สิทธิบัตรทอง 30 บาท ไปคลินิกทันตกรรมเอกชนที่ร่วมได้ทุกที่
รักษาฟรี 5 รายการ สำหรับสิทธิบัตรทอง 30 บาท สามารถเดินทางไปคลินิกทันตกรรมเอกชน ที่ร่วม 30 บาทรักษาทุกโลกได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สำหรับทำฟันเทียม, รากฟันเทียม สามารถติดต่อ โรงพยาบาลรัฐประจำอำเภอและโรงพยาบาลรัฐประจำจังหวัดได้ทุกแห่ง
จากข่าวที่ออกมากรณีผู้ป่วยทันตกรรม รับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท เข้ารับบริการทำฟันที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี และ ได้รับแจ้งจากทางเจ้าหน้าที่ว่าต้องรอคิวนานถึง 8 ปี ต่อมาทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้พูดคุยระหว่างผู้ป่วย และ ได้ประสานงานกับสำนักงาน สาธารณสุขจังหวัด โดยจะนำผู้ป่วยเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเนื่องจากสภาวะช่องปากต้องได้การใส่ฟัน
จากการตรวจสอบข่าวที่ออกไปนั้นพบว่า น่าจะเกิดจากข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการบริหารจัดการคิดบริการของโรงพยาบาล แต่ส่วนของระบบบัตรทองนั้น ทางด้านสปสช. ยืนยันในสิทธิประโยชน์บริการทันตกรรมที่ครอบคลุมเพื่อมอบให้กับประชาชนคนไทยผู้มีสิทธิทุกคน แต่ละเคสต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับความยากง่าย ทำให้มีข้อจำกัดในการให้บริการประชาชนเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน
ปัจจุบันมีคลินิกทันตกรรมเอกชนที่ขึ้นทะเบียนในระบบแล้วจำนวน 1,427 แห่งรวมให้บริการ 30 บาท รักษาทุกโรค ที่ครอบคลุมการบริการทันตกรรม 5 รายการ ประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้ปีละ 3 ครั้งตามรายละเอียดด้านล่าง
- อุดฟัน
- ขูดหินปูน
- ถอนฟัน
- เคลือบหลุมร่องฟัน
- เคลือบฟลูออไรด์
สำหรับประชาชนที่ทำฟันเทียม หรือ รากฟันเทียมนั้น ประชาชนสามารถติดต่อรับบริการโดยใช้สิทธิบัตรทองได้ที่ โรงพยาบาลรัฐประจำอำเภอ และ โรงแรมพยาบาลรัฐประจำจังหวัดทุกที่ ในส่วนของสัดส่วนของผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง 30 บาทต่อทันตแพทย์ที่อยู่ในสังกัดโรงพยาบาลของรัฐ เช่น โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข หรือ โรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัย เท่ากับทันตแพทย์ จะต้องดูแลผู้ป่วยบัตรทองในสัดส่วนที่สูงมาก เช่น ทันตแพทย์ 1 คนจะต้องดูแลผู้ป่วนประมาณ 9,150 คน ซึ่งมากกว่าสัดส่วนที่ควรจเป็นถึง 3 เท่า
จากตัวเลขดังกล่าวบอกให้เห็นถึงจำนวนตัวเลขของทันตแพทย์ สำหรับรองรับผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ยังมีไม่เพียงพอ ทำให้เกิดปัญหาการรอคิวในการทำฟันในระยะเวลาที่นาน
เงินเดือน 12,000 สมัครบัตรเครดิตเจ้าไหนดี?
ในปัจจุบัน บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องและมอบสิทธิประโยชน์หลากหลายให้กับผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม เกณฑ์การสมัครบัตรเครดิตส่วนใหญ่มักกำหนดรายได้ขั้นต่ำที่ 15,000 บาทขึ้นไป ทำให้ผู้ที่มีรายได้ 12,000 บาทอาจรู้สึกว่ามีตัวเลือกจำกัด แต่ยังมีบัตรกดเงินสดหลายแห่งที่เปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้ระดับนี้สามารถสมัครได้ พร้อมทั้งมอบสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ
บัตรกดเงินสดที่น่าสนใจสำหรับผู้มีรายได้ 12,000 บาท
1. KTC Proud
จุดเด่น:
- รายได้ขั้นต่ำ: 12,000 บาท
- ค่าธรรมเนียม: ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด
- อัตราดอกเบี้ย: พิเศษ 19.99% ต่อปี (แบบลดต้นลดดอก)
- ระยะเวลาผ่อนชำระ: สูงสุด 60 งวดสำหรับยอดกู้ก้อนแรก
- สิทธิพิเศษ: ผ่อนสินค้า 0% นานสูงสุด 24 เดือน
- การสมัคร: ออนไลน์ รู้ผลอนุมัติภายใน 30 นาที
บัตร KTC Proud เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวงเงินสำรองพร้อมใช้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียม พร้อมทั้งมีโปรโมชั่นผ่อนชำระสินค้าที่น่าสนใจ
2. บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์
จุดเด่น:
- รายได้ขั้นต่ำ: 12,000 บาท
- อัตราดอกเบี้ย: กดเงินสดดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 30 วัน
- สิทธิพิเศษ: ผ่อนสินค้าแบรนด์ดัง 0% นานสูงสุด 36 เดือน
- บริการเพิ่มเติม: Pay Later ใช้ก่อน ผ่อนทีหลัง
บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการผ่อนชำระสินค้าแบรนด์ดัง พร้อมทั้งมีบริการที่ยืดหยุ่นในการชำระเงิน
3. TTB flash
จุดเด่น:
- รายได้ขั้นต่ำ: 10,000 บาท
- ค่าธรรมเนียม: ไม่มีค่าธรรมเนียมเบิกเงินสด แรกเข้า และรายปี
- อัตราดอกเบี้ย: โอนยอดบัตรอื่นมาอยู่ทีทีบี รับดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 13% ต่อปี
- ระยะเวลาผ่อนชำระ: สูงสุด 99 เดือน
- สิทธิพิเศษ: ผ่อนสินค้า 0% สูงสุด 60 เดือน (เฉพาะร้านค้าที่ร่วมรายการ)
TTB flash เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโอนยอดหนี้จากบัตรอื่น เพื่อรับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง พร้อมทั้งมีระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนาน
4. A Money
จุดเด่น:
- รายได้ขั้นต่ำ: 5,000 บาท
- อัตราดอกเบี้ย: เริ่มต้นเพียง 17% ต่อปี สูงสุดไม่เกิน 25%
- วงเงิน: สูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของรายได้
- การสมัคร: ง่าย อนุมัติเร็ว
- การชำระคืน: ขั้นต่ำ 3% ของยอดคงเหลือ หรือไม่ต่ำกว่า 100 บาท
A Money เป็นบัตรกดเงินสดที่เปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงวงเงินสำรองได้ พร้อมทั้งมีอัตราดอกเบี้ยที่แข่งขันได้
รายละเอียดการสมัครบัตรเครดิต UOB แต่ละประเภท
คำแนะนำสำหรับผู้มีรายได้ 12,000 บาท
แม้ว่าบัตรเครดิตส่วนใหญ่จะกำหนดรายได้ขั้นต่ำที่ 15,000 บาท แต่บัตรกดเงินสดที่กล่าวมาข้างต้นเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้มีรายได้ 12,000 บาท เนื่องจากมีเงื่อนไขการสมัครที่ยืดหยุ่นกว่า พร้อมทั้งมอบสิทธิประโยชน์ที่คล้ายคลึงกับบัตรเครดิต
อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของตนเอง และเลือกบัตรที่ตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของตนเอง เพื่อป้องกันปัญหาทางการเงินในอนาคต
สำหรับผู้ที่มีรายได้เพิ่มเติม เช่น ค่าคอมมิชชั่น หรือรายได้เสริมอื่น ๆ ที่ทำให้รายได้รวมเกิน 15,000 บาท อาจพิจารณาสมัครบัตรเครดิตที่มีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้ แต่อย่าลืมรักษาวินัยทางการเงินและชำระเงินตรงเวลา เพื่อรักษาประวัติทางการเงินที่ดี
การเลือกบัตรที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องทางการเงิน และเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ไข้หวัดใหญ่กำลังระบาด โรงพยาบาลไหนฉีดได้บ้าง
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นหนึ่งในวิธีการป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อย่างไรก็ตาม หลายคนที่ไม่มีสิทธิประกันสังคมอาจสงสัยว่าตัวเองสามารถเข้ารับวัคซีนได้ที่ไหนบ้าง และค่าใช้จ่ายจะเป็นอย่างไร วันนี้เราจะพาคุณไปสำรวจสถานที่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับผู้ที่ไม่มีสิทธิประกันสังคม รวมถึงข้อดี-ข้อเสียของแต่ละแห่ง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
1. โรงพยาบาลรัฐ
โรงพยาบาลของรัฐเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในราคาประหยัด แม้ว่าจะไม่มีสิทธิประกันสังคมก็ตาม โดยปกติแล้ว โรงพยาบาลรัฐมักมีโครงการฉีดวัคซีนในราคาที่ถูกกว่าคลินิกเอกชน แต่บางแห่งอาจมีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนวัคซีนที่มีอยู่
ข้อดี:
- ค่าใช้จ่ายถูกกว่าคลินิกเอกชน
- มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง
- มีแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ
ข้อเสีย:
- อาจต้องรอคิวนาน
- ต้องตรวจสอบก่อนว่ามีวัคซีนให้บริการหรือไม่
- บางโรงพยาบาลอาจไม่มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับบุคคลทั่วไป
ค่าฉีดวัคซีนโดยประมาณ: 400 – 800 บาทต่อเข็ม
สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น โรงพยาบาลเอกชนก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ แต่คุณจะได้รับการบริการที่รวดเร็วขึ้น และสามารถเลือกวันเวลาฉีดวัคซีนได้ตามสะดวก
ข้อดี:
- บริการรวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน
- สามารถเลือกวันและเวลาฉีดได้สะดวก
- มีวัคซีนให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ
ข้อเสีย:
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ
- บางแห่งอาจไม่มีโปรโมชั่นสำหรับบุคคลทั่วไป
ค่าฉีดวัคซีนโดยประมาณ: 800 – 1,500 บาทต่อเข็ม
คลินิกเอกชนและศูนย์วัคซีนเฉพาะทางเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยมักมีโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจพิเศษให้เลือก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกและไม่ต้องรอคิวนาน
ข้อดี:
- รวดเร็วและสะดวก
- มีโปรโมชั่นและแพ็กเกจให้เลือก
- มีวัคซีนที่ทันสมัย
ข้อเสีย:
- ราคาอาจสูงกว่ารัฐบาล แต่ไม่สูงเท่าโรงพยาบาลเอกชน
- ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคลินิกก่อนเข้ารับบริการ
ค่าฉีดวัคซีนโดยประมาณ: 600 – 1,200 บาทต่อเข็ม
ปัจจุบันมีร้านขายยาหลายแห่งที่ให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยเภสัชกรที่ผ่านการอบรมสามารถฉีดวัคซีนได้ตามมาตรฐานทางการแพทย์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายและไม่อยากเดินทางไปโรงพยาบาล
ข้อดี:
- สะดวก ใกล้บ้าน
- ค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก
- ไม่ต้องรอคิวนาน
ข้อเสีย:
- อาจไม่มีวัคซีนครบทุกยี่ห้อ
- บางร้านอาจไม่มีบริการฉีดวัคซีนตลอดทั้งปี
ค่าฉีดวัคซีนโดยประมาณ: 500 – 900 บาทต่อเข็ม
ในบางช่วงของปี ภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ อาจมีโครงการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีสำหรับประชาชนทั่วไป แม้คุณจะไม่มีสิทธิประกันสังคมก็ตาม สามารถติดตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข หรือหน่วยงานท้องถิ่นที่อาจมีโครงการฉีดวัคซีนฟรีเป็นระยะ ๆ
ข้อดี:
- ฟรี หรือเสียค่าใช้จ่ายต่ำมาก
- มีความปลอดภัยสูง
- เป็นการสนับสนุนจากภาครัฐ
ข้อเสีย:
- ต้องติดตามข่าวสารและลงทะเบียนล่วงหน้า
- มีจำนวนจำกัด และอาจไม่มีวัคซีนเพียงพอ
- มักจัดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ค่าฉีดวัคซีนโดยประมาณ: ฟรี หรือไม่เกิน 300 บาทต่อเข็ม
หากคุณไม่มีสิทธิประกันสังคม และกำลังมองหาสถานที่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ มีตัวเลือกมากมายให้พิจารณาตามงบประมาณและความสะดวกของคุณ หากต้องการฉีดในราคาประหยัด โรงพยาบาลรัฐและโครงการฉีดวัคซีนของภาครัฐอาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าต้องการความรวดเร็วและสะดวกสบาย โรงพยาบาลเอกชนหรือคลินิกเวชกรรมก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
ไม่ว่าคุณจะเลือกฉีดที่ไหน การได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันโรคและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ดังนั้น อย่าลืมวางแผนและเข้ารับการฉีดวัคซีนตามกำหนดเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของคุณและคนรอบข้าง!
มีบัตรเครดิต ทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้หรือไม่ มีคำตอบ
ถูกถามกันเข้ามาเยอะมาก สำหรับผู้ที่ต้องการทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ตัวเองกลับมีบัตรเครดิตอยู่ในมือ เลยมีคำถามออกมาว่า “คนมีบัตรเครดิต ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 รอบใหม่ได้หรือไม่”
การลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจนรอบใหม่ในปี 2568 นั้นจะเปิดให้ลงทะเบียนรอบใหม่ปลายเดือนมีนาคม 2568 หรือวันที่ 31 มีนาคม 2568 เพื่อคัดกรองกลุ่มเป้าหมาย ที่จะมีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลในทุกๆเดือน
สำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 นั้นจะต้องมีคุณสมบัติตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ทางด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาเปิดเผยในเดือนที่แล้วว่ากำลังพิจารณาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และ เงื่อนไขบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 สำหรับเงื่อนไขบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 ยังไม่ชัดเจน แต่มีการคาดการณ์ออกมาว่าจะไม่ต่างจากปี 2565
คาดการเงื่อนไขสมัครบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568
- ลงทะเบียนรายบุคคล และ ตรวจสอบคุณสมบัติเป็นรายบุคคล และ ครอบครัว
- เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
- มีรายได้คนละไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี หรือภายในครอบครัว มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี
- ทรัพย์สินทางการเงินได้แก่ เงินฝาก พันธบัตร ตราสารหนี้ต่างๆ ต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนหรือในระดับครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปีเช่นเดียวกัน
- ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือที่ดิน เกินจากเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด
- ไม่มีบัตรเครดิต
- ไม่มีวงเงินกู้บ้านตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป
- ไม่มีวงเงินกู้ซื้อรถตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป
- ไม่เป็นภิกษุ สามเณร ผู้ต้องขัง บุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราห์ ข้าราชการ พนักงานราชการ ผู้รับบำเหน็จรายเดือน ผู้รับบำนาญ ข้าราชการการเมือง รวมถึง สส. และ สว.
- กรณีไม่มีครอบครัว ห้องชุดต้องไม่เกิน 35 ตร.ม. และที่ดินที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตร ไม่เกิน 1 ไร่ และ ใช้ในการเกษตร ไม่เกิน 10 ไร่ มีบ้านพร้อมที่ดิน บ้านเดียว ทาวน์เฮาส์ ตึกแถวไม่เกิน 25 ตร.ว. และรวมกันหมดแล้ว พื้นที่การเกษตรไม่เกิน 10 ไร่
มีบัตรเครดิต ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 ได้ไหม?
หากยึดตามเกณฑ์ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565 ผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะต้องไม่มีบัตรเครดิต ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง นั่นหมายความว่า คนที่มีบัตรเครดิต ถึงแม้จะลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 ไปแล้วก็จะไม่ได้รับสิทธิ์เนื่องจากไม่เข้าคุณสมบัติ และหลักเกณฑ์ตามที่กระทรวงการคลังกำหนดเอาไว้ หากมีการเปลี่ยนแปลง หรือ มีความคืบหน้า จะรีบแจ้งให้ทราบ
หุ้นสหรัฐพุ่งสูงปิดบวก 3 วันติด
เกิดขึ้นแล้วสำหรับหุ้นสหรัฐ ที่ทำยอดพุ่งสูงแบบ New High ปิดตลาดแบบบวกมา 3 วันติด ทางด้าน BofA ได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ฟองสบู่อาจจะแตกได้ ซึ่งอาจจะซ้ำรอย Nifty Fifty และ dot-com เนื่อจากสถานการณ์ที่มีหุ้นใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อตลาด อาจจะฉุดดัชนี S&P 500 ให้ดำดิ่งถึง 40%
CNBC ได้ออกมารายงานเกี่ยวกับ ดัชนี S&P 500 ที่มีการปิดตลาดไปในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ที่มีการทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นการปิดตลาดบวกถึง 3 วันติดต่อกัน ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุน เกี่ยวกับความผันผวนทางการค้าทั่วโลก รวมไปถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น บวกกับความตื่นเต้นของนักลงทุนที่ตอนนี้ยังอยู่ในกระแสของ AI เป็นอีกหนึ่งสามารถหลักของฟองสบู่ ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกานั่นเอง
ฤดูกาล ผลประกอบการ จบแล้ว
นักวิเคราะห์หุ้นสหรัฐจาก RBC Capital Markets ได้กล่าวเกี่ยวกับการซื้อของในตลาดหุ้นของอเมริกาว่าตอนนี้ที่หุ้นมีการปิดบวกแบบ 3 วันติด อาจจะเป็นเพราะนักลงทุนกำลังจับต่อดูความเปลี่ยนแปลงของนโยบาบเศษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์ รวมไปถึงรายงานผลประกอบการล่าสุด
ซึ่งฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ได้สิ้นสุดลงแล้วโดยบริษัท 383 แห่ง ในดัชนี S&P 500 มีการรายงานผลประกอบการครบทุกบริษัท เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา จากข้อมูลของ LSEG พบว่า บริษัทเหล่านี้ มีผลประกอบการที่ดีกว่าที่มีการคาดกาณ์เอาไว้
Bank of America เปิดเผยข้อมูล ดีชนี S&P 500 เสี่ยงดิ่ง 40%
จากข้อมูลดังกล่าวทางด้าน Bank of America ได้ออกมาเปิดเผยถึงรายละเอียดเกี่ยวกับหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรก ในสหรัฐอเมริกาดัชนี S&P 500 คิดเป็น 26.4% ของดัชนีทั้งหมด นอกจากนี้หุ้นในกลุ่ม เศรษฐกิจใหม่ ยังมีมูลค่า ตลาดรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่ารวมของดัชนี S&P 500 ถือว่าเป็นสัดส่วนสูงสุดเท่าที่เคยมีมา
สิ่งแรกที่ต้องจับตามองเลยก็คือดัสชี S&P 500 แบบถ่วงน้ำหนักเท่ากันเริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าดัชนีแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด นอกจากนี้ควรพิจารณาลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น Magnificent Seven และ กระจายความเสี่ยงที่ไม่ควรถือหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตเกิน 15%
ขั้นตอนและระยะเวลาการอนุมัติบัตร American Express
American Express หรือ Amex เป็นบัตรเครดิตระดับพรีเมียมที่มีสิทธิประโยชน์มากมาย หลายคนที่ต้องการสมัครอาจมีคำถามว่า “สมัครบัตร American Express กี่วันรู้ผล?” ในบทความนี้ เราจะมารีวิวขั้นตอนการสมัคร รวมถึงระยะเวลาที่ใช้ในการอนุมัติ เพื่อช่วยให้คุณเตรียมตัวสมัครได้อย่างมั่นใจ
American Express มีกี่ประเภท และบัตรแบบไหนที่เหมาะกับคุณ?
ก่อนที่เราจะไปดูระยะเวลาการอนุมัติ มาดูกันก่อนว่า American Express มีบัตรประเภทไหนบ้าง และแต่ละแบบเหมาะกับใคร
ประเภทของบัตร American Express
American Express มีบัตรเครดิตหลายประเภทที่ออกแบบมาให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน เช่น:
- บัตร American Express Platinum – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสิทธิพิเศษในการเดินทางท่องเที่ยวกับสายการบินต่างๆและการเข้าพักโรงแรมระดับหรู
- บัตร American Express Gold – เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้จ่ายในหมวดร้านอาหารและการท่องเที่ยว
- บัตร American Express Cashback – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรับเงินคืนจากการใช้จ่าย
- บัตร American Express Green – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการใช้จ่าย
สมัครบัตร American Express Platinum
ขั้นตอนการสมัครบัตร American Express
เงื่อนไขและคุณสมบัติที่ต้องมี
ในการสมัครบัตร American Express คุณจะต้องมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่กำหนด ได้แก่:
- อายุ 20 ปีขึ้นไป (สำหรับผู้สมัครหลัก)
- มีรายได้ขั้นต่ำตามเงื่อนไขของบัตรแต่ละประเภท
- มีประวัติทางการเงินที่ดี และไม่ติดเครดิตบูโร
ช่องทางการสมัคร
คุณสามารถสมัครบัตร American Express ได้ผ่านช่องทางต่อไปนี้:
- สมัครออนไลน์ – ผ่านเว็บไซต์ของ American Express โดยกรอกข้อมูลและอัปโหลดเอกสารที่จำเป็น
- สมัครผ่านธนาคารพันธมิตร – เช่น ธนาคารกรุงเทพ
- สมัครผ่านเจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย – โดยติดต่อเซลส์ของ American Express เพื่อให้ช่วยดำเนินการสมัคร
สมัครบัตร American Express กี่วันรู้ผล?
ระยะเวลาการพิจารณาอนุมัติ
โดยทั่วไป ระยะเวลาการอนุมัติบัตร American Express จะแบ่งออกเป็น 2 กรณี:
- สมัครออนไลน์ – ใช้เวลาประมาณ 5-7 วันทำการ หากเอกสารครบถ้วน
- สมัครผ่านธนาคารหรือตัวแทน – ใช้เวลาประมาณ 7-14 วันทำการ ขึ้นอยู่กับขั้นตอนภายในของธนาคาร
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาการอนุมัติ
- ความครบถ้วนของเอกสาร – หากเอกสารไม่ครบ อาจต้องใช้เวลานานขึ้น
- ประวัติเครดิตของผู้สมัคร – หากมีประวัติเครดิตดี อาจได้รับการอนุมัติเร็วขึ้น
- กระบวนการตรวจสอบของธนาคาร – ในบางกรณีอาจมีการตรวจสอบเพิ่มเติม ทำให้ใช้เวลานานขึ้น
วิธีเช็คสถานะการสมัคร
หากคุณต้องการตรวจสอบสถานะการสมัครบัตร American Express สามารถทำได้ดังนี้:
- เช็คผ่านเว็บไซต์ – ไปที่เว็บไซต์ของ American Express และเข้าสู่ระบบเพื่อตรวจสอบสถานะ
- ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า – โทรไปที่ Call Center ของ American Express เพื่อสอบถามความคืบหน้า
- เช็คอีเมลหรือ SMS – American Express จะแจ้งผลการสมัครผ่านช่องทางที่คุณให้ข้อมูลไว้
คำแนะนำในการสมัครให้ผ่านเร็วขึ้น
หากคุณต้องการให้การสมัครบัตร American Express ได้รับอนุมัติเร็วขึ้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้:
- เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน – ตรวจสอบเอกสารก่อนส่งเพื่อป้องกันความล่าช้า
- รักษาเครดิตสกอร์ให้ดี – หากมีภาระหนี้มาก ควรเคลียร์หนี้บางส่วนก่อนสมัคร
- เลือกบัตรที่เหมาะกับรายได้ – สมัครบัตรที่ตรงกับระดับรายได้ของคุณเพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติ
- ติดตามผลการสมัคร – หากเกิน 7 วันแล้วยังไม่ได้รับการแจ้งผล ให้ติดต่อ American Express เพื่อติดตาม
การสมัครบัตร American Express โดยทั่วไปใช้เวลา 5-14 วันทำการ ขึ้นอยู่กับช่องทางที่สมัครและความสมบูรณ์ของเอกสาร หากต้องการให้ได้รับผลเร็วขึ้น ควรเตรียมเอกสารให้ครบ ตรวจสอบประวัติเครดิต และติดตามสถานะการสมัครอยู่เสมอ
หากคุณกำลังมองหาบัตรเครดิตที่มาพร้อมกับสิทธิประโยชน์มากมาย American Express เป็นตัวเลือกที่ดีที่ควรพิจารณา หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจขั้นตอนและระยะเวลาการสมัครมากขึ้น!
บัตรเครดิตถูกระงับ ต้องทำยังไง?
บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น แต่หากใช้งานไม่ระมัดระวัง อาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินได้ ฉันเคยประสบปัญหาบัตรเครดิตถูกระงับการใช้งาน และอยากแบ่งปันประสบการณ์นี้เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้อ่านทุกท่าน
สาเหตุที่ทำให้บัตรเครดิตถูกระงับ
ค้างชำระเกินกำหนด
ในช่วงเวลาหนึ่ง ฉันประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้ไม่สามารถชำระยอดบัตรเครดิตตามกำหนดได้ เมื่อค้างชำระเกิน 30 วัน ธนาคารจึงระงับการใช้งานบัตรชั่วคราว หากปล่อยให้ค้างชำระเกิน 90 วัน บัตรอาจถูกระงับถาวร
การใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์
ครั้งหนึ่ง ฉันใช้บัตรเครดิตในการถอนเงินสด ซึ่งมีค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยสูง ธนาคารมองว่าเป็นการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ จึงระงับบัตรเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ประวัติการใช้งานผิดปกติ
ฉันเคยมีการใช้จ่ายยอดสูงผิดปกติในต่างประเทศ โดยไม่ได้แจ้งธนาคารล่วงหน้า ธนาคารจึงสงสัยว่าอาจเป็นการฉ้อโกง และระงับบัตรชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย
วิธีแก้ไขเมื่อบัตรเครดิตถูกระงับ
ติดต่อธนาคารทันที
เมื่อทราบว่าบัตรถูกระงับ ฉันรีบติดต่อธนาคารผ่านหมายเลขบริการลูกค้า เพื่อสอบถามสาเหตุและวิธีแก้ไข
ชำระยอดค้างชำระ
หากสาเหตุเกิดจากการค้างชำระ ฉันดำเนินการชำระยอดที่ค้างทันที บางครั้งธนาคารอนุญาตให้ผ่อนชำระหรือปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้สามารถกลับมาใช้บัตรได้
ยืนยันการใช้งาน
ในกรณีที่ธนาคารสงสัยว่ามีการใช้งานผิดปกติ ฉันต้องยืนยันว่าการใช้จ่ายนั้นเป็นของฉันจริง เพื่อให้ธนาคารปลดล็อกการใช้งานบัตร
ปรับปรุงพฤติกรรมการใช้บัตร
หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ฉันเรียนรู้ที่จะใช้บัตรเครดิตอย่างระมัดระวัง ชำระยอดตรงเวลา และหลีกเลี่ยงการใช้บัตรในลักษณะที่อาจถูกมองว่าเป็นความเสี่ยง
การที่บัตรเครดิตถูกระงับเป็นประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ แต่หากเรารู้สาเหตุและวิธีแก้ไข ก็สามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารกับธนาคารและการปรับปรุงพฤติกรรมการใช้จ่ายเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสถานะบัตรเครดิตให้ใช้งานได้อย่างราบรื่น
รายละเอียดล่าสุด ลงทะเบียนรับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568
เปิดรายละเอียดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐล่าสุด 2568 สำหรับคนที่มีบัตร ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ สามารถเช็คสิทธิ์ได้เลย อายุ 18 ปีไม่ติดรายได้ ลงทะเบียนได้เลย
คำถามที่ถูกถามกันเข้ามากค่อนข้างเยอะก็คือ ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 วันไหน สำหรับวันที่สามารถลงทะเบียนได้ ก็คือเดือน มีนาคม 2568 ทางรัฐบาลจะมีการเปิดให้ประชาชนที่มีสิทธิ ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568
ทางกระทรวงการคลังยังออกมาแจ้งอัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับบัตรคนจน 2568 อีกว่า กลุ่มเดิม สำหรับคนที่มีบัตรแล้ว ไม่ต้องทำการลงทะเบียนใหม่ เพราะว่ารายชื่อนั้นจะถูกเข้าระบบอัตโนมัติ จากการตรวจสอบสิทธิ์ล่าสุด คนไทยที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ไม่ติดรายได้เกิน สามารถเตรียมตัวลงทะเบียนได้เลย รัฐบาลจ่ายเงินเดือน 1,545 บาท
รัฐบาลจ่ายเงินกี่บาท สำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 ให้ค่าอะไรบ้าง
- รัฐจ่ายเงินรวม 1,545 บาทถ้วน
- วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 300 บาทต่อคนต่อเดือน
- วงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ 750 บาท ต่อคนต่อเดือน
- วงเงินส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม 80 บาท ต่อคนต่อ 3 เดือน
- มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา 100 บาท ต่อครัวเรือนต่อเดือน
- มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า 315 บาท ต่อครัวเรือนต่อเดือน
เตรียมตัวลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 รอบใหม่
จากที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ารัฐบาลมีประกาศออกมาว่าจะเปิดให้ประชาชนที่มีสิทธิลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ซึ่งรอบล่าสุดเปิดให้ลงทะเบียนไปในปี 2565 ซึ่งปีนี้เข้าสู่ปีที่ 2 จะมีการลงทะเบียนใหม่อีกครั้ง ทางกระทรวงการคลัง ได้ออกมาแจ้งเปิดให้ประชาชนคนไทย ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 หรือ บัตรคนจนรอบใหม่
ซึ่งช่วงเวลานี้จะครบ 2 ปี หลังจากรอบล่าสุดที่เปิดลงทะเบียน เมื่อปลายปี 2565 เพื่อเป็นการทบทวนคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการใหม่
กลุ่มไหนได้รับเงินจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก่อนเป็นกลุ่มแรกในปี 2568
- กลุ่มเดิม สำหรับคนที่เคยมีบัตรอยู่แล้ว หรือ ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจนซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนทั้งหมด 14.5 ล้านคน เป็นกลุ่มที่ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ย้ำอีกครั้งว่าไม่ต้องทำการลงทะเบียนใหม่ กระทรวงการคลังจะนำชื่อไปคัดกรอกสิทธิโดยอัตโนมัติ
- กลุ่มผู้ลงทะเบียนใหม่ สำหรับคนที่ยังไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั่วไทยมีอยู่ราวๆ 10 ล้านคน คือกลุ่มที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิมาก่อน ซ฿่งมาจากประชาชนที่มีอายุครบ 18 ปี ที่ได้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565 เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ยังคงตรวจพบว่ามีกลุ่มตกหล่นจำนวน 8 แสนคน ที่ยังไม่มายืนยันตัวตน
เลือกบัตรไหนคุ้มค่าสำหรับการเดินทางต่างประเทศ 2025
การเดินทางไปต่างประเทศเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น แต่การจัดการเรื่องการเงินอาจเป็นเรื่องท้าทาย การพกเงินสดจำนวนมากไม่ปลอดภัย และการใช้บัตรเครดิตทั่วไปอาจมีค่าธรรมเนียมสูง บัตร Travel Card จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเดินทางที่ต้องการความสะดวกสบายและความคุ้มค่า ในบทความนี้ เราจะรีวิวบัตร Travel Card ที่ดีที่สุดในปี 2025 เพื่อช่วยคุณเลือกบัตรที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ
บัตร Travel Card คืออะไร?
บัตร Travel Card เป็นบัตรที่ออกแบบมาเพื่อการใช้จ่ายในต่างประเทศโดยเฉพาะ มีลักษณะเป็นบัตรเติมเงิน (Prepaid Card) หรือบัตรเดบิตที่สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศล่วงหน้าได้ ผู้ถือบัตรสามารถใช้บัตรนี้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ หรือถอนเงินสดจากตู้ ATM ในต่างประเทศ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าธรรมเนียมที่สูง
รีวิวบัตร Travel Card ที่น่าสนใจในปี 2025
1. TTB all free: ธนาคารทหารไทยธนชาต
บัตร ttb all free เป็นบัตรเดบิตที่ออกแบบมาเพื่อการใช้จ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาพร้อมกับสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ เช่น
- เครดิตเงินคืน 1% สำหรับทุกการใช้จ่ายออนไลน์ สูงสุด 200 บาทต่อเดือน
- ไม่มีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน 2.5% สำหรับการใช้จ่ายทุกสกุลเงินทั่วโลก
- ฟรีค่าธรรมเนียมการกดเงินสด โอน จ่าย และเติมเงิน ที่ตู้ ATM ทุกธนาคารในประเทศไทย
ค่าธรรมเนียม:
- ค่าธรรมเนียมออกบัตร: 200 บาทต่อใบต่อปี (ไม่เกิน 5 ใบต่อปี)
- ค่าธรรมเนียมรายปี: 250 บาท (ยกเว้นเมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรขั้นต่ำ 30,000 บาทต่อปี)
2. KBank Journey Card: ธนาคารกสิกรไทย
KBank Journey Card เป็นบัตรเดบิตที่ออกแบบมาสำหรับนักเดินทาง มอบสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่า เช่น
- ไม่มีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน 2.5% สำหรับการใช้จ่ายทุกสกุลเงิน
- รับเงินคืน 5% และส่วนลดร้านค้าที่ร่วมรายการ สูงสุด 999 บาท
- บริการห้องรับรองพิเศษ เช่น Miracle Lounge, The Coral Lounge หรือ K Point KLUB (จำกัด 1 สิทธิ์ต่อผู้ถือบัตรต่อปี)
- ฟรีประกันการเดินทางต่างประเทศ สูงสุด 10 วัน จาก AXA
ค่าธรรมเนียม:
- ค่าธรรมเนียมออกบัตรใหม่: 550 บาท
- ค่าธรรมเนียมแรกเข้า: 700 บาท
- ค่าธรรมเนียมรายปี: 550 บาท (ฟรีในปีแรก)
3. YouTrip: ธนาคารกสิกรไทย
YouTrip เป็นบัตรเติมเงินที่รองรับการใช้จ่ายในกว่า 150 สกุลเงินทั่วโลก มาพร้อมกับสิทธิประโยชน์ดังนี้
- ไม่มีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน 2.5% สำหรับการใช้จ่ายในสกุลเงินต่างประเทศ
- อัตราแลกเปลี่ยนพิเศษ ที่สามารถล็อกเรทล่วงหน้าได้
- ฟรีค่าธรรมเนียมการกดเงินสดจากตู้ ATM ต่างประเทศ ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568
- รองรับการชำระเงินผ่าน Google Pay เพื่อความสะดวกสบายในการใช้จ่าย
ค่าธรรมเนียม:
- ค่าธรรมเนียมสมัครและรายปี: ไม่มี
4. Krungsri Boarding Card: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
Krungsri Boarding Card เป็นบัตรเติมเงินที่ออกแบบมาสำหรับนักเดินทาง มีจุดเด่นดังนี้
- อัตราแลกเปลี่ยนพิเศษ สำหรับ 16 สกุลเงินหลัก
- ไม่มีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน 2.5% สำหรับการใช้จ่ายทุกสกุลเงิน
- สามารถล็อกอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าได้ถึง 15 วัน เพื่อความมั่นใจในการใช้จ่าย
ค่าธรรมเนียม:
- ค่าธรรมเนียมสมัครบัตร: 150 บาท (ฟรีเมื่อสมัครผ่านแอป Krungsri และยืนยันเปิดใช้บัตรระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2568 – 30 มิถุนายน 2568)
- ค่าธรรมเนียมรายปี: ไม่มี
วิธีเลือกบัตร Travel Card ที่เหมาะกับคุณ
หากคุณกำลังมองหาบัตร Travel Card ที่เหมาะกับการเดินทางของคุณ ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
1. อัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียม
เลือกบัตรที่มีอัตราแลกเปลี่ยนดีและไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
2. ความสะดวกในการเติมเงิน
บางบัตรสามารถเติมเงินผ่านแอปมือถือได้ง่าย ในขณะที่บางบัตรต้องไปเติมเงินที่ธนาคาร
3. จำนวนสกุลเงินที่รองรับ
หากคุณเดินทางไปหลายประเทศ บัตรที่รองรับหลายสกุลเงินจะช่วยให้คุณไม่ต้องแลกเงินหลายรอบ
4. ความปลอดภัยและฟีเจอร์เสริม
เลือกบัตรที่มีระบบป้องกันการโจรกรรม เช่น ระบบล็อกบัตรผ่านแอป หรือระบบแจ้งเตือนการใช้จ่าย
สรุป: บัตร Travel Card ใบไหนดีที่สุด?
หากคุณต้องการบัตรที่ใช้งานง่ายและไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ttb all free และ SCB Planet Card เป็นตัวเลือกที่ดี
หากต้องการบัตรที่รองรับหลายสกุลเงินและล็อกอัตราแลกเปลี่ยนได้ล่วงหน้า Krungthai Travel Card และ KBank Multi-Currency Travel Card อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า
สุดท้ายแล้ว การเลือกบัตรที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการเดินทางและความต้องการของคุณเอง อย่าลืมศึกษารายละเอียดให้ดีและเลือกบัตรที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุด!
การเลือกบัตร Travel Card ที่เหมาะสมจะช่วยให้การเดินทางของคุณสะดวกสบายและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น แต่ละบัตรมีจุดเด่นและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกัน ควรพิจารณาจากรูปแบบการใช้จ่ายและความต้องการของคุณเอง เพื่อให้การเดินทางครั้งต่อไปเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุด
รายละเอียดการทำสัญญากู้ยืมเงินอย่างถูกต้อง
การจัดทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยปกป้องสิทธิ์ของทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้ เพื่อให้การกู้ยืมเงินเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย บทความนี้จะนำเสนอขั้นตอนและข้อควรพิจารณาในการจัดทำสัญญากู้ยืมเงินอย่างละเอียด
ความสำคัญของสัญญากู้ยืมเงิน
สัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารที่ระบุข้อตกลงระหว่างผู้ให้กู้และผู้กู้ โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินที่กู้ ดอกเบี้ย กำหนดการชำระคืน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การมีสัญญาที่ชัดเจนจะช่วยลดความขัดแย้งและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ข้อควรพิจารณาก่อนทำสัญญากู้ยืมเงิน
-
จำนวนเงินกู้ยืม: หากจำนวนเงินกู้ยืมเกินกว่า 2,000 บาท กฎหมายกำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้
-
อัตราดอกเบี้ย: กฎหมายกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี หากกำหนดเกินกว่านี้ ดอกเบี้ยส่วนที่เกินจะถือเป็นโมฆะ
-
การคิดดอกเบี้ยทบต้น: ห้ามคิดดอกเบี้ยทบต้น ยกเว้นกรณีที่ค้างชำระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และมีการตกลงให้ดอกเบี้ยทบเข้ากับเงินต้น
-
อายุความในการฟ้องร้อง: การฟ้องร้องเรียกเงินตามสัญญากู้ยืมเงินต้องดำเนินการภายใน 10 ปี นับจากวันที่ถึงกำหนดชำระคืน
ขั้นตอนการจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน
การจัดทำสัญญากู้ยืมเงินสามารถทำได้ด้วยตนเอง โดยมีรายละเอียดดังนี้:
-
วันที่ทำสัญญา: ระบุวันที่ที่สัญญาถูกจัดทำขึ้น
-
ข้อมูลของคู่สัญญา: ระบุชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ และข้อมูลติดต่อของผู้กู้และผู้ให้กู้
-
จำนวนเงินกู้: ระบุจำนวนเงินที่กู้ทั้งตัวเลขและตัวหนังสือ
-
กำหนดการชำระคืน: ระบุวันที่หรือระยะเวลาที่ผู้กู้ต้องชำระคืน
-
อัตราดอกเบี้ย: ระบุอัตราดอกเบี้ยที่ตกลงกัน (ไม่เกิน 15% ต่อปี)
-
ลายเซ็น: ผู้กู้และผู้ให้กู้ต้องลงลายมือชื่อในสัญญา
หากต้องการสัญญาที่เรียบง่าย สามารถระบุว่า “นาย A ได้กู้ยืมเงินจากนาย B จำนวน xxx บาท” และลงลายมือชื่อของผู้กู้
ตัวอย่างสัญญากู้ยืมเงิน
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน นี่คือตัวอย่างสัญญากู้ยืมเงิน:
สัญญากู้ยืมเงิน
วันที่: [วันที่ทำสัญญา]
ข้าพเจ้า [ชื่อผู้กู้] อยู่ที่ [ที่อยู่ผู้กู้] ซึ่งต่อไปนี้เรียกว่า “ผู้กู้”
และ [ชื่อผู้ให้กู้] อยู่ที่ [ที่อยู่ผู้ให้กู้] ซึ่งต่อไปนี้เรียกว่า “ผู้ให้กู้”
ทั้งสองฝ่ายตกลงทำสัญญาดังนี้:
-
จำนวนเงินกู้: ผู้ให้กู้ตกลงให้ผู้กู้ยืมเงินจำนวน [จำนวนเงิน] บาท ([จำนวนเงินเป็นตัวหนังสือ])
-
อัตราดอกเบี้ย: ผู้กู้ตกลงชำระดอกเบี้ยในอัตรา [อัตราดอกเบี้ย] ต่อปี
-
กำหนดการชำระคืน: ผู้กู้ตกลงชำระเงินคืนเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยภายในวันที่ [วันที่กำหนด]
ลงชื่อ____________________ ผู้กู้
ลงชื่อ____________________ ผู้ให้กู้
ข้อควรระวังในการทำสัญญากู้ยืมเงิน
-
ตรวจสอบความถูกต้องของสัญญา: ก่อนลงลายมือชื่อ ควรตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดในสัญญาให้ถูกต้อง
-
หลีกเลี่ยงการเซ็นสัญญาเปล่า: ห้ามลงลายมือชื่อในสัญญาที่ยังไม่มีการกรอกข้อมูลครบถ้วน
-
จัดทำสำเนาสัญญา: ควรจัดทำสัญญาอย่างน้อย 2 ฉบับ เพื่อให้ทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้เก็บไว้เป็นหลักฐาน
การจัดทำสัญญากู้ยืมเงินที่ถูกต้องและชัดเจนจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความมั่นใจในการทำธุรกรรมร่วมกัน