รวมไอเดีย คะแนน UOB ใช้พอยต์ให้คุ้มที่สุดแบบจัดเต็ม
หากคุณถือบัตรเครดิต UOB อยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็น UOB Preferred, UOB Yolo Platinum, UOB One หรือ UOB Lady’s Card แล้วใช้จ่ายบ่อย ๆ ก็อย่าปล่อยให้ “คะแนนสะสม UOB” ที่คุณได้รับจากการรูดซื้อสินค้าหรือบริการสะสมไว้เฉย ๆ โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพราะคะแนนเหล่านี้สามารถแลกรับสิทธิประโยชน์มากมายได้ ทั้งของรางวัล บัตรกำนัล ส่วนลด หรือแม้แต่ไมล์สายการบิน
บทความนี้จะพาคุณไปดูว่า คะแนน UOB แลกอะไรได้บ้าง และมีวิธีใช้คะแนนให้คุ้มค่าที่สุดอย่างไรบ้าง พร้อมเคล็ดลับเล็ก ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความคุ้มในการใช้งานทุกแต้มที่คุณมี
>> สมัครบัตรเครดิต UOB อัพเดทล่าสุดที่นี่ <<
คะแนน UOB ใช้แลกอะไรได้บ้าง?
1. แลกไมล์สายการบิน (Airline Miles)
หนึ่งในตัวเลือกยอดฮิตของคนชอบเดินทางคือ การนำคะแนน UOB ไปแลกเป็นไมล์สะสมกับสายการบินพันธมิตร เช่น
-
KrisFlyer (Singapore Airlines)
-
Royal Orchid Plus (Thai Airways)
-
Asia Miles (Cathay Pacific)
-
AirAsia BIG Points
โดยทั่วไป การแลกไมล์จะมีอัตราอยู่ที่ประมาณ 1,000 คะแนน = 100 ไมล์ ขึ้นอยู่กับแต่ละสายการบิน ซึ่งหากวางแผนการแลกไมล์ล่วงหน้า คุณอาจสามารถบินฟรีหรือใช้ไมล์ร่วมกับเงินสดเพื่อลดราคาตั๋วได้อย่างคุ้มค่า
2. แลกรับของรางวัล (Rewards Catalog)
UOB มีแคตตาล็อกของรางวัลที่อัปเดตใหม่เป็นประจำ ซึ่งสามารถแลกได้ทั้งสินค้าไลฟ์สไตล์ เครื่องใช้ไฟฟ้า แกดเจ็ต ของแต่งบ้าน หรือแม้แต่ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น
-
หูฟังไร้สาย
-
เครื่องดูดฝุ่น
-
หม้อทอดไร้น้ำมัน
-
แก้วน้ำเก็บอุณหภูมิ
-
เครื่องครัวแบรนด์ดัง
ซึ่งรายการของรางวัลมักจะมีให้เลือกหลายระดับคะแนน ตั้งแต่ไม่กี่พันแต้มไปจนถึงหลักแสน หากมีคะแนนเยอะ ก็สามารถแลกของใหญ่ ๆ ได้โดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว
3. แลกบัตรกำนัล (Gift Voucher)
สำหรับคนที่ชอบความยืดหยุ่น คะแนน UOB ยังสามารถใช้แลกเป็นบัตรกำนัลจากร้านค้าชั้นนำ เช่น
-
บัตรกำนัล Central / Robinson / The Mall
-
Starbucks Gift Card
-
Shopee / Lazada e-Voucher
-
Big C / Tesco / Lotus’s
-
บัตรเติมน้ำมัน ปตท. / บางจาก
ซึ่งบัตรกำนัลเหล่านี้เหมาะกับการนำไปใช้จับจ่ายในชีวิตประจำวัน หรือซื้อของขวัญในช่วงเทศกาลก็ได้เช่นกัน
4. ใช้เป็นส่วนลดทันที (Instant Discount)
ลูกค้าบัตรเครดิต UOB สามารถใช้คะแนนแลกส่วนลดทันทีในร้านค้าที่ร่วมรายการได้ โดยไม่ต้องรอของรางวัลจัดส่ง ซึ่งร้านค้าที่ร่วมรายการได้แก่
-
ร้านอาหาร
-
โรงแรม
-
ซูเปอร์มาร์เก็ต
-
โรงพยาบาล
-
สถานเสริมความงาม
เช่น ใช้ 1,000 คะแนน แลกรับส่วนลด 100 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนอาจแตกต่างกันตามร้าน)
5. ใช้แลกเครดิตเงินคืน (Cashback)
หากคุณไม่สนใจของรางวัลหรือบัตรกำนัล คะแนน UOB ก็สามารถนำมาแลกเป็นเครดิตเงินคืนเข้าบัญชีบัตรเครดิตได้เช่นกัน โดยทั่วไปจะมีอัตราแลกประมาณ 2,000 คะแนน = เครดิตเงินคืน 100 บาท แล้วแต่โปรโมชั่น
วิธีเช็กคะแนน UOB และแลกของรางวัลง่าย ๆ
วิธีเช็กคะแนน
คุณสามารถเช็กคะแนนสะสม UOB ของคุณได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางต่อไปนี้:
-
UOB TMRW แอปพลิเคชัน
-
เว็บไซต์ UOB Rewards Plus
-
สอบถามผ่าน Call Center: 02-285-1555
วิธีแลกของรางวัล
-
เข้าแอป UOB TMRW หรือเว็บไซต์ UOB Reward
-
เลือกเมนู “แลกคะแนน”
-
ค้นหาของรางวัลหรือบริการที่ต้องการ
-
กดยืนยันการแลก และรอรับของรางวัลตามที่กำหนด
เคล็ดลับใช้คะแนน UOB ให้คุ้ม
-
อย่าปล่อยให้คะแนนหมดอายุ: คะแนน UOB มีอายุ 2 ปีนับจากวันที่ทำรายการ ควรตรวจสอบก่อนหมดอายุ
-
เช็กโปรโมชั่นพิเศษเป็นประจำ: บางช่วงจะมีโปรโมชั่นที่ให้มูลค่าการแลกที่คุ้มกว่า เช่น แลกบัตรกำนัลในราคาแต้มลดพิเศษ
-
เปรียบเทียบอัตราแลก: ของรางวัลบางรายการให้ความคุ้มค่ามากกว่า เช่น การแลกบัตรกำนัลมักจะได้คุ้มกว่าการแลกของใช้บางประเภท
-
แลกไมล์ล่วงหน้าเมื่อมีแพลนเดินทาง: อย่ารอให้ราคาตั๋วขึ้น เพราะไมล์มักแลกคงที่ หากวางแผนดี คุณจะประหยัดค่าเดินทางไปได้เยอะ
คะแนน UOB คือสิทธิพิเศษที่ไม่ควรมองข้าม หากคุณใช้บัตรเครดิตอย่างสม่ำเสมอ คะแนนสะสมจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถนำไปใช้แลกรับสิ่งของหรือบริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นของรางวัล บัตรกำนัล หรือไมล์เดินทาง เพียงรู้จักวางแผนและติดตามโปรโมชั่นให้ดี คุณก็สามารถใช้ทุกแต้มให้มี “มูลค่า” ได้อย่างแท้จริง
คะแนนสะสมบัตรเครดิต KTC ใช้แลกอะไรได้บ้าง
หากคุณถือบัตรเครดิต KTC อยู่ในมือและยังไม่เคยใช้ “คะแนนสะสม KTC FOREVER” ให้เกิดประโยชน์สูงสุด บทความนี้จะเปิดโลกของการแลกคะแนนที่คุณอาจยังไม่รู้ว่าคะแนนเล็กๆ เหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มีมูลค่าได้มากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นการแลกรับส่วนลดเงินสด การแลกสินค้า ท่องเที่ยว หรือแม้แต่ชำระยอดบัตรเครดิต เรามาดูกันว่า คะแนนสะสม KTC ใช้แลกอะไรได้บ้างบ้าง และจะใช้อย่างไรให้คุ้มที่สุด
คะแนนสะสม KTC คืออะไร?
คะแนนสะสม KTC หรือที่เรียกว่า KTC FOREVER คือคะแนนที่สมาชิกบัตรเครดิต KTC ได้รับจากการใช้จ่ายผ่านบัตร โดยทั่วไปแล้วทุกๆ การใช้จ่าย 25 บาท จะได้รับ 1 คะแนน (บางประเภทของบัตรอาจมีเงื่อนไขแตกต่างกัน)
คะแนนเหล่านี้ไม่มีวันหมดอายุ (ในกรณีที่ยังคงสถานะสมาชิกภาพ) จึงสามารถสะสมเพื่อใช้แลกสิทธิประโยชน์ได้ตลอดเวลา
KTC ใช้คะแนนแลกอะไรได้บ้าง?
การแลกคะแนน KTC มีความหลากหลายมากและเหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ โดยสามารถแบ่งหมวดหมู่ได้ดังนี้
1. แลกรับส่วนลดแทนเงินสด
หนึ่งในวิธีที่คุ้มค่าและนิยมมากที่สุด คือการใช้คะแนนเพื่อ แลกรับส่วนลดทันที ณ ร้านค้า ที่ร่วมรายการทั่วประเทศ เช่น
-
Tops, Central, The Mall, Watsons, Boots
-
ร้านอาหารอย่าง Sizzler, MK, Starbucks
-
สายแฟชั่นอย่าง Uniqlo, Supersports
ตัวอย่าง: ใช้คะแนน 1,000 คะแนน แลกเป็นส่วนลด 100 บาท (ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นเฉพาะช่วง)
2. แลกไมล์สายการบิน
หากคุณเป็นนักเดินทาง การนำคะแนน KTC มาแลกไมล์ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี
-
แลกไมล์สะสมของสายการบินชั้นนำ เช่น Thai Airways Royal Orchid Plus (ROP), Asia Miles, AirAsia BIG Point
-
เงื่อนไขการแลก: เช่น 1,000 คะแนน = 500 ไมล์ (อัตราขึ้นอยู่กับแต่ละสายการบิน)
3. แลกแพ็กเกจท่องเที่ยวและที่พัก
KTC ร่วมมือกับผู้ให้บริการท่องเที่ยว เช่น KTC World Travel Service, Agoda, Booking.com หรือ Hotel Chains ทั่วประเทศ
-
แลกคะแนนเพื่อรับส่วนลดค่าตั๋วเครื่องบิน
-
แลกคะแนนเพื่อเข้าพักโรงแรม/รีสอร์ท
4. แลกสินค้าออนไลน์
คุณสามารถใช้คะแนนแลกของใช้ในชีวิตประจำวันผ่านเว็บไซต์ KTC U SHOP หรือ KTC Forever Rewards ได้โดยตรง เช่น
-
เครื่องใช้ไฟฟ้า: หม้อทอดไร้น้ำมัน, พัดลม, เครื่องดูดฝุ่น
-
อุปกรณ์ IT: หูฟัง, ลำโพง, power bank
-
ของขวัญ, แกดเจ็ต และของแต่งบ้าน
5. แลกเพื่อชำระยอดบัตรเครดิต
สำหรับคนที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายในรอบบิล คุณสามารถใช้คะแนน KTC เพื่อแลกเป็นเครดิตเงินคืนเข้าในบัญชีบัตรเครดิตได้
ตัวอย่าง: ใช้ 1,000 คะแนน = เครดิตเงินคืน 100 บาท
เหมาะสำหรับผู้ที่มีคะแนนสะสมเยอะและอยากลดภาระหนี้แบบไม่ต้องควักเงินเพิ่ม
6. แลกรับคูปองส่วนลดหรือ e-Voucher
ไม่ว่าจะเป็นคูปองสตาร์บัคส์, ร้านอาหาร, สปา หรือคาเฟ่ ก็สามารถแลกผ่านแอป KTC Mobile หรือเว็บไซต์ได้ทันที
-
e-Voucher พร้อมใช้ทันทีผ่านมือถือ
-
คูปองส่วนลดร้านค้าพันธมิตรที่มีสาขาจำนวนมากทั่วไทย
7. บริจาคเพื่อสังคม
สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างคุณค่าทางใจ สามารถนำคะแนน KTC ไปบริจาคให้กับมูลนิธิต่างๆ เช่น
-
มูลนิธิรามาธิบดี
-
สภากาชาดไทย
-
องค์กรช่วยเหลือสัตว์หรือเด็ก
ไม่เพียงได้บุญ แต่ยังเป็นการส่งต่อโอกาสให้ผู้อื่นอีกด้วย
วิธีการแลกคะแนนสะสม KTC ง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง
คุณสามารถแลกคะแนนสะสมได้หลากหลายช่องทางดังนี้:
-
ผ่านแอป KTC Mobile: ใช้งานง่าย สะดวกที่สุด
-
ผ่านเว็บไซต์ ktc.co.th
-
โทรติดต่อ KTC PHONE: 02 123 5000
-
ที่ร้านค้าร่วมรายการ (กรณีใช้แทนเงินสด)
เคล็ดลับในการใช้คะแนน KTC ให้คุ้มที่สุด
ใช้ร่วมกับโปรโมชั่นพิเศษ
KTC มักมีโปรโมชั่นพิเศษ เช่น:
-
แลกคะแนนครึ่งเดียว รับส่วนลดเต็มจำนวน
-
แลกคะแนน x2 / x3 กับร้านค้าที่ร่วมรายการ
-
Flash Deal แลกคะแนนน้อยแต่ได้ของคุ้มเกินคาด
สะสมคะแนนให้เร็ว ด้วยหมวดหมู่พิเศษ
บางบัตร KTC จะได้รับคะแนนเพิ่มจากการใช้จ่ายในหมวดเฉพาะ เช่น:
-
หมวดท่องเที่ยว/เดินทาง
-
หมวดร้านอาหาร
-
หมวดแฟชั่น หรือออนไลน์ช็อปปิ้ง
ศึกษารายละเอียดในเงื่อนไขบัตรของคุณเพื่อวางแผนการใช้ให้คุ้ม
คะแนน KTC ใช้แลกอะไรได้บ้าง?
คะแนนสะสม KTC คือสิทธิประโยชน์ที่ควรใช้ให้เกิดมูลค่า ไม่ว่าจะเป็นการแลกส่วนลดทันที รับของรางวัล หรือแม้แต่บริจาคเพื่อสังคม คุณสามารถเลือกให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณได้อย่างยืดหยุ่น
เพราะทุกคะแนนมีค่า อย่าปล่อยให้สูญเปล่า!
แจกเงิน 10,000 เฟส 3 และ วัยรุ่นเฟส 4 รายละเอียดที่นี่
หนึ่งในโครงการจากทางรัฐบาลที่ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมากนั่นก็คือโครงการ Digital Wallet แจกเงินหมื่น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตอนนี้ดำเนินการมาถึงเฟส 3 และ กลุ่มล่าสุด เป็นกลุ่มนักเรียนวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 16 ถึง 20 ปี และ เฟส 4 อายุ 21 ถึง 59 ปี สามารถดูเงินได้ผ่านแอป ทางรัฐ โดยทางรัฐบาลจะแจกเงินดิจิทัลผ่าน ดิจิทัลวอลเล็ต ในส่วนของกลุ่มตกหล่น ให้รีบทำการผูกกับบัญชีพร้อมเพย์
แจกเงิน 10,000 เฟส 3 กลุ่มนักเรียน วัยรุ่น อายุตั้งแต่ 16-20 ปี เงินเข้าวันไหน
เปิดเผยข้อมูลจากรองนายกรัฐมนตรี ภายหลักการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่ 1/2568 ที่มี น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟส 3 ผ่านการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท สำหรับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี รวมทั้งหมด 2.7 ล้านคน
จากการตรวจสอบ คาดว่าจะได้รับเงินหลังสงกรานต์ สำหรัแผนการจ่ายเงินนั้นจะอยู่ระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งจะเปิดให้ตรวจสอบสิทธิผ่านแอปทางรัฐ โดยกลุ่มนี้จะได้รับเงินผ่านการโอนเงินดิจทัลวอลเล็ต เพื่อเป็นเงินดิจิทัลหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
เงิน 10,000 เฟส 3 กลุ่มนักเรียน วัยรุ่น อายุตั้งแต่ 16-20 ปี ใครได้รับเงินบ้าง?
- อายุ 16 ปี บริบูรณ์ ก่อนวันที่ 16 กันยายน 2568
- รายได้ปีภาษี 2566 ไม่เกิน 840,000 บาท
- มีเงินฝากกับทางธนาคาร ณ วันที่ 31 มีนาคม รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
- ไม่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ
- ไม่เคยฝ่าฝืน ถูกระงับสิทธิ์ หรือ ถูกเรียกคืนจากมาตรการหรือโครงการอื่นๆจากทางรัฐบาล
บัตรเครดิตเติมน้ำมัน 2568 ใบไหนดีช่วยประหยัดค่าน้ำมัน
ในยุคที่ราคาน้ำมันยังคงผันผวนไม่หยุด การเลือกใช้ บัตรเครดิตที่เน้นสิทธิประโยชน์ในการเติมน้ำมัน กลายเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดของผู้ใช้รถยุคใหม่ ปี 2568 นี้ ธนาคารและสถาบันการเงินต่างแข่งขันกันปล่อยโปรโมชันบัตรเครดิตเติมน้ำมันที่น่าสนใจ ทั้งส่วนลด เงินคืน และคะแนนสะสม โดยเฉพาะสำหรับคนขับรถที่ต้องเติมน้ำมันเป็นประจำ
บทความนี้จะพาคุณไปดูว่า ในปี 2568 นี้ บัตรเครดิตเติมน้ำมันใบไหนน่าสนใจที่สุด สิทธิประโยชน์มีอะไรบ้าง และควรเลือกแบบไหนให้คุ้มค่าที่สุดสำหรับการใช้งานจริง
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกบัตรเครดิตเติมน้ำมัน
ก่อนจะเลือกบัตรใดบัตรหนึ่ง ควรพิจารณาจากปัจจัยสำคัญเหล่านี้:
1. ปั๊มน้ำมันที่ใช้บ่อย
บัตรบางใบอาจให้สิทธิพิเศษเฉพาะกับปั๊มน้ำมันแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง เช่น ปตท., บางจาก, เชลล์ หรือเอสโซ่ ดังนั้นควรเลือกบัตรที่เข้ากับพฤติกรรมการใช้งานของคุณ
2. รูปแบบของสิทธิประโยชน์
โดยทั่วไป สิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิตเติมน้ำมันมีอยู่ 3 แบบ:
-
ส่วนลดทันที ณ จุดเติมน้ำมัน
-
เงินคืน (Cashback) รายเดือนตามยอดที่ใช้
-
คะแนนสะสม ที่สามารถแลกเป็นของรางวัลหรือส่วนลด
3. ยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ และเพดานสิทธิประโยชน์
หลายบัตรมีเงื่อนไข เช่น ต้องมียอดใช้จ่ายต่อเดือนขั้นต่ำ หรือจำกัดยอดเงินคืนสูงสุดต่อรอบบิล ควรอ่านรายละเอียดให้ครบถ้วน
รวมบัตรเครดิตเติมน้ำมันที่น่าสนใจในปี 2568
ในปีนี้ หลายธนาคารยังคงออกโปรโมชันแรงๆ สำหรับกลุ่มผู้ใช้น้ำมันบ่อยๆ ต่อไปนี้คือบัตรเครดิตที่ควรจับตา
บัตรเครดิต KTC – บางจาก แพลทินัม มาสเตอร์การ์ด
-
สิทธิพิเศษ: รับส่วนลดทันที 1.5% ที่ปั๊มบางจากทุกสาขาทั่วประเทศ
-
เงื่อนไข: เติมน้ำมันขั้นต่ำ 800 บาท/เซลล์สลิป
-
เพิ่มเติม: รับคะแนน KTC Forever X2 ทุกการใช้จ่ายผ่านบัตร
บัตรเครดิต SCB M Luxe
-
สิทธิพิเศษ: รับเครดิตเงินคืน 3% เมื่อเติมน้ำมันที่ปั๊ม Shell
-
เงื่อนไข: ไม่ต้องลงทะเบียน แต่จำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุด 300 บาท/เดือน
-
จุดเด่น: ใช้ได้กับบัตร SCB M ทั้งประเภท Visa และ Mastercard
บัตรเครดิต Krungsri Exclusive Signature
-
สิทธิพิเศษ: เครดิตเงินคืน 2% ที่ปั๊ม ปตท. ทุกสาขา
-
จุดเด่น: ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เติมบ่อยก็ได้เงินคืนบ่อย
-
สิทธิอื่น: ประกันอุบัติเหตุจากอุบัติเหตุรถยนต์ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง
เปรียบเทียบบัตรเครดิตเติมน้ำมัน: แบบไหนเหมาะกับใคร?
ประเภทผู้ใช้ | บัตรแนะนำ | เหมาะกับใคร |
คนใช้ปั๊มบางจาก | KTC – บางจาก Platinum | เติมบางจากบ่อย ต้องการลดทันที |
สาย Shell | SCB M Luxe | เน้นเติม Shell พร้อมรับเครดิตคืน |
เติม ปตท. ประจำ | Krungsri Exclusive | เน้นความเสถียรและไม่จำกัดยอด |
คนใช้รถทั่วไป | UOB Primier | เติมปั๊มใดก็ได้ รับเงินคืน 1-2% |
นักเดินทางไกล | TTB So Chill | เติมได้หลายแบรนด์ มีประกันเดินทาง |
ใช้บัตรเครดิตเติมน้ำมันอย่างไรให้คุ้มที่สุด?
การใช้บัตรเครดิตไม่ใช่แค่ “รูดแล้วจบ” แต่สามารถวางแผนให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุดได้ ดังนี้
1. วางแผนเติมน้ำมันตามโปรโมชัน
เช็ควันและช่วงเวลาที่ได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น บางบัตรอาจให้เงินคืนพิเศษในวันหยุด หรือเมื่อเติมผ่านแอป
2. ใช้ควบคู่กับโปรจากแอปพลิเคชัน
หลายแอปอย่าง Robinhood, ShopeePay หรือ TrueMoney มีโปรเติมน้ำมันผ่านบัตรเครดิตพร้อมส่วนลดเพิ่ม
3. ตรวจสอบยอดใช้รายเดือน
หากต้องการรับเครดิตเงินคืนสูงสุด ควรตรวจสอบว่าคุณต้องเติมเท่าไรจึงจะคุ้ม และไม่เกินเพดานที่บัตรกำหนด
ข้อควรระวังในการใช้บัตรเครดิตเติมน้ำมัน
-
อย่าลืมชำระเงินเต็มจำนวนทุกเดือน เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยที่อาจสูงกว่าประโยชน์ที่ได้
-
บางบัตรต้องลงทะเบียนก่อนใช้งานจึงจะได้รับสิทธิ ควรตรวจสอบให้แน่ชัด
-
หากเป็นบัตรร่วมกับปั๊มใดปั๊มหนึ่ง อาจใช้ไม่คุ้มในกรณีที่คุณต้องเดินทางไกลแล้วไม่มีปั๊มนั้น
เติมน้ำมันให้คุ้ม ต้องมีบัตรเครดิตที่ใช่
ปี 2568 ถือเป็นอีกปีที่การใช้งานบัตรเครดิตเติมน้ำมันยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้จริง โดยเฉพาะในยุคที่ค่าครองชีพสูง การเลือกบัตรที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นเติมบางจาก, ปตท., หรือเชลล์ ก็สามารถประหยัดได้มากกว่าที่คิด
อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชันอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางธนาคารอาจเปลี่ยนเงื่อนไขทุกไตรมาส ใครที่ยังไม่มีบัตรเครดิตเติมน้ำมัน… ปีนี้อาจเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดในการสมัครบัตรใหม่เพื่อความคุ้มค่าทุกลิตรที่เติม
รับเงินไร่ละ 1,000 ล่าสุด ขึ้นทะเบียนเกษตรกร 2568
เปิดให้ลงทะเบียน สำหรับพี่น้องเกษตรกร ขึ้นทะเบียนเกษตรกร 2568 ผ่าน efarmer.doae.go.th ก่อน 30 เมษายน 2568 นี้ ทั้งรายเก่า และ รายใหม่ลงทะเบียนเพื่อตรวจสอบสิทธิ เงื่อนไขการจ่ายเงินเยียวยาชาวนา
นบข. หรือ คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ได้มีการอัพเดทการจ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท ล่าสุดขึ้นทะเบียนเกษตรกร 2568 ผ่าน efarmer.doae.go.th ทั้งรายเก่า และ รายใหม่ สามารถทำการลงทะเบียน เพื่อตรวจสอบสิทธิเช็คเงื่อนไข การจ่ายเงินเยียวยาชาวนาได้แล้ววันนี้
เปิดเผยข้อมูลจากทางด้านโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในครั้งนี้ เป็นการให้เงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำถึงแม้ว่ารัฐบาลไม่ได้มีนโยบาย ช่วยเหลือข้าวนาปรังโดยตรง แต่เมื่อมีการเพาะปลูกเกิดขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องเข้าไปดูแล
การช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร มีเงื่อนไขชัดเจนว่า พี่น้องเกษตรกรจะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต โดยคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว หรือ นบข. ได้ทำการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลการดำเนินงานประกอบไปด้วย สำนักงานพัฒนาการเศษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ ภาคเอกชน และ ตัวแทนเกษตรกร
เป้าหมายสำคัญของมาตรการนี้คือการส่งเสริมให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นที่เหมาะสมกับพื้นที่ หรือ หากยังต้องการปลูกข้าว ก็จำเป็นจะต้องเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพสูง ให้ผลผลิตต่อไร่สูง และ ตรงกับความต้องการของตลาด
เปิดเงื่อนไขการจ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท เงินเยียวยาชาวนา ขึ้นทะเบียนเกษตรกร 2568
- จ่ายให้พี่น้องเกษตรการ ที่ปลูกข้าวนาปรัง คนละ 1,000 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 10 ไร่ ต่อครัวเรือน
- จ่ายให้กับพี่น้องเกษตรกร ที่ขึ้นทะเบียนปลูกข้าวนาปรังโดยตรง
- สำหรับเกษตรกร ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน สามารถขึ้นทะเบียนได้ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568
- เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ให้รีบทำการลงทะเบียนปลูกข้าวนาปรังผ่าน efarmer.doae.go.th เพื่อรับเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 นี้
เปิดรายละเอียดชำระภาษี ผ่านบัตรเครดิตได้อะไรบ้าง?
เมื่อพูดถึงการชำระภาษีในยุคดิจิทัล หลายคนอาจยังคิดว่าต้องไปต่อคิวยาวๆ ที่สำนักงานสรรพากร หรือทำรายการผ่านธนาคารเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว “การชำระภาษีผ่านบัตรเครดิต” กลายเป็นทางเลือกยอดนิยม ที่ทั้งสะดวก รวดเร็ว และบางครั้งยังมีโปรโมชันที่น่าสนใจจากธนาคารอีกด้วย มาดูกันว่าทำไมวิธีนี้ถึงน่าสนใจ และมีสิ่งที่ควรรู้อะไรบ้างก่อนใช้บริการ
การชำระภาษีผ่านบัตรเครดิตคืออะไร?
การชำระภาษีผ่านบัตรเครดิต คือการนำยอดภาษีที่ต้องจ่าย เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม ไปทำรายการผ่านระบบของกรมสรรพากรหรือธนาคารพาณิชย์ที่ร่วมรายการ โดยเลือกวิธีการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตแทนการโอนหรือจ่ายด้วยเงินสด
ประเภทภาษีที่สามารถชำระผ่านบัตรเครดิตได้
✅ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เหมาะสำหรับผู้ที่ยื่นภาษีประจำปี (ภ.ง.ด. 90/91) ซึ่งสามารถชำระผ่านบัตรเครดิตได้ทันที หลังจากยื่นแบบออนไลน์
✅ ภาษีเงินได้นิติบุคคล
กิจการหรือบริษัทที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 หรือ ภ.ง.ด.51 ก็สามารถชำระภาษีผ่านบัตรเครดิตได้ตามขั้นตอนที่กำหนด
✅ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีประเภทนี้ เช่น ภ.ง.ด. 1, 3, 53 แม้ไม่ได้มีระบบรองรับโดยตรงจากบางธนาคาร แต่บางช่องทางการเงินก็เปิดให้ใช้บัตรเครดิตชำระผ่านแอปฯ ได้
✅ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
สำหรับธุรกิจที่ต้องชำระ VAT ทุกเดือน ก็สามารถเลือกชำระผ่าน บัตรเครดิต เพื่อจัดการสภาพคล่องได้อย่างสะดวก
วิธีชำระภาษีผ่านบัตรเครดิต มีขั้นตอนอย่างไร?
1. ยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์สรรพากร
ไปที่เว็บไซต์ www.rd.go.th เลือกเมนู “ยื่นแบบฯ และชำระภาษี”
หากเป็นบุคคลธรรมดาให้เลือกยื่น ภ.ง.ด.90 หรือ 91
หากเป็นนิติบุคคลให้เลือกแบบที่ตรงกับประเภทธุรกิจ
2. เลือกวิธีการชำระเงิน
หลังจากกรอกแบบและระบบคำนวณยอดภาษีเรียบร้อยแล้ว ให้เลือก “ชำระผ่านบัตรเครดิต” โดยเลือกบัตรของธนาคารที่รองรับ
3. กรอกข้อมูลบัตรเครดิต
ใส่หมายเลขบัตร วันหมดอายุ และรหัส CVV ให้ถูกต้อง แล้วกดยืนยัน
4. รับหลักฐานการชำระเงิน
ระบบจะออกหลักฐานการชำระภาษีทันที หรือสามารถดาวน์โหลดเป็นไฟล์ PDF เพื่อจัดเก็บไว้ใช้ในภายหลัง
ชำระภาษีผ่านบัตรเครดิต มีค่าธรรมเนียมหรือไม่?
โดยปกติแล้ว การชำระภาษีผ่านบัตรเครดิตจะมี ค่าธรรมเนียมประมาณ 1.5% – 2% ของยอดภาษี ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร ตัวอย่างเช่น
ธนาคาร | ค่าธรรมเนียมโดยประมาณ | ช่องทางที่รองรับ |
กสิกรไทย | 1.50% | K PLUS, เว็บไซต์ |
กรุงศรีฯ | 2.00% | Krungsri Online, Call Center |
ไทยพาณิชย์ | 1.80% | SCB Easy, Website |
กรุงเทพ | 1.75% | Bualuang iBanking |
ข้อดีของการชำระภาษีผ่านบัตรเครดิต
✔ สะดวก ไม่ต้องเดินทาง
ทุกขั้นตอนสามารถทำผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่สำนักงาน
✔ จัดการสภาพคล่องได้ดี
เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาระค่าใช้จ่ายในเดือนนั้น แต่ยังต้องการชำระภาษีตรงเวลา สามารถชำระผ่านบัตรเครดิตแล้วแบ่งจ่ายภายหลังได้
✔ รับคะแนนสะสมหรือเครดิตเงินคืน
หลายธนาคารมีโปรโมชันพิเศษสำหรับการใช้บัตรเครดิตจ่ายภาษี เช่น ได้คะแนนสะสมเพิ่ม, ได้เครดิตเงินคืน หรือได้สิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุด 3 เดือน
สิ่งที่ควรระวังในการใช้บัตรเครดิตชำระภาษี
❌ ระวังค่าธรรมเนียมสูง
การชำระผ่านบัตรเครดิตอาจมีค่าธรรมเนียมที่ทำให้ยอดจ่ายจริงสูงกว่าที่ควร โดยเฉพาะหากยอดภาษีสูง
❌ ระวังดอกเบี้ยหากไม่ชำระเต็มจำนวน
หากคุณไม่สามารถชำระยอดเต็มในรอบบิลถัดไป จะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงตามที่ธนาคารกำหนด
❌ ไม่สามารถขอคืนค่าธรรมเนียมได้
หากเกิดข้อผิดพลาดหลังชำระ ระบบจะไม่สามารถคืนค่าธรรมเนียมให้คุณได้
บัตรเครดิต | จุดเด่น | เหมาะกับใคร |
บัตร KTC | ผ่อน 0% 3 เดือน, เครดิตเงินคืน | ผู้ที่ต้องการแบ่งจ่าย |
บัตร SCB | คะแนนสะสมเพิ่ม 5 เท่า | คนที่ใช้คะแนนแลกของรางวัลบ่อย |
บัตร UOB | ฟรีค่าธรรมเนียมเมื่อใช้ตามโปร | คนที่ต้องการประหยัดค่าธรรมเนียม |
บัตรกรุงศรี | มีระบบแจ้งเตือนและหลักฐานอัตโนมัติ | ผู้ใช้งานออนไลน์ประจำ |
ชำระภาษีผ่านบัตรเครดิต ดีหรือไม่?
การชำระภาษีผ่านบัตรเครดิตถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวก รวดเร็ว และทันสมัย เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคล่องตัวในการชำระเงิน หรือผู้ที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิตให้คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบค่าธรรมเนียมและโปรโมชันให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ เพื่อไม่ให้เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
เปิดรายละเอียด Annual Fee คืออะไร
Annual fee คือ ค่าธรรมเนียมรายปีที่ผู้ถือบัตรเครดิตหรือบัตรบริการทางการเงินอื่น ๆ ต้องจ่ายให้กับผู้ให้บริการบัตร โดยส่วนใหญ่แล้วจะเรียกเก็บเป็นรายปีเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์หรือบริการเพิ่มเติมที่ได้รับจากบัตรนั้น ๆ ซึ่งแต่ละบัตรจะมีค่าธรรมเนียมรายปีแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของบัตรและระดับของสิทธิพิเศษที่ได้รับ
ค่าธรรมเนียมรายปีมักเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเลือกสมัครบัตรเครดิต เพราะมีผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายที่ผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบ และยังมีผลต่อการพิจารณาความคุ้มค่าของการใช้บัตรนั้นด้วย
ประเภทของบัตรเครดิตที่มี Annual fee
บัตรเครดิตแบบมี Annual fee
บัตรเครดิตที่มี annual fee คือบัตรที่มีค่าธรรมเนียมรายปีแลกกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น คะแนนสะสมที่สูงขึ้น, การเข้าใช้เลานจ์ที่สนามบิน, ส่วนลดพิเศษ หรือบริการระดับพรีเมียม ตัวอย่างเช่น บัตรเครดิตประเภท Platinum, Gold หรือบัตรเครดิตที่มาพร้อมกับบริการพิเศษอื่น ๆ
บัตรเครดิตแบบไม่มี Annual fee
บัตรเครดิตที่ไม่มี annual fee คือบัตรที่ผู้ถือบัตรไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีในการใช้บริการ แต่สิทธิประโยชน์ที่ได้รับมักจะน้อยกว่าบัตรเครดิตที่มี annual fee หรืออาจมีเงื่อนไขในการใช้งานที่เข้มงวดกว่า เช่น ต้องมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำตามที่กำหนด
ข้อดีของบัตรเครดิตที่มี Annual fee
สิทธิประโยชน์และบริการเพิ่มเติม
บัตรเครดิตที่มีค่าธรรมเนียมรายปีมักมีสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่าบัตรที่ไม่มีค่าธรรมเนียม เช่น บริการห้องรับรองที่สนามบิน, ประกันเดินทาง, หรือคะแนนสะสมพิเศษที่สามารถแลกเป็นส่วนลดหรือของรางวัลได้
เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีการใช้จ่ายสูง
ผู้ที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสูงจะได้รับประโยชน์จากคะแนนสะสมหรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้มากขึ้น จึงทำให้ค่าธรรมเนียมรายปีมีความคุ้มค่าในการจ่าย
เพิ่มโอกาสในการรับโปรโมชั่นพิเศษ
บัตรเครดิตที่มี annual fee มักมีข้อเสนอพิเศษจากร้านค้าหรือพันธมิตรต่าง ๆ ทำให้ผู้ถือบัตรได้รับความคุ้มค่ามากขึ้นในการจับจ่ายใช้สอย
ข้อเสียของบัตรเครดิตที่มี annual fee
ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
การมีค่าธรรมเนียมรายปีทำให้ผู้ถือบัตรต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมทุกปี ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่มีการใช้งานน้อยหรือไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ที่ได้รับอย่างเต็มที่
อาจไม่คุ้มค่าสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
ผู้ใช้งานทั่วไปที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในระดับต่ำ อาจไม่ได้รับความคุ้มค่าจากสิทธิพิเศษที่แลกมากับค่าธรรมเนียมรายปี
วิธีพิจารณาว่าบัตรเครดิตมี annual fee คุ้มค่าหรือไม่
วิเคราะห์ไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายของคุณ
หากคุณเดินทางบ่อย ซื้อสินค้าจำนวนมาก หรือใช้งานบัตรเครดิตเป็นประจำ การเลือกบัตรที่มีค่าธรรมเนียมรายปีและให้สิทธิประโยชน์สูงสุดจะมีความคุ้มค่ากว่า
เปรียบเทียบสิทธิประโยชน์กับค่าธรรมเนียม
ลองคำนวณดูว่าค่าธรรมเนียมรายปีที่คุณจ่ายไปนั้นคุ้มค่ากับสิทธิประโยชน์ที่ได้รับหรือไม่ หากพบว่าคุณไม่ได้ใช้ประโยชน์จากบริการที่ได้รับมากนัก อาจพิจารณาเลือกบัตรที่มี annual fee ต่ำกว่าหรือไม่มีเลย
ศึกษาเงื่อนไขของบัตรเครดิต
บัตรเครดิตบางประเภทอาจมีโปรโมชั่นงดเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก หรือสามารถขอยกเว้นค่าธรรมเนียมได้หากมีการใช้จ่ายถึงยอดที่กำหนด ซึ่งเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ถือบัตรประหยัดค่าใช้จ่ายได้
Annual fee สำคัญอย่างไร
Annual fee เป็นปัจจัยสำครัญที่ควรพิจารณาในการเลือกใช้บัตรเครดิต เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นประจำทุกปี การเลือกบัตรที่เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้จ่ายและไลฟ์สไตล์ของตัวเองจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากบัตรเครดิตได้อย่างคุ้มค่าที่สุด อย่าลืมเปรียบเทียบข้อมูลและสิทธิประโยชน์ของบัตรแต่ละประเภทอย่างละเอียด เพื่อให้ได้บัตรเครดิตที่ตอบโจทย์และเหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด
บัตรเครดิตเข้า Lounge ฟรี 2568 ใช้ใบไหนได้จริง
หากคุณเป็นนักเดินทางสายเที่ยวหรือบินบ่อยเพื่อทำงาน คำว่า “เข้าเลานจ์ฟรี” คงเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณต้องการจากบัตรเครดิตมากที่สุด เพราะเลานจ์สนามบินถือเป็นพื้นที่พักผ่อนก่อนขึ้นเครื่องที่ให้คุณได้เพลิดเพลินกับอาหาร เครื่องดื่ม และบรรยากาศที่สงบกว่าภายในเทอร์มินอล แต่คำถามสำคัญ ในปี 2568 บัตรเครดิตใบไหนเข้า Lounge ฟรีได้จริง และคุ้มค่าที่สุด?
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักบัตรเครดิตที่ให้สิทธิ์เข้าเลานจ์ฟรี อัปเดตล่าสุดปี 2568 พร้อมรายละเอียดแบบเจาะลึก เพื่อช่วยคุณตัดสินใจก่อนสมัคร!
บัตรเครดิตเข้า Lounge ฟรี คืออะไร?
บัตรเครดิตที่ให้สิทธิ์เข้าเลานจ์ฟรี คือบัตรที่มอบสิทธิพิเศษให้ผู้ถือบัตรสามารถใช้บริการ ห้องรับรองพิเศษในสนามบิน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือมีการจำกัดจำนวนครั้งที่สามารถใช้ได้ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเภทของบัตรและสถานะของผู้ถือบัตร
สิทธิ์เข้าเลานจ์มีแบบไหนบ้าง?
Lounge ที่ให้บริการมี 3 แบบหลัก
-
Domestic Lounge – ห้องรับรองสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ เช่น THAI Royal Orchid Lounge, Miracle Lounge (สนามบินดอนเมือง/สุวรรณภูมิ)
-
International Lounge – ห้องรับรองระหว่างประเทศ ใช้ได้เมื่อเดินทางออกนอกประเทศ เช่น Plaza Premium Lounge, Coral Executive Lounge
-
Lounge Partner ทั่วโลก – ห้องรับรองพันธมิตรในเครือข่าย เช่น Priority Pass, LoungeKey
รวมบัตรเครดิตเข้า Lounge ฟรี ปี 2568 ที่น่าสนใจ
1. บัตรเครดิต SCB Private Banking / SCB First
-
เข้าใช้ Royal Silk Lounge, THAI Business Lounge และ Miracle Lounge
-
ใช้ได้สูงสุด 2-4 ครั้งต่อปี (ขึ้นอยู่กับสถานะ)
-
สำหรับผู้ถือบัญชี SCB Private Banking / SCB First เท่านั้น
-
จุดเด่น: เข้าได้แม้บิน Economy กับสายการบินอื่น
2. บัตรเครดิต KTC VISA Signature
-
ใช้บริการ Miracle Lounge ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง
-
สิทธิ์ 2 ครั้ง/ปี เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรครบตามกำหนด (เช่น 100,000 บาทต่อรอบบัญชี)
-
จองผ่านแอป KTC หรือบริการลูกค้า
3. บัตรเครดิต Krungsri Exclusive Signature
-
เข้า Coral Executive Lounge ได้ 2 ครั้ง/ปี (ทั้งในและต่างประเทศ)
-
มีสิทธิ์เพิ่มเมื่อมียอดใช้จ่ายสูงต่อปี
-
ใช้ร่วมกับบัตร Priority Pass ได้ในบางกรณี
4. บัตรเครดิต UOB Privimiles / UOB Infinite
-
ใช้บริการ Lounge ได้ผ่าน LoungeKey
-
จำนวนครั้งไม่จำกัด (ขึ้นอยู่กับยอดใช้จ่ายต่อปี)
-
สามารถใช้กับสนามบินทั่วโลกได้
5. บัตรเครดิต Citi Prestige (ปัจจุบันสมัครใหม่ไม่ได้ แต่ผู้ถือเดิมยังใช้ได้)
-
เข้าเลานจ์ผ่าน Priority Pass ไม่จำกัดครั้ง
-
ใช้ได้ทั่วโลก + สิทธิ์พาแขกเข้าได้ด้วย
-
ยังเป็นหนึ่งในบัตรที่ให้สิทธิ์หรูที่สุดในอดีต
วิธีใช้สิทธิ์เข้า Lounge ด้วยบัตรเครดิต
แม้คุณจะมีบัตรเครดิตที่ระบุว่า “เข้าเลานจ์ฟรี” ได้ แต่ใช่ว่าจะสามารถเดินเข้าใช้งานได้ทุกที่เลยทันที คุณควรรู้ข้อมูลต่อไปนี้ก่อนใช้สิทธิ์
ตรวจสอบชื่อ Lounge และสนามบินที่รองรับ
-
บางบัตรจำกัดเฉพาะสนามบินในประเทศ
-
บางใบใช้ได้เฉพาะในเครือพันธมิตร เช่น LoungeKey หรือ Priority Pass
ตรวจสอบเงื่อนไขก่อนใช้
-
บางบัตรต้องมียอดใช้จ่ายตามที่กำหนด
-
บางบัตรให้เฉพาะผู้ถือบัตรหลักเท่านั้น
-
ควรโทรสอบถาม Call Center ล่วงหน้า
พกบัตรตัวจริง + Boarding Pass
-
บางเลานจ์ต้องการบัตรตัวจริง
-
ต้องเป็นเที่ยวบินของวันที่ใช้เลานจ์เท่านั้น
เปรียบเทียบบัตรเครดิตเข้าเลานจ์ ฟรี ปี 2568
ชื่อบัตร | จำนวนครั้ง/ปี | ประเภทเลานจ์ | ใช้ได้ทั่วโลก? |
---|---|---|---|
SCB First / Private Banking | 2-4 ครั้ง | Miracle, Royal Silk | เฉพาะในประเทศ |
KTC VISA Signature | 2 ครั้ง | Miracle Lounge | ในประเทศเท่านั้น |
Krungsri Exclusive | 2-6 ครั้ง | Coral Lounge | มีต่างประเทศ |
UOB Privimiles / Infinite | ไม่จำกัด (ตามเงื่อนไข) | LoungeKey | ทั่วโลก |
Citi Prestige | ไม่จำกัด | Priority Pass | ทั่วโลก |
คำแนะนำก่อนเลือกสมัครบัตรเพื่อเข้า Lounge ฟรี
-
เลือกบัตรตามพฤติกรรมเดินทาง – ถ้าเดินทางเฉพาะในประเทศ ใช้บัตรที่ครอบคลุม Miracle Lounge ก็เพียงพอ
-
ดูยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ – หลายบัตรให้สิทธิ์ฟรีแต่ต้องมียอดใช้จ่ายถึง
-
เปรียบเทียบกับ Priority Pass – บางคนอาจคุ้มกว่าหากซื้อแยกเป็นแพ็กเกจ
บัตรเครดิตเข้าเลานจ์ฟรี 2568 ควรเลือกแบบไหน?
ในปี 2568 นี้ บัตรเครดิตที่เข้าเลานจ์ฟรีได้ยังคงเป็น “ของล้ำค่า” สำหรับนักเดินทาง โดยเฉพาะคนที่เดินทางบ่อย ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ หากคุณต้องการความสะดวกสบาย และพักผ่อนก่อนขึ้นเครื่อง บัตรเหล่านี้คือเพื่อนที่ดีของคุณ
รวมบัตรที่ใช้จ่าย Makro พร้อมสิทธิประโยชน์ที่คุณควรรู้
หากคุณเป็นลูกค้าประจำของ แม็คโคร (Makro) หรือเพิ่งเริ่มต้นเข้ามาซื้อสินค้าส่ง ราคาประหยัดสำหรับร้านค้า ร้านอาหาร หรือใช้ในครัวเรือน คุณอาจเคยสงสัยว่า ที่แม็คโครสามารถใช้บัตรเครดิตอะไรได้บ้าง? หรือใช้เฉพาะบัตรของธนาคารเจ้าไหนเท่านั้น บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกคำตอบ พร้อมแนะนำสิทธิประโยชน์จากการใช้บัตรเครดิตแต่ละประเภทที่ร่วมรายการกับแม็คโคร
บัตรเครดิตที่สามารถใช้ได้ที่แม็คโคร มีอะไรบ้าง?
แม็คโครให้บริการรับชำระค่าสินค้าผ่านบัตรเครดิตจากธนาคารหลากหลายแห่ง โดยสามารถแยกออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่
บัตรเครดิตที่ใช้ชำระได้ปกติ (Non-Corporate)
-
บัตรเครดิตวีซ่า (VISA)
-
บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด (MasterCard)
-
บัตรเครดิตเจซีบี (JCB)
(บางสาขาอาจมีข้อจำกัดการใช้งาน ควรสอบถามก่อน)
บัตรเครดิตที่เป็นของธนาคารชั้นนำในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นของ กสิกรไทย (KBank), ไทยพาณิชย์ (SCB), กรุงศรีฯ (Krungsri), กรุงไทย (KTC), ธนชาต (Thanachart) หรือ กรุงเทพ (BBL) ก็สามารถใช้งานได้ที่แม็คโครเช่นกัน
ข้อควรรู้ก่อนใช้บัตรเครดิตที่แม็คโคร
1. การใช้งานบัตรเครดิตต้องมีชื่อสมาชิกแม็คโคร
บัตรเครดิตที่นำมาใช้ต้องตรงกับชื่อในระบบสมาชิกของแม็คโคร เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ และควบคุมความปลอดภัยในการใช้จ่าย
2. ไม่สามารถแบ่งชำระ 0% กับทุกธนาคารได้
การแบ่งจ่าย 0% หรือใช้โปรแกรมผ่อนชำระพิเศษ (Installment) จะมีเฉพาะบางช่วงเวลา หรือบางธนาคารที่แม็คโครมีแคมเปญร่วมด้วยเท่านั้น
3. สินค้าที่ไม่สามารถใช้บัตรเครดิตได้
แม้ว่าจะรับบัตรเครดิตเกือบทั้งหมด แต่สินค้าบางกลุ่ม เช่น ยาสูบ แอลกอฮอล์ หรือสินค้าจัดโปรลดราคามากๆ อาจไม่สามารถใช้บัตรเครดิตได้เต็มจำนวน หรือไม่สามารถสะสมคะแนนได้ ควรตรวจสอบที่จุดชำระเงินก่อนทุกครั้ง
>> สมัครบัตรเครดิต UOB แม็คโคร รับสิทธิประโยชน์เพียบ <<
สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้บัตรเครดิตที่แม็คโคร
การรูดบัตรเครดิตที่แม็คโครไม่เพียงแค่ช่วยให้สะดวกขึ้นในการซื้อของ แต่ยังมี สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ที่น่าสนใจ เช่น
บัตรเครดิตกสิกรไทย (KBank)
-
รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 3% เมื่อมียอดใช้จ่ายถึงขั้นต่ำที่กำหนด
-
สะสมคะแนน KBank Reward Point เพื่อนำไปแลกของหรือใช้เป็นส่วนลด
บัตรเครดิตกรุงศรีฯ (Krungsri)
-
แบ่งจ่าย 0% สูงสุด 6 เดือนในบางช่วงแคมเปญ
-
รับเงินคืนสูงสุด 5% สำหรับร้านค้าที่ร่วมรายการ
บัตรเครดิต SCB
-
มีโปรโมชั่นผ่อน 0% แบบเฉพาะกิจ สำหรับกลุ่มร้านค้าปลีกที่แม็คโครกำหนด
-
รับคะแนนสะสม SCB Rewards และสามารถแลกเป็นเครดิตเงินคืนได้
บัตรเครดิต KTC
-
แคชแบ็กสูงสุด 1-2% ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการใช้จ่าย
-
โปรโมชั่นร่วมรายการ KTC FOREVER สำหรับแลกของสมนาคุณจากแม็คโคร
ใช้บัตรเครดิตที่แม็คโคร คุ้มหรือไม่?
การใช้บัตรเครดิตที่แม็คโครเหมาะมากสำหรับเจ้าของกิจการ ร้านอาหาร หรือผู้ที่ซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก เพราะจะช่วยให้บริหารสภาพคล่องได้ดีขึ้น สามารถสะสมคะแนนได้มากในเวลาอันสั้น รวมถึงมีโอกาสเข้าร่วมโปรพิเศษ เช่น เงินคืน หรือผ่อน 0%
แต่สำหรับผู้ที่ซื้อของเล็กน้อย หรือไม่ได้ต้องการวงเงินเครดิต อาจไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตก็ได้ เพราะแม็คโครยังคงรับชำระผ่านเงินสด, พร้อมเพย์, โอนผ่านแอปธนาคาร และบัตรเดบิตได้เช่นกัน
แนะนำ! บัตรเครดิตที่เหมาะกับการใช้งานที่แม็คโคร
ธนาคาร | เหมาะกับใคร | จุดเด่น | หมายเหตุ |
กสิกรไทย (KBank) | ผู้ที่ซื้อของประจำ | เงินคืน + คะแนน | ใช้ได้กับ VISA/MasterCard |
กรุงศรี | ร้านค้า/เจ้าของธุรกิจ | แบ่งจ่าย 0%, เงินคืน | มักมีแคมเปญร่วมกับแม็คโคร |
SCB | นักช้อปที่เน้นคะแนน | SCB Rewards เยอะ | บางรายการร่วมโปรโมชั่นพิเศษ |
KTC | ผู้ที่ต้องการแลกของรางวัล | KTC Forever ใช้แทนเงินสดได้ | ตรวจสอบรายการสะสมพิเศษได้ในแอป |
แม็คโครรับบัตรเครดิตอะไร และใช้อย่างไรให้คุ้มที่สุด?
ที่แม็คโครสามารถใช้บัตรเครดิต VISA, MasterCard และ JCB ได้จากธนาคารชั้นนำทั่วประเทศ โดยสิทธิ์และประโยชน์จะขึ้นอยู่กับช่วงโปรโมชั่นและธนาคารที่ออกบัตร หากต้องการความคุ้มค่าสูงสุด ควรใช้บัตรเครดิตที่มีโปรร่วมกับแม็คโครในช่วงนั้นๆ และตรวจสอบกับพนักงานหรือหน้าเว็บแม็คโครก่อนชำระเงิน หากคุณกำลังวางแผนซื้อของครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเปิดร้านใหม่ เติมของในสต๊อก หรือซื้อของใช้ในบ้านจำนวนมาก การรู้ว่า แม็คโครรับบัตรเครดิตอะไรได้บ้าง ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้คุณ ซื้อของได้ง่ายขึ้น ประหยัดมากขึ้น และบริหารเงินได้อย่างมืออาชีพ
เตรียมรับเงิน ผู้สูงอายุ 10,000 บาท รอบสุดท้าย
แจ้งความคืบหน้าสำหรับโครงการ เติมเงินผ่านกระเป๋าตังดิจิทัล 10,000 บาทแจกเงินสด กระทรวงการคลังได้ทุกคน สำหรับผู้สูงอายุรับเงินหลังสงกรานต์แน่นอน สำหรับการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทเฟส 2 ล่าสุดทางรัฐบาลได้แจ้งความคืบหน้า เมษายน 2568 ให้ผู้มีสิทธิรีบผูกพร้อมเพย์ก่อนจะพลาดสิทธิ์หมดโอกาสรับเงินผู้สูงอายุ
แจกเงินครั้งสุดท้าย 28 เมษายน 2568
กระทรวงการคลังแจ้งว่าจะมีการจ่ายเงินซ้ำเป็นครั้งสุดท้ายภายในวันที่ 28 เมษายน 2568 นี้ สำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิที่ไม่ได้รับเงินในรอบแรก
สิ่งที่ผู้ได้รับสิทธิต้องทำ สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
- เข้าแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ
- กดปุ่ม ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน
- ระบบจะขออนุญาตเข้าถึงข้อมูล และ ยืนยันเบอร์โทรศัพท์มือถือ
- กรอกเบอร์โทรศัพท์ และ รหัส OTP เพื่อยืนยันตัวตน
- ระบบจะแสดงสถานะการรับสิทธิในโครงการ
ระบบแจ้งโอนเงินไม่สำเร็จต้องทำอย่างไร?
- ให้รีบทำการติดต่อธนาคาร เพื่อดำเนินการผูกพร้อมเพย์กับบัญชีเงินฝากด้วยเลขประจำตัวประชาชน
- สำหรับผู้ที่ผูกพร้อมเพย์แล้ว ให้ติดต่อธนาคารเพื่อตรวจสอบบัญชี ว่ามีปัญหาหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น บัญชีถูกปิด, ติดเงื่อนไข, ไม่มีความเคลื่อนไหว เป็นต้น
- แก้ไขปัญหาตามกรณี และ อาจจะต้องผูกพร้อมเพย์กับบัญชีใหม่
- กระทรวงการคลังแจ้งว่าให้รีบผู้พร้อมเพย์ภายในวันที่ 23 เมษายน 2568 เพื่อให้ทันรอบการจ่ายเงินซ้ำครั้งสุดท้าย
จ่ายซ้ำครั้งสุดท้าย
- จ่ายวันที่ 28 เมษายน 2568
- เงื่อนไข ต้องทำการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนภายในวันที่ 23 เมษายน 2568