เดือนละ 3,000 บาท และจะจ่ายให้ไม่เกิน 3 เดือนใน 1 ปี รวมกันไม่เกิน 90 วัน
- ในส่วนของคนที่ว่างงานหลายครั้งในปีเดียวกัน เช่นถูกเลิกจ้าง 1 รอบ แล้วต่อมาก็ถูกเลิกจ้างอีก หรือ ลาออกอีกครั้ง สามารถขอรับสิทธิได้ทุกรอบ แต่เงินรวมที่ได้รับในปีนั้นจะได้ไม่เกิน 180 วันสำหรับกรณีเลิกจ้าง และ ไม่เกิน 90 วันสำหรับกรณีลาออก
สำหรับเงื่อนไขการขอรับสิทธิ มีรายละเอียดตามด้านล่าง
- ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในช่วง 15 เดือนก่อนว่างงาน
- ว่างงานต่อเนื่อง อย่างน้อย 8 วัน
- ต้องลงทะเบียนผู้ว่างงานผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th ภายใน 30 วันหลังออกจากงาน
- รายงานตัวผ่านระบบออนไลน์เดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าจะมีงานทำ
- พร้อมทำงาน และ ไม่ปฎิเสธการฝึกอาชีพที่จัดหาให้
- ไม่ถูกเลิกจ้าง เพราะความผิดร้ายแรงเช่น ทุจริต หรือ ละทิ้งหน้าที่
- ไม่ได้รับสิทธิซ้ำในกรณีชราภาพ
เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอรับสิทธิ ประกอบไปด้วย
- แบบคำขอ สปส. 2-01/7
- หนังสือรับรองออกจากงาน หรือ สปส.6-09 ถ้าไม่มีสามารถขึ้นทะเบียนได้
- สำเนาสมุดบุญชีธนาคาร เฉพาะธนาคารที่กำหนด
- หนังสือคำสั่งเลิกจ้าง ถ้ามี
หลักประกันสำหรับผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้าง และสูญเสียรายได้ เพื่อให้ผู้ประกันตนมีรายได้เพียงพบกับภาระค่าใช้จ่าย โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีสิทธิ สามารถยื่นขอรับเงินผ่านระบบออนไลน์ และ สามารถทำการขึ้นทะเบียนและรายงานตัวผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th หรือสามารถยื่นแบบฟอร์มที่สำนักงานประกันสังคมประจำจังหวัดได้ทั้วประเทศ ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข กรณีเงินทดแทนว่างงาน ไม่สามารถขอย้อนหลังได้ ต้องยื่นขึ้นทะเบียนภายใน 30 วันหลังลาออก หรือ ถูกเลิกจ้าง หากลาออก หรือ ถูกเลิกจ้างหลายครั้งในปีเดียวกัน จะรับรวมวันรับเงินสูงสุดไม่เกินที่กำหนด 90 วันสำหรับลาออก และ 180 วันสำหรับเลิกจ้าง
บริการผ่อนชำระ UOB PayLater/i-Plan: เปลี่ยนยอดใหญ่เป็นยอดเล็ก
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้บัตรเครดิต UOB แล้วรู้สึกว่าบางเดือนมียอดใช้จ่ายสูงเกินงบ การแปลงยอดใช้จ่ายเหล่านั้นให้เป็นยอดผ่อนรายเดือนด้วยบริการ UOB PayLater หรือ i-Plan อาจเป็นตัวช่วยที่ทำให้การเงินคุณคล่องตัวขึ้น บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับบริการทั้งสอง พร้อมรีวิว เงื่อนไข และข้อควรระวัง เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น
UOB PayLater และ i-Plan คืออะไร?
UOB PayLater: ผ่อนแบบรายเดือนอัตโนมัติทันทีหลังรูด
UOB PayLater คือบริการผ่อนชำระอัตโนมัติของธนาคารยูโอบีที่ช่วยให้คุณสามารถแบ่งจ่ายรายการซื้อสินค้าหรือบริการตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไปเป็นงวดรายเดือน โดยไม่ต้องยื่นคำขอในภายหลัง ระบบจะเปลี่ยนยอดใช้จ่ายให้เป็นยอดผ่อนชำระทันที โดยมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษและระยะเวลาผ่อน 3, 6, หรือ 10 เดือนตามที่ธนาคารกำหนดไว้ล่วงหน้า
UOB i-Plan: เปลี่ยนยอดที่รูดไปแล้วให้ผ่อนในภายหลัง
ต่างจาก PayLater ตรงที่ i-Plan เป็นบริการที่เปิดโอกาสให้คุณ เลือกเปลี่ยนยอดใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแล้ว ให้กลายเป็นยอดผ่อนรายเดือน โดยต้องทำเรื่องผ่านแอป UOB TMRW หรือ Call Center ของธนาคาร เหมาะกับผู้ที่อยากบริหารยอดที่รูดไปแล้วให้เบาลงในแต่ละเดือน
จุดเด่นของบริการ UOB PayLater/i-Plan
1. ผ่อนสบายในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ทั้ง PayLater และ i-Plan ให้คุณผ่อนยอดบัตรเครดิตในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าการจ่ายขั้นต่ำตามรอบปกติของบัตรเครดิตมาก โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 0.8%-1.2% ต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าการคิดดอกเบี้ยแบบปกติที่อาจสูงถึง 16-18% ต่อปี
2. ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
บริการผ่อนของ UOB ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอผ่อนเพิ่ม ทำให้ผู้ใช้สามารถวางแผนการเงินได้ง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือค่าธรรมเนียมแรกเข้า
3. ผ่อนผ่านแอปได้ตลอด 24 ชั่วโมง
โดยเฉพาะบริการ i-Plan คุณสามารถจัดการยอดบัตรเครดิตและยื่นขอผ่อนชำระได้เองผ่านแอป UOB TMRW ไม่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ให้ยุ่งยาก
เปรียบเทียบบริการ UOB PayLater กับ i-Plan
| คุณสมบัติ | UOB PayLater | UOB i-Plan |
|---|---|---|
| ช่วงเวลาการขอ | ก่อนรูดซื้อสินค้า | หลังรูดซื้อสินค้า |
| ขั้นต่ำยอดซื้อ | 5,000 บาทขึ้นไป | 1,000 บาทขึ้นไป |
| วิธีขอใช้บริการ | สมัครครั้งเดียว ใช้อัตโนมัติ | ขอผ่อนผ่านแอป UOB TMRW |
| ระยะเวลาผ่อน | 3, 6, 10 เดือน | 3 – 36 เดือน |
| อัตราดอกเบี้ย | เริ่มต้น 0.88% ต่อเดือน | ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินและระยะเวลาผ่อน |
ข้อควรรู้ก่อนใช้บริการผ่อนชำระ UOB
อย่าลืมวางแผนล่วงหน้า
แม้การผ่อนจะทำให้ยอดเล็กลง แต่หากผ่อนหลายรายการพร้อมกัน ยอดรวมก็อาจสูงกว่าที่คิด ดังนั้นควรวางแผนก่อนเลือกผ่อน เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้สินเกินตัว
ติดตามยอดผ่อนอย่างสม่ำเสมอ
ใช้แอป UOB TMRW เช็กยอดผ่อนคงค้าง และรายการที่อยู่ระหว่างผ่อนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณรู้ภาพรวมการเงินได้ชัดเจนขึ้น
หากปิดยอดก่อนกำหนด
สามารถติดต่อธนาคารเพื่อขอปิดยอดผ่อนก่อนกำหนดได้ แต่ควรสอบถามว่ามีค่าธรรมเนียม หรือค่าปรับใดๆ เพิ่มเติมหรือไม่
บริการที่เหมาะกับผู้ใช้บัตรเครดิต UOB ทุกรูปแบบ
ทั้ง UOB PayLater และ i-Plan ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ถือบัตรเครดิตสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องใช้เงินก้อนโต หรือมีค่าใช้จ่ายเร่งด่วน การเลือกบริการผ่อนแบบเหมาะสมกับสถานการณ์ สามารถช่วยประหยัดดอกเบี้ย และเพิ่มสภาพคล่องให้กับชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปรับใหม่เงินช่วยเหลือชาวนาจาก 1000 บาท ลดเหลือไร่ละ 500 บาท
ชาวนาไทยผู้ปลูกข้าว เช็คเงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1000 บาท รับสูงสุด 10 ไร่ ซึ่งล่าสุดมีการปรับตัวเลขออกมาเหลือเพียง 500 บาท ต่อไร่ ครอบคลุมค่าปุ๋ยเคมี, ปุ๋ยอินทรีย์, สารชีวภัณฑ์ สำหรับเงินเยียวยาเกษตรกร 68/69 สามารถดูเงื่อนไข และ ถ้าหากเปลี่ยนใจปลูกพืชอื่น รัฐบาลจ่ายให้ 1500 บาทต่อไร่
เปิดรายละเอียดที่ประชุมคณะกรรมการนโยบาย และ บริหารข้าวแห่งชาติ หรือ นบข. มีมติสำคัญอนุมัติโครงการ เงินช่วยเหลือชานา ไร่ละ 1000 บาท ปีการผลิต 2568/69 ด้วยวงเงิน 3.9 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี เตรียมรับเงินสนับสนุนรวม 1,000 บาท ต่อไร่ รับสูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ นอกจากนี้ยังมีเงินพิเศษ สำหรับผู้ปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูก ผู้ที่สนใจ สามารถลงทะเทียนผ่านแอปพลิเคชั่น BAAC Mobile ได้เลย และเมื่อเร็วๆนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ได้มีการลงมติเห็นชอบ4 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69
รัฐจ่ายให้ชาวนาไทย รับเงินเยียวยาค่าปัจจัยการผลิตสูงสุด 1000 บาทต่อไร่
โครงการเงินช่วยเหลือชาวนา มีเป้าหมายเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย และ ค่าปัจจัยการผลิตให้กับเกตรกร โดยมีรายละเอียดสนับสนุนที่ชัดเจน
- สนับสนุนอัตรา 500 บาท ต่อไร่ เป็นค่าปัจจัยการผลิตโดยจำกัดพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่ หากชาวนามีทั้งหมด 10 ไร่ จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท
- สนับสนุนปัจจัยการผลิตผ่านกลไกกระเป๋าเงิน ธ.ก.ส. อีก 500 บาทต่อไร่ สำหรับพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่เช่นเดียวกัน
เงื่อนไขหากเปลี่ยนใจปลูกพืชอื่น รัฐบาลช่วยเหลือ 1,500 ต่อไร่
นอกจากนี้เกษตรกรที่มีความประสงค์จะปรับเปลี่ยนการผลิต สำหรับพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าว รัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุนพิเศษ โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือในอัตราสูงถึง 1500 บาทต่อไร่ โดยโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรรวม 1 ล้านไร่ และจำดำเนินการต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3-5 ปี เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรหันไปเพาะปลูกพืชที่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ ที่มากขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และลดความเสี่ยงจากการเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม
ลงทะเบียนผ่าน BAAC Mobile ทำได้ง่ายๆ
เพื่อความสะดวกแก่พี่น้องเกษตรกร ภาครัฐได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตร และ สหรกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. เป็นผู้รับผิดชอบ โดยมีช่องทางการลงทะเบียนที่สะดวกสบายผ่าน BAAC Mobile ของธนาคาร เพื่อการเกษตร และ สหกรณ์การเกษตร ซึ่งจะเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเงินช่วยเหลือ
เปิดเงื่อนไขสำคัญที่ต้องรู้ เพื่อรับสิทธิ์เต็มจำนวน
การสนับสนุนค่าปัจจัยการผลิตไร่ละ 500 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ จะครอบคลุมถึงปุ๋ยเคมี, ปุ๋ยอินทรีย์ และ สารชีวภัณฑ์ แต่ก็ยังมีเงื่อนไขที่สำคัญๆที่เกษตรกรต้องปฎิบัติตาม เพื่อให้ได้รับสิทธิ์อย่างครบถ้วนดูรายละเอียดได้ด้านล่าง
- ต้องทำการลงทะเบียนกับทางกรมส่งเสริมการเกษตร หรือลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น Farmbook เพื่อให้ข้อมูลการเพาะปลูกเป็นปัจจุบัน
- ต้องมีหลักฐานแสดงสิทธิ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการถือครองที่ดิน และ การปลูกข้าวที่ถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบที่กำหนด
- มาตรการช่วยเหลือครั้งนี้ ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับพี่น้องชาวนาไทย ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเพื่อเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องเกษตรกรในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมต่อไป