7 บัตรเครดิต น่าสมัคร 2025 เงินเดือน 15,000
หากคุณมีรายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือนและกำลังมองหาบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ นี่คือ 7 บัตรเครดิตที่น่าสนใจ:
-
บัตรเครดิต KTC VISA PLATINUM
บัตรเครดิตที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี พร้อมสิทธิประโยชน์ในการผ่อนชำระสินค้าและบริการด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.74% นานสูงสุด 10 เดือน นอกจากนี้ ยังมีประกันการเดินทางวงเงินคุ้มครองสูงสุด 8 ล้านบาท -
บัตรเครดิต KTC JCB PLATINUM
เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางไปญี่ปุ่น รับคะแนน KTC FOREVER x2 เมื่อใช้จ่ายที่ญี่ปุ่น และสิทธิ์การใช้บริการห้องรับรองสนามบินในประเทศที่กำหนด พร้อมส่วนลดพิเศษที่ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น -
บัตรเครดิต KTC UNIONPAY PLATINUM
ตอบโจทย์ผู้ที่เดินทางไปฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน รับคะแนน KTC FOREVER x2 เมื่อใช้จ่ายในประเทศดังกล่าว และรับส่วนลดพิเศษจากร้านค้าที่ร่วมรายการ -
บัตรเครดิต กรุงศรี แพลทินัม
มอบเครดิตเงินคืน 1% เมื่อใช้จ่ายที่สถานีบริการน้ำมันบางจากที่ร่วมรายการ และสามารถแบ่งจ่าย 0% ค่ารักษาพยาบาลนานสูงสุด 10 เดือน -
บัตรเครดิต KBank – Shopee Credit Card
เหมาะสำหรับนักช้อปออนไลน์ รับสิทธิพิเศษและส่วนลดเมื่อใช้จ่ายผ่าน Shopee และร้านค้าที่ร่วมรายการ -
บัตรเครดิต KTC DIGITAL PLATINUM VISA
ปลอดภัยในการช้อปออนไลน์ด้วย Dynamic CVV รหัสหลังบัตรที่เปลี่ยนทุกครั้งที่ขอ และไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี -
บัตรเครดิต UOB
บัตรเครดิตยูโอบีวัน คือบัตรเครดิตเงินคืนที่ถือว่าดีที่สุดจากทางธนาคาร UOB เป็นบัตรที่รับคืนได้ทุกวันจากทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ค่าธรรมเนียมสำหรับบัตรหลักในปีถัดไป 2,000 บาท + VAT 140 บาท
ก่อนตัดสินใจสมัคร ควรพิจารณาเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ของแต่ละบัตรให้ตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคุณ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้บัตรเครดิต
สิทธิเฟส 3 เข้าร่วมโรงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท
คืบหน้าโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เงินดิจิทัลวอลเล็ต ให้สิทธิเฟส 3 เข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทล่าสุด ที่มีอายุ 16-59 ปี โอนเข้าทางรัฐ สำรหับคนที่ลงทะเบียนทางรัฐ และ ยืนยันตัวตนเอาไว้แล้ว รอรับเงินได้เลย ทางรัฐบาลมีกำหนดจ่ายในไตรมาส 2 ของเดือน เมษายน – มิถุนายน 2568 สามารถเตรียมตัวซื้อของและสแกนจ่ายได้เลย สามารถเช็คเบื้องต้นเดียวกับเงิน 10,000 บาท ว่าจะเอาไปใช้จ่ายในส่วนไหนดี
ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เกี่ยวกับโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ได้ออกมาระบุว่า โครงการดิจิทัลวอลเล้ตเฟส 3 สำหรับเงิน 10,000 บาท ในครั้งนี้จะเป็นการจ่ายผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นระบบ Open Loop ซึ่งผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล เฟส 3 จะมีการพิจารณาผู้ที่ลงทะเบียน และ ยืนยันตัเข้าร่วมโครงการสำเร็จแล้ว ซึ่งอยู่ในอายุระหว่าง 16-59 ปี ผ่านแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิภายน 2567 ว่าผ่านเกณฑ์หรือไม่
- เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ก่อนวันที่ 16 กันยายน 2567
- ไม่เป็นผู้ที่มีรายได้เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566
- ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567
- ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ
- ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการ หรือ โครงการอื่นๆของรัฐ
- ไม่เป็นผู้ที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ หรือ โครงการของรัฐ
ไม่เลื่อน เงินดิจิทัล 10,000 บาท รัฐจ่ายให้ไตรมาส 2 เดือนเมษายน – มิถุนายน 2568
สำหรับกลุ่มคนที่จะได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทเฟส 3 นั่นจะเป็นกลุ่มคนที่มีอายุ 16-60 ปี ที่ไม่ติดเงื่อนไข ทรัพส์สินและมีรายได้ตามเกณฑ์ ได้รับการยืนยันจากทางรัฐบาลแล้วว่าจะไม่มีการเลื่อนการจ่ายอีกต่อไป
เฟส 3 เตรียมซื้อของ สแกนจ่ายเงิน 10,000 บาท
- สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ไข่ไก่, ข้าวสาร ฯลฯ
- ยารักษาโรค เช่น ยาแก้ไข้, ยาแก้ไอ, ยาแก้ท้องเสีย ฯลฯ
- ธูปเทียน, ชุดถวายสังฆทาน ฯลฯ
- สินค้าเพื่อการศึกษา เครื่องแบบนักเรียน, สมุด, ปากกา, ดินสอ, เครื่องเขียน ฯลฯ
- เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์, สบู่, ยาสีฟัน, ซอสปรุงรส, น้ำปลา ฯลฯ
- วัตถุดิบเพื่อการเกษตร เช่น ยาปราบศัตรูพืช, เมล็ดพันธุ์พืช, ปุ๋ย ฯลฯ
- สินค้าเกษตร และ ผลิตภัณฑ์ชุมชน อาหาร, ผักสด, ผลไม้สด ฯลฯ
เปิดช่องทางการยืนยันตัวตนเข้าใช้งานแอปทางรัฐ
- แอป ThaiID
- ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ
- เคาน์เตอร์ไปรษณีย์ไทย
- Big C
มาตรการใมห่ล่าสุด ไทยเที่ยวไทย โลว์ซีซัน รัฐจ่ายคนละครึ่ง
มาตรการใหม่ล่าสุดที่คนไทยกำลังตั้งหน้าตั้งตารอ สำหรับโครงการ ไทยเที่ยวไทย โลว์ซีซัน รัฐจ่ายให้คนละครึ่ง เอาไปเลยค่าที่พัก ค่าอาหาร และ ค่าเครื่องบิน มีส่วนลดให้ 50% สำหรับคนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ อาจจะมีคำถามว่า ใครได้รับสิทธิ์ในการลงทะเบียนครั้งนี้บ้าง สำหรับเฟสแรก เริ่มลงทะเบียนเมื่อไหร่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ด้านล่าง
มาตรการใหม่ ไทยเที่ยวไทยโลว์ซีซัน รัฐบาลจ่ายให้คนละครึ่ง ค่าที่พัก ค่าอาหาร และ ค่าตั๋วเครื่องบิน มีส่วนลดให้ 50% สำหรับคนที่ได้รับสิทธิ์ สามารถลงทะเบียนขอรับสิทธิ์เฟสแรกได้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกันยายน 2568 สำหรับโครงการนี้ รัฐจ่ายคนละครึ่งใช้งบกลางถึง 3.5 พันล้านบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว และ กีฬา ได้ออกมาเปิดเผยว่ากระทรวงการท่องเที่ยว ได้เตรียมชงของบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ งบประมาณประจำปี 2568 เพื่อจัดทำโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ
รายละเอียด ไทยเที่ยวไทย รัฐจ่าย คนละครึ่ง ให้ส่วนลด 50% ใครได้รับสิทธิ์บ้างดูเพิ่มเติมด้านล่าง
- ไทยเที่ยวไทย ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 50%
- นักท่องเที่ยวไทยจ่ายเองอีก 50% หรือเรียกง่ายๆว่า “จ่ายคนละครึ่ง”
- รัฐบาลไทย หากมีการเปิดให้จองสิทธิ์โครงการนี้ จะมีคนเข้ามาใช้สิทธิ์หมดอย่างรวดเร็ว
ไทยเที่ยวไทย จ่ายคนละครึ่งมีอะไรบ้าง
- ค่าโรงแรม 50%
- ค่าอาหาร 50%
ในส่วนของตั๋วเครื่องบิน อาจจะต้องรออนุมัติ ก่อนเพราะว่ายังไม่ได้ข้อสรุปเบื้องต้น ในส่วนของแพลตฟอร์มกลางที่เป็นเกตเวย์ดึง OTA หรือ บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ที่พร้อมให้ความร่วมมือการจองสินค้าท่องเที่ยว รวมถึงแต่ละโรงแรม สามารถเข้าร่วมเพื่อการจองที่พักได้โดยตรงเหมือนเดิม
เปิดผลกระทบ และ วิธีจัดการเมื่อจ่ายค่าบัตรเครดิตช้า
การชำระค่าบัตรเครดิตตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาประวัติทางการเงินที่ดี อย่างไรก็ตาม หากเกิดการชำระล่าช้า ไม่ว่าจะเป็นเพียง 1 วันหรือมากกว่านั้น อาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของคุณได้ บทความนี้จะอธิบายถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและวิธีจัดการเมื่อชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า
ผลกระทบจากการชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า
1. ดอกเบี้ยและค่าปรับ
เมื่อคุณชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะคิดดอกเบี้ยและค่าปรับตามที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยทั่วไป:
- ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ: คิดจากยอดเงินที่ค้างชำระตั้งแต่วันที่ครบกำหนดจนถึงวันที่ชำระจริง
- ค่าปรับล่าช้า: เป็นค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมที่ธนาคารเรียกเก็บเมื่อชำระล่าช้า
2. ค่าติดตามทวงถามหนี้
หากคุณชำระล่าช้า ธนาคารอาจเรียกเก็บค่าติดตามทวงถามหนี้เพิ่มเติม ซึ่งอาจเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับคุณ
3. ผลกระทบต่อประวัติเครดิต
การชำระล่าช้าอาจส่งผลให้ประวัติเครดิตของคุณเสียหาย ซึ่งอาจทำให้การขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตในอนาคตยากขึ้น
4. การถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
หากคุณค้างชำระเป็นเวลานาน ธนาคารอาจดำเนินการฟ้องร้องเพื่อเรียกเก็บหนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้คุณต้องเผชิญกับกระบวนการทางกฎหมาย
วิธีจัดการเมื่อชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า
1. ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ทันที
หากคุณชำระล่าช้า ควรรีบชำระยอดค้างให้เร็วที่สุดเพื่อลดดอกเบี้ยและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น
2. ติดต่อธนาคารหรือสถาบันการเงิน
หากคุณทราบว่าจะชำระล่าช้า ควรติดต่อธนาคารเพื่อแจ้งสถานการณ์และขอคำแนะนำ บางครั้งธนาคารอาจมีมาตรการช่วยเหลือหรือผ่อนผันให้
3. ตั้งการแจ้งเตือนการชำระเงิน
เพื่อป้องกันการลืมชำระ ควรตั้งการแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือหรือแอปพลิเคชันธนาคาร เพื่อเตือนให้คุณชำระเงินตรงเวลา
4. พิจารณาการหักบัญชีอัตโนมัติ
การตั้งค่าหักบัญชีอัตโนมัติสำหรับการชำระค่าบัตรเครดิตจะช่วยให้คุณไม่พลาดการชำระและป้องกันการล่าช้า
5. วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ
การจัดการการเงินอย่างมีระบบจะช่วยให้คุณมีเงินเพียงพอสำหรับการชำระค่าบัตรเครดิตตรงเวลา ควรจัดทำงบประมาณและติดตามการใช้จ่ายอย่างใกล้ชิด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า
ชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า 1 วันจะเป็นอะไรไหม?
บางธนาคารอาจอนุโลมให้ชำระล่าช้าได้ 1-3 วันโดยไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าปรับ แต่การชำระล่าช้าบ่อยครั้งอาจส่งผลเสียต่อประวัติเครดิตของคุณ ควรตรวจสอบเงื่อนไขกับธนาคารของคุณโดยตรง
ชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า 7 วันจะส่งผลอย่างไร?
การชำระล่าช้า 7 วันอาจทำให้ธนาคารเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าปรับ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลเสียต่อประวัติเครดิตของคุณ ทำให้การขอสินเชื่อในอนาคตยากขึ้น
ชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้าเกิน 90 วันจะเกิดอะไรขึ้น?
หากคุณค้างชำระเกิน 90 วัน ธนาคารจะถือว่าคุณเป็นหนี้เสีย และข้อมูลนี้จะถูกส่งไปยังเครดิตบูโร ซึ่งจะส่งผลเสียต่อประวัติเครดิตของคุณอย่างมาก
การชำระค่าบัตรเครดิตตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาประวัติทางการเงินที่ดี หากเกิดการชำระล่าช้า ควรรีบดำเนินการชำระและติดต่อธนาคารเพื่อขอคำแนะนำ การวางแผนการเงินและการตั้งค่าการแจ้งเตือนจะช่วยป้องกันปัญหาการชำระล่าช้าในอนาคต
แยกประกันสังคมออกจากราชการ เริ่มแล้ว
ประกาศจากทางสำนักงานประกันสังคม เกี่ยวกับการประชุมบอร์ดประกันสังคม ซึ่งเรื่องการแยกราชการออกจากประกันสังคม มีการประชุมกันมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในช่วงเดือนมีนาคม 2568 เพื่อให้อนุกรรมการที่เกี่ยวข้องประกันสังคม ซึ่งจะอิสระมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ. เป็นสิ่งที่เกินอำนาจบอร์ด เลยต้องมีแรงสนับสนุนจากภาคประชาชน สำหรับ สส. ที่มีความคิดเห็นตรงกัน, สภาผู้แทนราษฎร, วุฒิสภา ที่มีความต้องการไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้การบริหารจัดการของประกันสังคมเป็นอิสระมากขึ้น ไม่ตกอยู่ภายใต้ระบบราชการ และจะทำให้เกิดการผลักดันสิทธิประโยชน์ล่าช้า
การรักษาพยาบาลระบบเดียว
หากถามถึงกองทุนประกันสังคมอย่างเดียวที่ไม่ได้ไปรวมกับกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐอื่น รายละเอียดของตัวนี้ไม่ได้ไปรวมกับกองทุนอื่น แต่เรื่องค่ารักษาพยาบาลเป็นเรื่องที่ต้องลงรายละเอียดกันในอนาคต การรักษาพยาบาลจะนำสิทธิประกันสังคมไปรวมกับ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือไม่ หรือบัตรทอง 30 บาท หรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีข้อเสนอนี้ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประกันสังคมไม่มีความชำนาญในการจัดบริการ การรักษาพยาบาลเท่าที่ควร ในขณะที่กองทุนด้านสุขภาพของประกันสังคมจะทะลุ 1 แสนล้านบาทในเวลาไม่ถึง 5 ปี โดยที่สิทธิประโยชน์แทบจะไม่ได้รับเพิ่ม เพราะอำนาจต่อรองไม่สามารถต่อรองกับโรงพยาลเอกชน
ผู้ประกันตนจะต้องได้รับสิทธิท็อปอัป
หากนำเงินสมทบส่วนสิทธิประโยชน์รักษาพยาบาลผู้ประกันตนไปให้ สปสช. ดูแลจะต้องเป็นส่วนสิทธิประโยชน์ที่ได้ท็อปอัปขึ้นจากสิทธิบัตรทอง 30 บาท ยกตัวอย่างกรณีประเทศเยอรมนี ประกันสังคมดูแลเรื่องการแพทย์ที่เพิ่มเติมเพิ่มมากขึ้น เช่นค่าใช้จ่ายในการพักฟื้น ทางประกันสังคมยังจ่ายเงินส่วนนี้ได้ ถ้าหากมีกลไกรักษาพยาบาลที่ สปสช. เข้ามาช่วยประกันสังคม ก็จะสามารถท็อปอัพได้หลายส่วนและทำให้ผู้ป่วยได้รับการพยาบาลที่ดีขึ้น
ขั้นตอน ยกเลิกสัญญาประกันภัยที่ติดมากับบัตรเครดิต
การยกเลิกสัญญาประกันภัยอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงความต้องการ ความไม่พึงพอใจในบริการ หรือเหตุผลทางการเงิน บทความนี้จะนำเสนอขั้นตอนและข้อควรรู้ในการยกเลิกสัญญาประกันภัยอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการยกเลิกสัญญาประกันภัย
1. ติดต่อบริษัทประกันภัย
เริ่มต้นโดยการติดต่อบริษัทประกันภัยที่คุณทำสัญญาไว้ ผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนด เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือการเข้าพบด้วยตนเอง แจ้งความประสงค์ในการยกเลิกสัญญา พร้อมระบุรายละเอียดที่จำเป็น เช่น ชื่อผู้เอาประกันภัย หมายเลขกรมธรรม์ และสาเหตุของการยกเลิก
2. จัดเตรียมเอกสารที่จำเป็น
การยกเลิกสัญญาประกันภัยต้องมีการจัดเตรียมเอกสารดังนี้:
- กรมธรรม์ประกันภัยฉบับจริง: เพื่อเป็นหลักฐานในการยกเลิก
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย: ยืนยันตัวตน
- สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร: สำหรับการรับเงินคืน (ถ้ามี)
3. ส่งเอกสารและยืนยันการยกเลิก
หลังจากเตรียมเอกสารครบถ้วน ส่งไปยังบริษัทประกันภัยตามที่อยู่หรือช่องทางที่กำหนด แนะนำให้ส่งผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนเพื่อมีหลักฐานการส่ง เมื่อบริษัทได้รับเอกสาร จะดำเนินการตรวจสอบและยืนยันการยกเลิกสัญญา
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาประกันภัย
ระยะเวลาการยกเลิกและการคืนเงิน
- ยังไม่ได้รับกรมธรรม์: สามารถยกเลิกได้ทันที โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- ได้รับกรมธรรม์แล้ว: สามารถยกเลิกภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับกรมธรรม์ บริษัทจะคืนเงินเบี้ยประกันที่ชำระไปเต็มจำนวนภายใน 30 วันหลังจากได้รับคำขอยกเลิก
การยกเลิกหลังระยะเวลาที่กำหนด
หากต้องการยกเลิกหลังจาก 30 วัน บริษัทประกันภัยอาจคืนเงินเบี้ยประกันตามสัดส่วนของระยะเวลาที่คุ้มครองไปแล้ว โดยอาจมีการหักค่าใช้จ่ายบางส่วน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท
การยกเลิกประกันภัยที่ทำผ่านโทรศัพท์
หากคุณทำประกันภัยผ่านการติดต่อทางโทรศัพท์ และต้องการยกเลิก:
- ยังไม่ได้รับกรมธรรม์: สามารถยกเลิกได้ทันที
- ได้รับกรมธรรม์แล้ว: สามารถยกเลิกภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับกรมธรรม์ โดยส่งจดหมายบอกเลิกสัญญาพร้อมแนบกรมธรรม์ประกันชีวิต ส่งเป็นไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงบริษัทที่รับประกันภัย
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ตรวจสอบเงื่อนไขสัญญา: ก่อนตัดสินใจยกเลิก ควรอ่านและเข้าใจเงื่อนไขการยกเลิกในสัญญาอย่างละเอียด
- รักษาหลักฐานการยกเลิก: เก็บสำเนาเอกสารและหลักฐานการส่งเอกสารยกเลิกไว้เสมอ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สายด่วน 1186
การยกเลิกสัญญาประกันภัยอาจดูซับซ้อน แต่หากปฏิบัติตามขั้นตอนและคำแนะนำข้างต้น จะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
รวมเบอร์ติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร และ บัตรเครดิต
การติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ใช้บริการทุกท่าน เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา บทความนี้ได้รวบรวมเบอร์ติดต่อของธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ที่อัปเดตล่าสุด เพื่อความสะดวกในการติดต่อ
เบอร์ติดต่อธนาคารและสถาบันการเงิน
ธนาคารกรุงเทพ
- บัวหลวงโฟน: โทร 1333 (ในประเทศ) หรือ (66) 2645 5555 (ต่างประเทศ) ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ธนาคารไทยพาณิชย์
-
SCB Call Center: โทร 02-777-7777 สำหรับบริการทุกประเภท
-
การเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว: หากต้องการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลอื่นๆ นำสมุดบัญชีและบัตรประชาชนไปที่สาขาใกล้บ้าน
ธนาคารกสิกรไทย
- K-Contact Center: โทร 02-888-8888 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารกรุงไทย
- Krungthai Contact Center: โทร 02-111-1111 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- Krungsri Call Center: โทร 1572 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)
- TTB Contact Center: โทร 1428 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารออมสิน
- GSB Contact Center: โทร 1115 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
- BAAC Call Center: โทร 02-555-0555 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
- CIMB Thai Care Center: โทร 02-626-7777 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารยูโอบี
- UOB Call Center: โทร 02-285-1555 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
- Standard Chartered Call Center: โทร 1595 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์
- LH Bank Contact Center: โทร 1327 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารไอซีบีซี (ไทย)
- ICBC (Thai) Call Center: โทร 02-629-5588 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารทิสโก้
- TISCO Contact Center: โทร 02-633-6000 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร
- KKP Contact Center: โทร 02-165-5555 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารซิตี้แบงก์
- Citibank Call Center: โทร 1588 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น (HSBC)
- HSBC Call Center: โทร 02-614-4000 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารเมกะสากลพาณิชย์
- Mega ICBC Call Center: โทร 02-626-7800 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย
- Thai Credit Retail Bank Call Center: โทร 02-697-5454 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ (ไทย)
- SMTB Call Center: โทร 02-163-5555 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารมิซูโฮ
- Mizuho Bank Call Center: โทร 02-163-2999 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย)
- Bank of China Call Center: โทร 02-286-8989 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
- iBank Call Center: โทร 1302 สำหรับบริการทุกประเภท
ข้อแนะนำในการติดต่อธนาคาร
-
เตรียมข้อมูลส่วนตัว: เช่น หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขบัญชี หรือหมายเลขบัตรเครดิต เพื่อความรวดเร็วในการให้บริการ
-
ระวังมิจฉาชีพ: หากได้รับสายที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ควรตรวจสอบและติดต่อผ่านเบอร์โทรศัพท์ที่ธนาคารระบุไว้เท่านั้น
-
บริการออนไลน์: หลายธนาคารมีแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องโทรติดต่อ
การมีข้อมูลเบอร์ติดต่อของธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการธุรกรรมทางการเงินได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
การมีบัตรเครดิตและการจัดการธุรกรรมทางการเงิน
ในยุคที่เทคโนโลยีทางการเงินพัฒนาอย่างรวดเร็ว การใช้บัตรเครดิตและบริการธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันของหลายๆ คน บัตรเครดิตและบัตรเดบิตช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้จ่าย และสามารถใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านระบบของธนาคาร อย่างไรก็ตาม ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยง ดังนั้น การมีเบอร์ติดต่อธนาคารและบัตรเครดิตจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจัดการปัญหาหรือข้อสงสัยที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ความจำเป็นของเบอร์ติดต่อธนาคารและบัตรเครดิต
ป้องกันการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ
ปัจจุบัน มีมิจฉาชีพใช้กลโกงโทรแจ้งหนี้ปลอมเพื่อให้ผู้ถือบัตรเครดิตโอนเงินหรือให้ข้อมูลสำคัญ หลายกรณีที่ผู้เสียหายไม่ได้มีบัตรเครดิตกับธนาคารที่ถูกกล่าวอ้าง แต่ยังถูกหลอกให้ทำตามคำสั่งของมิจฉาชีพ หากคุณมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกต้องของธนาคาร คุณสามารถโทรตรวจสอบข้อมูลได้ทันที และหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ
การขอความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน
ในบางกรณี เช่น บัตรเครดิตหาย บัตรถูกขโมย หรือมีการใช้จ่ายที่ผิดปกติ คุณสามารถโทรหา Call Center ของธนาคารเพื่อขอระงับบัตรหรือดำเนินการตรวจสอบยอดค่าใช้จ่ายได้ทันที นอกจากนี้ หากพบปัญหาเกี่ยวกับการทำธุรกรรมออนไลน์ หรือบัตรไม่สามารถใช้งานได้ เบอร์ติดต่อธนาคารจะเป็นช่องทางที่สะดวกและรวดเร็วในการขอความช่วยเหลือ
บริการของ Call Center ธนาคารและบัตรเครดิต
ประเภทของการให้บริการผ่าน Call Center
- บริการเชิงรับ (Inbound Service): บริการที่ช่วยตอบคำถามและแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า เช่น การสอบถามยอดค้างชำระ การเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว และการแจ้งเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับบัตรเครดิต
- บริการเชิงรุก (Outbound Service): เป็นบริการที่ธนาคารติดต่อออกไปหาลูกค้า เช่น การเสนอขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน โปรโมชั่น หรือสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า
การใช้ Call Center อย่างปลอดภัย
- ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้าว่ามาจากธนาคารจริงหรือไม่ หากไม่แน่ใจ ให้โทรกลับหมายเลขที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ธนาคาร
- หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสบัตรเครดิต หรือ OTP ทางโทรศัพท์ หากได้รับสายที่น่าสงสัย
- หากได้รับแจ้งยอดค้างชำระที่ไม่ถูกต้อง ควรติดต่อธนาคารโดยตรงเพื่อขอตรวจสอบ
ข้อควรระวังในการรับสายจาก Call Center
- มิจฉาชีพอาจปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารและใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่ดูคล้ายกับธนาคารจริง
- หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัวหรือโอนเงินโดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัด
- หากได้รับข้อความแจ้งให้คลิกลิงก์ที่แนบมา ควรตรวจสอบว่ามาจากธนาคารจริงหรือไม่ โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ธนาคารเองแทนการคลิกลิงก์
ประโยชน์ของการมีเบอร์ติดต่อธนาคารและบัตรเครดิต
- ช่วยในการตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน: หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับรายการใช้จ่าย คุณสามารถโทรสอบถามได้โดยตรงจากธนาคาร
- สามารถแจ้งอายัดบัตรได้ทันที: กรณีบัตรหายหรือถูกขโมย การแจ้งอายัดบัตรอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
- สะดวกในการขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับสินเชื่อหรือข้อเสนอพิเศษ: ธนาคารมักมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ถือบัตร ซึ่งสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผ่าน Call Center
- ลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวง: การตรวจสอบข้อมูลกับธนาคารโดยตรงช่วยให้มั่นใจได้ว่าคุณจะไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
วิธีการติดต่อธนาคารอย่างมีประสิทธิภาพ
- เตรียมข้อมูลให้พร้อม: ก่อนโทรติดต่อธนาคาร ควรเตรียมข้อมูลสำคัญ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชี หรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ
- เลือกเวลาที่เหมาะสม: หากต้องการติดต่อ Call Center ควรหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีสายเข้ามาจำนวนมาก เช่น ช่วงต้นเดือนหรือปลายเดือน
- ใช้ช่องทางออนไลน์ควบคู่ไปด้วย: ธนาคารหลายแห่งมีบริการผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องโทรติดต่อ
เบอร์ติดต่อธนาคารและบัตรเครดิตเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถจัดการปัญหาทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การมีหมายเลขโทรศัพท์ของธนาคารในกรณีฉุกเฉินสามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงและช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ควรเก็บหมายเลขสำคัญเหล่านี้ไว้ในโทรศัพท์ของคุณเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้เมื่อต้องการ
Monster Hunter Wilds เกมแห่งยุคที่ต้องเตรียมคอมให้พร้อม
Monster Hunter Wilds คือเกมใหม่ล่าสุดจาก Capcom ที่กำลังได้รับความสนใจจากเหล่าเกมเมอร์ทั่วโลก ภาคนี้มาพร้อมกับกราฟิกที่สวยงามขึ้น รายละเอียดแผนที่ที่กว้างใหญ่ และการเล่นที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องการ คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ได้ภาพที่ลื่นไหลและการเล่นที่เต็มอรรถรส ดังนั้นบทความนี้จะช่วยแนะนำ สเปกคอมที่เหมาะสม สำหรับเล่น Monster Hunter Wilds และบัตรเครดิตที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับการผ่อนคอมเครื่องใหม่!
สเปกคอมที่เหมาะสำหรับเล่น Monster Hunter Wilds
เนื่องจาก Monster Hunter Wilds เป็นเกมที่มีกราฟิกอลังการ คอมพิวเตอร์ที่ใช้เล่นควรมีสเปกดังต่อไปนี้:
สเปกขั้นต่ำ (คาดการณ์)
- CPU: Intel Core i5-9600K / AMD Ryzen 5 3600
- RAM: 16GB DDR4
- GPU: NVIDIA GeForce GTX 1660 Ti / AMD Radeon RX 5600 XT
- Storage: SSD 50GB (ควรเป็น NVMe เพื่อความเร็วที่ดีขึ้น)
- OS: Windows 10 / 11 (64-bit)
สเปกแนะนำ
- CPU: Intel Core i7-12700K / AMD Ryzen 7 5800X
- RAM: 32GB DDR4 หรือ DDR5
- GPU: NVIDIA GeForce RTX 3070 / AMD Radeon RX 6800 XT
- Storage: SSD NVMe 1TB
- OS: Windows 11 (64-bit)
สเปกระดับสูง (สำหรับเล่น 4K / 60FPS ขึ้นไป)
- CPU: Intel Core i9-13900K / AMD Ryzen 9 7950X
- RAM: 32GB – 64GB DDR5
- GPU: NVIDIA GeForce RTX 4090 / AMD Radeon RX 7900 XTX
- Storage: SSD NVMe 2TB
- OS: Windows 11 (64-bit)
หากคุณต้องการ ประสบการณ์เล่นที่ดีที่สุด โดยเฉพาะการเล่นที่ 1440p หรือ 4K Ultra Settings ควรลงทุนกับ การ์ดจอที่มี VRAM 12GB ขึ้นไป เช่น RTX 4080 หรือ RTX 4090
วิธีเลือกบัตรเครดิตสำหรับผ่อนคอมเครื่องใหม่ให้คุ้มที่สุด
หากคุณต้องการซื้อคอมเครื่องใหม่สำหรับเล่น Monster Hunter Wilds แต่ไม่อยากจ่ายเงินก้อนใหญ่ทันที การใช้บัตรเครดิตเพื่อผ่อน 0% หรือรับเครดิตเงินคืน เป็นทางเลือกที่ช่วยให้คุณจัดการค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น นี่คือ บัตรเครดิตที่เหมาะกับการผ่อนคอม:
1. บัตรเครดิต KBank Shopee Card
✅ ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน สำหรับการซื้อสินค้าผ่าน Shopee ✅ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 10% ✅ รับโค้ดส่วนลดเพิ่ม เมื่อซื้อผ่าน Shopee
เหมาะสำหรับ: สั่งซื้อคอมพิวเตอร์จากร้านค้าใน Shopee เช่น JIB, Advice, IT City
2. บัตรเครดิต UOB Lazada
✅ ผ่อน 0% นาน 10 เดือน สำหรับการซื้อใน Lazada การใชับัตรเครดิต UOB ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีมากเนื่องจาก ✅ รับเครดิตเงินคืน 10% ✅ มีโปรโมชั่นโค้ดลดพิเศษทุกเดือน
เหมาะสำหรับ: คนที่ซื้อคอมผ่าน Lazada โดยเฉพาะช่วงโปรลดราคา
3. บัตรเครดิต First Choice (สำหรับการซื้อผ่านร้านค้า IT โดยตรง)
✅ ผ่อน 0% นานสูงสุด 36 เดือน ✅ ใช้ได้กับร้านค้าไอทีชั้นนำ เช่น JIB, Banana IT, IT City ✅ มีโปรโมชั่นลดเพิ่ม หรือรับเครดิตเงินคืนเป็นระยะ
เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการผ่อนยาว ลดภาระค่าผ่อนรายเดือน
4. บัตรเครดิต SCB M LIVE
✅ ผ่อน 0% นาน 10 เดือน ✅ รับ M Point เพื่อแลกส่วนลดสินค้าไอที ✅ มีโปรโมชั่นร่วมกับ Power Buy และ Banana IT
เหมาะสำหรับ: คนที่ซื้อจาก Power Buy หรือ Banana IT
5. บัตรเครดิต UOB Preferred
✅ ผ่อน 0% นาน 10 เดือน ✅ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% ✅ มีโปรโมชั่นส่วนลดพิเศษร่วมกับร้านค้าไอที
เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการสิทธิพิเศษเพิ่มเติมในการผ่อนคอม
เตรียมคอมให้พร้อมแล้วไปล่าใน Monster Hunter Wilds!
Monster Hunter Wilds เป็นเกมที่ต้องการสเปกเครื่องสูง หากคุณอยากเล่นแบบลื่นไหล ไม่สะดุด การลงทุนใน CPU และ GPU ที่แรงพอ เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การใช้บัตรเครดิตที่ให้ ผ่อน 0% หรือคืนเงินสูงสุด จะช่วยให้การซื้อคอมเครื่องใหม่ไม่เป็นภาระมากเกินไป
คำแนะนำเพิ่มเติม
- เลือกซื้อในช่วงโปรโมชั่น เช่น 3.3 เพื่อรับส่วนลดพิเศษ
- เปรียบเทียบราคาจากหลายร้านค้า ก่อนตัดสินใจซื้อ
- เลือกบัตรที่มีเครดิตเงินคืน เพื่อให้ได้ราคาสุทธิที่ถูกลง
โอนเงินจากบัตรเครดิต เข้าบัญชีธนาคาร มีขั้นตอนอะไรบ้าง
การโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคารเป็นวิธีที่หลายคนใช้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินในยามฉุกเฉินหรือเมื่อมีความต้องการใช้เงินสดอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้มีข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
ข้อดีของการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
-
เข้าถึงเงินสดได้อย่างรวดเร็ว: เมื่อคุณต้องการเงินสดทันที การโอนเงินจากบัตรเครดิตไปยังบัญชีธนาคารสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
-
สะดวกสบาย: กระบวนการโอนเงินสามารถทำผ่านแอปพลิเคชันธนาคารหรือเว็บไซต์ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังสาขา
-
โปรโมชั่นพิเศษ: บางธนาคารมีโปรโมชั่นสำหรับการโอนเงินจากบัตรเครดิต เช่น ดอกเบี้ยพิเศษหรือระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย
ข้อเสียของการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
-
ดอกเบี้ยสูง: การเบิกเงินสดจากบัตรเครดิตมักมีดอกเบี้ยสูงกว่าการใช้บัตรเครดิตในการซื้อสินค้า
-
ค่าธรรมเนียม: นอกจากดอกเบี้ยแล้ว ยังมีค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสดที่ต้องชำระ
-
ความเสี่ยงในการเป็นหนี้: หากไม่มีการวางแผนการชำระเงินที่ดี การโอนเงินจากบัตรเครดิตอาจทำให้คุณตกอยู่ในวงจรหนี้
วิธีการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
-
ตรวจสอบเงื่อนไขของบัตรเครดิต: ก่อนทำการโอนเงิน ควรตรวจสอบเงื่อนไข ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
-
ติดต่อธนาคาร: บางธนาคารอนุญาตให้โอนเงินผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ แต่บางกรณีอาจต้องติดต่อผ่านศูนย์บริการลูกค้า
-
กรอกข้อมูลการโอนเงิน: ระบุจำนวนเงินที่ต้องการโอนและข้อมูลบัญชีธนาคารปลายทาง
-
ยืนยันการทำรายการ: ตรวจสอบข้อมูลและยืนยันการโอนเงิน
ข้อควรระวัง
-
วางแผนการชำระเงิน: ควรวางแผนการชำระเงินคืนให้ตรงเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยและค่าปรับ
-
ไม่ควรใช้บ่อยครั้ง: การโอนเงินจากบัตรเครดิตควรใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เพื่อป้องกันการสะสมหนี้
-
เปรียบเทียบกับวิธีอื่น: พิจารณาวิธีการอื่น ๆ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล ที่อาจมีดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่ดีกว่า
การโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคารเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในบางสถานการณ์ แต่ควรใช้อย่างระมัดระวังและมีการวางแผนการชำระเงินที่ดีเพื่อป้องกันปัญหาทางการเงินในอนาคต
รีวิวการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร: ตัวเลือกที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
การโอนเงินจากบัตรเครดิตไปยังบัญชีธนาคารกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่ต้องการเงินสดด่วนโดยไม่ต้องขอสินเชื่อส่วนบุคคลหรือใช้เงินกู้รายวัน อย่างไรก็ตาม มีหลายปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจใช้วิธีนี้ เรามาดูรายละเอียดกันว่าข้อดี ข้อเสีย และขั้นตอนมีอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
ข้อดีของการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
✅ 1. ได้เงินสดทันที
หนึ่งในข้อได้เปรียบหลักของการโอนเงินจากบัตรเครดิตคือความรวดเร็ว คุณสามารถทำรายการได้ในไม่กี่นาทีผ่านแอปธนาคารหรือเว็บไซต์ของผู้ให้บริการบัตรเครดิต ซึ่งสะดวกกว่าการขอสินเชื่อที่อาจต้องใช้เวลาพิจารณาหลายวัน
✅ 2. ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
หากคุณต้องการเงินสดจากธนาคารโดยทั่วไปอาจต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันหรือเอกสารยืนยันรายได้ แต่การโอนเงินจากบัตรเครดิตไปยังบัญชีธนาคารช่วยให้คุณได้รับเงินสดโดยไม่ต้องยุ่งยากกับขั้นตอนเหล่านั้น
✅ 3. มีโปรโมชั่นพิเศษ
บางบัตรเครดิตมีข้อเสนอพิเศษสำหรับการโอนเงิน เช่น ดอกเบี้ย 0% ในช่วงเวลาโปรโมชั่น หรือสามารถผ่อนชำระได้ในอัตราที่ต่ำกว่าการเบิกเงินสดผ่านตู้ ATM
ข้อเสียของการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
❌ 1. ดอกเบี้ยสูง
การโอนเงินจากบัตรเครดิตมักมาพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่สูง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 18%-28% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลทั่วไป หากไม่ได้ชำระเงินคืนภายในระยะเวลาที่กำหนด คุณอาจต้องเสียค่าดอกเบี้ยจำนวนมาก
❌ 2. มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
ธนาคารหรือสถาบันการเงินบางแห่งคิดค่าธรรมเนียมการโอนเงิน ซึ่งอาจอยู่ที่ประมาณ 2%-5% ของยอดเงินที่โอน ทำให้ต้นทุนรวมของการใช้เงินสดสูงขึ้น
❌ 3. ความเสี่ยงของการเป็นหนี้สะสม
หากคุณไม่มีแผนการชำระเงินที่ดี การโอนเงินจากบัตรเครดิตอาจนำไปสู่หนี้สะสมที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้การเงินของคุณตึงเครียดในระยะยาว
วิธีโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
หากคุณพิจารณาแล้วว่าต้องการใช้วิธีนี้ นี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้อย่างง่ายดาย:
1. ตรวจสอบเงื่อนไขของบัตรเครดิต
- ตรวจสอบว่าบัตรเครดิตของคุณอนุญาตให้โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารหรือไม่
- ตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
2. เลือกช่องทางการโอนเงิน
คุณสามารถทำรายการผ่าน:
- แอปพลิเคชันธนาคาร
- เว็บไซต์ของผู้ออกบัตรเครดิต
- ติดต่อศูนย์บริการลูกค้า
3. กรอกข้อมูลและยืนยันการโอนเงิน
- ป้อนหมายเลขบัญชีปลายทาง
- ระบุจำนวนเงินที่ต้องการโอน
- ตรวจสอบค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยก่อนกดยืนยัน
4. วางแผนการชำระคืน
- หากต้องการลดภาระดอกเบี้ย ให้ชำระยอดเต็มภายในรอบบิล
- ตรวจสอบว่าคุณสามารถแบ่งชำระขั้นต่ำได้หรือไม่ และคำนวณว่าคุณจะต้องเสียดอกเบี้ยเท่าไหร่
ข้อควรระวังในการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
- ใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น – ไม่ควรใช้วิธีนี้บ่อยครั้ง เพราะจะทำให้คุณเป็นหนี้สะสมได้ง่าย
- เปรียบเทียบตัวเลือกอื่น ๆ – พิจารณาทางเลือกอื่น เช่น สินเชื่อเงินสดหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่อาจมีดอกเบี้ยต่ำกว่า
- ตรวจสอบโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษ – บางธนาคารอาจมีโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% ในช่วงเวลาโปรโมชั่น ทำให้คุณสามารถใช้วิธีนี้ได้คุ้มค่าขึ้น
บัตรเครดิต Cashback รับเงินคืนตอนไหน?
บัตรเครดิตแบบ Cashback หรือบัตรเครดิตที่มีระบบคืนเงิน เป็นเครื่องมือทางการเงินที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนจากการใช้จ่ายประจำวัน โดยบัตรเหล่านี้จะคืนเงินเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดการใช้จ่ายตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ การคืนเงินอัตโนมัติและการสะสมแต้มเพื่อแลกเงินคืน
การคืนเงินอัตโนมัติ คือระบบที่ธนาคารจะคำนวณยอดเงินคืนและหักออกจากยอดใช้จ่ายในรอบบัญชีถัดไปโดยอัตโนมัติ ส่วนการสะสมแต้มเพื่อแลกเงินคืน ผู้ใช้จะต้องสะสมยอดการใช้จ่ายให้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดก่อนจึงจะสามารถแลกเป็นเงินคืนได้
สำหรับการรับเงินคืนจากบัตรเครดิต Cashback นั้น โดยทั่วไปธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีบัตรเครดิตของผู้ใช้ภายใน 30 ถึง 60 วันหลังจากวันที่ทำรายการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร การรับเงินคืนจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้
- ซื้อสินค้า หรือบริการที่ร่วมรายการโปรโมชั่นตามที่ธนาคารกำหนด
- มียอดการใช้จ่ายถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารระบุ
- ทำการแลกเครดิตเงินคืนผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร (ในกรณีที่เป็นระบบสะสมแต้ม)
ตัวอย่างการรับเงินคืน:
หากคุณมียอดใช้จ่าย 10,000 บาท และบัตรเครดิตของคุณมีโปรโมชั่นคืนเงิน 5% คุณจะได้รับเครดิตเงินคืน 500 บาท ซึ่งจะถูกหักออกจากยอดใช้จ่ายในรอบบัญชีถัดไป ดังนั้น หากในรอบบัญชีถัดไปคุณมียอดใช้จ่าย 10,000 บาทเช่นกัน ยอดที่ต้องชำระจริงจะเหลือ 9,500 บาท
เคล็ดลับการใช้บัตรเครดิต Cashback ให้คุ้มค่า:
-
เลือกบัตรที่ตรงกับไลฟ์สไตล์: ปัจจุบันมีบัตรเครดิต Cashback หลากหลายรูปแบบ บางบัตรเน้นการคืนเงินจากการใช้จ่ายทั่วไป ขณะที่บางบัตรเน้นหมวดหมู่เฉพาะ เช่น ร้านอาหาร การเติมน้ำมัน หรือการช้อปปิ้งออนไลน์ การเลือกบัตรที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณจะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
-
ตรวจสอบเงื่อนไขการรับ Cashback: บางบัตรกำหนดยอดใช้จ่ายขั้นต่ำหรือมีการจำกัดวงเงินคืนสูงสุด การทราบเงื่อนไขเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
ตรวจสอบค่าธรรมเนียม: ก่อนสมัครบัตรเครดิต Cashback ควรตรวจสอบว่ามีค่าธรรมเนียมรายปีหรือไม่ หากมี ควรพิจารณาว่าสามารถขอยกเว้นได้หรือไม่ หรือมีเงื่อนไขการใช้จ่ายขั้นต่ำเพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าว
-
ชำระยอดค้างชำระเต็มจำนวน: การชำระยอดค้างชำระเต็มจำนวนทุกเดือนจะช่วยหลีกเลี่ยงดอกเบี้ย และรักษาประวัติทางการเงินที่ดี
-
ติดตามโปรโมชั่นพิเศษ: ธนาคารมักมีโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าต่าง ๆ ที่มอบเครดิตเงินคืนพิเศษ การติดตามข่าวสารเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการใช้บัตรเครดิต
บัตรเครดิต Cashback ที่น่าสนใจในปี 2025:
-
บัตรเครดิตยูโอบี ซิมเพิล: ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดชีพ ค่าธรรมเนียมการกดเงินสดเพียง 1% และรับ e-Coupon มูลค่า 200 บาททุกเดือนเมื่อมียอดใช้จ่ายตามเงื่อนไข
-
บัตรเครดิต Titanium กสิกรไทย: คืนเงินในทุกการใช้จ่าย ทั้งกิน ช้อป เที่ยว เติมน้ำมัน หรือแบ่งจ่าย 0% 3 เดือนก็ได้ ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี
-
บัตรเครดิตยูโอบี เวิลด์: รับคะแนนสะสมยูโอบี รีวอร์ด 5 เท่าทุกการใช้จ่ายออนไลน์ และ e-wallet รวมถึงหมวดร้านอาหาร ท่องเที่ยว และการใช้จ่ายในสกุลเงินต่างประเทศ
การเลือกใช้บัตรเครดิต Cashback ที่เหมาะสมและการวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้จ่าย แถมยังช่วยให้ทุกๆการจ่ายเงินของคุณคุ้มกว่าการใช้บัตรเครดิตอื่นๆ ที่มักจะได้รับสิทธิประโยชน์กลับมาเป็นคะแนน หรือของรางวัลต่างๆ การใช้บัตร Cashback อาจจะทำให้สินค้า หรือบริการของคุณราคาถูกลงไปอีกเมื่อได้รับ Cashback กลับมานั่นเอง ปัจจุบันมีหลายธนาคารที่ให้บริการบัตรเครดิตในรูปแบบ Cashback ลองสมัครและหามาใช้ดูได้เลย