สมัครบัตรเครดิต KTC กี่วันรู้ผล? คำตอบพร้อมขั้นตอนการตรวจสอบผลอนุมัติ
ผู้ที่กำลังมองหาบัตรเครดิตดีๆ ที่ให้สิทธิประโยชน์ครบถ้วน KTC คือหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในกลุ่มผู้ใช้บัตรในประเทศไทย แต่หลังจากยื่นสมัครแล้ว คำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ “สมัครบัตรเครดิต KTC กี่วันรู้ผล?” บทความนี้จะอธิบายให้ชัดเจน พร้อมแนะนำวิธีตรวจสอบสถานะ และปัจจัยที่มีผลต่อความเร็วในการอนุมัติ
สมัครบัตรเครดิต KTC กี่วันรู้ผล?
โดยทั่วไปแล้ว ระยะเวลาการพิจารณาผลอนุมัติบัตรเครดิต KTC จะอยู่ที่ประมาณ 3 – 14 วันทำการ ขึ้นอยู่กับวิธีการสมัครและเอกสารที่ผู้สมัครยื่นเข้ามา หากเอกสารครบถ้วนและมีคุณสมบัติเข้าตามเกณฑ์ที่กำหนด การอนุมัติจะรวดเร็วมากขึ้น
ระยะเวลาตามช่องทางการสมัคร
- สมัครผ่านเว็บไซต์ KTC: รู้ผลใน 3 – 5 วันทำการ
- สมัครผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด: ประมาณ 5 – 10 วันทำการ
- สมัครผ่านสาขาหรือเคาน์เตอร์ KTC Touch: ประมาณ 7 – 14 วันทำการ
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาในการอนุมัติ
1. ความครบถ้วนของเอกสาร
หากเอกสารที่ยื่นไม่ครบถ้วน หรือข้อมูลบางส่วนไม่ชัดเจน อาจทำให้ต้องมีการติดต่อลูกค้าเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งส่งผลให้กระบวนการล่าช้า
2. ประวัติเครดิต
KTC จะตรวจสอบข้อมูลจากเครดิตบูโร หากผู้สมัครมีประวัติค้างชำระ หรือเครดิตสกอร์ต่ำ ก็อาจใช้เวลาพิจารณานานกว่าปกติ หรืออาจถูกปฏิเสธได้
3. รายได้และแหล่งที่มาของรายได้
รายได้ประจำ รายได้จากธุรกิจส่วนตัว หรือรายได้จากฟรีแลนซ์ อาจมีเกณฑ์การพิจารณาต่างกัน โดยทั่วไป KTC ต้องการให้รายได้มั่นคง และสามารถพิสูจน์แหล่งที่มาได้
บัตรเครดิต KTC รายได้รวมเริ่มต้น 15,000 บาท สมัครเลย
ตรวจสอบผลการอนุมัติบัตรเครดิต KTC ได้อย่างไร?
หากสมัครผ่านช่องทางออนไลน์ หรือส่งเอกสารผ่านเจ้าหน้าที่แล้ว สามารถตรวจสอบสถานะได้หลายวิธี ดังนี้:
1. โทรสอบถาม Call Center
โทรไปที่ KTC PHONE 02-123-5000 กดตามเมนูเพื่อตรวจสอบผลการสมัคร โดยเตรียมข้อมูลเลขบัตรประชาชนไว้ล่วงหน้า
2. ตรวจสอบผ่าน SMS
KTC จะส่ง SMS แจ้งผลอนุมัติภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่ได้รับอาจโทรสอบถามเพิ่มเติม
3. เช็คอีเมลที่ลงทะเบียนไว้
หากกรอกอีเมลไว้ในใบสมัคร KTC อาจแจ้งผลผ่านช่องทางนี้เช่นกัน
คำแนะนำเพื่อให้อนุมัติไวขึ้น
- ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วนก่อนยื่น
- เตรียมหนังสือรับรองรายได้/สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน
- มีเบอร์โทรที่ติดต่อได้จริง และตอบรับสายเมื่อติดต่อกลับ
- หากเคยมีประวัติค้างชำระ ควรเคลียร์ภาระหนี้ก่อนสมัคร
โดยเฉลี่ยผู้สมัครจะรู้ผลภายใน 3 – 14 วันทำการ หากเตรียมเอกสารและมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ของ KTC ก็มีโอกาสได้รับอนุมัติเร็วขึ้น หากเกินระยะเวลาที่กล่าวไว้แนะนำให้โทรสอบถามสถานะเพื่อความชัดเจน
ตรวจสอบเกษตรกร 68/69 รับเงินช่วยเหลือชาวไร่
อัปเดตแล้ววันนี้เกษตรกร 68/69 ชาวนาต้องรู้ เตรียมเช็ครายละเอียดแจกเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท รับค่าปัจจัย ไร่ละ 500 และ ค่าปรับพื้นที่ไร่ละ 1500 บาท
ตามที่มีมติประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2 มีรายละเอียดการประชุมและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/2569 โดยอธิบดีกรมการค้าภายใน ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการเปิดเผยว่าที่ประชุม นบข. กรณีโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกจข้าวนาปี และ ส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ โดยให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามรายละเอียดด้านล่าง
เงินช่วยเหลือเกษตรกรช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ค่าปัจจัย 500 บาท และ ค่าปรับพื้นที่ไร่ละ 1500 บาท
- สนับสนุนเงินให้กับพี่น้องเกษตรกรอัตรา 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 10 ไร่ หรือเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 วงเงินงบประมาณ 18,967.68 ล้านบาท
- สนับสนุนเงินค่าปัจจัยการผลิตผ่านแอป BAAC Mobile ของธ.ก.ส. ซึ่งสามารถใช้ซื้อปัจจัยการผลิตจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการในอัตรา 500 บาท ต่อไร่ไม่เกิน 10 ไร่ หรือ ค่าปัจจัยไร่ละ 500 บาท วงเงินงบประมาณ 18,967.68 ล้านบาท
- ช่วยเหลือเงินให้เกษตรกรในการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมในอัตรา 1,500 บาทต่อไร่ ประมาณ 1 ล้านไร่ จำนวน 10% ของแต่ละพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม หรือ 9.85 ล้านไร่ หรือค่าปรับพื้นที่ไร่ละ 1,500 บาทวงเงินงบประมาณ 1,500 ล้านบาท รวมวงเงินงบประมาณทั้งหมด 39,435.36 ล้านบาท
ขั้นตอนเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 ค่าปัจจัยไร่ละ 500 และ ค่าปรับพื้นที่ไร่ละ 1,500
เงื่อนไข และ การดำเนินโครงการในกิจกรรมปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมในการปลูกข้าวประกอบการ กษ., พณ., ธ.ก.ส. และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำเสนอ นบข. ก่อนเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป มีมติมอบหมายให้กรมการข้าว และ ธ.ก.ส. จัดทำโครงการ พร้อมหลักเกณฑ์และเงื่อนไข สำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร เสนอผ่านคณะอนุกรรมการด้านการผลิตก่อน เสนอ นบข. และ ครม. พิจาณาต่อไป
เปิดลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่งวันที่ 1 ก.ค. 2568
ล่าสุดเปิดเผยข้อมูลออกมาแล้ว สำหรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง.com พร้อมเปิดให้ประชาชนทั่วไป สมัครลงชื่อในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เวลา 08.00 น. รัฐสนับสนุนสูงสุด 3,000 บาท ต่อคืน สามารถใช้สิทธิเที่ยวจริงวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ปัจจุบันมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวยื่นคำขอผ่าน partner.tat.or.th แล้วกว่า 34,005 ราย สามารถดูเงื่อนไข การใช้สิทธิได้ด้านล่าง
ข้อมูลล่าสุดเปิดเผยโดย รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินโครงการ เที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ในส่วนของการลงทะเบียนผู้ประกอบการ เที่ยไทยคนละครึ่ง ต้องกรอกหนังสือยินยอมให้ธนาคารกรุงไทยตรวจสอบข้อมูล เพื่อป้องกันการหลอกลวง และ แฝงตัวของสถานประกอบการที่ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วน โดยทางธนาคารจะใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 3 วัน ก่อนส่งข้อมูลให้กับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปเผยแพร่ลงบนเว็บไซต์ในวันที่ 30 มิถุนายน 2568
เปิดขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง
- ต้องเป็นโรงแรม/ที่พัก, ร้านอาหาร, สถานที่ท่องเที่ยว, ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการ OTOP, ผู้ประกอบการธุรกิจสปา หรือ นวดเพื่อสุขภาพ, ผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งรถเช่า หรือ เรือเช่าเพื่อการท่องเที่ยว
- ต้องแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการ และ มีคุณสมบัติครบถ้วนผ่านหลักเกณฑ์เงื่อนไข และ ความยินยอมที่ ททท. กำหนด
- มีรายชื่อประกาศบนเว็บไซต์ www.เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com หรือ ผ่านแอปพลิเคชั่น Amazing Thailand
ลงทะเบียนรับสิทธิ สำหรับประชาชนทั่วไป เที่ยวไทยคนละครึ่ง
- นักท่องเที่ยวสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
- สามารถจองและชำระเงินค่าที่พักภายในเวลา 23.00 ของวันเดียวกัน
- สามารถใช้สิทธิ์ได้หลังจากการจองและชำระเงินอย่างน้อย 3 วัน
- วันสุดท้ายของการ check-out ของโครงการ คือวันที่ 31 ตุลาคม 2568
รายละเอียด และ เงื่อนไขการลงทะเบียน สำหรับประชาชน
- มีหมายเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ที่ออกโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
- มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ลงทะเบียน
- เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
- มีแอปพลิเคชั่น ThaID ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้ยืนตัวตน และ เก็บอัตลักษณ์ของผู้สมัครในฐานข้อมูล
- ยินยอมให้ระบบทำการตรวจสอบสิทธิการเข้าร่วมโครงการ ตามเงื่อนไข ททท. ที่กำหนด
อัพเดทสิทธิประโยชน์ เที่ยวไทยคนละครึ่ง
สำหรับสิทธิประโยชน์ของโครงการ เที่ยวไทยคนละครึ่งนั้นทางรัฐบาลจัดสรรสิทธิ์ให้รวม 500,000 สิทธิ์ โดยประชาชน 1 คน สามารถใช้สิทธิได้สูงสุด 5 สิทธิ แบ่งเป็นเมืองหลัก 3 สิทธิ และ เมืองรอง 2 สิทธิ โดยมีวงเงินค่าที่พัก สูงสุด 3,000 บาทต่อคืนต่อห้อง แบ่งตามวันเดินทางตามรายละเอียดด้านล่าง
- วันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) รัฐบาลสนับสนุนให้ 50% ของค่าที่พัก ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน
- วันหยุด (เสาร์-อาทิตย์ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์) รัฐบาลสนับสนุน 40% ของค่าที่พัก ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน
นอกจากนี้ยังมีคูปองมูลค่า 500 บาทต่อ 1 สิทธิ เพื่อใช้จ่ายในร้านอาหาร หรือ ร้านค้าต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญของรัฐบาล ที่สร้างขึ้นผลักดันและกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในทุกภูมิภาค และช่วยให้คนไทยได้พักผ่อนในราคาสุดคุ้ม
กรมที่ดิน ชี้แจงการรับมรดกที่ดิน หรือไม่หากไม่ได้ทำเรื่องโอนมรดก
คำถามที่หลายๆคนกำลังหาคำตอบเกี่ยวกับอายุของมรดกที่ดิน ซึ่งทางกรมที่ดินได้ออกมาชี้แจงแล้วเกี่ยวกับการรับมรดกที่ดิน ว่ามีอายุหรือไม่ สำหรับโฉนดที่ดินที่มีชื่อแม่ หรือ ชื่อพ่อที่เสียชีวิตแล้ว แต่ลูกไม่ได้ไปทำเรื่องรับโอนมรดก
การรับมรดกมีอายุหรือไม่?
ตามหลักกฎหมายพาณิชย์ และ กฎหมายแพ่ง ที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาบังคับในเรื่องการรับมรดก อย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งทายาทสามารถยื่นคำร้อยขอเป็นผู้จัดการมรดกหรือขอรับโอนทรัพย์มรดกได้ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากยังไม่มีบุคคลอื่นเข้ามาโต้แย้งสิทธิ หรือ มีคดีพิพาท เรื่องมรดกเกิดขึ้นก่อน การไม่ไปดำเนินการรับมรดกให้ถูกต้อง อาจจะทำให้เกิดปัญหาพวกข้อจำกัดและปัญหาทางด้านกฎหมายตามมา โดยเฉพาะเมื่อทายาทต้องการทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินเช่น
- ขาย
- โอนให้บุคคลอื่น
- จำนอง
- ขอสินเชื่อโดยใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน
สำหรับที่ดินที่ที่ยังเป็นชื่อของผู้ตายเป็นเจ้าของ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ทางกฎหมาย จนกว่าจะมีการจดทะเบียนรับมรดก และ เปลี่ยนชื่อกรรมสิทธิ์ให้เป็นของทายาทโดยชอบก่อน
UOB PRIVI Miles 2025 vs. UOB KrisFlyer 2025 บัตรไหนตอบโจทย์สายเที่ยว
ในปี 2025 นี้ สายเดินทางจำนวนไม่น้อยกำลังพิจารณาบัตรเครดิตที่สามารถสะสมไมล์ได้อย่างคุ้มค่า ซึ่ง UOB ได้ออกแบบบัตรเครดิตทั้งสองใบที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้คือ UOB PRIVI Miles และ UOB KrisFlyer แต่ละใบมีจุดเด่นและข้อแตกต่างที่น่าสนใจ สำหรับใครที่ยังลังเล บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบเพื่อให้คุณเลือกบัตรที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์มากที่สุด
เปรียบเทียบคุณสมบัติพื้นฐานของบัตร
UOB PRIVI Miles 2025
- สะสมคะแนนทุก 15 บาท = 1 UOB Reward Point
- โอนคะแนนไปยังไมล์สายการบินได้หลากหลาย เช่น KrisFlyer, Asia Miles, Royal Orchid Plus
- ค่าธรรมเนียมรายปี: 4,000 บาท (ยกเว้นเมื่อมียอดใช้จ่ายตามเกณฑ์)
- ไม่มีพันธมิตรสายการบินตายตัว ใช้ได้หลากหลาย
UOB KrisFlyer 2025
- ทุกยอดใช้จ่าย SGD 1 (หรือเทียบเท่า) ได้ 1.2 KrisFlyer Miles (ยอดใช้จ่ายต่างประเทศได้ 2 ไมล์)
- สิทธิพิเศษจาก Singapore Airlines เช่น Priority Check-in, Bonus Miles
- ค่าธรรมเนียมรายปี: ประมาณ 3,000 – 4,000 บาท (แล้วแต่ประเภทบัตร)
- คะแนนจะเข้า KrisFlyer อัตโนมัติ ไม่ต้องโอนเอง
ข้อดีและข้อควรพิจารณา
UOB PRIVI Miles เหมาะกับใคร?
บัตรใบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ความยืดหยุ่นในการแลกไมล์ เพราะสามารถโอนคะแนนไปยังหลายสายการบิน ทำให้เลือกใช้ไมล์ได้ตามเส้นทางบินที่สะดวกที่สุด นอกจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์ด้านท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น บริการห้องรับรองสนามบิน ประกันการเดินทาง และบริการผู้ช่วยส่วนตัว (Concierge)
สมัครบัตรเครดิต UOB อัพเดทล่าสุดที่นี่
UOB KrisFlyer เหมาะกับใคร?
ถ้าคุณเป็นผู้โดยสารประจำของ Singapore Airlines หรือ Scoot บัตรนี้ให้สิทธิพิเศษเฉพาะที่เหนือกว่าชัดเจน เช่น การเพิ่มไมล์พิเศษ (Bonus Miles) เมื่อจองผ่าน SingaporeAir.com และอัปเกรดสถานะ PPS Club หรือ KrisFlyer Elite ได้เร็วขึ้น
การสะสมไมล์และการแลกไมล์
UOB PRIVI Miles
คะแนนที่ได้จะเป็น UOB Reward Point ซึ่งสามารถโอนไปยังไมล์ของสายการบินพาร์ทเนอร์ได้ตามเรต เช่น 1,000 คะแนน = 1,000 ไมล์ โดยอาจมีค่าธรรมเนียมในการโอน 800 – 1,000 บาท ต่อครั้ง แต่เหมาะกับผู้ที่วางแผนเดินทางหลากหลายเส้นทาง
UOB KrisFlyer
คะแนนจะถูกส่งเข้า KrisFlyer Account โดยอัตโนมัติทุกเดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมการโอน แต่ไม่สามารถแลกกับสายการบินอื่นได้นอกจาก Singapore Airlines และพันธมิตร Star Alliance เท่านั้น
ตารางเปรียบเทียบโดยสรุป
| คุณสมบัติ | UOB PRIVI Miles | UOB KrisFlyer |
|---|---|---|
| สะสมไมล์ | 15 บาท = 1 คะแนน | SGD 1 = 1.2 ไมล์ (ต่างประเทศ = 2 ไมล์) |
| สายการบินที่ใช้ได้ | หลายสายการบิน (โอนได้) | Singapore Airlines + Star Alliance |
| ค่าธรรมเนียมรายปี | 4,000 บาท (ฟรีตามยอดใช้จ่าย) | ประมาณ 3,000 – 4,000 บาท |
| ความสะดวก | ต้องโอนเอง | เข้าระบบอัตโนมัติ |
| สิทธิพิเศษอื่น | ห้องรับรองสนามบิน, ประกันเดินทาง | Priority Check-in, Bonus Miles |
เลือกบัตรไหนถึงจะคุ้มค่าที่สุด?
ถ้าคุณต้องการ ความยืดหยุ่น และเดินทางกับหลายสายการบินตลอดปี UOB PRIVI Miles จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าคุณมี Loyalty กับ Singapore Airlines อยู่แล้ว หรือเดินทางไปสิงคโปร์และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นประจำ UOB KrisFlyer จะให้สิทธิพิเศษแบบครบเครื่องและใช้งานได้ง่ายกว่าชัดเจน
โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง เปิดวิธีลงทะเบียนแล้ววันนี้
โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศไทยของเรา ที่ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก กับโครงการที่ใช้ชื่อว่า เที่ยวไทยคนละครึ่ง วันนี้มีการเปิดรายละเอียดวิธีการลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง สำหรับผู้ประกอบการ และ ประชาชน สามารถเข้าสู่ระบบผ่านการโหลดแอปพลิเคชั่น Amazing Thailand ททท. จำกัด 5 แสนสิทธิ กดรับสิทธิได้ทันที โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งสามารถเริ่มเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2568
สำหรับรายละเอียด เช่น รายชื่อท่องเที่ยว เมืองหลัก เมืองรอง ได้รับเงินช่วยเหลือกี่บาท ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินเที่ยวแบบครบจบที่เดียวสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งได้ด้านล่าง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ได้เปิดให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ผ่านทางเว็บไซต์ เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com โดยประเภทผู้ประกอบการที่เปิดรับตามรายละเอียดด้านล่าง
- ร้านอาหาร
- ร้านขายของที่ระลึก
- ร้านค้า OTOP
- แหล่งท่องเที่ยว หรือ กิจกรรมท่องเทื่ยว
- นวดเพื่อสุขภาพ
- รถเช่า / เรือเช่า
- โรงแรม และ ที่พัก
เอกสารที่ต้องใช้สำหรับผู้ประกอบการ
- ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ. 20
- ใบอนุญาตประกอบการของกระทรวงมหาดไทย
- Rate Plan หรือ แผนราคาที่พัก
- เอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนในการลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่งผ่านเว็บไซต์
- เข้าสู่ระบบหน้าเว็บไซต์หลัก เที่ยวไทยคนละครึ่ง
- เลือกประเภทผู้ใช้งานเพื่อดำเนินการต่อ
- สำหรับการเข้าใช้งานครั้งรแกเลือก ยังไม่มีบัญชีกด สมัครสมาชิก
- กรอกข้อมูลสมัครสมาชิก อ่านและกดยอดรับ ข้อกำหนด และเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัวและกด สร้างบัญชี
- กรอกรหัส OTP เพื่อยืนยันเบอร์โทรศัพท์แล้วกด ดำเนินการต่อ
- กรอกข้อมูลผู้ประกอบการแล้วกด ถัดไป
- กรอกข้อมูลกิจการแล้วกด ถัดไป
- อ่านและกดยอมรับว่าได้ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดแล้วกดยืนยันและส่งข้อมูล
- ระบบรับข้อมูลการลงทะเบียนของท่านเรียบร้อยแล้ว
ขั้นตอนการตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 สำหรับผู้ประกอบการ
- เข้าเว็บไซต์ เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com แล้วกดผู้ประกอบการ
- กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ แล้วกดเข้าสู่ระบบ
- หลังจากลงทะเบียนสำเร็จระบบจะแสดงสถานะ กำลังตรวจสอบคุณสมบัติ โดยไม่ต้องดำเนินการใดๆ กรุณารอผลการพิจาณา
ช่องทางการโหลดแอป Amazing Thailand
- ผู้ใช้มือถือระบบ iOS: Amazing Thailand
- ผู้ใช้มือถือระบบ Android: Amazing Thailand
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย vs. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้/เงินฝาก
ในโลกของการเงิน อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่เพียงตัวเลขที่กำหนดโดยธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจประเทศผ่านการตัดสินใจของธนาคารกลาง โดยเฉพาะ “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ที่หลายคนอาจได้ยินผ่านข่าวเศรษฐกิจอยู่บ่อยครั้ง บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รวมถึงวิเคราะห์ความสัมพันธ์และกลไกที่เชื่อมโยงกันระหว่างอัตราทั้งสาม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายคืออะไร?
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Interest Rate) เป็นเครื่องมือหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการกำหนดทิศทางของนโยบายการเงิน เป็นอัตราที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใช้เป็นเป้าหมายในการควบคุมภาวะเศรษฐกิจผ่านการควบคุมต้นทุนการกู้ยืมระหว่างธนาคาร
บทบาทของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระบบเศรษฐกิจ
- ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
- กระตุ้นหรือลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ
- รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท
เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ธปท. อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืม ส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ขณะที่ในสถานการณ์เงินเฟ้อพุ่งสูง ธปท. อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดึงสภาพคล่องออกจากระบบ
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้คืออะไร?
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Loan Interest Rate) คืออัตราที่ธนาคารเรียกเก็บจากผู้กู้เงิน ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือธุรกิจ โดยอัตรานี้จะสะท้อนถึงต้นทุนของธนาคารที่รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ต้นทุนการดำเนินงาน และความเสี่ยงของผู้กู้
ความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
โดยทั่วไป เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวขึ้น ธนาคารพาณิชย์มักจะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นตาม เพราะต้นทุนของธนาคารก็สูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้การกู้เงินในระบบแพงขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง
ในทางตรงกันข้าม หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง ธนาคารอาจทยอยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตาม ทำให้ผู้ประกอบการหรือบุคคลทั่วไปสามารถขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างประเภทของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
- MLR (Minimum Loan Rate): สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี
- MOR (Minimum Overdraft Rate): สำหรับสินเชื่อเบิกเกินบัญชี
- MRR (Minimum Retail Rate): สำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากคืออะไร?
อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit Interest Rate) คือผลตอบแทนที่ธนาคารจ่ายให้แก่ผู้ฝากเงิน เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ธนาคารใช้ในการบริหารสภาพคล่อง โดยอัตรานี้จะเปลี่ยนแปลงตามต้นทุนของธนาคารและการแข่งขันในตลาด
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตามนโยบาย
เมื่อธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารก็จะมีแรงจูงใจในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อรักษาฐานเงินฝากเดิมและดึงดูดเงินฝากใหม่ แต่ในหลายกรณี ธนาคารอาจไม่ปรับขึ้นในทันที เพราะอาจต้องพิจารณาความคุ้มค่าด้านผลตอบแทนและต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย
กลไกการเชื่อมโยง: ดอกเบี้ยนโยบายส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร?
กลไกของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้จบแค่การตัดสินใจของ กนง. แต่จะถูกส่งผ่านไปยังตลาดการเงิน ผ่านอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร ก่อนจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในด้านเงินกู้และเงินฝาก ซึ่งในที่สุดจะส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค การลงทุนของภาคเอกชน และการบริโภคของครัวเรือน
ผลกระทบโดยรวมของการปรับดอกเบี้ย
- การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย = การกู้ยืมแพงขึ้น → ลดการใช้จ่าย → ควบคุมเงินเฟ้อ
- การลดดอกเบี้ยนโยบาย = การกู้ยืมถูกลง → กระตุ้นเศรษฐกิจ
ข้อสังเกต: อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
แม้ว่าจะมีความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่สิ่งเดียวที่กำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดเสมอไป ปัจจัยอื่น เช่น สภาพคล่องในตลาด การแข่งขันระหว่างธนาคาร ความเสี่ยงด้านเครดิต และนโยบายภาครัฐ ก็ล้วนมีบทบาทในการกำหนดระดับดอกเบี้ยเช่นกัน
เข้าใจเพื่อวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
การเข้าใจกลไกของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน เพราะช่วยให้สามารถวางแผนการใช้เงิน การกู้ยืม และการออมได้อย่างเหมาะสมในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
ประกาศสภาพอากาศวันนี้จนถึงเย็นวันพรุ่งนี้ ฝนตก 70%
ตามประกาศจากกรมอุตุฯ ประเทศไทยที่ได้แจ้งก่อนหน้านี้ว่าประเทศไทยจะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ล่าสุดได้ออกมาแจ้งเกี่ยวกับพื้นที่เสี่ยงภัยฝนฟ้าคะนองสูงสุดในวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568 กรมอุตุฯ ได้ออกมาเตือนล่าสุดอีกว่าให้ระวังน้ำท่วมฉับพลัน, น้ำป่าไหลหลาก, ดินถล่ม ซึ่งฝนจะตกหนักถึง 70% ของพื้นที่ ประกาศรายชื่อล่าสุด 49 จังหวัดโดนพายุฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ โดนเต็มๆ
กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกมาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงช้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้ มีฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และ ดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ในส่วนของภาคเหนือ มีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และ ประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉี่ยงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน, ประเทศไทย และ อ่าวไทยที่มีกำลังปานกลาง
สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย มีกำลังปานกลางโดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทย ตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 2 เมตร
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยเวลา 06.00 น. ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้
- สภาพอากาศภาคเหนือ มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- สภาพอากาศภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- สภาพอากาศภาคกลางมีฝนตกร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
- สภาพอากาศภาคตะวันออก มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- สภาพอากาศภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ ส่วนมากที่จังหวัดระนอง พังงา ตรัง และ สตูล
- สภาพอากาศกรุงเทพและปริมณฑล มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่
สิทธิประกันสังคมล่าสุด เงินบำนาญชราภาพ 7,500 โอนแล้ว
ประกันสังคมแจงสิทธิประกันสังคมล่าสุด sso.go.th ส่งเงินสมทบกี่เดือนถึงจะได้รับสิทธิบำเหน็จ-บำนาญ สำหรับผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนแล้ว เงินบำนาญชราภาพ 3,000 – 7,500 บาท โอนล่าสุดของเดือนมิถุนายน 2568 โอนเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้ประกันตน เกษียณอายุ 55 ปีได้รับเงินสูงสุดตลอดชีวิต สำหรับข้อมูลที่ไม่ควรพลาดเกี่ยวกับเงื่อนไขการรับเงินบำนาญชราภาพ รวมไปถึงสูตรคำนวณเงินบำนาญที่จะได้รับสูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน
เงินเข้าวันไหน สำหรับเงินบำนาญชราภาพ มิถุนายน 2568
ผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพ สำนักงานประกันสังคม จะทำการโอนเงินเข้าบัญชีผู้รับเงินภายในวันที่ 25 ของทุกเดือน ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2568 นั้นได้ทำการโอนเงินเข้าบัญชีผู้ที่ได้รับสิทธิไปแล้วในวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ในส่วนของรายละเอียดหากวันที่ 25 ของเดือนนั้นๆ ตรงกับวันหยุดราชการ เสาร์-อาทิตย์ หรือ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ทาง สปส. จะเลื่อนการจ่ายเงินเป็นวันทำการก่อนวันหยุดแทน เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับเงินอย่างต่อเนื่อง สำหรับการยื่นสิทธิประกันสังคมเมื่อไหร่ นั้นสำหรับผู้ที่กำลังจะยื่นขอสิทธิเงินบำนาญชราภาพ หากจะยื่นขอรับสิทธิจะแนะนำให้ทำภายในวันที่ 7 ของเดือนจะได้รับสิทธิในงวดเดือนนั้นทันที หากยื่นหลังวันที่ 7 ของเดือน จะได้รับสิทธิในเดือนถัดไป รวมงวดเดือนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามหากเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ หรือที่เรียกว่าเงินก้อน จะได้รับภายใน 7-10 วันทำการ หลังจากได้รับการอนุมัติส่วนเงินบำนาญชราภาพ หลังจากได้รับการอนุมัติแล้วเงินจะโอนเข้าบัญชีภายในวันที่ 25 ของเดือนถัดไป
คุณสมบัติผู้ที่มีสิทธิรับเงินบำนาญชราภาพ 2568
- ต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
- สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 พนักงานบริษัท หรือมาตรา 39 ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ ต้องสิ้นสุดลง
การได้รับเงินบำเหน็จเงินก้อนหรือเงินบำนาญ รายเดือนตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการส่งเงินสมทบ
- ส่งเงินสมทบน้อยกว่า 180 เดือน หรือ 15 ปี จะได้รับเงินบำเหน็จ เป็นเงินก้อนครั้งเดียว
- ส่งเงินสมทบทั้งแต่ 180 เดือนขึ้นไป จะได้รับเงินบำนาญ เป็นรายเดือนตลอดชีวิต
สูตรคำนวญเงินบำนาญชราภาพ 2568 จ่ายสูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน
ประกันสังคมได้กำหนดสูตรการคำนวญเงินบำนาญชราภาพ โดยเงินบำนาญจะคำนวณจากร้อยละของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ก่อนเกษียณ ซึ่งอัตราเงินบำนาญจะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาการส่งเงินสมทบตามรายละเอียดด้านล่าง
- ส่งเงินสมทบ 15-20 ปีจะได้รับประมาณ 3,000 – 4,125 บาทต่อเดือน
- ส่งเงินสมทบ 21-25 ปีจะได้รับประมาณ 4,350 – 5,250 บาทต่อเดอน
- ส่งเงินสมทบ 26-30 ปีจะได้รับประมาณ 5,475 – 6,375 บาทต่อเดือน
- ส่งเงินสมทบ 31-35 ปีจะได้รับประมาณ 6,600 – 7,500 บาทต่อเดือน
สำหรับใครที่มีคำถามหรือสงสัยเกี่ยวกับรายละเอียด เงินบำนาญชราภาพ สามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1506 สายด่วน 24 ชั่วโมง
สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตน ใช้สิทธิรักษา ยุติการตั้งครรภ์ ไม่ผิดกฎหมาย
สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตน สามารถใช้สิทธิรักษา ยุติการตั้งครรภ์ ไม่ผิดกฎหมาย ที่สถานพยาบาลตามสิทธิ สำหรับสถานพยาบาลกับกรมอนามัย ทำแท้งได้ถูกกฎหมาย เปิดเผยข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม ได้รับทราบข้อมูล ว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ สำหรับการดูแลการให้บริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยในส่วนของงบประมาณส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคและงบประมาณบริการผู้ป่วยใน ซึ่งเป็นการจ่ายให้คนไทยทุกสิทธิการรักษา
ผู้ประกันตนที่มีสัญชาติไทย สามารถใช้สิทธิบริการยุติการตั้งครรภ์ได้ 2 ลักษณะ
- เข้ารับบริการที่สถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนกับกรมอนามัยสามารถใช้สิทธิได้เช่นเดียวกับผู้ที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
- การเข้ารับบริการที่สถานพยาบาลตามสิทธิ กรณีสถานพยาบาลตามสิทธิ ไม่สามารถให้การรักษาได้ ให้ทำการส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามที่กรมอนามัยกำหนด หรือ หากส่งต่อไปยังสถานพยาบาลศักยภาพสูง หรือ สถานพยาบาลอื่น ให้สถานพยาบาลตามสิทธิรับผิดชอบค่าบริการทางการแพทย์ให้กับผู้ประกันตน ส่วนผู้ประกันตนที่ไม่ใช่สัญชาติไทย ให้เข้ารับบริการพยาบาลตามสิทธิ
ในส่วนของกรณีสถานพยาบาลตามสิทธิ ไม่สามารถให้การรักษาได้ ให้ส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามที่กรมอนามัยกำหนด หรือ หากส่งต่อไปยังสถานพยาบาลศักยภาพสูง หรือ สถานพยาบาลอื่น โดยให้สถานพยาบาลตามสิทธิรับผิดชอบค่าบริการทางการแพทย์ให้กับผู้ประกันตน