เช็กด่วนรัฐจ่ายเงินช่วยเหลือเดือนกรกฎาคม 2568 เข้าแล้ว
เดือนกรกฎษคม 2568 สำหรับใครที่ลงทะเบียน เงินอุดหนุนบุตร เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และ เงินคนพิการ เช็คบัญชีที่ลงทะเบียนด่วนเนื่องจากตอนนี้เงินเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้ว ได้รับเงินสูงสุด 1,000 บาท ใครได้รับบ้างดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ด้านล่างเลย
3 กลุ่มเปราะบาง เงินเข้าบัญชีแล้วเตรียมรับเงินเยียวยาประจำเดือนกรกฎาคม 2568 พร้อมกันวันนี้
วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 เป็นอีกหนึ่งวันที่มีข่าวดี สำหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้ลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ รับเงินช่วยเหลือจากทางรัฐบาล ทางกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และ กระทรวงการพัฒนาสังคม และ ความมั่นคงของมนุษย์ ได้ยืนยันกำหนดการโอนเงินเยียวยาประจำเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกันตามรายละเอียดด้านล่าง
- เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
- เงินคนพิการ
- เงินอุดหนุนบุตร
สำหรับการโอนเงินจะดำเนินการพร้อมกัน สำหรับผู้ที่ได้ลงทะเบียนไว้เรียบร้อยแล้ว ในส่วนของรายละเอียดการจ่ายเงินช่วยเหลือในเดือนกรกฎาคม 2568 นั้นจะแบ่งตามเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายแล้วความจำเป็นของผู้ที่ได้รับเงิน โดยมีรายละเอียดตามด้านล่าง
เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เดือนกรกฎาคม 2568
สำหรับผู้สูงอายุ รัฐบาลยังคงจ่ายเบี้ยยังชีพตามเกณฑ์ อายุแบบขั้นบันได เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยมีอัตราการจ่ายตามรายละเอียดด้านล่าง
- อายุ 60-69 ปี ได้รับเงิน 600 บาท
- อายุ 70-79 ปี ได้รับเงิน 700 บาท
- อายุ 80-89 ปี ได้รับเงิน 800 บาท
- อายุ 90 ปี ขึ้นไปได้รับเงิน 1,000 บาท
เงินอุดหนุนบุตร เดือนกรกฎาคม 2568 ช่วยเหลือเด็กแรกเกิด 6 ขวบ
โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ยังคงเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุสครอบครัวที่มีบุตรเล็ก โดยในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้ เด็กแรกเกิดจนถึงอายุครบ 6 เดือน จะได้รับเงินอุดหนุนจำนวน 600 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าสมาชิกครอบครัวเรือน มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี
เงินคนพิการ เดือนกรกฎาคม 2568 จ่ายตามเกณฑ์อายุสูงสุด 1,000 บาท
ผู้พิการยังคงได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย โดยมีการแบ่งอัตราการจ่ายตามเกณฑ์อายุตามรายละเอียดด้านล่าง
- ผู้พิการที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป รับเบี้ยยังชีพจำนวน 800 บาท
- ผู้พิการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี รับเบี้ยยังชีพจำนวน 1,000 บาท
เทรนด์อัตราดอกเบี้ยระยะยาว: อนาคตของการออมและการลงทุนในประเทศไทย
ในโลกการเงินและเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยถือเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการออม การลงทุน และต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจอย่างลึกซึ้ง บทความนี้จะพาไปสำรวจแนวโน้มของ อัตราดอกเบี้ยระยะยาว ในประเทศไทย พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบต่อกลุ่มผู้ฝากเงิน นักลงทุน และเศรษฐกิจในภาพรวม
อัตราดอกเบี้ยระยะยาวคืออะไร?
อัตราดอกเบี้ยระยะยาว หมายถึง อัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้หรือสินเชื่อที่มีอายุเกิน 5 ปีขึ้นไป เช่น พันธบัตรรัฐบาล 10 ปี, สินเชื่อบ้าน หรือเงินฝากประจำ 5 ปีขึ้นไป โดยอัตราดอกเบี้ยประเภทนี้มักสะท้อนความคาดหวังในเรื่อง เงินเฟ้อ, การเติบโตทางเศรษฐกิจ และ นโยบายการเงินในอนาคต
แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะยาวในประเทศไทย
1. ดอกเบี้ยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว?
ในช่วงปี 2563–2565 ประเทศไทยเผชิญกับภาวะดอกเบี้ยต่ำเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 และการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่หลังจากปี 2566 เป็นต้นมา ดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากราคาสินค้าและพลังงาน
2. การขึ้นดอกเบี้ยของประเทศพัฒนาแล้วส่งผลต่อไทย
เมื่อสหรัฐฯ และยุโรปทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้เกิดแรงกดดันให้ประเทศไทยต้องปรับดอกเบี้ยระยะยาวให้สูงขึ้นตาม เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทและป้องกันเงินทุนไหลออก นอกจากนี้ยังมีผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยที่ต้องแข่งขันกับประเทศอื่น
3. โครงสร้างเศรษฐกิจและภาระหนี้ภาครัฐ
แม้จะมีแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ปัจจัยด้านภาระหนี้ภาครัฐ และการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน อาจจำกัดเพดานการขึ้นของดอกเบี้ยในระยะยาว เพราะการเพิ่มดอกเบี้ยมากเกินไป อาจกระทบต้นทุนการคลังและภาคครัวเรือน
ผลกระทบของดอกเบี้ยระยะยาวต่อการออม
1. เงินฝากมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดีขึ้น
เมื่อดอกเบี้ยขยับขึ้น ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ก็เริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้สูงขึ้น โดยเฉพาะเงินฝากประจำ 12 เดือน หรือ 24 เดือน ทำให้ผู้ที่ถือเงินสดอยู่ในระบบสามารถเริ่มกลับมาใช้การฝากเงินเป็นทางเลือกในการรักษามูลค่าทรัพย์สิน
2. ความเสี่ยงของเงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยสำคัญ
แม้ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น แต่หากอัตราเงินเฟ้อยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากจริง (Real Interest Rate ติดลบ) ก็ยังทำให้ “การออม” แบบเดิม ๆ ไม่สามารถรักษามูลค่าทรัพย์สินในระยะยาวได้ ดังนั้นต้องพิจารณาร่วมกับเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ
ผลกระทบของดอกเบี้ยระยะยาวต่อการลงทุน
1. หุ้นกลุ่มเติบโตอาจเผชิญแรงกดดัน
เมื่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายของบริษัทโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาระหนี้สูงจะเพิ่มขึ้น อีกทั้งราคาหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stocks) มักจะได้รับผลกระทบจากการคิดลดกระแสเงินสดในอนาคต ทำให้มูลค่าปรับลง
2. พันธบัตรและตราสารหนี้น่าสนใจขึ้น
นักลงทุนที่เน้นความมั่นคงเริ่มหันกลับมาลงทุนในพันธบัตรหรือกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะตราสารหนี้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือดี
3. ทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัยอาจผันผวน
การขึ้นดอกเบี้ยในหลายประเทศทำให้ต้นทุนในการถือทองคำเพิ่มขึ้น (ไม่มีดอกเบี้ย) และทำให้ความน่าสนใจของทองคำลดลงบ้าง แต่ยังถือเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงระยะยาวในสถานการณ์เศรษฐกิจไม่แน่นอน
กลยุทธ์การวางแผนการเงินในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น
1. กระจายพอร์ตตามอายุและความเสี่ยง
สำหรับผู้ที่ใกล้เกษียณอาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้คุณภาพดี ส่วนคนวัยทำงานควรเน้นหุ้นที่มีความสามารถสร้างกำไรระยะยาว และยังสามารถทนทานต่อความผันผวนของตลาด
2. เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ปรับตัวตามเงินเฟ้อ
การเลือกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs), หุ้นปันผลสูง หรือธุรกิจที่มีอำนาจในการตั้งราคาสินค้าและบริการ อาจช่วยรักษาผลตอบแทนในภาวะที่เงินเฟ้อยังคงสูง
3. ติดตามนโยบายธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด
การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็นสิ่งที่ต้องจับตา เพราะส่งผลโดยตรงต่อดอกเบี้ยไทยในระยะยาว
ดอกเบี้ยระยะยาวกำหนดทิศทางการเงินทั้งระบบ
แม้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะมีการเคลื่อนไหวตามปัจจัยมหภาคและนโยบายของภาครัฐ แต่ในฐานะผู้บริโภค นักลงทุน หรือผู้วางแผนทางการเงิน การเข้าใจเทรนด์และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ จะช่วยให้สามารถรักษาความมั่งคั่งและสร้างโอกาสในอนาคตได้อย่างมั่นคง
เปิดรายละเอียด 3 เงื่อนไข รับสิทธิ์ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย คุม 8 สาย
คมนาคมประกาศนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย พร้อมให้ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ ภายในเดือน สิงหาคม 2568 มาตรการดังกล่าวใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนตั๋วร่วม หรือแหล่งเงินอื่นตามมติ ครม.
จากการเปิดเผยข้อมูลจากทาง อธิบดีกรมการขนส่งทางรางได้ออกมาเปิดเผยว่าตามที่ได้มอบหมายจากนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีคมนาคม ให้เร่งดำเนินการนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายเพื่อต้องการลดค่าครองชีพประชาชน และ ส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะอย่างเต็มรูปแบบ ขณะนี้มีความคืบหน้าของนโยบายซึ่งใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยปัจจุบันสายสีม่วง และ สีแดง เริ่มใช้สิทธิ์ 20 บาท ส่วนสายอื่น จะใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2568 หรือ ตามมติคณะรัฐมนตรี
เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย
ประชาชนที่ต้องการใช้บริการ ต้องทำการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนภายในวันที่ 20 สิงหาคม 2568 โดยลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวบุคคลที่มีสัญชาติไทย โดยระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก, บัตรเครดิต, บัตรเดบิต และ บัตรโดยสาร Rabbit Card ที่ลงทะเบียน ซึ่งจะใช้งานกับระบบรถไฟฟ้า ผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ทั้งนี้การยืนยันการลงทะเบียนจะได้สิทธิโดยอัตโนมัติ เมื่อใช้งานหลังจากเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2568 หรือตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะครอบคลุมทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ประกอบด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว, รถไฟฟ้าสายสีทอง, รถไฟฟ้าสายสีเหลือง, รถไฟฟ้าสายสีชมพู, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, รถไฟฟ้าสายสีแดง และ สายแอร์พอร์ต เรล ลิงก์
ทางหน่วยงานแจ้งย้ำว่า ประชาชนที่จะใช้สิทธิ รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายต้องปฎิบัติตามเงื่อนไข 3 อย่าง
- ลงทะเบียนยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ โดยใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลัก
- ผูกบัญชีหรือบัตรที่ใช้ชำระเงินได้แก่ บัตรเครดิต, บัตรเดบัติ หรือบัตรโดยสาร Rabiit Card
- ต้องระบุข้อมูลให้ครบทุกส่วน หากไม่กรอกข้อมูลตามเงื่อนไขให้ครบถ้วน จะไม่ได้รับสิทธิ์ใช้ค่าโดยสาร 20 บาท ทั้งนี้ แอปพลิเคชั่นทางรัฐ ประชาชนสามารถดาวห์โหลดได้ผ่านระบบ iOS และ Android
สำหรับประชาชนที่ไม่ได้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ หรือ ไม่ได้ผูกใช้งานกับบัตรที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ จะต้องจ่ายค่าโดยสารตามอัตราปกติสำหรับการใช้บริการรูปแบบบัตร Rabbit Card ใช้ได้กับสายสีเขียว, สีทอง, สีเหลือง, สีชมพู, Airport Rail Link ซึ่งไม่รวมสายสีทอง และ สายสีเขียว คาดว่าในอนาคต จะมีการเปิดระบบสแกน QR Code ในมือถือแทนการใช้บัตร เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนในทุกส่วน
จากแนวทางที่รัฐบาลใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนตั๋วร่วมหรือแหล่งเงินอื่นตามที่มติครม. ทั้งนี้กรมการขนส่งทางรางพร้อมรับนโยบาย และเร่งดำเนินการอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้้นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ตลาดสายนั้นสามารถใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และ สนับสนุนให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น
Gen Z กลัวตกงานเนื่องจากของประสบการณ์
จากการสำรวจคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนที่อยู่ใน Gen Z ในสหรัฐอเมริกา เกินครึ่งกลัวการถูก Lay Off ภายใน 1 ปี ทางผู้เชียวชาญได้ออกโรงมาเตือนเกี่ยวกับความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ บวกกับหนี้การศึกษา และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ที่ปัจจุบัน AI เข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์มากยิ่งขึ้น สำหรับเด็ก Gen Z ส่วนใหญ่ที่จบออกมาจะเน้นในสายงาน Digital เนื่องจากกำลังเป็นเทรนด์อยู่ในขณะนั้น ซึ่งตอนนี้ AI สามารถทำแทนได้เกือบทุกบทบาท ของสายงาน Digital ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรม, การเขียน Code, การสร้างเว็บไซต์ หรือ จะเป็นการสร้าง Video และ รูปภาพ AI สามารถทำได้หมด แถมยังใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถสร้างผลงานออกมาได้เยอะมาก
ตัวเลขแรงงานในสหรัฐอเมริกาถึงแม้ว่าจะมีตัวเลขที่ดูดี อัตราว่างงานยังต่ำ และการจ้างงานยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่คนรุ่นใหม่กลับรู้สึกไม่มั่นใจอนาคตของตัวเอง ตัวเลขที่ถูกเปิดเผยออกมาล่าสุดจากทาง Allianz Life มีตัวเลข 64% ของแรงงาน Gen Z กลัวว่าตัวเองจะถูกเลย์ออฟในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้นจาก 55% เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ซึ่งตัวเลขสูงกว่าคนในรุ่น Millennials ที่เกิดในปี 1981-1997
ความวิตกกังวลดังกล่าว ไม่ใช่เป็นแค่ความรู้สึกที่คิดขึ้นมาเอง จากข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2025 เป็นต้นมา พบว่าหลายๆบริษัทใหญ่อย่าง Microsoft, UPs, Dell, BP และ หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐ มีการลดจำนวนพนักงานลงเป็นจำนวนมาก แถมยังมีข้อมูลเกี่ยวกับการเลย์ออฟด้วยว่าในช่วงกลางปีนี้ มีตัวเลขเลย์ออฟสูงสุดนับตั้งแต่เกิดโควิด-19
คนเข้างานใหม่ – ออกก่อน
คนที่เพิ่งเข้างานใหม่ แต่มักเป็นคนที่ตกงานก่อน เปิดเผยข้อมูลจากผู้เชียวชาญทรัพยากร People Managing People ให้ข้อมูลว่า คนรุ่นใหม่จำนวนมากรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอิทธิพลในองค์กร และ ไม่มีความมั่นใจพอที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อเจอกับตลาดแรงงานที่มีความผันผวน สำหรับวัยทำงานคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน หรือที่เรียกว่า First Jobber ความคิดเรื่องการรับงานฟรีแลนซ์ หรือ สัญญาจ้างระยะสั้น อาจจะดูเหมือนโลกไร้กฎเกณฑ์ที่หน้ากลัว
Gen Z อยู่ในช่วงอุตสาหกรรมเสี่ยง
สาเหตุที่ทำให้ Gen Z กังวล นั่นก็เพราะว่าคนรุ่น Gen Z กำลังเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อการถูกปลดพนักงานนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นสายงานเทคโนโลยี, ค้าปลีก, สื่อ หรือ พนักงานภาครัฐ กลุ่มเหล่านี้เจอกับการเลย์ออฟในปีที่ผ่าน และ ต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ ในภาคเทคโนโลยีก็เช่นเดียวกัน เป็นอีกกลุ่มที่ถูกปลดมากที่สุด เนื่องจากการพัฒนา AI ที่สามารถทำงานแทนคนในสายเทคโนโลยีได้สบายๆ
ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารไหนสูงสุด 2568
ในปี 2568 ผู้ฝากเงินจำนวนมากยังคงมองหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากเงินสดผ่านการฝากเงินกับธนาคาร โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวน การเลือกบัญชีเงินฝากที่มี ดอกเบี้ยสูง และปลอดภัยจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ บทความนี้จะพาผู้อ่านมาสำรวจว่าในปีนี้ ธนาคารใดให้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงที่สุด พร้อมแนะนำวิธีเลือกบัญชีที่เหมาะสมกับเป้าหมายการเงินของแต่ละคน
ประเภทของบัญชีเงินฝากที่ควรพิจารณา
1. บัญชีเงินฝากออมทรัพย์
บัญชีออมทรัพย์เป็นทางเลือกพื้นฐานที่ให้ความสะดวกในการฝากถอน โดยทั่วไปอัตราดอกเบี้ยจะต่ำกว่าฝากประจำ แต่บางธนาคารมี บัญชีออมทรัพย์พิเศษ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น หากมีเงื่อนไข เช่น ฝากประจำทุกเดือน หรือไม่ถอนเงินเกินจำนวนที่กำหนด
2. บัญชีเงินฝากประจำ
เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่สามารถเก็บเงินไว้ได้นานโดยไม่จำเป็นต้องถอนก่อนกำหนด ระยะเวลาฝากอาจมีตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ไปจนถึง 36 เดือน โดยทั่วไปยิ่งระยะเวลานาน ดอกเบี้ยก็ยิ่งสูง
อัปเดตอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่สูงที่สุดในปี 2568
ข้อมูลด้านล่างนี้เป็นการรวบรวมอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2568
| ธนาคาร | ประเภทบัญชี | ระยะเวลา | อัตราดอกเบี้ยต่อปี | เงื่อนไขเพิ่มเติม |
|---|---|---|---|---|
| ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) | ฝากประจำ | 12 เดือน | 3.30% | ฝากขั้นต่ำ 10,000 บาท |
| ธนาคารกรุงศรีอยุธยา | ออมทรัพย์ ME SAVE | ไม่กำหนด | 3.00% | ฝากผ่านแอป ME by TMB |
| ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) | บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง | ไม่กำหนด | 2.50% | ต้องฝากและไม่ถอนเกิน 2 ครั้งต่อเดือน |
| ธนาคารกรุงเทพ | ฝากประจำ | 24 เดือน | 3.10% | เปิดบัญชีที่สาขา |
| ธนาคารออมสิน | ฝากประจำพิเศษ | 18 เดือน | 3.20% | สำหรับบุคคลธรรมดา |
วิเคราะห์และแนะนำ: จะเลือกแบบไหนถึงคุ้มค่าที่สุด?
1. ถ้าต้องการสภาพคล่อง
ผู้ที่ต้องการถอนเงินได้สะดวกควรมองหาบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง เช่น ME SAVE หรือบัญชีดอกเบี้ยสูงของ ttb ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป
2. ถ้ามีเงินเย็นพร้อมฝากระยะยาว
การเลือกฝากประจำกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงเช่น SCB หรือ ออมสิน ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น เพราะจะสามารถล็อกอัตราดอกเบี้ยได้นานถึง 1-2 ปี
3. บัญชีฝากประจำกับดอกเบี้ยแบบขั้นบันได
บางธนาคารมีรูปแบบการให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ถือเงินไว้ เช่น เดือนที่ 1 ได้ 1.5% เดือนที่ 12 ได้ถึง 3.5% เหมาะกับคนที่ตั้งใจไม่ถอนเงินก่อนครบกำหนด
ข้อควรระวังในการเลือกบัญชีเงินฝาก
- อ่านเงื่อนไขอย่างละเอียด: บางบัญชีโฆษณาดอกเบี้ยสูง แต่มีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถใช้ได้จริงในทุกสถานการณ์ เช่น ต้องมีการโอนเงินเข้าออกทุกเดือน หรือไม่เกินจำนวนธุรกรรมที่กำหนด
- เช็คภาษีดอกเบี้ย: ดอกเบี้ยเงินฝากเกิน 20,000 บาทต่อปีจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% เว้นแต่มีการยื่นแบบไม่ขอหักภาษี
- พิจารณาความมั่นคงของธนาคาร: ควรเลือกธนาคารที่มีชื่อเสียงและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
ธนาคารไหนให้ดอกเบี้ยสูงที่สุดในปี 2568?
จากการสำรวจพบว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ ธนาคารออมสิน มีบัญชีเงินฝากประจำที่ให้ดอกเบี้ยสูงสุดราว 3.20-3.30% ต่อปี ขณะที่ บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง ที่มีเงื่อนไขการใช้ผ่านแอป เช่น ME SAVE ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการสภาพคล่อง
อย่างไรก็ตาม การเลือกบัญชีเงินฝากไม่ควรดูแค่ดอกเบี้ยอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาเงื่อนไขการใช้งาน ความสะดวกในการฝากถอน และเป้าหมายทางการเงินของตนเองประกอบด้วยเสมอ
UOB Royal Orchid Plus คืออะไร?
บัตรเครดิต UOB Royal Orchid Plus เป็นหนึ่งในบัตรที่ออกแบบมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางที่รักการสะสมไมล์ โดยเฉพาะไมล์สะสมของ การบินไทย (Thai Airways) ผ่านโปรแกรม Royal Orchid Plus (ROP) ซึ่งเป็นโปรแกรมสะสมไมล์ยอดนิยมของไทย บัตรนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์เรื่องการเดินทาง แต่ยังมอบสิทธิพิเศษด้านการใช้จ่าย ไลฟ์สไตล์ และการเดินทางแบบเหนือระดับให้กับผู้ถือบัตรอีกด้วย
โปรโมชั่นสมัครบัตร UOB Royal Orchid Plus
สำหรับคนที่สนใจอยากสมัครบัตรเครดิต UOB Royal Orchid Plus วันนี้จะได้รับไมล์สะสมสูงสุด 11,000 ไมล์ รับสิทธิ์สุดคุ้มถึง 2 ต่อด้วยกัน
- รับ 6,000 คะแนนสะสมยูโอบี รีวอร์ด แลกได้ 6,000 ไมล์ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรหลัก 20,000 บาท ขึ้นไปภายใน 30 วัน หลังจากบัตรได้รับการอนุมัติ
- รับไมล์สะสมรอยัล ออร์คิด พลัส 5,000 ไมล์ เมื่อซื้อบัตรโดยสารการบินไทยเส้นทางระหว่างประเทศ และเดินทางภายใสน 12 เดือน หลังจากบัตรได้รับการอนุมัติ
**โปรโมชั่นนี้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2568
รู้จักกับบัตร UOB Royal Orchid Plus
บัตรเครดิต UOB Royal Orchid Plus มีให้เลือกในหลายระดับ เช่น Platinum, Preferred และ Premier ซึ่งแตกต่างกันในเรื่องของอัตราสะสมไมล์ สิทธิพิเศษ และค่าธรรมเนียมรายปี จุดเด่นหลักคือการจับมือกับการบินไทยเพื่อให้สามารถโอนคะแนนสะสมไปเป็นไมล์สะสม ROP ได้โดยตรง
โปรแกรมสะสมไมล์ Royal Orchid Plus คืออะไร?
Royal Orchid Plus หรือ ROP เป็นโปรแกรมสะสมไมล์ของสายการบินไทย ซึ่งสมาชิกสามารถสะสมไมล์จากการบินกับสายการบินในกลุ่ม Star Alliance หรือพาร์ตเนอร์อื่นๆ รวมถึงบัตรเครดิตที่เข้าร่วมรายการ เช่น UOB ROP
จุดเด่นของบัตร UOB ROP
- โอนคะแนนสะสมไปยัง Royal Orchid Plus ได้โดยตรง
- รับไมล์สะสมเร็วขึ้นจากยอดใช้จ่ายในหมวดท่องเที่ยว
- สิทธิพิเศษที่สนามบิน เช่น ห้องรับรอง, Fast Track, Priority Check-in
- ประกันภัยการเดินทางระหว่างประเทศ
อัตราการสะสมคะแนนและการแลกไมล์
การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต UOB ROP จะได้รับคะแนนสะสม UOB Rewards Plus ซึ่งสามารถนำไปแลกเป็นไมล์ ROP ได้ตามอัตราที่กำหนด โดยทั่วไปจะมีอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ:
| ประเภทบัตร | ยอดใช้จ่าย | คะแนนที่ได้รับ | อัตราแลกไมล์ ROP |
|---|---|---|---|
| UOB ROP Platinum | 25 บาท | 1 คะแนน | 1,500 คะแนน = 1,000 ไมล์ |
| UOB ROP Preferred | 20 บาท | 1 คะแนน | 1,500 คะแนน = 1,000 ไมล์ |
| UOB ROP Premier | 15 บาท | 1 คะแนน | 1,000 คะแนน = 1,000 ไมล์ |
หมายเหตุ: รายละเอียดอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบกับธนาคารอีกครั้งก่อนโอนคะแนน
สิทธิพิเศษที่ผู้ถือบัตรจะได้รับ
สิทธิประโยชน์การเดินทาง
- บริการห้องรับรอง Royal Silk Lounge ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
- บริการ Fast Track และ Priority Boarding ในบางระดับบัตร
- ประกันภัยการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ
สิทธิประโยชน์ไลฟ์สไตล์
- ส่วนลดร้านอาหาร โรงแรม และร้านค้าชั้นนำที่ร่วมรายการ
- บริการเลขาส่วนตัว 24 ชั่วโมง
- โปรโมชั่นพิเศษร่วมกับการบินไทย เช่น ส่วนลดตั๋วเครื่องบิน
ข้อควรรู้ก่อนสมัครบัตร UOB ROP
คุณสมบัติผู้สมัคร
- มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และมีรายได้ขั้นต่ำตามประเภทบัตร
- รายได้ขั้นต่ำต่อเดือนตั้งแต่ 15,000 – 70,000 บาท (ขึ้นอยู่กับระดับบัตร)
- มีประวัติทางการเงินดี ไม่มีหนี้ค้างชำระ
ค่าธรรมเนียมและค่าบริการอื่นๆ
- ค่าธรรมเนียมรายปีเริ่มต้นประมาณ 2,000 – 5,000 บาท (ขึ้นกับระดับบัตร)
- สามารถยกเว้นค่าธรรมเนียมได้เมื่อใช้จ่ายตามเงื่อนไข
วางแผนใช้คะแนนอย่างคุ้มค่า
หนึ่งในเคล็ดลับสำหรับคนรักไมล์คือการวางแผนล่วงหน้าให้ชัดเจน เช่น การรอช่วงโปรโมชั่นที่มีการแลกไมล์แบบพิเศษ หรือการเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเฉพาะหมวดที่ได้คะแนนเพิ่ม เช่น การจองโรงแรม, ตั๋วเครื่องบิน, หรือค่าเดินทางต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบโปรโมชั่นการแลกไมล์ผ่าน เว็บไซต์ธนาคาร UOB หรืออัปเดตข่าวสารของ Royal Orchid Plus เพื่อให้สามารถใช้ไมล์ที่มีอยู่ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
หากคุณเป็นคนที่รักการเดินทาง หรือมีเป้าหมายในการแลกตั๋วเครื่องบินฟรีในอนาคต บัตร UOB Royal Orchid Plus คือหนึ่งในเครื่องมือที่ตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจน ด้วยอัตราการสะสมที่แข่งขันได้ สิทธิประโยชน์ด้านการเดินทาง และความยืดหยุ่นในการแลกไมล์ บัตรนี้จึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับนักสะสมไมล์ทุกระดับ
ประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าไทย 36%
ข่าวใหญ่ของวันนี้คงหนีไม่พ้นการประกาศอย่างเป็นทางการจากประธาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า 14 ประเทศ ซึ่ง 14 ประเทศนี้จะต้องเจอกับภาษีนำเข้าแบบเหมารวม เริ่มต้น 1 สิงหาคม 2568 สำหรับประเทศไทยโดนเก็บภาษีศุลากรในอัตราที่สูงเกือบสุดอยู่ที่ 36%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการแชร์ภาพหน้าจอแบบฟอร์มจดหมาย ที่มีการกำหนดอัตราภาษีใหม่ต่อผู้นำญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, คาซัคสถาน, แอฟริกาใต้, ลาว และ เมียนมาร์ ผ่านโซเชียลมีเดียหลายฉบับ และในช่วงบ่ายวันเดียวกันได้แชร์จดหมายอีก 1 ชุดจำนวน 7 ฉบับแจ้งถึงผู้นำของแต่ละประเทศได้แก่ บอสเนีย, เฮอร์เซโกวีนา, ตูนิเซีย, อิโดนีเซีย, บังกลาเทศ, เซอร์เบีย,กัมพูชา และ ประเทศไทย ตามรายละเอียดด้านล่าง
- สินค้านำเข้ามาที่สหรัฐอเมริกาจาก ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, คาซัลสถาน และ ตูนิเซีย จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% ตามจดหมายที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพส
- สินค้าของแอฟริกาใต้ และ บอสเนีย จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 30% และ สินค้าที่นำเข้าจากอินโดนีเซียจะถูกเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต 32%
- บังกลาเทศ และ เซอร์เบียทั้งคู่อยู่ที่ 35% ในขณะที่กัมพูชา และ ไทยถูกเก็บภาษีศุลกากร 36% ตามจดหมายของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
- สินค้านำเข้าจากลาว และ เมียนมา จะเจอกับภาษี 40% ตามจดหมายที่ทรัมป์โพสต์ลงบน Truth Social
นอกจากนี้จดหมายที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามยังมีการระบุเพิ่มเติมว่า สหรัฐอาจจะพิจารณาปรับระดับภาษีใหม่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจดหมายเหล่านี้เป็นชุดแรกที่จะถูกส่งก่อนวันพุธ ซึ่งเป็นวันที่ภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ ที่เรียกกับหลายสิบประเทศ จะกลับไปเป็นระดับที่สูงขึ้นซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเอาไว้ในช่วงเดือนเมษายน 2568
จดหมายเตือนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมากับ 14 ประเทศล่วงหน้า ไม่ให้ตอบโต้ต่อภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐ “หากคุณตัดสินใจขึ้นภาษีด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ว่าคุณเลือกขึ้นภาษีเท่าไหร่ ภาษีนั้นจะถูกเก็บเพิ่มอีก 25% จากที่สหรัฐเรียกเก็บ”
หากประเทศต่างๆ ยกเลิก นโยบายภาษีศุลกากร และ ไม่ใช้ภาษีศุลกากร รวมถึงอุปสรรคทางการค้า สหรัฐอาจจะพิจารณาปรับอัตราภาษีที่ระบุเอาไว้ในจดหมายนี้ ซึ่งจุดหมายระบุว่า “ภาษีเหล่านี้อาจจะมีการปรับเปลี่ยน ขึ้นหรือลง ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของเรากับประเทศของคุณ” ในจดหมายยังระบุอีกด้วยว่า คุณจะไม่มีวันผิดหวังกับสหรัฐ
ภาษีศุลกากรของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกยกเลิกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมโดยศาลชั้นต้นของรัฐบาลกลางซึ่งตัดสินว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่มีอำนาจทางกฎหมายที่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากร ที่ครอบคลุมเป็นการทั่วไป ตามกฎหมายอำนาจฉุกเฉินที่เขาอ้างถึงในตอนนั้น
แต่หลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการยื่นอุทธรณ์ คำตัดสินดังกล่าว และ ศาลอุทธรณ์ได้อนุญาตให้ภาษีศุลกากรยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป ในขณะที่ศาลพิจารณาทบทวนคำตัดสินของศาลชั้นต้น
เวิลด์แบงก์หั่น GDP ไทยเหลือเพียง 1.1% โตแค่ 1.8%
ข่าวใหญ่ที่กระทบนักลุงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เกี่ยวกับการแจ้งของ World Bank ที่มีการแจ้งว่าตัวเลข GDP ของประเทศไทยปีนี้เหลือเพียง 1.1% เท่านั้น และโตเกียว 1.8% สวนทางกับการคาดการณ์แบงก์ชาติที่คาดการณ์เอาไว้ที่ 2.3% มีการชี้ว่าการส่งออกใน Q1 จริงๆแต่ครึ่งปีหลังอาการหนักแน่นอน
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้นเศรษฐกิจไทยต้องเจอกับความเสี่ยงทุกทิศทางล่าสุดธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ ออกรายงาน Thailand Economic Monitor ซึ่งปรับลดคาดการณ์การเติมโตของเศรษฐกิจไทยปี 2025 ลดลงเหลือเพียง 1.8% และ ปีหน้าลดเหลือ 1.7% เนื่องจากหลายปัจจัยแต่ที่เด่นที่สุดคือผลกระทบจากสงครามการค้า มีการระบุถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ได้รวมอยู่ในประมาณการช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จากรายงาน Thailand Economic Monitor ที่ตอนนั้นคาดการณ์ว่า GDP จะโตได้สูงถึง 2.9% แต่ความไม่แน่นอนดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากในปัจจุบันจนทำให้เกิดความไม่แน่นอนทั่วโลก ส่งผลโดยตรงกับการส่งออก และ ทำให้การลงทุนภายในประเทศชะลอลง
ตัวเลขการส่งออกถึงแม้จะดูดี แต่เพราะว่าเป็นการเร่งการส่งออกในช่วงการชะลอภาษี 90 วันของโดนัลด์ ทรัมป์หรือ Front Loading ซึ่งหลักล้างกับช่วงที่เหลือของปีที่แล้ว คาดว่าจะทำให้ GDP โตเพียง 1.8% ตามรายงาน ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ จาก World Bank ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ เกี่ยวกับความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้า ซึ่งจะทำให้การส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2568 ชะลอตัวถึงแม้ว่าในไตรมาสที่ 1 ตัวเลขของการส่งออกจะดูดีเพราะว่ามีการเร่งการส่งออกในช่วงการชะลอภาษี 90 วันของโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ Front Loading เมื่อหักกับช่วงเวลาที่เหลือของปี 2568 แล้วคาดการณ์ตัวเลข GDP จะโตแค่ 1.8%
3 ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย
นอกจากปัญหาระยะสั้นจากสงครามการค้าแล้ว ประเทศไทยของเรายังมีปัญหาโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยอีกด้วย ซึ่งจะมีอยู่ 3 อย่างที่เป็นปัจจัยหลักในปัญหาทางด้านโครงสร้างของประเทศไทยเรา
- สังคมผู้สูงอายุ จำนวนประชากรวัยแรงงานลดลง ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจยากขึ้น
- ทักษะ Digital Skill ขาดแคลน ทักษะดิจิทัล และ การศึกษาที่ยังไม่ตอบสนองต่อเศรษฐกิจดิจิทัล ถึงแม้ประเทศไทยมีการรับรองหุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรมสูง แต่ยังคาดแคลนคนที่มีทักษะในการควบคุม และ บริหารจัดการ
- นโยบายการคลัง การบริหารจัดกการงบประมาณ การจัดการค่าใช้จ่าย รวมไปถึงการจัดเก็บรายได้เพื่อลงทุนในอนาคตของประเทศไทย โดยไม่สร้างภาระหนี้ที่เกินตัวให้กับคนรุ่นหลัง
เลือกทำประกันชีวิตในปี 2568 ที่ไหนดี
การทำประกันชีวิต ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ที่จะช่วยให้ชีวิตของเรามั่นคง โดยเฉพาะในเรื่องของการเงิน ที่จะช่วยทำให้การวางแผนการเงินและครอบครัวในอนาคต ทำให้การเลือกประกันชีวิตนั้นสำคัญมากๆ เนื่องจากบริษัทประกันภัยแต่ละที่ มีกรมธรรม์ที่ไม่เหมือนกันซึ่งผู้ทำประกันชีวิต จะต้องอ่านและเลือกประกันที่เหมาะกับตัวของคุณมากที่สุด บทความนี้จะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับข้อกำหนดและเปรียบเทียบ เพื่อให้คุณได้รับประกันชีวิตที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
ก่อนจะจ่ายเงินซื้อประกัน คุณต้องศึกษาอะไรก่อนบ้าง?
ก่อนที่คุณจะเลือกซื้อประกันชีวิตนั้นสิ่งที่คุณจะต้องดูก่อนเป็นอันดับแรกเลยก็คือ ประกันชีวิตนั้นมีกี่แบบ ในปัจจุบันประกันชีวิตมีหลากแบบมาก ซึ่งบริษัทประกันภัยออกแบบประกันชีวิตมาเพื่อตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการทำประกันชีวิตในปัจจุบันสุดๆ สำหรับรายละเอียด ว่าประกันชีวิตมีกี่แบบ สามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง
- ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา เป็นการคุ้มครองระยะเวลาสั้นๆ ตามที่กำหนด ยกตัวอย่างเช่น 5ปี หรือ 10ปี เป็นต้น
- แบบตลอดชีพ เป็นประกันชีวิตในรูปแบบประกันระยะยาว ยกตัวอย่าง คุ้มครองจนคุณอายุถึง 99 ปี แล้วแต่เงื่อนไขชองแต่ละเจ้า
- แบบสะสมทรัพย์ เป็นการคุ้มครอบชีวิต พร้อมการออมทรัพย์ โดยมีระยะความคุ้มครองขึ้นอยู่กับแบบประกัน
- แบบบำนาญ คุ้มครอบชีวิตพร้อมมีรายได้ประจำให้หลังจากเกษียณแล้ว
- แบบควบการลงทุน คุ้มครองชีวิตพร้อมออกแบบการลงทุนได้ แต่จะไม่การันตีผลตอบแทน
นอกจากแบบประกันชีวิตที่คุณต้องศึกษาแล้ว อีกอย่างที่ต้องดูและสำคัญมากๆเลยก็คือ ความน่าเชื่อถือของบริษัท และ ค่าเบี้ยประกัน และ ความคุ้มครอง
ทำประกันที่ไหนดีในปี 2568
สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันชีวตอยู่ตอนนี้ แล้วกำลังมีคำถามในหัวว่า ทำประกันที่ไหนดีในปี 2568 ประกันชีวิตที่น่าสนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ด้านล่าง
ไทยประกันชีวิต แฮปปี้มีเงินใช้
- ชำระเบี้ย 5 ปี คุ้มครอบ 15 ปี
- วันครบรอบปีกรมธรรมม์ ที่ 2, 4, 6, 8, 10, 12 และ 14 รับคืย 3%
- ครบสัญญารับเงินคืน 500%
- เงินคืนตลอดสัญญารวม 521%
- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
FWD Easy E-Lite
- คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี สูงสุด 1,500,000 บาท
- ชำระเบี้ยประกัน 10 ปี คุ้มครองนาน 10 ปี
- ลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท
- ยื่นแคลมออนไลน์ หรือ เช็ครายละเอียดกรมธรรม์ได้รวดเร็วผ่านแอป Omne by FWD
- ขั้นตอนในการซื้อ สามารถซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ แถมคุ้มครองทันที
เมืองไทยประกันชีวิต ShieldLife
- สามารถเลือกจ่ายแบบ ระยะสั้น – ระยะยาวได้
- ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี, 5 ปี, 10 ปี, 15 ปี ครบอายุ 99 ปี
- คุ้มครองการเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย และ อุบัติเหตุ
- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
AIA 20Pay Life
- ชำระเบี้ย 20 ปี คุ้มครองตลอดชีพ ถึงอายุ 99 ปี
- คุ้มครอบกรณีเสียชีวิต ได้รับเงิน 100% ของจำนวนเงินเอาประกัน
- บริษัทยกเว้นการชำระเบี้ประกันของแบบประกันภัยหลัก หากเกิดกรณีทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวรก่อนอายุครบ 60 ปีจากสัญญาเพิ่มเติมผลประโยชน์การยกเว้นเบี้ยประกันภัย WP
- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
พยากรณ์อากาศวันที่ 7 กรกฎาคม 2568
ตรวจสอบสภาพอากาศวันนี้ทางกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศ มรสุมเข้า มีฝลถล่ม เหนือ, อีสาน ฝนตกหนักสุดร้อยละ 70% ของพื้นที่ วันนี้ กทม. โดนด้วย มีฝนค้าคะนอง ส่วนภาคใต้มีคลื่นสูง 1-2 เมตร
พยากรณ์อากาศในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนที่อยู่ในบริเวณจังหวัดภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และ ฝนกที่ตกสะสม อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และ น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน
เนื่องจากปัจจุบันมีหย่อมความกดอากาศต่ำ ปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และ อ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย มีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดมัน ตอนบนมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่าง และ อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามัน และ อ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
ปัจจุบันมีพายุไต้ฝุ่น ที่มีชื่อว่า ดานัส บริเวณเกาะไต้หวันได้ลดกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง คาดว่าจะเคลื่นขึ้นฝั่งประเทศจีนในช่วง 8-9 กรกฎาคม 2568 โดยพายุลูกนี้ไม่เข้าสู่ประเทศไทย และ ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับลักษณะอากาศของประเทศไทย แต่จะทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ปกคลุมประเทศไทย มีกำลังแรงขึ้น
กรมอุตุนิยมวิทยาพากรณ์อากาศประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้
- กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล มีฝนกตกร้อยละ 60% ของพื้นที่
- ภาคเหนือ มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- ภาคกลาง มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่
- ภาคใต้ มีฝนตกร้อยละ 40% ของพื้นที่
- ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่
