จีนเปิดฉากเดินหน้าสู้สงครามการค้าที่เริ่มต้นโดยสหรัฐ
จีนยังคงเดินหน้าสู้สงครามการค้า ที่เริ่มโดยสหรัฐอเมริกา ล่าสุดได้มีการขึ้นอัตราภาษีด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับพลาสติกนำเข้า จากสหรัฐอเมริกาสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และ ไต้หวัน
สำนักงานรอยเตอร์ได้ออกมารายงานเกี่ยวกับประเทศจีน ที่ได้มีการประกาศขึ้นอัตราภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดสูงถึง 74.9% สำหรับการนำเข้าโคพอลิเมอร์ หรือ POM (Polyoxymethylene) ซึ่งเป็นพลาสติกวิศกรรมชนิดหนึ่งจากสหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น และ ไต้หวัน
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีน ได้มีการสรุปผลการสอบสวนที่เริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2567 จากที่สหรัฐอเมริกาเพิ่มอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้า, ชิปคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงสินค้านำเข้าอื่นๆของจีนอย่างรวดเร็ว ทางกระทรวงพาณิชย์จีนได้ระบุว่า โคพอลิเมอร์ หรือ POM สามารถทดแทนโลหะเช่นทองแดง และ สังกะสีได้บางส่วน ซึ่งจะมีการใช้งานต่างๆ รวมไปถึงชิ้นส่วนในรถยนต์, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์
ต้นปี 2025 ที่ผ่านมาประมาณเดือนมกราคม 2025 กล่าวว่าการสอบสวนเบื้องต้นได้กำหนดว่าการทุ่มตลาดกำลังเกิดขึ้น และ ได้ดำนเนิการมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดเบื้องต้นในรูปแบบของวางเงินประกันเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2025 ที่ผ่านมาตามประกาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2025 อัตราภาษีต่อการทุ่มตลาดสูงสุดที่ 74.9% จะถูกเก็บจากการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ในขณะที่การส่งออกของยุโรปจะต้องเผชิญกับภาษี 34.5%
ในส่วนของจุดเริ่มต้นสงครามการค้า เริ่มต้นโดยสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยการประกาศตั้งกำแพงภาษีศุลกากรทั่วโลก เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นสงครามการค้าโลกครั้งใหญ่
Priority Pass ต่างจาก LoungeKey ยังไง? มือใหม่ต้องรู้!
หากคุณเป็นคนที่เดินทางบ่อย ไม่ว่าจะเพื่อธุรกิจหรือท่องเที่ยว บริการ เลานจ์สนามบิน ถือเป็นสิ่งที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกและผ่อนคลายมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ถือบัตรเครดิตระดับพรีเมียม หลายคนอาจสงสัยว่า Priority Pass กับ LoungeKey ที่มักแนบมากับบัตรเครดิตนั้นแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียด เพื่อให้มือใหม่เข้าใจและเลือกใช้อย่างคุ้มค่า
Priority Pass คืออะไร?
Priority Pass เป็นบริการสมาชิกที่ให้สิทธิ์เข้าใช้เลานจ์สนามบินมากกว่า 1,300 แห่งทั่วโลก ไม่จำเป็นต้องบินในชั้นธุรกิจหรือชั้นหนึ่ง ผู้ถือบัตรสามารถเข้าเลานจ์ที่ร่วมรายการได้โดยใช้บัตร Priority Pass ที่ได้รับจากธนาคารหรือสมัครสมาชิกเองผ่านเว็บไซต์ Priority Pass โดยตรง
รูปแบบการเป็นสมาชิก Priority Pass
- Standard: จ่ายค่าสมาชิกปีละประมาณ $99 และจ่ายเพิ่มเมื่อเข้าเลานจ์แต่ละครั้ง
- Standard Plus: ค่าสมาชิกปีละประมาณ $299 พร้อมสิทธิเข้าเลานจ์ฟรี 10 ครั้ง
- Prestige: ค่าสมาชิกปีละประมาณ $429 ใช้เลานจ์ได้ไม่จำกัดตลอดปี
บัตรเครดิตบางประเภท (เช่น UOB PRVI Miles, Citi Prestige) จะมอบ Priority Pass แบบไม่จำกัดจำนวนครั้งให้กับผู้ถือบัตรโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแยก
LoungeKey คืออะไร?
LoungeKey เป็นบริการที่คล้ายคลึงกับ Priority Pass แต่ไม่มี “บัตรสมาชิก” แยกต่างหาก ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเลานจ์โดยใช้ “บัตรเครดิตที่รองรับ LoungeKey” ได้โดยตรง โดยระบบจะตรวจสอบสิทธิ์จากหมายเลขบัตรเครดิต
ความแตกต่างหลักของ LoungeKey
- ไม่ต้องพกบัตรแยก ใช้บัตรเครดิตเป็นตัวแสดงสิทธิ์
- สิทธิ์ขึ้นอยู่กับประเภทของบัตรเครดิตที่ถืออยู่
- สามารถตรวจสอบสิทธิ์และรายชื่อเลานจ์ผ่านแอป LoungeKey หรือเว็บไซต์ได้
Priority Pass vs LoungeKey: แตกต่างกันอย่างไร?
หัวข้อเปรียบเทียบ | Priority Pass | LoungeKey |
---|---|---|
รูปแบบการใช้บริการ | ใช้บัตรสมาชิก (แยกจากบัตรเครดิต) | ใช้บัตรเครดิตโดยตรง |
วิธีตรวจสอบสิทธิ์ | ผ่านแอป Priority Pass | ผ่านแอป LoungeKey หรือเว็บไซต์ |
จำนวนเลานจ์ที่รองรับ | มากกว่า 1,300 แห่งทั่วโลก | ประมาณ 1,000+ แห่ง (อิงจากเครือข่าย Mastercard) |
ความยืดหยุ่นในการใช้งาน | สามารถซื้อสมาชิกเองได้ | ต้องผูกกับบัตรเครดิตที่รองรับเท่านั้น |
ระบบชำระเงิน | บางระดับต้องจ่ายเพิ่มเมื่อเข้าเลานจ์ | ขึ้นอยู่กับสิทธิ์ของบัตรเครดิต |
บัตรเครดิตที่รองรับ Priority Pass และ LoungeKey
บัตรที่ให้ Priority Pass
- บัตรเครดิต Citi Prestige
- บัตรเครดิต UOB PRIVI Miles
- บัตรเครดิต KTC Visa Signature (บางรุ่น)
บัตรที่ให้ LoungeKey
- บัตรเครดิต Mastercard World และ World Elite
- บัตร SCB M Luxe Mastercard
- บัตรเครดิต TMB Wealth Mastercard
หมายเหตุ: สิทธิ์การใช้งานขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร เช่น จำนวนครั้งต่อปี ค่าใช้จ่ายของผู้ติดตาม หรือค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้น
ข้อควรรู้ก่อนใช้เลานจ์สนามบิน
1. ตรวจสอบสิทธิ์ก่อนเดินทาง
แนะนำให้โหลดแอป Priority Pass หรือ LoungeKey และตรวจสอบว่าเลานจ์ที่สนามบินปลายทางรองรับหรือไม่
2. สอบถามค่าบริการผู้ติดตาม
บางบัตรอาจให้เฉพาะผู้ถือบัตรใช้ฟรี แต่ผู้ติดตามต้องชำระเงินเพิ่ม
3. พกเอกสารสำคัญ
เช่น Boarding Pass และบัตรประชาชน หรือพาสปอร์ต เพราะเลานจ์จะขอตรวจสอบก่อนเข้าใช้งาน
เลือกแบบไหนถึงจะคุ้ม?
ทั้ง Priority Pass และ LoungeKey ต่างมีข้อดีที่เหมาะกับผู้ใช้ที่แตกต่างกัน หากคุณชอบความยืดหยุ่นและเดินทางบ่อย การมี Priority Pass แบบไม่จำกัดครั้งจากบัตรเครดิตระดับพรีเมียมคือทางเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณต้องการความสะดวกและไม่อยากพกบัตรหลายใบ LoungeKey ที่ฝังมากับบัตรเครดิตก็อาจตอบโจทย์ได้มากกว่า สิ่งสำคัญคือ ตรวจสอบสิทธิ์ในบัตรเครดิตของคุณให้ชัดเจน เพื่อวางแผนการใช้เลานจ์ได้อย่างคุ้มค่าในทุกเที่ยวบิน
7 กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซึนไข้หวัดใหญ่ฟรี
เปิดเผยข้อมูลจากทางด้านกระทรวงสาธารณสุขโดย สปสช. เปิดให้ 7 กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ทุกสถานพยาบาลทั่วประเทศไทย เพื่อเป็นการป้องกันไข้หวัดใหญ่ระบาดซึ่งการฉีดวัคซีนจะเปิดให้ฉีดฟรีตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคม 2568
ข้อมูลจากทางด้านสำนักงานประกันสุขภาพ หรือ สปสปช. กระทรวงสาธารณสุข เปิดให้ 7 กลุ่มเสี่ยง สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ทุกสถานพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ระวาด
สำนักงานประกันหลักสุขภาพ หรือ สปสช. กระทรวงสาธารสุข ได้ดำเนินการจัดเตรียมวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ตมมประกาศขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO โดยมีการจัดเตรียมวัคซีนเพื่อรองรับกว่า 4 ล้าน 5 แสนโดส กระจ่ายให้กับหน่วยบริการ ให้ฉีดกลุ่มเป้าหมาย โดยระบุว่าเป็นวัคซีนป้องกัน 3 สายพันธุ์ ได้แก่
- สายพันธุ์ A(H1N1)
- สายพันธุ์ A(H3N2)
- สายพันธุ์ B
เปิด 7 กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ทุกสถานพยาบาล
- เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี
- หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ที่แนะนำ 12-20 สัปดาห์ (สามารถรับวัคซีนได้ตลอดการตั้งครรภ์)
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ได้แก้ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง, หอบหืด, หลอดเลือกสมอง, ไตวาย, เบาหวาน และ ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด
- ผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปี
- ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
- โรคธาลัสซีเมีย และ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมไปถึงผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ
- ผู้ที่มีโรคอ้วน น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม หรือ BMI มากกว่า 35 KG/M2
อัพเดตล่าสุด สิทธิรับเงินช่วยเหลือ สำหรับผู้ประกันตน ม.33 ลาออก หรือ ถูกเลิกจ้าง
เปิดเผยข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงานเปิดเผยสิทธิรับเงินช่วยเหลือ สำหรับผู้ประกันตน ม.33 ลาออก หรือ ถูกเลิกจ้าง สามารถทำการลงทะเบียนผู้ว่างงานได้ที่เว็บไซต์ e-service.doe.go.th
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาเปิดเผยว่ารัฐบาล โดยสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน แนะนำให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ลาออก หรือ ถูกเลิกจ้าง สามารถทำการลงทะเบียนผู้ว่างงานได้ผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th ภายใน 30 วัน นับจากวันที่สิ้นสุดการจ้างงาน
ผู้ประกันตน ม.33 รับเงินช่วยเหลือ จากประกันสังคม แบ่งออกเป็น 3 กรณี
- กรณีที่ 1 ถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 50% ของเงินเดือนเฉลี่ย ยกตัวอย่างเช่น เคยได้เงินเดือน 10,000 บาท ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือ เดือนละ 5,000 บาท โดยจ่ายให้ไม่เกิน 6 เดือน หรือ 1 ปี รวมกันไม่เกิน 180 วัน
- กรณีที่ 2 ลาออกเอง หรือ หมดสัญญาจ้าง จะได้รับ 30% ของเงินเดือนเฉลี่ย เช่น ถ้าเคยได้เงินเดือน 10,000 บาท จะได้เดือนละ 3,000 บาท และจะจ่ายให้ไม่เกิน 3 เดือน ใน 1 ปี รวมกันไม่เกิน 90 วัน
- กรณีที่ 3 คนที่ว่างงานหลายครั้งใน 1 ปี เช่น ถูกเลิกจ้าง 1 รอบ และต่อมาถูกเลิกจ้างอีกหรือลาออกอีกครั้ง สามารถขอรับสิทธิได้ทุกรอบ แต่เงินรวมที่ได้รับในปีนั้น จะได้ไม่เกิน 180 วันกรณีเลิกจ้าง และ ไม่เกิน 90 วัน สำหรับกรณีลาออก
เงื่อนไขการขอรับสิทธิ
- ต้องทำการจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในช่วงเวลา 15 เดือนก่อนว่างงาน
- ว่างงานต่อเนื่องอย่างน้อย 8 วัน
- ต้องลงทะเบียนเป็นผู้ว่างงานผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th ภายใน 30 วันหลังจากออกจากงาน
- รายงานตัวผ่านระบบออนไลน์เดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าจะมีงานทำ
- พร้อมทำงาน และ ไม่ปฎิเสธการฝึกอาชีพที่จัดหาให้
- ไม่ถูกเลิกจ้าง เพราะความผิดร้ายแรง เช่น ทุจริต หรือ ละทิ้งหน้าที่
- ไม่ได้รับสิทธิซ้ำในกรณีชราภาพ ทั้งนี้ เอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นขอสิทธิ ประกอบด้วย แบบคำขอ สปส. 2-01/7 หนังสือรับรองออกจากงาน หรือ สปส.6-09 ถ้าไม่มีสามารถขึ้นทะเบียนได้ สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร เฉพาะธนาคารที่กำหนด หรือ หนังสือเลิกจ้างถ้ามี
ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีสิทธิ สามารถยื่นขอรับเงินผ่านระบบออนไลน์ และ สามารถทำการขึ้นทะเบียรายงานตัวผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th หรือ ยื่นแบบฟอร์มที่สำนักงานประกันสังคม จังหวัดทั่วประเทศ
กรณีเงินทดแทนว่างงาน ไม่สามารถขอย้อนหลังได้ ต้องทำการยื่นขึ้นทะเบียนภายใน 30 วันหลังลาออก หรือ เลิกจ้างหากลาออกหรือถูกเลิกจ้างหลายครั้งในปีเดือน จะรับรวมวันรับเงินสูงสุดไม่เกินที่กำหนด 90 วันสำหรับลาออก และ 180 วันสำหรับเลิกจ้าง
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่สำนักงานประกันสังคมโทร 1694
หมดหวังอดรับเงินหมื่นจากรัฐบาล จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในส่วนที่เหลือที่มีการแจ้งว่าจะแจกเงินหมื่นในที่เหลือของปี 2565 เป็นอันต้องปรับเปลี่ยนแผนใหม่ ล้มเลิกแผนเก่า ทำให้คนที่ตั้งหน้าตั้งตารอรับเงินหมื่น อดไปตามๆกัน รวมถึงการส่งออกและการผลิตไทยโดยทำให้ต้องทบทวนนโยบายการแจกเงิน 10,000 บาท ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ทางด้านรองนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเปิดเผยทางด้านคณะกรรมการโนบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งจะมีการประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 นี้ โดยทางกระทรวงการคลังจะมีการเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากกรณีกระประกาศมาตรการภาษีศุกากร หรือ Reciprocal Tariff ของสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มส่งผลต่อธุรกิจในประเทศประมาณ 1-2 ปี
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ผลิต โดยเฉพาะกลุ่มส่งออก และ ธุรกิจซัพพลายเชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสงครามการค้าครั้งนี้ ทางด้านรัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการผลักดัน GDP ให้เติบโตเกิน 3% โดยจะมีการออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และยังให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว และ อสัมหาริมทรัพย์ที่ต้องดูแลควบคู่กันไปเพื่อป้องกันปัญหาที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
นโยบายแจกเงิน 10,000 บาท
- วงเงินรวม 450,000 ล้านบาท
- ผลักดันโครงการ Digital Wallet วางรากฐาน
รัฐบาลแจกเงินแล้ว 2 เฟสรวม 185,000 ล้านบาท
- เฟส 1 กลุ่มเปราะบาง
- เฟส 2 กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
- เฟส 3 กลุ่มวัยรุ่นอายุ 16-20 ปี (ทบทวน + ยกเลิก)
ธนาคารกรุงไทย ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เงินกู้สูงสุด 0.15%
เปิดเผยข้อมูลจากกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยหรือ นายผยง ศรีวณิช เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ในระยะข้างหน้า ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง บวกกับปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยาก เนื่องจากนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา และ มาตรการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งส่งผลกระทบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย อย่างมีนัยสำคัญ และเพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกค้า ในการลดภาระทางการเงิน รวมไปถึงสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน
ทางด้านธนาคารกรุงไทย ได้มีการประกาศเพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.15% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและรองรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น รวมถึงการดูแลภาระเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และ เงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ ธนาคารได้ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.075% – 0.20% ต่อปี ซึ่งจะมีผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568
กรุงไทยลดดอกเบี้ยนเงินกู้
- MOR ลดลงเหลือ 6.870% ต่อปี
- MLR ลดลงเหลือ 6.750% ต่อปี
- MRR ลดลงเหลือ 7.295% ต่อปี
*ดอกเบี้ยเงินฝาก ปรับลดลง 0.075% – 0.200% มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป พร้อมกับขยายมาตรการ คุณสู้ เราช่วย ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพื่อช่วยเหลือลูกค้า ให้สามารถปรับตัวและเดินหน้าต่อได้
ทางธนาคารกรุงไทย ให้ความสำคัญ กับการดูแลและช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม ให้สามารถปรับตัวและสามารถสร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยออกมาตรการความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงลูกค้า ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว และ มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
บัตรกดเงินสด VS วงเงินฉุกเฉินต่างกันอย่างไร?
ในยุคที่ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นได้ไม่ทันตั้งตัว การเข้าถึงแหล่งเงินด่วนจึงเป็นสิ่งสำคัญ หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “บัตรกดเงินสด” และ “วงเงินฉุกเฉิน” ซึ่งดูเหมือนจะคล้ายกัน แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองแบบมีข้อแตกต่างที่สำคัญ บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจให้ชัดว่า บัตรกดเงินสดกับวงเงินฉุกเฉินต่างกันอย่างไร และควรเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับสถานการณ์
ทำความเข้าใจพื้นฐาน: บัตรกดเงินสดคืออะไร?
บัตรกดเงินสด (Cash Card) เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้คุณเบิกถอนเงินสดจากตู้ ATM ได้ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีเงินฝากค้ำประกัน คุณสามารถเลือกผ่อนชำระคืนแบบขั้นต่ำ หรือแบบรายงวดเท่ากันทุกเดือนก็ได้
คุณสมบัติของบัตรกดเงินสด
- ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน
- เบิกเงินผ่านตู้ ATM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- อนุมัติวงเงินล่วงหน้าแบบหมุนเวียน (Revolving)
- ดอกเบี้ยจะถูกคิดเฉพาะจำนวนเงินที่คุณเบิกออกมา
รายละเอียดการสมัครบัตรเครดิต UOB แต่ละประเภท
วงเงินฉุกเฉินคืออะไร?
วงเงินฉุกเฉิน หรือที่บางธนาคารเรียกว่า “สินเชื่อฉุกเฉิน” เป็นเงินกู้ระยะสั้นที่คุณสามารถยื่นขอใช้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมบ้าน หรือเหตุฉุกเฉินอื่น ๆ โดยการอนุมัติมักเป็นแบบครั้งเดียวตามยอดที่ต้องการ และมีการกำหนดระยะเวลาผ่อนชำระอย่างชัดเจน
ลักษณะของวงเงินฉุกเฉิน
- ขออนุมัติเป็นรายครั้งตามสถานการณ์
- ส่วนใหญ่เป็นวงเงินแบบปิด (มีระยะเวลาเริ่มต้น-สิ้นสุด)
- อาจต้องแสดงหลักฐานเหตุจำเป็น เช่น ใบรับรองแพทย์ ใบเสนอราคาซ่อมบ้าน ฯลฯ
- ดอกเบี้ยคงที่หรือผ่อนชำระรายเดือน
เปรียบเทียบความแตกต่าง: บัตรกดเงินสด vs วงเงินฉุกเฉิน
หัวข้อ | บัตรกดเงินสด | วงเงินฉุกเฉิน |
---|---|---|
ประเภทของวงเงิน | วงเงินหมุนเวียน | วงเงินแบบปิด (กู้ครั้งเดียว) |
การเข้าถึง | เบิกผ่าน ATM ได้ตลอดเวลา | ต้องขอกู้ใหม่ทุกครั้ง |
วิธีการใช้เงิน | กดเงินสดออกมาใช้ได้ทันที | เงินจะโอนเข้าบัญชีหลังได้รับอนุมัติ |
หลักฐานที่ใช้ในการขอ | เอกสารส่วนบุคคลทั่วไป | อาจต้องมีหลักฐานแสดงเหตุจำเป็น |
การคำนวณดอกเบี้ย | คิดรายวันจากยอดที่ใช้ | ส่วนใหญ่คิดแบบ Flat Rate หรือแบบลดต้นลดดอก |
ความยืดหยุ่นในการใช้งาน | สูง | จำกัดและตามวัตถุประสงค์ |
กรณีไหนควรเลือกใช้บัตรกดเงินสด?
บัตรกดเงินสดเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ “วงเงินสำรอง” ไว้ใช้ยามฉุกเฉินที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เช่น รถเสียกะทันหัน, ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์เบื้องต้น, หรือค่ายานพาหนะที่ต้องจ่ายทันที โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยากในการยื่นขอวงเงินใหม่ทุกครั้ง
ข้อดีที่น่าสนใจ
- เบิกใช้เงินได้ทันที
- ไม่ต้องแจ้งวัตถุประสงค์ในการใช้เงิน
- ดอกเบี้ยคิดเฉพาะยอดที่ใช้จริง
กรณีไหนควรใช้วงเงินฉุกเฉิน?
วงเงินฉุกเฉินเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในครั้งเดียว และสามารถชำระคืนเป็นงวดรายเดือนตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น ค่าผ่าตัด, ค่าเรียน, ค่าซ่อมบ้านที่ประเมินราคาได้แน่นอน เหมาะกับผู้ที่ต้องการวางแผนการผ่อนชำระอย่างมีวินัย
ข้อดีของการใช้วงเงินฉุกเฉิน
- อัตราดอกเบี้ยอาจต่ำกว่าบัตรกดเงินสด
- มีระยะเวลาผ่อนชำระที่ชัดเจน
- เหมาะกับเหตุการณ์ที่วางแผนค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้
ข้อควรระวังในการใช้เงินด่วน
ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้บัตรกดเงินสดหรือวงเงินฉุกเฉิน สิ่งสำคัญคือการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ก่อนตัดสินใจ เพราะหากชำระล่าช้าหรือผิดนัดชำระ อาจส่งผลกระทบต่อประวัติทางการเงิน และทำให้เกิดภาระหนี้สินบานปลาย
เคล็ดลับการใช้เงินด่วนอย่างปลอดภัย
- ใช้เฉพาะในยามจำเป็นจริง ๆ
- ไม่ควรกดเงินออกมาทั้งวงเงิน
- อ่านเงื่อนไขดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมให้ละเอียด
- วางแผนการชำระเงินล่วงหน้า
เลือกให้ตรงจุด ตอบโจทย์การเงินฉุกเฉิน
บัตรกดเงินสดและวงเงินฉุกเฉินต่างมีบทบาทในการช่วยให้คุณผ่านสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเงินได้อย่างราบรื่น ขึ้นอยู่กับลักษณะของเหตุการณ์และความต้องการของคุณ หากต้องการความยืดหยุ่นและเบิกเงินได้ทันที บัตรกดเงินสดคือตัวเลือกที่เหมาะสม แต่หากต้องการเงินก้อนใหญ่พร้อมแผนผ่อนจ่ายที่ชัดเจน วงเงินฉุกเฉินก็คุ้มค่าและปลอดภัยมากกว่า เลือกให้เหมาะกับสถานการณ์การเงินของคุณ และอย่าลืมประเมินภาระหนี้ที่ตามมา เพื่อไม่ให้เงินด่วนกลายเป็นภาระในระยะยาว
กำหนดแนวทางใช้เงิน 8,000 ล้านบาทดัน รถไฟฟ้า 20 บาท
รอลุ้นรถไฟฟ้า 20 บาท จากการตรวจสอบล่าสุด ยังอยู่ในช่วงหารือระหว่าง คลังกับทางด้าน รฟม. เริ่มต้นกันยายน 2568 นี้ ในส่วนของการกำหนดแนวทางจัดใช้เงินให้ถูกระเบียนกฎหมาย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์นี้
ทางด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรื่องกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้านโยบายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นฉบับปรับปรุงให้มีควมทันสมัยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และ สนับสนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย เพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
แต่อยา่งไรก็ดียังสามารถดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาได้เนื่องจากกระทรวงการคลังมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้เงินกำไรสะสมของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ที่ได้ส่วนแบ่งรายได้ของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เพื่อไปใช้ชดเชยส่วนต่างรถไฟฟ้า สายสีอื่นซึ่งอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้โดยตรง ทำให้ต้องมีการหารือในรูปแบบการใช้เงินให้รอบคอบ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียนกฎหมาย คาดว่าน่าจะหารือเสร็จภายใน 2 สัปดาห์
ทางด้านนายสุริยะ ยังกล่าวด้วยความมั่นใจว่า จะสามารถผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายได้ตามเป้าหมายภายใน 30 กันยายน 2568 นี้ ปัจจุบันมีความพร้อมในผลการศึกษาทั้งหมด เหลือเพียงการหารือเพื่อนำเงินกำไรของ รฟม. มาเข้ากองทุนตั๋วรวม และชดเชยส่วนต่ายรายได้ที่เกิดขึ้นในรถไฟสายอื่นๆ สำหรับตัวเลข จะใช้เงินชดเชยเพียง 8,000 ล้านบาทต่อปี ไม่มีการปรับเพิ่มกรอบวงเงินเป็น 9,500 ล้านบาท
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่กรุงเทพมหานคร มีแนวคิดว่ารถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ควรมีผู้บริหารจัดการหน่วยงานเดียว หรือ Single Owner เพราะจะทำให้การบริหารจัดการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะหารือกับกระทรวงคมนาคม เพื่อโอนสิทธิในการบริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับกระทรวงคมนาคม ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี เนื่องจากกระทรวงต้องการบริหารรถไฟฟ้าให้เป็นระบบและมาตราฐานเดียวกันอยู่แล้ว
AI จะเข้ามาแทนที่อาชีพไหน ในอนาคต?
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและรูปแบบการทำงานของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การใช้งานแชทบอทตอบคำถามลูกค้า ไปจนถึงระบบอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรม คำถามที่หลายคนเริ่มตั้งขึ้นคือ “แล้วอาชีพของเราจะถูกแทนที่ด้วย AI หรือไม่?” บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจว่า AI มีบทบาทกับการทำงานอย่างไร อาชีพใดที่เสี่ยงมากที่สุด และควรเตรียมตัวอย่างไรในยุคที่เทคโนโลยีไม่หยุดนิ่ง
AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตจริงได้อย่างไร?
AI ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ด้วยพลังของ Big Data, Cloud Computing และ Machine Learning ทำให้ระบบ AI ในปัจจุบันฉลาดขึ้นกว่าเดิมมาก ระบบเหล่านี้สามารถเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาล และตัดสินใจได้เองในบางสถานการณ์ เช่น:
- ระบบแนะนำสินค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์
- รถยนต์ไร้คนขับที่วิเคราะห์เส้นทางและความปลอดภัย
- การวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพเพื่อตรวจหาโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
- การเขียนบทความหรือสร้างคอนเทนต์เบื้องต้นด้วย Generative AI
อาชีพไหนที่กำลังถูก AI แทนที่?
AI เข้ามาแทนที่อาชีพได้รวดเร็วโดยเฉพาะงานที่มีลักษณะซ้ำซาก มีรูปแบบตายตัว หรือสามารถประมวลผลจากข้อมูลได้โดยไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มาก
1. พนักงานคอลเซ็นเตอร์ และบริการลูกค้า
หลายบริษัทเริ่มหันมาใช้แชทบอทหรือ Voice AI ในการตอบคำถามลูกค้า เพราะสามารถให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุด
2. พนักงานเก็บเงิน และแคชเชียร์
ระบบชำระเงินอัตโนมัติ เช่น Self-Checkout และ Mobile Payment ทำให้ร้านค้าบางแห่งไม่ต้องพึ่งพาพนักงานหน้าร้านมากเหมือนเดิม
3. พนักงานด้านเอกสาร และธุรการ
งานอย่างการกรอกแบบฟอร์ม ตรวจสอบข้อมูล หรือตรวจคำผิด เริ่มถูกแทนที่ด้วยระบบ OCR และ AI ด้านภาษา
4. งานผลิตในโรงงาน
แขนกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมช่วยให้งานผลิตทำได้แม่นยำและรวดเร็วกว่ามนุษย์โดยไม่ต้องพัก
5. นักแปลภาษาเบื้องต้น
AI อย่าง Google Translate หรือ DeepL ทำให้การแปลภาษาทั่วไปสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้คนจริงในหลายกรณี
อาชีพที่ยัง “มั่นคง” ในยุค AI
แม้หลายอาชีพจะถูก AI แทนที่ แต่อาชีพที่ต้องใช้ “ความเข้าใจเชิงลึก ความคิดสร้างสรรค์ หรือทักษะมนุษย์” ยังยากที่ระบบใดจะมาแทนที่ได้ทั้งหมด
1. นักจิตวิทยา และนักบำบัด
AI ยังไม่สามารถเข้าใจอารมณ์ ความซับซ้อนของจิตใจ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง
2. นักออกแบบ และศิลปิน
แม้ AI จะสร้างภาพหรือเพลงได้ แต่การออกแบบเชิงแนวคิด หรือศิลปะที่มีอารมณ์ ยังเป็นเรื่องของมนุษย์โดยแท้
3. วิศวกร และนักพัฒนาเทคโนโลยี
AI อาจช่วยวิเคราะห์หรือแนะนำโค้ดได้ แต่การวางโครงสร้างระบบและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ยังคงต้องใช้มนุษย์เป็นหลัก
4. งานบริการที่ต้องสัมผัสจริง เช่น ช่างไฟ ช่างประปา
งานที่ต้องใช้แรงกาย ความชำนาญในพื้นที่จริง และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยังต้องใช้มนุษย์เป็นหลัก
เราจะอยู่ร่วมกับ AI อย่างไร?
แทนที่จะมองว่า AI มาแย่งงาน การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีและใช้มันให้เกิดประโยชน์จะเป็นแนวทางที่ยั่งยืนกว่า โดยเฉพาะการ “Upskill” และ “Reskill” ทักษะใหม่ ๆ อย่างเช่น:
- การเรียนรู้เกี่ยวกับ Data Analysis และ AI เบื้องต้น
- ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา
- การสื่อสารและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- ทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีสร้างสรรค์ เช่น การเขียนคอนเทนต์ การตัดต่อวิดีโอ หรือ UX/UI
อนาคตของงานอยู่ในมือเรา
AI อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะถูกแทนที่ทั้งหมด อนาคตยังต้องการมนุษย์ที่มีความยืดหยุ่น เรียนรู้เร็ว และปรับตัวได้เก่ง การเตรียมตัวล่วงหน้าในวันนี้ จะทำให้เราสามารถก้าวทันเทคโนโลยี และเปลี่ยนความกลัวให้เป็นโอกาส
บัตรเครดิต UOB ดีไหม? เจาะลึกสิทธิประโยชน์และข้อควรรู้ก่อนสมัคร
หากคุณกำลังมองหาบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การท่องเที่ยว และการสะสมคะแนนแลกของรางวัล บัตรเครดิต UOB ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย แต่คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ “บัตรเครดิต UOB ดีไหม?” บทความนี้จะพาคุณไปรีวิวอย่างละเอียด ตั้งแต่จุดเด่น จุดด้อย ค่าธรรมเนียม ไปจนถึงแนะนำบัตรรุ่นยอดนิยมที่คุ้มค่าน่าใช้ในปี 2025
รู้จักกับธนาคาร UOB และบัตรเครดิตในเครือ
ธนาคารยูโอบี (United Overseas Bank) เป็นธนาคารจากสิงคโปร์ที่มีสาขาทั่วเอเชีย รวมถึงประเทศไทย บัตรเครดิตของ UOB มีความโดดเด่นทั้งในด้านสิทธิพิเศษ การคืนเงิน การสะสมคะแนน และความร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลก เช่น Marriott, Agoda, และสายการบินชั้นนำ
บัตรเครดิต UOB ที่คนไทยนิยมสมัคร
- บัตรเครดิต UOB Preferred Platinum
- บัตรเครดิต UOB Lady’s
- บัตรเครดิต UOB One
- บัตรเครดิต UOB Privi Miles
- บัตรเครดิต UOB Premier
>> สมัครบัตรเครดิต UOB (บัตรหลัก)ได้ที่นี่ <<
4 ข้อดีของบัตรเครดิต UOB
1. สิทธิพิเศษด้านไลฟ์สไตล์
UOB มีโปรโมชันร่วมกับร้านอาหาร โรงแรม และสปาชั้นนำเป็นประจำ โดยเฉพาะบัตร UOB Lady’s ที่เน้นการช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงโดยเฉพาะ
2. สะสมคะแนนง่าย แลกของรางวัลไว
ระบบ UOB Rewards Plus ให้คุณสะสมคะแนนจากทุกยอดใช้จ่าย 25 บาท = 1 คะแนน และสามารถแลกของรางวัล หรือใช้แทนเงินสดในการจองเที่ยวบินและโรงแรมได้ทันที
3. มีบัตรที่เน้นการคืนเงิน
เช่น UOB One Card ที่ให้เงินคืนสูงสุดถึง 15% ตามหมวดที่กำหนด ช่วยประหยัดในการใช้จ่ายประจำวันได้จริง
4. การแบ่งจ่าย 0% และสิทธิประโยชน์ผ่อนสินค้า
ร่วมกับพันธมิตรทางร้านค้า เช่น Power Buy, Central และ Shopee ให้คุณสามารถผ่อน 0% ได้นานสูงสุดถึง 10 เดือน
ข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนสมัคร
1. วงเงินอนุมัติอาจไม่สูงเท่าบัตรเจ้าอื่น
จากประสบการณ์ของผู้ใช้บางราย พบว่าการอนุมัติวงเงินของ UOB มีความเข้มงวด และเริ่มต้นวงเงินอาจไม่สูงมากเมื่อเทียบกับธนาคารอื่น
2. เงื่อนไขการฟรีค่าธรรมเนียมรายปี
ผู้ใช้ต้องมียอดใช้จ่ายตามเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อขอยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี มิฉะนั้นอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2,000 – 5,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับรุ่นของบัตร
3. ระบบแอป UOB TMRW ยังพัฒนา
ถึงแม้จะมีแอปพลิเคชันให้ใช้งาน แต่ยังไม่ถือว่าลื่นไหลหรือใช้งานง่ายเท่ากับแอปของธนาคารอื่นบางแห่ง
บัตรเครดิต UOB รุ่นแนะนำในปี 2025
- เหมาะสำหรับสายเที่ยว สะสมคะแนนเร็ว ใช้แลกไมล์กับสายการบินต่างประเทศได้ เช่น Thai Airways, Emirates, และ Singapore Airlines
UOB Lady’s Card
- บัตรที่ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ มีหมวดหมู่สิทธิพิเศษให้เลือกเอง เช่น ช้อปปิ้ง สุขภาพ หรือความงาม พร้อมโปรโมชั่นส่วนลดจากร้านค้าแบรนด์เนม
UOB Preferred Platinum
- ตอบโจทย์คนเมือง ใช้จ่ายในหมวดดิจิทัล เช่น แกร็บ Netflix Shopee ได้คะแนน 10 เท่า พร้อมดีลร้านอาหารในเครือ Marriott และ Hyatt
การสมัครบัตรเครดิต UOB
คุณสมบัติผู้สมัคร
- รายได้ขั้นต่ำ 15,000 – 70,000 บาท/เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นบัตร
- มีประวัติเครดิตดี ไม่มีหนี้เสีย
- เอกสารประกอบ เช่น สลิปเงินเดือน, Statement 3-6 เดือน
ช่องทางสมัคร
สามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ UOB, สาขาธนาคาร, หรือช่องทางออนไลน์ผ่านพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ ได้
บัตรเครดิต UOB ดีจริงไหม คุ้มที่จะสมัครรึเปล่า?
จากการรีวิวทั้งหมดจะเห็นว่า บัตรเครดิต UOB มีจุดเด่นทั้งด้านสิทธิประโยชน์และโปรโมชันที่ตอบโจทย์หลายกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะสายช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว และสะสมคะแนน แม้จะมีข้อจำกัดบางประการในเรื่องค่าธรรมเนียมและระบบแอป แต่ในภาพรวมก็ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ต้องการบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง
ก่อนสมัครควรเลือกบัตรให้ตรงกับรูปแบบการใช้จ่ายของตนเอง พร้อมอ่านรายละเอียดเงื่อนไขของแต่ละรุ่นอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด