รายละเอียดขั้นตอนในการสมัครบัตรเสริม UOB

บัตรเสริม UOB เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับครอบครัวหรือคนใกล้ชิดที่ต้องการแบ่งวงเงินใช้ร่วมกันกับผู้ถือบัตรหลัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อบริหารค่าใช้จ่ายในครัวเรือน หรือเพื่อควบคุมการใช้จ่ายของบุตรหลาน การสมัครบัตรเสริมจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการบริหารการเงินอย่างชาญฉลาด สำหรับใครที่กำลังสนใจอยากสมัครบัตรเสริม UOB วันนี้เราจะพาคุณไปดูขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ เข้าใจง่าย และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

บัตรเสริม UOB คืออะไร?

บัตรเสริม (Supplementary Card) คือบัตรเครดิตที่ผูกอยู่กับบัญชีของบัตรหลัก โดยผู้ถือบัตรเสริมสามารถใช้วงเงินเดียวกับบัตรหลักในการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งวงเงินทั้งหมดจะถูกรวมไว้ในใบแจ้งหนี้ฉบับเดียวกับบัตรหลัก และผู้ถือบัตรหลักจะเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระเงิน

ข้อดีของบัตรเสริม:

  • ช่วยควบคุมและบริหารค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น

  • เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการให้บุตรหลานใช้จ่ายอย่างมีขอบเขต

  • สะสมคะแนนหรือรับสิทธิประโยชน์ร่วมกับบัตรหลัก

คุณสมบัติของผู้สมัครบัตรเสริม UOB

1. ความสัมพันธ์กับผู้ถือบัตรหลัก

  • ต้องเป็นบุคคลในครอบครัว เช่น บุตร คู่สมรส หรือบิดามารดา

2. อายุของผู้สมัคร

  • อายุขั้นต่ำ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

3. เอกสารประกอบการสมัคร

  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้สมัครบัตรเสริม

  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้ถือบัตรหลัก

  • สำเนาทะเบียนบ้าน (ในบางกรณี)

  • เอกสารยืนยันความสัมพันธ์ เช่น สูติบัตร ทะเบียนสมรส หรือทะเบียนบ้าน

>> สมัครบัตรเครดิต UOB (บัตรหลัก)ได้ที่นี่ <<

ขั้นตอนในการสมัครบัตรเสริม UOB

1. ตรวจสอบคุณสมบัติของบัตรหลัก

ก่อนทำการสมัครบัตรเสริม ต้องแน่ใจก่อนว่าผู้ถือบัตรหลักมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของธนาคาร UOB เช่น ไม่ผิดนัดชำระ มีประวัติทางการเงินดี และวงเงินคงเหลือเพียงพอสำหรับแบ่งใช้กับบัตรเสริม

2. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน

การเตรียมเอกสารล่วงหน้าจะช่วยให้ขั้นตอนการสมัครรวดเร็วขึ้น เอกสารที่ควรเตรียมมีดังนี้:

  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้สมัครบัตรเสริม

  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้ถือบัตรหลัก

  • เอกสารแสดงความสัมพันธ์ (ถ้ามี)

  • แบบฟอร์มสมัครบัตรเสริมที่กรอกข้อมูลครบถ้วน

เคล็ดลับ:
สำเนาเอกสารทุกชุดควรเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องให้เรียบร้อย

3. กรอกใบสมัครบัตรเสริม UOB

ผู้สมัครต้องกรอกข้อมูลในใบสมัครอย่างละเอียดและถูกต้อง โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือบัตรหลัก เช่น หมายเลขบัตรเครดิต วงเงินที่ต้องการแบ่งให้กับบัตรเสริม (ถ้าต้องการกำหนดแยก)

4. ส่งใบสมัครและเอกสารประกอบ

คุณสามารถเลือกส่งใบสมัครได้หลายช่องทาง ได้แก่

  • ยื่นที่สาขาของธนาคาร UOB

  • ส่งผ่านเจ้าหน้าที่บัตรเครดิตที่ให้บริการ

  • ส่งไปรษณีย์ไปยังธนาคารตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในใบสมัคร

5. รอการพิจารณาอนุมัติ

หลังจากส่งเอกสารครบถ้วนแล้ว ธนาคารจะทำการตรวจสอบข้อมูลและพิจารณาอนุมัติ โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 5-10 วันทำการ หากข้อมูลครบถ้วนและไม่มีปัญหา เอกสารจะถูกดำเนินการต่อทันที

6. รับบัตรเสริมและเริ่มใช้งาน

เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ธนาคารจะจัดส่งบัตรเสริมไปยังที่อยู่ที่ระบุไว้ หรือสามารถติดต่อรับบัตรที่สาขา ทั้งนี้ผู้ถือบัตรเสริมจะสามารถเริ่มใช้งานได้ทันทีหลังจากทำการเปิดใช้งานบัตร

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้บัตรเสริม UOB

1. วงเงินเป็นวงเงินเดียวกับบัตรหลัก

ผู้ถือบัตรเสริมใช้วงเงินร่วมกับบัตรหลัก ดังนั้นการใช้จ่ายทุกครั้งจะไปหักจากวงเงินรวมทันที ผู้ถือบัตรหลักควรวางแผนการใช้จ่ายให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกินวงเงินที่กำหนด

2. การชำระเงิน

ใบแจ้งหนี้ของบัตรเสริมจะถูกรวมกับบัตรหลัก โดยผู้ถือบัตรหลักเป็นผู้รับผิดชอบการชำระหนี้ทั้งหมด ดังนั้นควรติดตามและตรวจสอบรายการใช้จ่ายเป็นประจำ

3. สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

ผู้ถือบัตรเสริมจะได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกับบัตรหลัก เช่น คะแนนสะสม, โปรโมชั่นร้านค้า, สิทธิประโยชน์ประกันภัย (ขึ้นอยู่กับประเภทบัตร)

4. การยกเลิกบัตรเสริม

หากไม่ต้องการใช้บัตรเสริมต่อไป สามารถแจ้งยกเลิกได้ผ่านทางธนาคาร UOB โดยไม่กระทบสิทธิการใช้งานของบัตรหลัก

สมัครบัตรเสริม UOB ง่ายกว่าที่คิด

การสมัครบัตรเสริม UOB เป็นวิธีที่สะดวกและปลอดภัยในการบริหารค่าใช้จ่ายร่วมกันในครอบครัว เพียงแค่เตรียมเอกสารให้พร้อม กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน และส่งใบสมัครตามขั้นตอน ก็สามารถรอรับบัตรและเริ่มใช้งานได้ไม่ยาก ที่สำคัญ การใช้บัตรเสริมอย่างมีวินัย ยังช่วยส่งเสริมการวางแผนทางการเงินที่ดีในระยะยาวอีกด้วย

สามารถจ่ายช้าได้กี่วัน ก่อนโดนคิดค่าปรับหรือดอกเบี้ย?

สำหรับผู้ถือบัตรเครดิต หลายคนอาจเคยเกิดคำถามว่า ถ้าจ่ายค่าบัตรเครดิตช้า จะมีผลอะไรไหม? หรือ สามารถจ่ายช้าได้กี่วัน ก่อนโดนคิดค่าปรับหรือดอกเบี้ย?” เพราะบางครั้งเราอาจติดภารกิจ, ลืมวันครบกำหนด, หรือมีปัญหากระแสเงินสดจนต้องเลื่อนการจ่ายออกไป
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า การจ่ายบัตรเครดิตช้าได้กี่วัน จึงจะไม่เสียหาย และมีวิธีไหนบ้างที่จะป้องกันผลกระทบหากจำเป็นต้องชำระล่าช้า

กำหนดวันครบกำหนดชำระของบัตรเครดิต คืออะไร?

วันครบกำหนดชำระ (Payment Due Date)

  • คือวันที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินกำหนดให้คุณต้องจ่ายยอดเงินตามใบแจ้งหนี้

  • ปกติจะห่างจากวันตัดรอบบัญชีประมาณ 15-25 วัน แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละธนาคาร

  • ถ้าชำระหลังวันครบกำหนด จะถูกนับเป็นการ ชำระล่าช้า (Late Payment) ทันที

ถ้าบัตรคุณตัดรอบทุกวันที่ 10 และกำหนดชำระวันที่ 30 ของเดือน ถ้าคุณจ่ายในวันที่ 31 เป็นต้นไป จะถือว่า “ชำระล่าช้า” แล้ว

จ่ายบัตรเครดิตช้าได้กี่วัน โดยไม่เสียค่าปรับ?

ไม่มี “ระยะผ่อนผัน” อย่างเป็นทางการ

ความเข้าใจผิด ที่พบบ่อย คือบางคนคิดว่า “จ่ายช้าสัก 1-2 วันคงไม่เป็นไร” แต่ในความเป็นจริง ธนาคารส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายให้ จ่ายล่าช้าแม้แต่ 1 วัน

หากเลยกำหนดวันชำระแม้เพียง 1 วัน จะเกิดผลกระทบทันที เช่น:

  • ถูกคิดค่าธรรมเนียมชำระล่าช้า (Late Payment Fee)

  • ถูกคิดดอกเบี้ยจากยอดที่ค้างทั้งหมด ย้อนหลังตั้งแต่วันใช้จ่าย

  • มีผลกระทบต่อประวัติเครดิตกับเครดิตบูโรในระยะยาว

บางธนาคารอาจมี “การยืดหยุ่น” 1 วันในระบบ แต่ไม่ใช่สิทธิที่การันตีได้ และไม่ควรเสี่ยงรอให้เลยวันครบกำหนด

ผลเสียที่เกิดจากการจ่ายบัตรเครดิตช้า

1. โดนค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยทันที

  • ค่าธรรมเนียมชำระล่าช้าอาจอยู่ที่ประมาณ 100-500 บาท ต่อเดือน

  • ดอกเบี้ยจะถูกคิดจากยอดค้างทั้งหมดในเรตที่สูง เช่น 16-20% ต่อปี

2. เสียประวัติเครดิต

  • หากจ่ายล่าช้าเกิน 30 วัน จะถูกบันทึกประวัติไม่ดีในเครดิตบูโร

  • ส่งผลเสียเมื่อต้องการขอสินเชื่อ เช่น กู้ซื้อบ้าน, รถ หรือบัตรเครดิตใบใหม่ในอนาคต

3. เสียสิทธิ์โปรโมชั่นต่างๆ

  • อาจเสียสิทธิ์คะแนนสะสม, เครดิตเงินคืน, หรือโปรแกรมผ่อน 0% ในบางกรณี

วิธีป้องกันการจ่ายบัตรเครดิตช้า

1. ตั้งระบบหักบัญชีอัตโนมัติ (Auto Debit)

  • เลือกตั้งหักเฉพาะยอดขั้นต่ำ หรือยอดเต็มจำนวนตามที่สะดวก

  • ป้องกันการลืมจ่าย และมั่นใจว่าการชำระจะทำตรงเวลาเสมอ

2. ตั้งแจ้งเตือนวันครบกำหนดในมือถือ

  • ใช้ฟีเจอร์ Reminder หรือ Calendar ตั้งเตือนล่วงหน้า 3-5 วันก่อนวันครบกำหนด

  • ช่วยให้คุณมีเวลาเตรียมเงินให้พร้อม

3. ชำระผ่าน Mobile Banking หรือแอปของธนาคาร

  • ชำระด้วยแอปฯ ช่วยให้โอนเงินสะดวกในไม่กี่นาที

  • ตรวจสอบสถานะการจ่ายได้ทันที ลดความผิดพลาดเรื่องเวลา

ถ้าจ่ายช้าแล้วควรทำอย่างไร?

อย่ารอ! รีบดำเนินการดังนี้

  1. รีบชำระให้เร็วที่สุด แม้เลยวันครบกำหนดไปแล้ว

  2. โทรแจ้งธนาคารหากมีเหตุสุดวิสัย เช่น อุบัติเหตุ, เจ็บป่วย เพื่อขอผ่อนผันค่าปรับ (บางกรณีธนาคารอาจพิจารณาลดให้)

  3. ตรวจสอบยอดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในรอบถัดไปอย่างละเอียด

  4. พยายามจ่ายเต็มจำนวนในรอบถัดไปเพื่อรีเซตสถานะ

จ่ายบัตรเครดิตต้องตรงเวลา อย่าเสี่ยงแม้แต่วันเดียว

แม้ว่าหลายคนอาจเข้าใจว่า “จ่ายช้าแค่วันเดียวไม่เป็นไร” แต่ความจริงคือ “เลยวันครบกำหนดแม้แต่วันเดียวก็ถือว่าชำระล่าช้า และมีผลทันที”

หากคุณต้องการรักษาประวัติการเงินที่ดี

  • วางแผนการเงินล่วงหน้า

  • ชำระตรงตามวันครบกำหนด

  • ใช้ตัวช่วยเช่น Auto Debit หรือ Mobile Banking

เพราะการรักษาวินัยทางการเงินวันนี้ จะช่วยเปิดโอกาสทางการเงินที่ใหญ่กว่าในอนาคต

เปิดกำหนดการจ่ายเงินดิจิทัลเฟส 3 สำหรับนักศึกษากลุ่มแรก

รายละเอียดมาแล้ว สำหรับนักศึกษากลุ่มแรก ที่มีอายุตั้งแต่ 16 ถึง 20 ปี สามารถ รับสิทธิ์ เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 กดรับเงินผ่านแอปทางรัฐ เป็นมาตรการที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัล ครั้งใหม่จากทางรัฐบาล

กำหนดเดือนรับเงินออกมาแล้ว สำหรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 ล่าสุด ซึ่งรอบนี้จะจ่ายเงินดิจิทัลให้กับนักศึกษากลุ่มแรก ที่มีอายุตั้งแต่ 16 ถึง 20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน สามารถเตรียมตัวรับทรัพย์กันได้เลย กดรับเงินผ่านแอปทางรัฐ เริ่มต้นเดือน มิถุนายน 2568 ทางกระทรวงการคลังได้ออกมายืนยัน แล้วสำหรับเดือนที่จะได้รับเงิน มาตรการครั้งนี้ ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัลโดยเฉพาะ

การอนุมัติเงินดิจิทัล 10,000 บาทเฟส 3 จากคณะรัฐมนตรี

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเปิดเผยถึงความชัดเจนของโครงการดังกล่าว ตอนนี้เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ คาดว่าจะสามารถนำมาเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติภายใน 1-2 สัปดาห์นี้

ความพร้อมของระบบการใช้จ่าย Open Loop

การเตรียมความพร้อมด้านระบบการใช้จ่ายผ่านดิจิทัลวอลเล็ตแบบ Open Loop นั้นได้แจ้งว่าธนาคารต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ กำลังเร่งพัฒนาระบบเต็มรูปแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จทันก่อนสิ้นไตรมาส 2 นี้ โดยเบื้องต้น Platform การชำระเงินบางราย ที่ทีมพัฒนาด้านไอดีของตนสามารถเชื่อมต่อระบบได้แล้ว

 สาเหตุหลักที่เริ่มโครงการกับกลุ่มเยาวชน 16-20 ปี

สำหรับเหตุผล ในการเริ่มโครงการกับกลุ่มเยาวชนอายุ 16-20 ปี เป็นเป้าหมายแรกของโครงการ เนื่องจากทางกระทรวงการคลังได้มีการชี้แจงไปว่า เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ได้มีการแถลงต่อรัฐสภา เพื่อเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล ของประเทศส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล และ พัฒนาสภาพแวดล้อม เพื่อทดสอบระบบการชำระเงิกลางของประเทศ ทราบว่ากลุ่มเยาวชน มีความรู้ความเข้าใจ และ สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้สูง

 

บัตรเครดิตถูกระงับ แล้วต้องทำอย่างไร?

การที่อยู่ดี ๆ บัตรเครดิตของคุณ “ถูกระงับการใช้งาน” เป็นเรื่องที่สร้างความสับสนและความกังวลใจไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้องใช้บัตรอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของออนไลน์ จ่ายค่าน้ำมัน หรือจองตั๋วเดินทาง บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่อาจทำให้บัตรเครดิตถูกระงับ พร้อมแนะนำแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คุณสามารถกลับมาใช้งานบัตรได้โดยเร็ว

ทำไมบัตรเครดิตถึงถูกระงับ?

1. จ่ายหนี้บัตรล่าช้า หรือไม่จ่ายขั้นต่ำ

กรณีที่คุณค้างชำระ หรือชำระยอดต่ำกว่าขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนด แม้จะเพียงเดือนเดียว ธนาคารก็อาจระงับการใช้บัตรชั่วคราว เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่อเนื่อง

2. วงเงินเต็มหรือเกินวงเงินที่กำหนด

หลายคนอาจไม่รู้ว่าบางรายการที่ยัง “อยู่ระหว่างดำเนินการ” ก็ถูกหักจากวงเงินแล้ว หากคุณใช้บัตรใกล้เต็มวงเงินตลอดเวลา ธนาคารอาจมองว่าเป็นพฤติกรรมเสี่ยง และทำการระงับชั่วคราวเพื่อป้องกันการใช้เกินวงเงิน

3. ธนาคารตรวจพบพฤติกรรมการใช้ที่ผิดปกติ

หากระบบตรวจจับพบว่า บัตรของคุณถูกใช้ซื้อสินค้าราคาสูงในต่างประเทศ หรือมีการรูดบัตรจำนวนมากในเวลาไล่เลี่ยกัน ระบบจะสั่งระงับเพื่อป้องกันการถูกขโมยข้อมูลหรือถูกโกง

4. หมดอายุ หรือต้องอัปเดตข้อมูลส่วนตัว

บัตรเครดิตมีวันหมดอายุ หากคุณไม่ได้ต่ออายุบัตร หรือไม่อัปเดตข้อมูล เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือรายได้ล่าสุด ธนาคารอาจสั่งระงับการใช้เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งเอกสารหรือระบุตัวตน

5. ฝ่าฝืนเงื่อนไขการใช้บัตร

ในบางกรณี ผู้ถือบัตรนำบัตรไปใช้เพื่อธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น โอนเงินสดให้ผู้อื่น หรือรูดผ่านร้านที่เกี่ยวข้องกับตนเอง อาจถือเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลง ทำให้ธนาคารสั่งระงับการใช้งาน

วิธีตรวจสอบสถานะบัตรเครดิต

ตรวจสอบด้วยตัวเองเบื้องต้น

หากคุณสงสัยว่าบัตรถูกระงับ ลองทำตามขั้นตอนนี้:

  • ลองใช้บัตรรูดที่ร้านค้าทั่วไป

  • ลองชำระค่าสินค้าหรือบริการออนไลน์

  • โทรเข้า Call Center ของธนาคารผู้ออกบัตร

  • เช็คสถานะผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ธนาคาร

หากได้รับข้อความหรือเสียงตอบกลับว่า “บัตรของคุณไม่สามารถใช้งานได้” ควรติดต่อธนาคารทันทีเพื่อสอบถามรายละเอียด

บัตรเครดิตถูกระงับแล้วต้องทำอย่างไร?

1. ติดต่อธนาคารโดยตรง

การติดต่อเจ้าหน้าที่ Call Center หรือสาขาของธนาคารที่ออกบัตร จะทำให้คุณทราบสาเหตุที่แน่ชัด และสามารถดำเนินการแก้ไขตามขั้นตอนได้อย่างรวดเร็ว

2. จัดการหนี้ที่ค้างชำระ

หากปัญหาเกิดจากการชำระเงินล่าช้า ให้รีบดำเนินการชำระเงินให้ครบถ้วน รวมถึงดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสดงความรับผิดชอบและขอคืนสิทธิการใช้บัตร

3. อัปเดตข้อมูลส่วนตัว

หากคุณเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ อีเมล หรือที่อยู่ แต่ยังไม่ได้แจ้งธนาคาร ควรรีบอัปเดตข้อมูลโดยเร็ว เพื่อให้ธนาคารสามารถติดต่อคุณได้อย่างต่อเนื่อง และลดความเสี่ยงในการถูกระงับใช้งานในอนาคต

4. ขอออกบัตรใหม่

หากบัตรหมดอายุ เสียหาย หรือมีปัญหาในการอ่านชิป/แถบแม่เหล็ก คุณสามารถยื่นขอออกบัตรใหม่ได้ โดยปกติจะใช้เวลา 7-14 วันทำการ

จะป้องกันไม่ให้บัตรเครดิตถูกระงับได้อย่างไร?

เคล็ดลับง่าย ๆ ที่หลายคนมองข้าม

  • ตั้งเตือนวันชำระหนี้ล่วงหน้า 3-5 วัน เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายล่าช้า

  • เว้นวงเงินขั้นต่ำ 5-10% ของวงเงินรวมเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการเต็มวงเงิน

  • ไม่แชร์บัตรกับผู้อื่น และไม่ให้บัตรถูกนำไปรูดที่ไม่รู้จัก

  • ใช้จ่ายอย่างมีวินัย ตามรายได้ที่แท้จริง

  • อัปเดตข้อมูลส่วนตัวกับธนาคารอย่างสม่ำเสมอ

บัตรเครดิตถูกระงับ กระทบเครดิตอย่างไร?

ปัญหาที่อาจตามมาโดยไม่รู้ตัว

การที่บัตรถูกระงับจากการค้างชำระ อาจส่งผลให้คะแนนเครดิตของคุณลดลง และหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจส่งผลต่อการกู้เงิน ซื้อบ้าน หรือสมัครบัตรใหม่ในอนาคต ดังนั้นการจัดการปัญหาให้เร็วที่สุดคือทางออกที่ดีที่สุด

บัตรเครดิตถูกระงับไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่แก้ได้ถ้ารู้ทาง

การที่บัตรเครดิตถูกระงับใช้งานอาจดูน่าตกใจในตอนแรก แต่หากเข้าใจสาเหตุ และรู้วิธีจัดการอย่างเป็นระบบ ก็สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือการ “รู้เท่าทัน” และ “มีวินัยในการใช้จ่าย” เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิต และไม่ให้ปัญหาเล็กน้อยกลายเป็นผลกระทบระยะยาว


สินเชื่อเงินด่วน กู้เงินกับธนาคารออมสิน ใช้หนี้นอกระบบ

เปิดรายละเอียดสินเชื่อจากทางธนาคารออมสิน ออกมาเพื่อช่วยประชาชน ที่มีหนี้นอกระบบ เพื่อเป็นการสร้างโอกาสจากธนาคารออมสิน ให้ยืมเพื่อใช้หนี้นอกระบบ 20,000 บาท จ่ายดอกหมื่นละ 60 บาท ต่อเดือนกู้เงินผ่าน MyMo

สินเชื่อเงินด่วน จากทางธนาคารออมสิน เรียกชื่อว่า เงินกู้ออมสิน สร้างโอกาสเพื่อใช้หนี้นอกระบบธนาคารออมสิน ให้ยืม 20,000 บาท จ่ายดอกหมื่นละ 60 บาท ต่อเดือน สามารถยื่นกู้ได้ทุกอาชีพ ผ่านทางแอป MyMo

ธนาคารออมสินเป็นหนี้นอกระบบหลายทอดจ่ายดอกวนไป ไม่มีวันจบ ธนาคารออมสินช่วยได้ สำหรับสินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาสสามารถยื่นกู้ได้เลยผ่าน MyMo ดอกเบี้ยเบาๆเพียงหมื่นละ 60 บาทต่อเดือน เริ่มต้นสร้างเครดิตที่ดี สำหรับอนาคต

  • วงเงินอนุมัติสูงสุด 20,000 บาท
  • สำหรับผู้ที่ไม่เคยกู้สินเชื่อกับสถาบันการเงินใดมาก่อนในระยะเวลา 2 ปี
  • อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.60 ต่อเดือน (Flat Rate)
  • ปลอดชำระเงินต้น 3 งวดแรก
  • ผ่อนชำระ 12 เดือน
  • ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

รายละเอียด ผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถยื่นกู้สินเชื่อ เงินกู้ออมสิน 20,000 บาท ให้ยืมใช้หนี้นอกระบบจ่ายดอกหมื่นละ 60 บาทต่อเดือน

  • เป็นผู้ที่ไม่มีประวัติเครดิตทางการเงิน หรือ ไม่เคยใช้บริการสินเชื่อกับสถาบันการเงินอย่างน้อย 2 ปี
  • ผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ที่มีรายได้ประจำ ลูกจ้าง พ่อค้า แม่ค้า ผู้รับจ้างให้บริการต่างๆที่มีรายได้
  • เป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย มีถื่นที่อยู่แน่นอน สามารถติดต่อได้
  • ต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์
  • ไม่เป็นลูกจ้าง พนักงาน ผู้บริหาร หรือกรรมการของธนาคารออมสิน

การชำระคืนเงินกู้ สินเชื่อเงินด่วน เงินกู้ออมสิน 20,000 บาทให้ยืมใช้หนี้นอกระบบ จ่ายดอกหมื่นละ 60 บาทต่อเดือน

  • ชำระเงินต้น และ ดอกเบี้ยเป็นงวดรายเดือน
  • ระยะเวลาชำระคืนไม่เกิน 1 ปี หรือ 12 งวด โดยปลอดชำระเงินต้น 3 งวดแรก
  • งวดที่ 1-3 ชำระหนี้ล่วงหน้า ชำระเงินงวดเกินกว่าที่ธนาคารกำหนด หรือ ชำระคืนเงินกู้ทั้งหมดก่อนถึงกำหนดสัญญา สามารถติดต่อธนาคารออมสินสาขาที่ให้บริการ

 

 

ทดสอบระบบเตือนภัยผ่าน Cell Broadcast เริ่ม 2 พ.ค.นี้

ประเทศไทยกำลังยกระดับการเตือนภัยพิบัติครั้งสำคัญ! โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จะมีการ “ทดสอบระบบเตือนภัยผ่าน Cell Broadcast” ทั่วประเทศ ครอบคลุมเบอร์โทรศัพท์มากกว่า 50 ล้านหมายเลข เพื่อยกระดับการแจ้งเตือนภัยพิบัติให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีเกิด แผ่นดินไหว หรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบ Cell Broadcast ว่าคืออะไร ทำงานอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร และเหตุผลที่คุณควรให้ความสนใจต่อการทดสอบระบบในครั้งนี้

Cell Broadcast คืออะไร?

เทคโนโลยีแจ้งเตือนแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต

Cell Broadcast หรือ “การกระจายข้อความผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์” เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ส่งข้อความแจ้งเตือนภัยจากหน่วยงานภาครัฐมายังโทรศัพท์มือถือของประชาชนผ่านเครือข่ายสัญญาณมือถือ โดย ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันใด ๆ

ระบบที่ทั่วโลกใช้งานจริง

หลายประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรป ต่างใช้ระบบ Cell Broadcast เพื่อเตือนภัยในกรณีแผ่นดินไหว สึนามิ อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติร้ายแรง เพราะสามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้ทันทีและพร้อมกันในวงกว้าง

เหตุผลที่ไทยต้องทดสอบระบบ Cell Broadcast

บทเรียนจากแผ่นดินไหวในอดีต

เหตุการณ์แผ่นดินไหวหลายครั้งในไทย เช่น ที่จังหวัดเชียงรายในปี 2557 หรือแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้านที่กระทบถึงภาคเหนือของไทย ล้วนแสดงให้เห็นว่า การแจ้งเตือนที่รวดเร็วสามารถช่วยชีวิตและลดความเสียหายได้อย่างมีนัยสำคัญ

เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในอนาคต

การทดสอบระบบในครั้งนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อ:

  • ทดสอบความพร้อมของระบบเตือนภัย

  • ตรวจสอบความสามารถในการกระจายข้อความ

  • รับฟีดแบ็คจากประชาชนในการปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

รายละเอียดการทดสอบ Cell Broadcast 2 พฤษภาคม 2568

ครอบคลุมทั่วประเทศ กว่า 50 ล้านหมายเลข

การทดสอบในครั้งนี้ดำเนินการร่วมกันโดย:

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)

  • กสทช.

  • ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือทุกค่าย (AIS, True, Dtac, NT)

ข้อความเตือนภัยที่คุณจะได้รับบนหน้าจอโทรศัพท์จะมีลักษณะเด่นคือ:

  • ขึ้นเป็นข้อความทันทีแม้หน้าจอจะถูกล็อก

  • มีเสียงแจ้งเตือนเฉพาะที่แตกต่างจากเสียงอื่น ๆ

  • เป็นข้อความที่ไม่สามารถตอบกลับได้

ข้อความทดสอบจะระบุว่าเป็น “ข้อความทดสอบระบบ Cell Broadcast” และไม่มีอันตรายหรือผลกระทบใด ๆ

ใครบ้างที่จะได้รับข้อความทดสอบ?

มือถือที่รองรับเทคโนโลยี Cell Broadcast

โทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายในช่วง 5-6 ปีหลังจะรองรับ Cell Broadcast โดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการ Android และ iOS เวอร์ชันใหม่ ๆ

ข้อควรรู้:

  • โทรศัพท์ต้องเปิดเครื่องและมีสัญญาณมือถือในช่วงเวลาที่ทดสอบ

  • หากคุณปิดโหมด Cell Broadcast (บางรุ่นสามารถตั้งค่าปิดได้) คุณอาจไม่ได้รับข้อความ

ทำไมคุณควรเปิดรับ Cell Broadcast?

เพราะวินาทีเดียวมีค่าต่อชีวิต

หากเกิดแผ่นดินไหวแรง ๆ หรือสึนามิ การแจ้งเตือนล่วงหน้าแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจช่วยให้คุณตัดสินใจหนีออกจากอาคาร หรือหลบภัยได้ทันท่วงที การเปิดรับข้อความ Cell Broadcast จึงเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับตนเองและครอบครัว

ความแตกต่างระหว่าง Cell Broadcast กับ SMS

หัวข้อ Cell Broadcast SMS ทั่วไป
การกระจายข้อความ ส่งพร้อมกันหลายล้านเบอร์ ส่งทีละหมายเลข
ความเร็ว ภายในไม่กี่วินาที อาจใช้เวลาหลายนาที
ต้องใช้อินเทอร์เน็ต ไม่ต้อง ไม่ต้อง
ต้องสมัครบริการ ไม่ต้อง ต้องลงทะเบียนในบางกรณี
การแจ้งเตือนซ้ำ ไม่เก็บข้อความในกล่องข้อความ อยู่ใน SMS Inbox

ความสำคัญของ Cell Broadcast ต่อการเตือนภัยในไทย

การทดสอบระบบ Cell Broadcast ในวันที่ 2 พฤษภาคมนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบเตือนภัยพิบัติ โดยเฉพาะ “ภัยแผ่นดินไหว” ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

หากคุณคือหนึ่งในคนที่ติดตามข่าวแผ่นดินไหว หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอย่างภาคเหนือและภาคตะวันตก การเปิดรับการทดสอบ Cell Broadcast ครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยทดสอบระบบระดับประเทศ แต่ยังเป็นโอกาสให้คุณเตรียมตัวให้พร้อมต่อเหตุไม่คาดฝันในอนาคต

5 สิทธิ์บัตรเครดิต SCB ที่ควรใช้ให้ทันก่อนเดือนใหม่

ใกล้วันตัดรอบบิลบัตรเครดิตทีไร หลายคนอาจรีบเร่งจ่ายบิล หรือตรวจสอบยอดใช้จ่ายว่าอยู่ในงบหรือไม่ แต่รู้ไหมว่า… คุณอาจพลาดสิทธิประโยชน์ดีๆ จากบัตรเครดิต SCB ที่ใช้ได้เฉพาะในรอบบิลนั้น และถ้าไม่ใช้ให้ทันก่อนวันตัดรอบ ก็เท่ากับ “เสียโอกาส” ไปฟรีๆ โดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาไปดู 5 สิทธิ์ที่ควรใช้ให้ครบก่อนรอบบิลใหม่จะเริ่ม เพื่อให้ผู้ถือบัตรเครดิต SCB ใช้บัตรได้คุ้มที่สุดทุกเดือน

ทำไมสิทธิ์บางอย่างถึงใช้ได้เฉพาะในรอบบิล?

เพราะหลายสิทธิ์ “รีเซ็ต” ตามรอบบัญชี

สิทธิประโยชน์ในบัตรเครดิต SCB หลายรายการจะ นับตามรอบบิล ไม่ใช่ตามเดือนปฏิทิน เช่น:

  • คะแนนสะสม

  • ส่วนลดรายเดือน

  • โปรโมชั่นคืนเงิน (Cashback)

  • สิทธิ์แลกของรางวัล/คูปอง

ถ้าคุณไม่ใช้สิทธิ์ภายในรอบบิลนั้น ๆ สิทธิ์บางรายการอาจหมดอายุ หรือไม่สามารถสะสมข้ามเดือนได้

1. คะแนนสะสม SCB Rewards – ใช้แลกก่อนหมดรอบ!

อย่าปล่อยคะแนนหมดอายุไปโดยเปล่าประโยชน์

หากคุณใช้บัตรเครดิต SCB อย่างสม่ำเสมอ จะมี คะแนนสะสม SCB Rewards เกิดขึ้นตามยอดใช้จ่าย
คุณสามารถนำคะแนนไปแลกเป็น:

  • เครดิตเงินคืนเข้าบัตร

  • ส่วนลดร้านค้า

  • คูปองของขวัญ หรือบัตรของขวัญ

Tips: เช็กคะแนนที่ใกล้หมดอายุในแอป SCB EASY แล้วรีบแลกก่อนรอบบิลจะตัด

2. โปรโมชั่นคืนเงิน (Cashback) รายเดือน – ครบยอดหรือยัง?

ใช้ให้ถึงยอดที่กำหนด เพื่อรับเงินคืนทันทีในรอบถัดไป

บัตรเครดิต SCB บางใบ เช่น SCB UP2ME หรือ SCB Family Plus
จะมีโปรคืนเงินเมื่อใช้จ่ายครบยอด เช่น:

  • ใช้ครบ 5,000 บาท รับคืน 200 บาท

  • ใช้กับร้านอาหารที่ร่วมรายการ รับคืน 10%

หากคุณใช้งบไปแล้วบางส่วน ลองคำนวณว่าใกล้ถึงยอดหรือไม่
ถ้า “ขาดอีกนิด” อาจซื้อของจำเป็นเพิ่มเติม เพื่อรับสิทธิ์คืนเงินในรอบถัดไป

3. สิทธิผ่อน 0% กับร้านค้าร่วมรายการ – รีบใช้ก่อนหมดรอบ

หลายโปรโมชั่นมีเวลาจำกัดภายในรอบบิล

บางร้านค้ามีโปรผ่อน 0% เฉพาะช่วงสิ้นเดือน เช่น:

  • ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า

  • สินค้าไอที

  • แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Shopee, Lazada

หากตั้งใจจะซื้อของชิ้นใหญ่ช่วงปลายเดือน อย่าลืมเช็กว่า:

  • ร้านนั้นร่วมกับ SCB หรือไม่

  • โปรผ่อน 0% หมดวันไหน

  • การรูดในวันนั้นจะเข้าสู่รอบบิลเดิมหรือไม่

4. ส่วนลดพิเศษตามหมวดหมู่ – ใช้ให้ครบก่อนหมดรอบ

SCB มีโปรส่วนลดร้านค้าเฉพาะ “รายเดือน”

เช่น:

  • ส่วนลดร้านอาหาร 10% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร SCB

  • รับส่วนลด Grab หรือ Shopee Food ทุกวันจันทร์

  • ดีลพิเศษกับร้านเสื้อผ้า หรือคาเฟ่ในศูนย์การค้า

ส่วนลดเหล่านี้มักมีโควต้ารอบบิล หากคุณยังไม่ได้ใช้ในเดือนนี้ รีบใช้ก่อนจะรีเซ็ตในรอบใหม่

5. สะสมยอดใช้จ่ายสำหรับแลกรางวัลปลายปี

ใช้จ่ายในรอบนี้ มีผลต่อสิทธิ์ใหญ่ในรอบถัดไป

บัตรเครดิต SCB หลายใบมีแคมเปญ “สะสมยอดใช้เพื่อแลกรางวัลปลายปี” เช่น:

  • ใช้ครบ 100,000 บาทต่อไตรมาส แลกรับบัตรกำนัล

  • ใช้ครบ 50,000 บาท รับสิทธิ์จับรางวัลใหญ่

ถ้าคุณอยู่ในช่วง “ใกล้ถึงเป้า” การใช้จ่ายเพิ่มเล็กน้อยในช่วงปลายรอบบิล
อาจช่วยให้คุณไม่พลาดรางวัลที่เตรียมไว้โดยไม่รู้ตัว

รอบบิลใกล้จะตัด อย่าลืมเช็กสิทธิ์ก่อนเสียโอกาส

ใครที่ถือบัตรเครดิต SCB อยู่ในมือ อย่ารอให้รอบบิลตัดแล้วค่อยมานึกได้ว่า ลืมแลกคะแนน” หรือ “เกือบครบยอดโปร Cashback อยู่แล้วแท้ๆ”

5 สิทธิ์สำคัญที่ควรรีบเช็กปลายรอบบิลคือ:

  1. คะแนนสะสม SCB Rewards ที่ใกล้หมดอายุ

  2. โปรโมชั่นคืนเงินที่ใกล้ครบยอด

  3. โปรผ่อน 0% ที่หมดรอบเร็ว

  4. ส่วนลดพิเศษตามหมวดหมู่

  5. ยอดสะสมเพื่อแลกรางวัลปลายปี

รีบวางแผนใช้สิทธิ์ให้คุ้ม แล้วคุณจะ “ไม่เสียเงิน” และ “ไม่เสียสิทธิ์” ไปฟรีๆ

ใช้บัตรเครดิตยังไง ให้รอดแบบไม่เสียดอกเบี้ยทุกเดือน

ปลายเดือนมักเป็นช่วงที่หลายคนเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่อน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง หรือแม้แต่ค่าอาหาร บัตรเครดิตจึงกลายเป็น “ตัวช่วย” ที่หลายคนหยิบมาใช้ในช่วงนี้

การใช้บัตรเครดิตแบบไม่วางแผนอาจนำไปสู่ภาระหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่คิด ใช้บัตรเครดิตให้รอดในช่วงปลายเดือน โดยไม่ต้องกลัวดอกเบี้ย พร้อม เคล็ดลับวางแผนการใช้จ่าย ที่ใช้ได้จริง

ทำไมการใช้บัตรเครดิตปลายเดือนจึงเสี่ยง?

เพราะหลายคน “รูดก่อน คิดทีหลัง”

ในช่วงที่เงินสดเริ่มร่อยหรอ บัตรเครดิตดูจะเป็นทางรอดแบบไม่ต้องคิดมาก แต่จริงๆ แล้ว…

  • หากรูดบัตรใกล้วันตัดรอบบิล = ต้องจ่ายเร็วขึ้น

  • หากจ่ายไม่เต็มจำนวน = เสียดอกเบี้ยทันที

  • หากผ่อนแบบไม่เข้าใจเงื่อนไข = เจอค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยแฝง

วิธีใช้บัตรเครดิตให้รอดปลายเดือนแบบไม่เสียดอกเบี้ย

1. เข้าใจรอบบิลของบัตรเครดิตคุณ

สิ่งแรกที่ต้องรู้ก่อนใช้บัตรคือ “รอบบิล” หรือวันตัดยอด และวันครบกำหนดชำระเงิน

  • วันตัดยอด: วันที่สรุปยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดในเดือนนั้น

  • วันครบกำหนด: วันที่คุณต้องชำระยอดทั้งหมด (ปกติหลังวันตัดราว 45 วัน)

เคล็ดลับ:
หากคุณรูดหลังวันตัดยอดเพียง 1 วัน คุณจะมีเวลาเกือบ 45 วัน ก่อนต้องจ่ายบิลรอบนั้น

2. ใช้เฉพาะ “บัตรที่มีโปรผ่อน 0%” และไม่เกินความจำเป็น

ปลายเดือนหากจำเป็นต้องซื้อของชิ้นใหญ่ เช่น โทรศัพท์, เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือค่ารักษาพยาบาล
ให้มองหาโปร ผ่อน 0% นาน 3-10 เดือน จากร้านค้าหรือแอปที่ร่วมรายการ

ข้อควรระวัง:

  • ตรวจสอบระยะเวลาผ่อน และยอดขั้นต่ำก่อนรูด

  • เลี่ยงร้านที่คิดค่าธรรมเนียมผ่อนแฝงหรือเรตสูงกว่าปกติ

  • ห้ามผ่อนของฟุ่มเฟือยเพราะเห็นว่า “แค่เดือนละไม่กี่บาท”

3. ห้ามจ่ายขั้นต่ำ ถ้าไม่อยากเสียดอกเบี้ยยาว

การจ่ายขั้นต่ำแม้จะช่วยคุณไม่ผิดนัดชำระ แต่คุณจะถูกคิดดอกเบี้ยทันที จากยอดเต็ม
และหนี้จะสะสมพอกพูนโดยไม่รู้ตัว

แนะนำ:

  • ถ้าจ่ายเต็มไม่ได้จริงๆ ให้จ่ายให้มากที่สุดเท่าที่ไหว

  • พิจารณาเปลี่ยนเป็น “แผนผ่อนพิเศษ” เช่น Flexi Plan หรือ Smart Pay ที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า

4. ใช้คะแนนสะสมแลกเป็นเครดิตเงินคืน (ถ้ามี)

หลายบัตรให้คุณนำ คะแนนสะสม ไปแลกเป็น:

  • เครดิตเงินคืน

  • ส่วนลดยอดใช้จ่าย

  • ของรางวัลหรือคูปองแทนเงินสด

ช่วงปลายเดือนแบบนี้ การใช้คะแนนสะสมให้คุ้มอาจช่วยลดภาระการจ่ายบิลได้พอสมควร
อย่าปล่อยคะแนนหมดอายุไปฟรีๆ!

5. เช็กโปรโมชั่นบัตรก่อนใช้ในร้านค้าหรือออนไลน์

ปลายเดือนอย่ารีบรูดก่อนเช็กโปร เพราะบัตรเครดิตหลายใบมีโปรที่ช่วยคุณได้ เช่น:

  • ส่วนลดค่าอาหาร / ค่าช้อปปิ้ง

  • คืนเงิน (Cashback) เมื่อใช้ครบยอด

  • คะแนนพิเศษเมื่อใช้ตามหมวดหมู่

  • ใช้จ่ายในร้านอาหารที่ร่วมรายการ ได้ส่วนลด 10-20%

  • ช้อปผ่านแอปที่มีโปรร่วมกับบัตร ได้คืนเงิน 5-15%

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อใช้บัตรปลายเดือน

รูดทุกอย่างแบบไม่คิด = หายนะทางการเงิน

สิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด:

  • ใช้บัตรเครดิต “รูดไปก่อน เดี๋ยวค่อยคิด” โดยไม่ดูยอดรวม

  • ผ่อนหลายอย่างพร้อมกันโดยไม่คำนวณรายจ่ายต่อเดือน

  • กดเงินสดจากบัตรเครดิต (Cash Advance) โดยไม่เข้าใจดอกเบี้ย

จำไว้ว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตสูงถึง 16-20% ต่อปี หากพลาดเพียงครั้งเดียว อาจสะสมเป็นภาระระยะยาว

บัตรเครดิตคือเครื่องมือ ไม่ใช่กับดัก ถ้าใช้ให้เป็น

บัตรเครดิตไม่ใช่ศัตรูของคนเงินช็อตปลายเดือน แต่คือ “เครื่องมือทางการเงิน” ที่ใช้ได้ดี หากรู้จักวางแผน

  • วางแผนก่อนใช้
  • รู้รอบบิลก่อนรูด
  • เช็กโปรก่อนจ่าย
  • ผ่อนเท่าที่จำเป็น
  • และอย่าจ่ายขั้นต่ำแบบเรื่อยๆ

ถ้าคุณใช้บัตรเครดิตด้วยความเข้าใจและมีวินัย ช่วงปลายเดือนจะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป

เปรียบเทียบ SCB M, SCB UP2ME และ SCB Family Plus ใช้ปลายเดือน

เมื่อถึงช่วงปลายเดือน หลายคนเริ่มมองหาวิธีผ่อนของชิ้นใหญ่ หรือของใช้จำเป็นโดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อน บัตรเครดิตจึงกลายเป็นผู้ช่วยหลัก โดยเฉพาะถ้ามีโปรโมชั่น ผ่อน 0% หรือ แต้มสะสมคืนเงิน การเลือกบัตรที่ “ตอบโจทย์การผ่อน” จึงสำคัญไม่น้อย

สำหรับผู้ที่กำลังสนใจสมัครบัตรเครดิต SCB บทความนี้จะพาไปเปรียบเทียบ 3 ใบยอดนิยม ได้แก่ SCB M VISA, SCB UP2ME, และ SCB Family Plus
ว่าบัตรไหนเหมาะกับการ “ผ่อนของช่วงปลายเดือน” มากที่สุด และแต่ละใบมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง

ทำไมปลายเดือนถึงควรเลือกบัตรเครดิตให้ดีเป็นพิเศษ?

รอบบิลส่งผลต่อการวางแผนจ่าย

ช่วงปลายเดือนเป็นช่วงที่เงินสดในมือเริ่มจำกัด หากคุณผ่อนของด้วยบัตรที่มีรอบบิลเหมาะสมและโปรโมชั่นผ่อน 0% จะช่วย:

  • ขยายระยะเวลาชำระเงินโดยไม่เสียดอกเบี้ย

  • ควบคุมค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้

  • วางแผนจ่ายงวดแรกให้ตรงกับรายรับเดือนถัดไป

เปรียบเทียบบัตรเครดิต SCB สำหรับการผ่อนของปลายเดือน

รายการเปรียบเทียบ SCB M VISA SCB UP2ME SCB Family Plus
ประเภทผู้ใช้เหมาะสม สายช้อปปิ้งในเครือเดอะมอลล์ สายไลฟ์สไตล์ทั่วไป ครอบครัว, มีรายจ่ายร่วมกัน
สิทธิผ่อน 0% ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ผ่อน 0% กับร้านค้าร่วมรายการ ผ่อน 0% กับพาร์ทเนอร์ และ Flexi Plan
จุดเด่น รับ M Point สูงสุด 4 เท่า, แลกส่วนลด เปลี่ยนหมวดรับคะแนนเองได้ รวมวงเงินเสริมเพื่อคนในครอบครัว
โปรเด่นปลายเดือน M Day ลดเพิ่ม + ผ่อน 0% แต้มพิเศษในหมวดไลฟ์สไตล์ บริหารค่าใช้จ่ายรวมในครอบครัวได้
แอปดูยอด/ผ่อน SCB EASY SCB EASY SCB EASY

 

SCB M VISA – เหมาะสำหรับสายช้อปที่ชอบใช้จ่ายในเครือ The Mall

จุดเด่น:

  • ผ่อน 0% นานถึง 10 เดือนกับร้านค้าในเครือ The Mall Group (Emporium, EmQuartier, Paragon, Gourmet Market)

  • รับ M Point สูงสุด 4 เท่า เมื่อใช้จ่ายในห้าง

  • ส่วนลดพิเศษช่วงปลายเดือน เช่น M Day, M Weekends

  • ใช้ M Point แลกส่วนลดเงินสด หรือชำระแทนเงินสดได้

เหมาะกับใคร?

  • คนที่ช้อปบ่อยในเดอะมอลล์ หรือห้างในเครือ

  • ต้องการผ่อนสินค้าไลฟ์สไตล์และใช้แต้มได้เร็ว

SCB UP2ME – ปรับแต้มให้ตรงใจ ใช้ผ่อนแบบยืดหยุ่น

จุดเด่น:

  • ผ่อน 0% กับร้านค้าร่วมรายการ เช่น Power Buy, Banana, HomePro

  • เลือกหมวดที่ต้องการรับคะแนนพิเศษได้ เช่น ท่องเที่ยว, อาหาร, ช้อปปิ้ง

  • แอป SCB EASY ช่วยแสดงยอดใช้จ่าย และเลือกแผนผ่อนได้สะดวก

เหมาะกับใคร?

  • คนที่ใช้จ่ายหลากหลายหมวด และอยากได้แต้มคืนในหมวดที่ใช้บ่อย

  • ต้องการบัตรที่ใช้ได้ “ทุกที่ ทุกแบบ” พร้อมโปรผ่อนทั่วไป

SCB Family Plus – วางแผนผ่อนทั้งครอบครัวในใบเดียว

จุดเด่น:

  • ใช้ร่วมกับบัตรเสริมให้คนในครอบครัวได้

  • บริหารค่าใช้จ่ายรวมผ่านบัตรหลักได้ในแอปเดียว

  • มีแผนผ่อนพิเศษ (Flexi Plan) สำหรับยอดใช้จ่ายที่ไม่ร่วมโปรผ่อน 0%

เหมาะกับใคร?

  • ครอบครัวที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายร่วม

  • ต้องการผ่อนของเป็นทีม เช่น ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ตั๋วท่องเที่ยว ฯลฯ

เคล็ดลับใช้บัตรเครดิต SCB ผ่อนของปลายเดือนอย่างชาญฉลาด

1. เลือกผ่อนหลังวันตัดรอบบิล

ถ้ารู้ว่าวันตัดยอดคือวันที่ 25 ของเดือน ให้รูดในวันที่ 26 เป็นต้นไป เพื่อให้ยอดนั้นเข้าสู่รอบบัญชีถัดไป คุณจะได้เวลาชำระยาวเกือบ 45 วัน

2. วางแผนงวดผ่อนให้เหมาะกับรายได้

อย่าผ่อนเกิน 15-20% ของรายได้ต่อเดือน เพราะอาจทำให้เงินตึงเมื่องวดผ่อนเริ่มต้น

3. เช็กแอป SCB EASY เสมอ

แอปนี้ช่วยดูยอดใช้จ่าย, ตารางผ่อน, วันที่เริ่มผ่อน และยอดค้างได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณควบคุมงบประมาณได้ดีขึ้น

ปลายเดือนก็ผ่อนได้ ถ้าเลือกบัตร SCB ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์

หากคุณกำลังมองหาบัตรเครดิต SCB ที่เหมาะกับการผ่อนของช่วงปลายเดือน ลองพิจารณา:

  • SCB M VISA ถ้าคุณช้อปในห้างเครือ M เป็นประจำ

  • SCB UP2ME ถ้าอยากปรับแต้มให้ตรงกับพฤติกรรมการใช้

  • SCB Family Plus ถ้าคุณมีครอบครัว และอยากรวมรายจ่ายเพื่อควบคุมง่ายขึ้น

การใช้บัตรเครดิตไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถ้าคุณวางแผน และรู้จักใช้ให้ถูกจังหวะ

สายเที่ยวใช้บัตร UOB แบบไหนคุ้มสุด

ในยุคที่การเดินทางกลายเป็นไลฟ์สไตล์ บัตรเครดิตไม่ใช่แค่เครื่องมือในการใช้จ่ายในประเทศอีกต่อไป แต่ยังเป็นเพื่อนคู่ใจของนักเดินทางในการจองตั๋ว จองโรงแรม ใช้จ่ายในต่างแดน และยังช่วยสะสมไมล์หรือรับสิทธิพิเศษมากมาย

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบัตรเครดิตจาก UOB เพื่อใช้เวลาเดินทางต่างประเทศ บทความนี้จะช่วยคุณเลือกบัตรให้ คุ้มที่สุดกับไลฟ์สไตล์การเที่ยวของคุณ พร้อมแชร์เคล็ดลับการใช้งานให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ทำไมต้องเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะกับการเดินทาง?

ไม่ใช่แค่รูดได้ — แต่ต้องให้ “คืน” กลับมาด้วย

หลายคนอาจคิดว่าบัตรเครดิตใช้กับอะไรก็ได้ แต่ความจริงแล้ว บัตรแต่ละใบออกแบบมาให้เหมาะกับรูปแบบการใช้ที่ต่างกัน เช่น บางใบสะสมไมล์ไว บางใบให้ประกันการเดินทาง หรือบางใบให้ส่วนลดร้านอาหารในสนามบิน

หากคุณเลือกบัตรผิด อาจพลาดสิทธิ์สำคัญ เช่น:

แนะนำ 3 บัตรเครดิต UOB ที่คุ้มที่สุดเมื่อใช้ในต่างประเทศ

1. UOB PriviMiles – บัตรสำหรับนักเดินทางตัวจริง

จุดเด่น:

  • สะสม 1.2 ไมล์/25 บาท เมื่อใช้จ่ายสกุลเงินต่างประเทศ

  • แลกไมล์กับสายการบินชั้นนำ เช่น Thai Airways, Singapore Airlines

  • ฟรีประกันเดินทางสูงสุด 10 ล้านบาท เมื่อจองตั๋วด้วยบัตร

  • ส่วนลดร้านอาหาร และร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน

เหมาะกับใคร?

  • นักเดินทางบ่อย

  • คนที่ต้องการสะสมไมล์เพื่อแลกตั๋วบิน

2. UOB Preferred Platinum – สำหรับคนที่เที่ยวต่างประเทศแบบสายไลฟ์สไตล์

จุดเด่น:

  • รับคะแนนสะสม 3 เท่าในหมวดร้านอาหาร, ความบันเทิง, และช้อปปิ้ง รวมถึงต่างประเทศ

  • ใช้ร่วมกับร้านค้าแบรนด์ระดับโลก และห้าง duty free ได้อย่างคุ้มค่า

  • ค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินต่างประเทศในเรตที่แข่งขันได้

เหมาะกับใคร?

  • คนที่เที่ยวแบบไลฟ์สไตล์ ช้อป-กิน-เที่ยว ครบทุกมุม

  • ผู้ที่ต้องการคะแนนสะสมเพื่อแลกของรางวัลภายหลัง

3. UOB Lady’s Card – สำหรับสายเที่ยวที่ชอบความพรีเมียม

จุดเด่น:

  • คะแนนสะสม 10X ในหมวดหมู่ที่เลือก เช่น ท่องเที่ยว, ความงาม, ช้อปปิ้ง

  • สิทธิ์เข้าใช้บริการ Lounge สนามบินในต่างประเทศบางแห่ง

  • ผ่อน 0% กับการจองตั๋ว/โรงแรมผ่านพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ

เหมาะกับใคร?

  • ผู้หญิงที่เดินทางบ่อยและเน้นบริการที่สะดวกสบาย

  • สายเที่ยวที่ต้องการบัตรใบเดียวใช้ได้ครบทั้งสิทธิพิเศษและคะแนน

>> สมัครบัตรเครดิต UOB อัพเดทล่าสุดที่นี่ <<

เคล็ดลับใช้บัตรเครดิต UOB เวลาเดินทางต่างประเทศให้คุ้ม

1. ใช้จ่ายเป็นสกุลเงินท้องถิ่นเมื่อรูดบัตร

เวลารูดบัตรในต่างประเทศ เครื่องรูดมักถามว่า “จะคิดเป็นเงินบาท (THB) หรือเงินท้องถิ่น (Local Currency)?”
แนะนำให้เลือก เงินท้องถิ่น เพราะ:

  • Rate ดีกว่า

  • ค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน (DCC) จะไม่ถูกบวกเพิ่ม

2. จองตั๋วและโรงแรมผ่านพาร์ทเนอร์ UOB

หลายบัตรของ UOB มีดีลร่วมกับ Agoda, Booking.com หรือสายการบิน ซึ่งคุณจะได้:

  • ส่วนลดเพิ่ม

  • คะแนนสะสมพิเศษ

  • ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน

3. ตรวจสอบวงเงินก่อนเดินทาง

หากเดินทางนานหรือใช้จ่ายมาก แนะนำให้โทรแจ้งธนาคารล่วงหน้าเพื่อ:

  • ขอเพิ่มวงเงินชั่วคราว

  • ป้องกันการระงับบัตรชั่วคราวกรณีระบบสงสัยว่าเป็นการใช้ผิดปกติ

เลือกบัตรให้เหมาะกับ “สไตล์เที่ยว” แล้วทริปต่างประเทศจะคุ้มกว่าที่เคย

ไม่ว่าคุณจะเป็นสายแบ็กแพ็ค สายพรีเมียม หรือสายสะสมไมล์ บัตรเครดิต UOB ก็มีตัวเลือกที่ตอบโจทย์การเดินทางได้อย่างครบครัน ทั้งในเรื่อง คะแนนสะสม, สิทธิประโยชน์พิเศษ, และ ค่าธรรมเนียมที่คุ้มค่า

ก่อนจะออกเดินทางครั้งต่อไป ลองพิจารณาว่า…

“บัตรใบนี้ช่วยให้ทริปของคุณประหยัด และสะดวกขึ้นได้แค่ไหน?”

เพราะบางครั้ง การใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธี อาจทำให้คุณประหยัดเงินได้หลักพัน หรือแม้แต่บินฟรีในทริปถัดไปก็เป็นได้!