เปิดปฎิทินวันหยุดกันยายน 2568
เดือนกันยายนเป็นอีกหนึ่งเดือนที่อยากจะบอกตรงนี้เลยว่ายาวนานมากๆ เป็นอีกหนึ่งเดือนที่มีถึง 5 อาทิตย์ สำหรับมนุษย์เงินเดือนแนะนำให้วางแผนการเงินให้ดีๆ เนื่องจากเป็นเดือนที่ยาวนานมากๆ สำหรับคำถามที่ถูกถามเข้ามากันค่อนข้างมาก ว่าเดือนกันยายน 2568 นั้นมีวันหยุดราชการ, วันหยุดธนาคาร หรือ ไม่ แล้ววันจ่ายเงินเดือนข้าราชการ เงินบำนาญ เบี้ยผู้สูงอายุ รวมไปถึงเงินอุดหนุนบุตร จะตรงกันวันไหนบ้างสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ด้านล่าง
วันหยุดราชการ เดือนกันยายน 2568
- เดือนกันยายน 2568 ไม่มีวันหยุดราชการ ตามปฎิทินวันหยุดประจำปี 2568
วันจ่ายเงินอุดหนุนเลี้ยงดูบุตร เบี้ยเด็ก กันยายน 2568
- วันพุธที่ 10 กันยายน 2568
วันจ่ายเบี้ยสูงอายุ เบี้ยผู้พิการ กันยายน 2568
- วันพุธที่ 10 กันยายน 2568
วันจ่ายเงินเดือนข้าราชการ และลูกจ้างประจำเดือน กันยายน 2568
- รอบที่ 1 วันอังคารที่ 16 กันยายน 2568
- รอบที่ 2 วันพุธที่ 25 กันยายน 2568
เงินบำนาญรายเดือนของผู้รับบำนาญเดือนกันยายน 2568
- วันอังคารที่ 23 กันยายน 2568
วันจ่ายเงินเดือนทหารกองประจำการเดือนกันยายน 2568
- กำหนดจ่ายวันอังคารที่ 5 กันยายน 2568
คนติดแบล็กลิสต์ แก้ไขเครดิตเสียยังไงในปัจจุบัน
หลายคนที่เคยมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี เช่น จ่ายหนี้ล่าช้า หรือไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด อาจถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโร จนกลายเป็น “เครดิตเสีย” และมีผลให้กู้เงินไม่ผ่าน ถูกปฏิเสธจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า หากติดแบล็กลิสต์แล้วจะแก้ยังไงได้บ้าง? บทความนี้จะช่วยไขทุกข้อสงสัย พร้อมแนะแนวทางที่ทำได้จริงเพื่อกลับมามีเครดิตดีอีกครั้ง
เครดิตเสียคืออะไร? ทำไมถึงมีผลกับการกู้
เครดิตเสีย หมายถึง ประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายหนี้ล่าช้า เบี้ยวหนี้ หรือมีการปรับโครงสร้างหนี้ โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้ในระบบเครดิตบูโร ซึ่งธนาคารหรือสถาบันการเงินจะใช้ประกอบการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ
แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีคำว่า “แบล็กลิสต์” ในระบบอย่างเป็นทางการแล้ว แต่หากประวัติการชำระหนี้ไม่ดี ก็มีผลให้ถูกปฏิเสธการกู้สินเชื่อหรือสมัครบัตรเครดิต
วิธีเช็กว่าเครดิตเสียหรือไม่
ตรวจสอบกับเครดิตบูโร
สามารถขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตได้จากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) โดยขอผ่านแอป MyCredit Bureau, ธนาคารที่ร่วมรายการ หรือไปรษณีย์ไทย ซึ่งรายงานจะระบุรายละเอียดประวัติการชำระหนี้ทั้งหมดย้อนหลัง 3 ปี
ติดเครดิตเสีย แก้ยังไงให้กลับมามีเครดิตดี
1. ปิดบัญชีหนี้ค้างให้เรียบร้อย
ขั้นตอนแรกคือชำระหนี้ที่ค้างอยู่ให้หมด ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล หรือผ่อนของ เพราะระบบจะบันทึกว่า “ปิดบัญชีแล้ว” ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อผู้ให้กู้รายใหม่
2. ขอหนังสือรับรองปิดหนี้
เมื่อปิดหนี้เรียบร้อย ควรขอหนังสือรับรองการปิดบัญชีจากเจ้าหนี้ไว้เป็นหลักฐาน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลในเครดิตบูโรได้รับการอัปเดตตามจริง
3. เว้นระยะเวลาให้ประวัติดีขึ้น
ข้อมูลเครดิตจะถูกเก็บไว้ในระบบบูโรนาน 3 ปีนับจากวันที่มีความเคลื่อนไหวล่าสุด ดังนั้นหลังจากปิดหนี้แล้ว ควรเว้นระยะอย่างน้อย 12-24 เดือน โดยไม่มีหนี้ใหม่หรือผิดนัดอีก เพื่อให้โปรไฟล์ทางการเงินกลับมาดีขึ้น
4. สร้างประวัติใหม่อย่างมีวินัย
เริ่มจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ง่าย เช่น บัตรเดบิต บัตรกดเงินสด หรือสมัครบัตรเครดิตร่วมกับบุคคลอื่น (หากมีผู้ค้ำประกัน) และชำระตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ
ติดแบล็กลิสต์ กู้ได้ไหม?
การติดเครดิตเสียไม่ได้หมายความว่ากู้ไม่ได้ตลอดไป หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าในช่วงหลังมีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีขึ้น มีรายได้ประจำ มีการจัดการหนี้อย่างมีวินัย ก็มีโอกาสขอสินเชื่อผ่านได้
ปัจจุบันมีบางสถาบันการเงิน เช่น นาโนไฟแนนซ์ หรือสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำ ที่ยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้กับคนที่มีประวัติเครดิตเสียในอดีต
ข้อควรระวังสำหรับคนที่เคยเครดิตเสีย
- อย่ากู้เงินใหม่จนกว่าจะพร้อมชำระได้จริง
- ไม่ควรใช้วิธีลัด เช่น ปลอมเอกสาร หรือใช้ชื่อบุคคลอื่นเพื่อหลบระบบ
- ระวังมิจฉาชีพอ้างว่า “ลบแบล็กลิสต์ได้” โดยเรียกเก็บค่าบริการสูง ซึ่งมักเป็นกลลวง
เครดิตเสียแก้ได้ แค่มีวินัยและเวลา
การแก้เครดิตเสียไม่ใช่เรื่องยาก หากรู้วิธีที่ถูกต้อง เริ่มจากปิดหนี้ค้างให้หมด รักษาวินัยทางการเงิน และค่อย ๆ สร้างประวัติใหม่ที่ดีขึ้น ซึ่งแม้อาจต้องใช้เวลา แต่ก็จะทำให้คุณสามารถกลับมาเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างมั่นใจในอนาคต
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแจ้งข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับการจ้างงาน
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ได้แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ของปี 2568 พอข้อมูลที่น่าตกใจมากหลายเรื่องเช่น เรื่องหนี้ครัวเรือนของไทยที่ต้องระวัง, แหล่งเงินกู้นอกระบบที่เข้าถึงได้ง่ายผ่านทางออนไลน์ และ ค่านิยมการใช้บริการ ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Pay Later
นอกจากเรื่องที่แจ้งมาด้านบน ยังมีเรื่องที่น่าตกใจไม่แพ้กันเลยก็คือ เรื่องการจ้างงาน ปัจจุบันพบโมเดลการจ้างงาน แบบแรงงานประจำเต็มเวลา ได้เปลี่ยนเป็นแรงงานสัญญาจ้าง และ พาร์ตไทม์ ที่พุ่งสูงแบบผิดปกติในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นสัญญาณการเปลี่ยนทิศทางของตลาดแรงงานไทยที่กำลังดึงประเทศเข้าสู่ยุค งานประจำไม่มั่งคง และ เป็นแรงสั่นทะเทือนไปทั่วระบบเศรษฐกิจ ตัวต้นเรื่องก็คือความโกลาหล และ ความปั่นป่วนของการค้าโลก โดยมีภาษีศุลกากรสหรัฐเป็นตัวเร่ง ทำให้เกิดปัญหากับการส่งออก และเป็นผลทำให้รายได้หด พอรายได้หดชั่วโมงการทำงานก็ลดลง การจ้างงานถาวร ก็ถูกแทนที่ด้วยสัญญาจ้างชั่วคราว ที่จะเลิกจ้างเมื่อไหร่ก็ได้ และนี่เป็นสัญญาณอันตราย รัฐบาลไทยตอนนี้อยู่ในสภาวะ รับแรงกระแทก มากกว่าการตั้งรับ สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างที่เปราะบางของเศรษฐกิจไทย การลดต้นทุนของธุรกิจผ่านการจ้างงานแบบสัญญาอาจจะช่วยพยุงบริษัทในช่วงสั้นๆ แต่ผลข้างเคียงคือ แรงงานจำนวนมากกำลังสุญเสียหลักประกันชีวิตรายได้ไม่มั่นคง และสิทธิแรงงานถูกบั่นทอน บวกกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคย่อมลดลงตามไปด้วย
ปัจจุบันคนไทยไม่กล้าใช้จ่ายเงินเพราะว่ากลัวตกงาน ผลกระทบย้อนไปบีบเศรษฐกิจทั้งระบบ ทำให้เกิดการหดตัวปัญหาขาดแคลนแรงงานต่างด้านยิ่งตอกย้ำความเสี่ยงหนักเพิ่มเข้าำไปอีก และเมื่อแรงงานถูกดึงกลับไปแรงงานต่างด้านหลายแสนคนไม่มีใบอนุญาต ส่งผลให้ภาคการผลิตสั่นคลอนถึงแม้รัฐบาลจะพยายามเปิดประตูรับแรงงานจากชาติอื่น ไม่ว่าจะเป็นจาก ศรีลังกา, เนปาล, ฟิลิปปินส์ และ อินโดนิเซีย แต่ทั้งหมดเป็นเพียงการอุดรอยเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาโครงสร้างงแรงงาน
ถึงแม้ตัวเลขการจ้างงานโดยรวมและอัตราการว่างงานในไทย ไม่ได้ดูแย่ แต่เราไม่ควรย่ามใจ เพราะความจริง คือตัวเลขผู้ว่างานยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บวกกับสัดส่วนงานประจำมั่นคงหดตัวอย่างน่าตกใจ ตอนนี้แรงงานไทยกำลังเจอกับความเปราะบางรอบด้านอย่างที่เราคิดไม่ถึง นี่คือสัญญาณอันตราย และมันอันตรายมากกว่าที่เราคิด
เปิดผ่อนค่าอาหาร และ ค่าน้ำมัน ทำหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น
เปิดเผยข้อมูลจากทางด้านเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และ สังคมแห่งชาติ หรือ สศช. แถลเกี่ยวกับภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดยประเด็นของหนี้ครัวเรือน สำหรับแนวโน้มของหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับที่สูง และแก้ไขได้ยาก เนื่องจากการขยายตัวของหนี้เสียที่อยู่ในระดับสูงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินทำให้ลูกหนี้บางส่วนจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบที่สะดวก สามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่องโหว่ที่ทำให้ลูกหนี้อาจถูกเอาเปรียบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง และ ถูกทวงหนี้ด้วยวิธีที่ผิดกฎหมาย แถมยังมีความเสี่ยงที่อาจจะถูกเอาข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด
นอกจากนี้ยังมีประชาชนจำนวนมากใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือที่เรียกกันว่า BNPL ที่อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว เนื่องจากระบบการให้สินเชื่อ BNPL ไม่ได้เชื่อมโยงกับข้อมูลรายได้ หรือ ภาระหนี้อื่นๆ ของลูกหนี้ ทำให้การพิจาณาให้สินเชื่อจากพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านระบบ BNPL ส่งผลให้ผู้ใช้บางรายได้รับวงเงินสินเชื่อสูงเกินระดับรายได้ แถมยังสามารถนำเงินไปซื้อสินค้า และ บริการอื่นนอกเหนือจาก Platform เช่นการจ่ายค่าอาหารตามร้านอาหาร, การผ่านจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งปกติแล้วควรจะต้องจ่ายเต็มจำนวนมากกว่าการทยอยจ่าย เป็นการสร้างค่านิยมที่ผิด
หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยในไตรมาสที่ 1/2568 ตอนนี้อยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท หดตัวลง 0.1% ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 87.4% จาก 88.4% เมื่อไตรมาสที่ผ่านมา ด้านความสามาระในการชำระหนี้ครัวเรือน ยังคงมีปัญหา สินเชื่อบุคคลค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป หรือ NPLs หรือ หนี้เสียในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีมูลค่า 1.19 ล้านล้านบาท แม้สัดส่วนต่อสินเชื่อรวม 8.78% ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน และสัดส่วนหนี้ NPLs ต่อสินเชื่อรวมลดลงในเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และ สินเชื่อบัตรเครดิต แต่เป็นการลดลงจากการหดตัวของการให้สินเชื่อ ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน กลับมาสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ 4.25% จาก 4.17% ของไตรมาสที่ผ่านมา
BOI แก้กฎหมายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
BOI หรือ Board of Investment ได้เปิดเผยเกี่ยวกับการประชุมนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้มีการเห็นชอบการแก้ไขพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 ที่อยู่ภายใต้ BOI เพื่อเพิ่มเครื่องมือสิทธิ ประโยชน์รูปแบบใหม่ที่ใช้ชื่อว่า เครดิตภาษี
จากมาตรการดังกล่าวทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในการดึงดูดนักลงทุนเป้าหมาย ภายใต้กติกาภาษีใหม่ของโลก หรือ Global Minimum Tax อีกทั้งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรทักษะสูง โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไป ปัจจุบันองค์การเพื่อความร่วมมือกทางเศรษฐกิจและการพัฒนาได้กำหนดกลไกจัดเก็บภาษีขั้นต่ำจากบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้ของทั้งเครือตั้งแต่ 750 ล้านยูโร ต่อปีขึ้นไป ประมาณ 28,000 ล้านบาท ซึ่งเดิมอาจะได้รับสิทธิพิเศษจากประเทศต่างๆ ทำให้อัตราภาษีที่แท้จริง ต่ำกว่า 15% โดย OECD กำหนดให้ประเทศที่รองรับการลงทุนหรือประเทศที่บริษัทแม่ตั้งอยู่สามารถจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม เพื่อให้ครบตามเกณฑ์ภาษีขั้นต่ำ 15%
จากมาตรการดังกล่าวทำให้ประเทศต่างๆทยอยออกกฎหมายเพื่อเก็บภาษีส่วนเพิ่มกับบริษัทข้ามชาติที่มีสาขาอยู่ในประเทศของเรา รวมถึงประเทศไทยที่กระทรวงการคลังได้ออก พ.ร.ก. ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 โดยปัจจุบันมีบริษัทข้ามชาติทีได้รับการส่งเสริมการลงทุนและเข้าข่าวตามกฎหมายดังกล่าว จำนวน 1,500 ราย และบริษัทใหญ่ของไทยประมาณ 100 ราย ในขณะที่ประเทศต่างๆ เริ่มทยอยออกมาตรการบรรเทาผลกระทบของ Global Minimum Tax ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป เพื่อเป็นการรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และจูงใจให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง บีโอไอได้มีการเสนอปรับแก้กฎหมายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่อยู่ภายใต้ BOI เพื่อเพิ่มประสิทธิประโยชน์ใหม่ในรูปแบบเครดิตภาษี หรือ Qualified Refundable Tax Credit ซึ่งเป็นเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนตามแนวทางที่ OECD ยอมรับเพื่อให้ประเทศไทยมีเครื่องมือดึงดูดการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ สามาถรักษาฐานการผลิตในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ควบคู่กับการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และ สร้างการเติมโตของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
ลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายผ่านแอป ทางรัฐได้แล้ววันนี้
วันที่ 25 สิงหาคม 2568 ทางด้านโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ลดรายจ่าย ให้คนไทยได้ใช้ทุกคน เปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน ทางรัฐแล้ววันนี้ ครอบคลุม 13 เส้นทาง 194 สถานี
การลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาท ตลาดสายครั้งนี้ ไม่จำกัดเวลาในการลงทะเบียน และ ไม่จำกัดสิทธิ ไม่จำกัดจำนวน โดยคนไทยที่มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก สามารถลงทะเบียนได้ทุกคน พร้อมให้บริการประชาชนอย่างไร้รอยต่อ ในส่วนของกฎหมายที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการ ทางกระทรวงคมนาคม ได้เสนอไปทั้งหมด 3 ฉบับ โดยสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแล้วเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ การขนส่งทางราง ในวาระที่ 2 และ 3 เป็นที่เรียบร้อย แล้วก่อนจะนำเข้าสู่การพิจารณาสมาชิกวุฒิสภาต่อไป การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม คาดว่าการพิจารณาจะสามารถจบได้ภายในสัปดาห์หน้า และยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมพลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนหลังจากกฎหมายทุกฉบับบังคับใช้
ลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทำได้ฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านแอปฯ ทางรัฐ ขั้นตอนการลงทะเบียน สามารถดูได้ด้านล่าง
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” ลงสมาร์ทโฟน แล้วทำการติดตั้งแอปฯ ให้เรียบร้อย
- เปิดแอปฯ ทางรัฐเพื่อเข้าสู่ระบบ และเลือกลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาท หลังจากนั้นกรอกหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และดำเนินการต่อตามขั้นตอนในแอปฯ จนสำเร็จ
- ระบบจะให้ผูกบัตรโดยสาร ที่เราต้องการนำมาใช้สิทธิเมื่อใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาท
- เมื่อผูกบัตรเสร็จแล้ว ไม่ต้องรอผล เพราะบัตรนั้นจะสามารถใช้สิทธิรถไฟฟ้า 20 บาทได้
- สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันพุธที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป สามารถนำบัตรมาใช้บริการเมื่อขึ้นรถไฟฟ้าได้เลยทันที
รายละเอียดและคุณสมบัติผู้ที่มีสิทธิ์ลงทะเบียน รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
- ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
- มีเลขบัตรประชาชน 13 หลัก
- มีบัตรที่สามารถนำไปผูกกับสิทธิรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ใช้บัตรอะไรได้บ้าง
- กลุ่มบัตร EMV Contactless สำหรับใช้ขึ้น MRT และ Airport Rail Link ยกตัวอย่างเช่น บัตรเดบิต, บัตรเครดิต, Visa, Mastercard ใช้แตะจ่ายของทุกธฯาคาร สังเกตุง่ายๆจะมีสัญลักษณ์ Contactless คล้ายรูปคลื่นบนบัตร สามารถนำไปลงทะเบียนผู้บัตรเข้ากับสิทธิรถไฟฟ้า 20 บาทได้
- บัร Mangmoom EVM หากไม่มีบัตรเดบิต หรือ บัตรเครดิต สามารถไปซื้อบัตรโดยสาร MRT ที่เรียกว่า Mangmoom EMV บัตรแมงมุม มาใช้แทนได้ ณ ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT
- กลุ่มบัตร Rabbit Card สำหรับใช้ขึ้น BTS บัตรแรบบิท เป็นบัตรโดยสารแรบบิทที่หลายคนคุ้นเคยดี ใครที่มีอยู่แล้ว สามารถนำไปลงทะเบียนใช้สิทธิรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายได้เลย แต่หากไม่มีก็สามารถไปซื้อได้ ณ ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารของสถานีรถไฟฟ้า BTS
พายุคาจิกิเข้าไทย กรมอุตุฯแจ้งเตือน ฝนตกทั่วไทยร้อยละ 70
กรมอุตุพยากรณ์อากาศวันที่ 25 สิงหาคม 2568 พายุคาจิกิ เข้าไทยเตือนฝนตกหนักทั่วพื้นที่ สำหรับพื้นที่ กทม. ฝนตกหนักมากร้อยละ 70 ของพื้นที่ คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน อ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง
ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และ อ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดือนเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้
พายุใต้ฝุ่น คาจิกิ (Kajiki) เคลื่อนตัวจากทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน และ จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนในวันที่ 25 สิงหาคม 2568 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเคลื่อนเข้าสู่ประเทศลาวในช่วงเช้าวันที่ 26 สิงหาคม 2568 พายุนี้มีแนวโน้มที่อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงและเคลื่อยเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดน่านในช่วงเย็นของวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และ ภาคเหนือในช่วงวันที่ 25-27 สิงหาคม 2568
พยากรณ์อากาศจากกรมอุตุฯ สำหรับประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้
- กรุงเทพฯ มีฝนตกร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งส่วนมากระหว่างบ่ายถึงค่ำ
- ภาคเหนือ มีฝนตกร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีลมแรง และ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีลมแรง และ มีฝนตกหันกถึงหนักมากบางแห่ง
- ภาคกลาง มีฝนตกหนักร้อยละ 70 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- ภาคตะวันออกออก มีฝนตกหนักร้อยละ 60 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง
- ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกร้อยละ 70 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง
ขั้นตอนการทำบัญชีรายรับ รายจ่ายแบบใช้ได้จริง
การทำบัญชีรายรับรายจ่ายไม่ใช่เรื่องซับซ้อน หากจัดระบบให้ดีตั้งแต่ต้น ข้อมูลที่ได้จะช่วยควบคุมการใช้เงิน วางแผนงบประมาณ และเห็นพฤติกรรมการเงินอย่างชัดเจน บทความนี้สรุป “5 ขั้นตอนหลัก” ที่ทำตามได้ทันที เหมาะทั้งสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้ที่อยากยกระดับการบันทึกให้เป็นระบบมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 1 ตั้งเป้าหมายและขอบเขตการบันทึก
การเริ่มต้นที่ถูกต้องคือกำหนด “ทำไปเพื่ออะไร” และ “จะครอบคลุมอะไรบ้าง”
กำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้
ตัวอย่างเช่น ลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นลง 15% ภายใน 3 เดือน เก็บเงินฉุกเฉินให้ครบ 6 เท่าของรายจ่าย หรือเพิ่มอัตราออมจาก 10% เป็น 20% ของรายได้ เป้าหมายที่ชัดช่วยให้มีวินัยและรู้ว่าข้อมูลแบบไหนจำเป็น
ระบุขอบเขตให้ชัดเจน
แยกบัญชีส่วนตัว บัญชีครอบครัว และบัญชีกิจการ (ถ้ามี) ไม่ควรปนกัน เพราะจะทำให้วิเคราะห์ผิดพลาด การตั้งขอบเขตยังช่วยกำหนดรายละเอียดที่ต้องเก็บ เช่น รายจ่ายบ้าน รถ ภาษี หรือค่าใช้จ่ายธุรกิจ
ขั้นตอนที่ 2 เตรียมเครื่องมือและหมวดหมู่
เมื่อรู้เป้าหมายแล้ว เลือกวิธีบันทึกและวางโครงสร้างข้อมูลให้เป็นมาตรฐาน
เลือกเครื่องมือที่ถนัด
ตัวเลือกที่นิยมได้แก่ สมุดบัญชี, Excel/Google Sheets หรือแอปบันทึกรายรับรายจ่าย จุดสำคัญคือ “อัปเดตง่ายและเปิดดูสะดวก” เพราะความต่อเนื่องสำคัญที่สุด
วางหมวดหมู่รายรับ–รายจ่าย
รายรับ: ประจำ (เงินเดือน), ไม่ประจำ (โบนัส/ฟรีแลนซ์)
รายจ่ายคงที่: ค่าเช่า, ผ่อนบ้าน/รถ, ประกัน
รายจ่ายผันแปร: อาหาร, เดินทาง, ความบันเทิง, ของใช้
หมวดออม/ลงทุน: เงินออม, กองทุน, หุ้น
หมวดพิเศษ: ภาษี, ของขวัญ, งานซ่อมฉุกเฉิน
การตั้งหมวดที่เหมาะกับวิถีชีวิต จะช่วยให้วิเคราะห์ได้อย่างมีความหมาย
กำหนดฟิลด์ข้อมูลขั้นต่ำ
อย่างน้อยควรมี วันที่, รายการ, หมวด, ช่องทางจ่าย, จำนวนเงิน, หมายเหตุ การใช้รูปแบบเดิมทุกครั้งทำให้นำไปสรุปผลหรือทำกราฟได้ง่าย
ขั้นตอนที่ 3 บันทึกอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง
ข้อมูลดีมาจากการบันทึกที่ต่อเนื่อง
ใช้กฎ “ภายใน 24 ชั่วโมง”
บันทึกทุกธุรกรรมภายในวันเดียวกัน ลดโอกาสลืม รายการเล็ก ๆ อย่างคาเฟ่หรือค่าทางด่วน มักเป็นตัวทำให้ยอดเพี้ยน
แนวทางป้องกันตกหล่น
เก็บใบเสร็จไว้ในซองเดียวกันทุกวัน ใช้โน้ตในมือถือถ่ายรูปสลิปชั่วคราว แล้วค่อยลงในไฟล์หลักตอนเย็น ตั้งแจ้งเตือนประจำเวลา 21:00 น. เพื่อเคลียร์รายการรายวัน
บันทึกรายรับให้ครบ
หลายคนใส่ใจเฉพาะรายจ่ายแต่ลืมรายรับไม่ประจำ เช่น ขายของมือสอง เงินคืนภาษี หรือเงินปันผล การบันทึกส่วนนี้ช่วยคำนวณกระแสเงินสดจริงได้แม่นยำ
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบ ปรับยอด และสรุปรายเดือน
เมื่อมีข้อมูล ควร “ปิดงวด” ทุกสิ้นเดือนเพื่อรู้ภาพรวม
เทียบยอดกับบัญชีธนาคาร/ e-Wallet
ดึงรายการเดินบัญชี (Statement) มาเช็กกับข้อมูลที่บันทึก หากมียอดไม่ตรง ให้ตรวจที่วันที่ รายการซ้ำ หรือยอดที่หายไป เสร็จแล้วลงบันทึกเป็น “ยอดปรับปรุง” เพื่อให้ยอดเงินสดตรงจริง
สรุปตัวเลขสำคัญ
รวมรายรับทั้งหมด รายจ่ายทั้งหมด ยอดคงเหลือ อัตราออม (เงินออม ÷ รายรับ) และสัดส่วนรายจ่ายคงที่/ผันแปร ข้อมูลชุดนี้ทำให้เห็นชัดว่าเงินรั่วไหลอยู่ตรงไหน
ตั้ง KPI การเงินส่วนตัว
ตัวอย่าง KPI ที่ใช้ได้จริง:
-
อัตราออม ≥ 20% ของรายได้
-
รายจ่ายผันแปร ≤ 50% ของรายได้
-
ยอดหนี้ต่อรายได้ ≤ 35%
เมื่อสรุปทุกเดือนจะเห็นแนวโน้ม และตัดสินใจได้จากข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึก
ขั้นตอนที่ 5 วางแผนงบประมาณและต่อยอดสู่การออม–ลงทุน
ข้อมูลย้อนหลังจะมีคุณค่าที่สุดเมื่อถูกนำไปใช้วางแผนเดือนถัดไป
ตั้งงบแบบ “ฐานจริง”
ใช้ค่าเฉลี่ย 3 เดือนล่าสุดเป็นฐาน ตั้งงบรายหมวด เช่น อาหาร 7,000 เดินทาง 2,500 ความบันเทิง 1,500 และกันเงินออมก่อนใช้ (Pay yourself first) ทันทีที่เงินเข้าบัญชี
ใช้เทคนิคซองงบประมาณ/บัญชีย่อย
โอนเงินแยกบัญชีหรือใช้ e-Wallet แยกตามหมวด เมื่องบหมดถือว่าหยุดจ่าย วิธีนี้ลดการใช้เงินเกินงบได้ผลมากในรายจ่ายผันแปร
อัปเกรดสู่แผนออม–ลงทุน
แบ่งเงินคงเหลือไปยังเงินสำรองฉุกเฉิน (3–6 เท่ารายจ่าย) จากนั้นค่อยจัดพอร์ตลงทุนตามระดับความเสี่ยง ระบุวันทบทวนพอร์ตทุกไตรมาส และบันทึกผลตอบแทนไว้ในไฟล์เดียวกับบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อดูความคืบหน้า
เคล็ดลับใช้งานให้ได้ผลระยะยาว
ทำให้ง่ายและเป็นนิสัย
เลือกวิธีที่ทำได้ทุกวัน ไม่ต้องสวยงามแต่ต้องต่อเนื่อง เริ่มจากหมวดน้อย ๆ แล้วค่อยเพิ่มเมื่อชำนาญ
ใช้กฎ 1% และรายการตัดทิ้ง
มองหาค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ ที่รวมกันเกิน 1% ของรายได้ต่อเดือน แล้วทดลองตัดทิ้ง 30 วัน บันทึกผลกระทบก่อน–หลัง จะเห็นตัวเลขชัดว่าคุ้มค่าหรือไม่
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีเลี่ยง
บันทึกไม่ครบหรือไม่สม่ำเสมอ
แก้ด้วยการตั้งเวลาตายตัวและใช้เช็กลิสต์รายวัน (บิลเงินสด, โอน, บัตรเครดิต) พร้อมสัญลักษณ์ ✔ เมื่อลงครบ
หมวดหมู่เยอะเกินไป
เริ่ม 8–12 หมวดก็พอ หากหมวดไหนยอดน้อยและไม่ช่วยวิเคราะห์ให้รวมกับหมวดใหญ่
การทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้ได้ผล ไม่ได้วัดกันที่ความซับซ้อน แต่ที่ “วินัยและระบบ” ทำตาม 5 ขั้นตอน—ตั้งเป้าหมาย > เตรียมเครื่องมือและหมวดหมู่ > บันทึกสม่ำเสมอ > ตรวจสอบและสรุป > วางแผนงบและออม–ลงทุน—ก็จะเห็นเงินชัดขึ้น ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล และขยับเข้าใกล้เป้าหมายการเงินได้ทุกเดือน หากต้องการ ฉบับถัดไปสามารถจัดทำเทมเพลตบันทึก (พร้อมสูตรคำนวณอัตโนมัติ) ให้ใช้งานต่อได้ทันที.
ต้องการใช้เงินด่วน ขอสินเชื่อที่ไหนดี?
เมื่อชีวิตต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน ค่าเทอมลูก หรือเหตุการณ์เร่งด่วนอื่น ๆ ที่ต้องใช้เงินทันที “สินเชื่อเงินด่วน” จึงกลายเป็นตัวช่วยที่หลายคนมองหา แต่คำถามสำคัญคือ… ขอสินเชื่อที่ไหนดี? ถึงจะได้วงเงินไว อนุมัติง่าย และดอกเบี้ยไม่แรงจนเกินไป
เข้าใจประเภทสินเชื่อเงินด่วนก่อนตัดสินใจ
1. สินเชื่อส่วนบุคคล
เหมาะกับคนที่มีรายได้ประจำและต้องการกู้เงินก้อนเพื่อนำไปใช้ตามความจำเป็นต่าง ๆ โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จุดเด่นคือวงเงินสูง ผ่อนสบาย 12-60 เดือน แต่จะมีขั้นตอนอนุมัติที่ใช้เวลา 1-3 วัน
2. สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์
เป็นสินเชื่อเพื่อผู้มีอาชีพอิสระ เช่น พ่อค้าแม่ค้า หรือฟรีแลนซ์ที่ไม่มีสลิปเงินเดือนอย่างเป็นทางการ จุดเด่นคือยืดหยุ่น ไม่ต้องใช้เอกสารเยอะ วงเงินอาจไม่สูงมากแต่เหมาะสำหรับกรณีเร่งด่วน
3. แอปสินเชื่อดิจิทัล (ถูกกฎหมาย)
เหมาะกับคนที่ต้องการใช้เงินทันทีในไม่กี่นาที เช่น LINE BK, Dolfin Money, TrueMoney Wallet เพราะรู้ผลไวมากภายในไม่กี่ชั่วโมงผ่านแอป และใช้เพียงบัตรประชาชนพร้อมบัญชีธนาคารที่ผูกไว้
เปรียบเทียบสินเชื่อเงินด่วนที่น่าสนใจในปี 2568
1. LINE BK – สินเชื่อเงินด่วนโอนเข้าบัญชี
- วงเงิน: สูงสุด 800,000 บาท
- จุดเด่น: อนุมัติเร็วใน 24 ชม. ไม่ต้องใช้สลิปเงินเดือน
- ดอกเบี้ย: เริ่มต้น 18% ต่อปี
- เหมาะกับ: พนักงานประจำหรือฟรีแลนซ์ที่ใช้บัญชี KBank
2. SCB Xpress Loan – สินเชื่อส่วนบุคคลยอดนิยม
- วงเงิน: สูงสุด 2,000,000 บาท
- จุดเด่น: ผ่อนสูงสุด 72 เดือน อนุมัติไวภายใน 1 วัน
- ดอกเบี้ย: เริ่มต้น 9.99% ต่อปี
- เหมาะกับ: พนักงานประจำที่มีรายได้ชัดเจน
3. Dolfin Money by KBank
- วงเงิน: สูงสุด 1,000,000 บาท
- จุดเด่น: ยื่นขอผ่านแอป Dolfin ได้เลย รู้ผลในไม่กี่นาที
- ดอกเบี้ย: เริ่มต้น 18% ต่อปี
- เหมาะกับ: ผู้ใช้แอป Dolfin และบัญชีธนาคารกสิกร
4. Shopee Money Loan (ภายใต้บริษัทในเครือ SCB)
- วงเงิน: สูงสุด 50,000 บาท
- จุดเด่น: อนุมัติไวมาก เน้นผู้ขายและผู้ซื้อใน Shopee
- ดอกเบี้ย: คงที่ 25% ต่อปี
- เหมาะกับ: ผู้ใช้งานแอป Shopee เป็นประจำ
5. Krungthai NEXT Personal Loan
- วงเงิน: สูงสุด 1.5 ล้านบาท
- จุดเด่น: ไม่มีค่าธรรมเนียมขอยื่น รู้ผลภายใน 24-48 ชม.
- ดอกเบี้ย: เริ่มต้น 15% ต่อปี
- เหมาะกับ: พนักงานที่มีบัญชีเงินเดือนผ่านกรุงไทย
วิธีเลือกสินเชื่อให้เหมาะกับสถานการณ์
1. ดูความเร่งด่วนของเงิน
หากต้องการใช้เงินภายในไม่กี่ชั่วโมง ควรเลือกแอปสินเชื่อที่อนุมัติไว เช่น LINE BK หรือ Dolfin Money แต่หากสามารถรอได้ 1-2 วันเพื่อให้ได้วงเงินมากขึ้น สินเชื่อส่วนบุคคลจะเหมาะกว่า
2. ตรวจสอบรายได้และเครดิตของตนเอง
ผู้ที่มีสลิปเงินเดือน รายได้ประจำ และประวัติเครดิตดี จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำได้มากกว่าผู้ที่ไม่มีเอกสารทางการเงิน
3. เปรียบเทียบดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม
อย่าดูแค่วงเงิน แต่ให้พิจารณาดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกหรือดอกเบี้ยคงที่ รวมถึงค่าธรรมเนียมรายปีหรือค่าทำสัญญา
4. เลือกแหล่งที่เชื่อถือได้
อย่าขอสินเชื่อจากแหล่งเงินกู้นอกระบบที่ไม่ถูกกฎหมาย แม้จะอนุมัติง่าย แต่เสี่ยงต่อการโดนโกงหรือดอกเบี้ยมหาโหด
คำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการใช้เงินด่วน
- เตรียมเอกสารให้พร้อม เช่น สำเนาบัตรประชาชน รายการเดินบัญชี หรือสลิปเงินเดือน
- เช็กเครดิตบูโรของตนเองก่อน เพื่อรู้สถานะว่าอยู่ในเกณฑ์กู้ได้หรือไม่
- อย่ากู้เกินความสามารถในการผ่อนชำระ แนะนำให้ผ่อนคืนไม่เกิน 30% ของรายได้ต่อเดือน
- ติดตามโปรโมชั่นพิเศษจากธนาคารหรือแอปต่าง ๆ เช่น ดอกเบี้ย 0% หรือฟรีค่าธรรมเนียม
ขอสินเชื่อเงินด่วนที่ไหนดี ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความต้องการ
คำตอบของคำถามว่า “ต้องการใช้เงินด่วน ขอสินเชื่อที่ไหนดี?” ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น รายได้ ความเร่งด่วน วงเงินที่ต้องการ และประวัติเครดิตของแต่ละคน หากอยากได้เงินภายในไม่กี่นาที แอปสินเชื่ออย่าง LINE BK หรือ Dolfin เป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากอยากได้วงเงินสูงและดอกเบี้ยต่ำ ควรเลือกสินเชื่อส่วนบุคคลจากธนาคารหลัก ๆ
อย่าลืมว่า การขอสินเชื่อคือการสร้างภาระในอนาคต จึงควรตัดสินใจด้วยความรอบคอบและมีแผนการใช้เงินที่ชัดเจนเสมอ
ปรับสูตรคำนวณ เงินบำนาญชราภาพ ตั้งกติกาเปลี่ยนผ่านได้มากกว่าเดิม
ประกันสังคมแจ้งปรับสูตรคำนวณ เงินบำนาญชราภาพ ตั้งกติกรเปลี่ยนผ่านผู้ประกันตน ได้รับมากกว่าเดิม สำหรับช่องทางการคำนวณ เงินบำนาญชราภาพ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ด้านล่าง
เปิดเผยข้อมูลจากทางประธานอนุกรรมการศึกษาและปรับปรุงสูตรการคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39 เปิดเผยความคืบหน้าการประชุมคณธอนุกรรมการศึกษา และ ปรับปรุงสูตรการคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39 เฉพาะกิจ เพื่อเดินหน้าการพัฒนาสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับเงินบำนาญชราภาพ ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีคำนวณสูตรบำนาญชราภาพเป็นสูตร CARE หรือ Career Average Revalued Earnings ตามที่คณะกรรมการประกันสังคมได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษา และ ปรับปรุงสูตรการคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ มาตรา 39
โดยมีผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายผู้กันตน ผู้แทนจากองค์กรภาครัฐ และ ผู้แทนสำนักงานประกันสังคม โดยมีระยะเวลาในการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการศึกษาถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ล่าสุดจากการประชุมคณะอนุกรรมการฯครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแบบสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกันตน เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ กรณีชราภาพของผู้ประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39 เป็นไปอย่างรอบคอบ ตรมตามกลุ่มเป้าหมายเป็นธรรมต่อผู้รับบำนาญ ซึ่งจะดำเนินการสอบถามความเห็นช่วยเดือนกันยายน ถึงเดือนตุลาคม 2568
ในที่ประชุมได้มีการเสนอขยายระยะเวลาคณะอนุกรรมการศึกษา และ ปรับปรุงสูตรการคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ มาตรา 39 ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2568 บอดร์ประกันสังคมได้ลงมติเห็นชอบในหลักการปรับปรุงสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพของผู้ประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39 ตามที่คณะอนุกรรมการศึกษาและปรับปรุงสูตรการคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตน การเสนอเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ และ การดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลง โดยมีสาระสำคัญ ตามรายละเอียดด้านล่าง
- ปรับวิธีคำนวณเงินบำนาญชราภาพ จากเดิมใช้ฐานเงินสมทบ 60 เดือนสุดท้ายเปลี่ยนเป็นใช้ฐานเงินสมทบเฉลี่ย 180 เดือนสุดท้าย เพื่อสะท้อนรายได้ที่แท้จริงของผู้ประกันตน
- ปรับกติกรเปลี่ยนผ่าน กรณีคำนวณบำนาญชราภาพสูตรใหม่ได้น้อยกว่าสูตรเดิม เห็นควรกำหนดระยะ 5 ปี โดยผู้ที่เกษียณภายใน 1 ปี หลังแก้ไขกฎหมายให้ชดเชยส่วนต่าง 100% ลดหลั่นลงปีละ 20% โดยปีที่ 2 ชดเชย 80, ปีที่ 3 ชดเชย 60%, ปีที่ 4 ชดเชย 40% และ ปีที่ 5 ชดเชย 20%
- กำหนดแนวทางการจ่ายเงินบำนาญชราภาพใหม่ ใช้ระบบ คะแนนบำนาญชราภาพ Pension Point โดยคิดจากค่าจ้างของผู้ประกันตนที่นำส่งเงินสมทบ ประกอบกับให้มีการปรับค่าบำนาญตามดัชนีค่าครองชีพ CARE เพื่อให้ทันต่อสภาพเศรษฐกิจ
- มีเป้าหมายการปรับปรุงสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงและเป็นธรรมกับผู้ประกันตน เมื่อต้องพึ่งพารายได้หลักเกษียณอายุให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
- มติบอร์ดประกันสังคม เห็นชอบข้อเสนอตามที่คณะอนุกรรมการการศึกษาให้มีการปรับพื้นฐานค่าจ้างมาตรา 39 ตามค่าเงินที่เปลี่ยนไป เพื่อให้สอดคล้องกับการคิดบำนาญสูตร CAR
- มอบหมายให้ สปส. จัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์การบริหารความยั่งยืนทางการเงินหรือ Funding Strategy นำเสนอให้กับบอร์ดประกันสังคม พิจารณากำหนด Funding Strategy โดยรวมถึงแนวทางปรับเพิ่มอัตราเสนอให้บอร์ดประกันสังคมพิจารณากำหนด Funding Strategy โดยรวมถึงแนวทางปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบในปี 2570 เพื่อครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับสูตรบำนาญชราภาพ