กรมบัญชีกลางชี้แจง เรื่องการแจกเงิน 10,000 บาท
จากการเปิดเผยข้อมูลล่าสุด จากกรมบัญชีกลางได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับเงิน 10,000 บาท ซึ่งเป็นเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับกลุ่มผู้สูงวัย เด็ก และ คนพิการ ได้รับเงิน มกราคม 2568 นั้น ทางกรมบัญชีกลางแนะนำให้ตรวจาอบก่อนเชื่อ มาพร้อมกับเงื่อนไขแจกเงิน 10,000 บาทเฟส 2 ซึ่งระยะเวลาในการประกาศรายชื่อผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับเงินจะได้รับจากแอป ทางรัฐ หลายคนยังสงสัยว่าเงินจะเข้าวันไหน สามารถไปตรวจสอบได้ด้านล่างเลย
ทางกรมบัญชีกลาง ได้ออกมาตรวจสอบประเด็นเกี่ยวกับข่าวกระทรวงการคลัง ได้มีการโอนเงินเยียวยากลุ่มผู้สูงอายุ ในเดือนมกราคม 2568 คิดเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท ไม่ใช่ 11,000 บาท ตามที่มีกระแสข่าวบนโลกออนไลน์ รวมไปถึงการแชร์ภาพข่าวปลอมดังกล่าวด้วย
ทางกรมบัญชีกลางได้ออกมาเปิดเผยถึงประเด็นที่ว่า กระทรวงการคลังได้โอนเงินเยียวยากลุ่มผู้สูงอายุผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ซึ่งผู้ที่ได้รับสิทธิจะต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย และ มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ณ วันที่ 15 กันยายน 2567 หรือ เกินก่อนวันที่ 16 กันยายน 2507 ทางกรมบัญชีกลางยังออกมาย้ำว่า ยังไม่มีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับเด็ก หรือ คนพิการ แนะนำว่าอย่าสับสน ข้อมูลที่ถูกส่งต่อๆกัน อาจจะเป็นข้อมูลที่ผิด
แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ล่าสุดใครได้รับเงินบ้าง
- ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 23 เมษายน 2567
- เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ณ วันที่ 15 กันยายน 2567 หรือ เกิดก่อนวันที่ 16 กันยายน 2507
- .ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
- ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566
- ไม่เป็นผู้อยู่ในวถานสงเคราะห์ในสังกัด กระทรวงการพัฒนาสังคม และ ความมั่นคงของมนุษย์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
- ไม่เป็นผู้ต้องขัง 4 ประเภท ได้แก่นักโทษเด็ดขาด, ผู้ต้องขังระหว่างผู้ต้องกักขัง และ ผู้ต้องกักกัน ตามฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
- ไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ คนพิการ
รายละเอียดแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับผู้สูงอายุ
- การจ่ายเงินกับกลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่จ่ายเงินไม่สำเร็จครั้งแรก 3 ครั้ง
- หากพ้นกำหนดการจ่ายเงินซ้ำ ครั้งที่ 3 ไปแล้ว รัฐจะทำการยุติการจ่ายเงินให้กับกลุ่มเป้าหมาย และ ถือว่ากลุ่มเป้าหมาย ไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ
กระทรวงการคลังจะมีการประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิรับเงินผ่านแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ ซึ่งเป็นช่องทางเดียวกับที่เปิดให้ลงทะเบียน ซึ่งประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ประมาณวันที่ 20 – 21 มกราคม 2568
เงิน 10,000 บาทเฟส 2 จะใช้งบประมาณประมาณ 40,000 ล้าน บาท โดยผู้ที่ได้รับเงินจะได้รับก่อนวันตรุษจีน 2568 หรือวันที่ 29 มกราคม 2568
เงินช่วยเหลือ ผู้สูงอายุ เงินคนพิการ และ เงินเด็กเข้าบัญชีแล้ว
วันที่ 10 มกราคม 2568 3 กลุ่มเปราะบาง วันนี้มีเงินเข้าบัญชีแล้ว สำหรับใครที่ยังมีคำถามว่า ใครได้เงินบ้าง แล้วเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ, เงินเยียวยา เงินอุดหนุนบัตร และ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการ เข้าเกณฑ์จ่ายเงินเข้าบัญชี มกราคม 2568 สำหรับผู้ที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ สามารถเข้าไปตรวจสอบเงินโอนเข้าบัญชีได้ผ่านแอปทางรัฐ แอปเงินเด็กซึ่งประชาชนมีสิทธิเปิดลงทะเบียนเงินผู้สูงอายุ
CreditCardTH ได้ตรวจสอบข้อมูล และติดต่อการโอนเงินช่วยเหลือล่าสุดเกี่ยวกับการเยียวยากลุ่มเปราะบาง วันนี้มีเงินเข้าบัญชีแล้วสำหรับกลุ่มเปราะบาง ใครได้รับเงินบ้าง สามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ด้านล่างเลย
เงินเยียวยากลุ่มเปราะบางได้แก่ เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ, เงินอุดหนุนบุตร, เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และ เงินคนพิการ สำหรับคนที่เข้าเกณฑ์การจ่ายเงิน จะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีวันที่ 10 มกราคม 2568 ทางด้านกรมบัญชีกลาง ได้ย้ำประชาชนที่มีสิทธิ ให้ลงทะเบียนเงินผู้สูงอายุรอบใหม่ได้เงินใช้ทุกเดือน
กลุ่มเปราะบางเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ เดือนมกราคม 2568 เบี้ยยังชีพผู้สูงอายึ โอนเงินวันไหนได้กี่บาท สามารถเช็คได้ด้านล่าง
ตารางจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุ 2568
- เดือนมกราคม 2568 เงินโอนเข้าวันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2568
เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนมกราคม 2568 จ่ายแบบขั้นบันได
- ผู้สูงอายุ 60-69 ปี รับเบี้ยยังชีพเป็น 600 บาท
- ผู้สูงอายุ 70-79 ปี รับเบี้ยยังชีพเป็น 700 บาท
- ผู้สูงอายุ 80-89 ปี รับเบี้ยยังชีพเป็น 800 บาท
- ผู้สูงอายุ 90 ปีขึ้นไป รับเบี้ยยังชีพเป็น 1,000 บาท
ทำบัตรเครดิตผ่านตัวแทน หรือ สมัครผ่านออนไลน์ อันไหนดีกว่า
ปัจจุบันการสมัครบัตรเครดิต เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือสมัครเพื่อนำมาผ่อนสินค้า หรือ บริการถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ ซึ่งผู้บริโภคอย่างเราๆ สามารถเลือกสมัครกับทางสถาบันการเงินชั้นนำต่างๆในประเทศไทยได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่แล้วจะมี 2 ตัวเลือกหากเราต้องการสมัครบัตรเครดิตโดย สมัครผ่านทางเซลล์ หรือ คลิกสมัครผ่านทางออนไลน์ด้วยตัวเอง โดยกรอกข้อมูลง่ายๆ ไม่กี่อย่าง แล้วรอธนาคารติดต่อกลับ
คนไทยหลายคนเลยมีคำถามว่าถ้าจะสมัครบัตรเครดิตสักใบ เราจะเลือกสมัครผ่านตัวแทนดีกว่าไหม จะโดนเอาเอกสารไปใช้อย่างอื่นรึเปล่า หากสมัครกับทางตัวแทน อันนี้เป็นอะไรที่ผู้สมัครหลายๆท่านให้ความกังวลเรื่องความปลอดภัยของเอกสาร ทำให้เลือกสมัครผ่านทางออนไลน์กันเป็นส่วนใหญ่
การสมัครบัตรเครดิตผ่านตัวแทนนั้น จะปลอดภัยหากว่าเราเลือกตัวแทนที่เชื่อถือได้ ยกตัวอย่างเช่น การเปิดบูธต่างๆของทางธนาคาร ที่ห้างสรรพสินค้า ซึ่งตัวแทนเหล่านี้ จะมีการติดต่อกับทางธนาคารโดยตรง จะมีรายละเอียดต่างๆที่ครบ สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากจะมีสมัครงานช่วยดูแลในเรื่องเอกสารต่างๆ ว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ และ ยังให้คำแนะนำสำหรับผู้สมัครได้ดีอีกด้วย ตัวแทนสมัครบัตรเครดิตบางท่าน ยังช่วยผู้สมัครดูในเรื่องของตัวเลขบัญชี ว่าคุณสามารถสมัครผ่านหรือไม่ ด้วยตัวเลขบัญชีเท่านี้ เป็นต้น
นอกจากนี้ตัวแทนที่ให้บริการสมัครบัตรเครดิต โดยมากจาะส่งเอกสารไปยังสำนักงานใหญ่ หรือ หน่วยงานที่จัดการเรื่องบัตรเครดิตโดยตรง ตรวจสอบได้ และ สามารถพิจารณาบัตรเครดิตได้อย่างรวดเร็ว กว่าการสมัครผ่านสาขาของธนาคาร ส่วนมากของสาขาธนาคารจะมีรอบการส่งเอกสารแต่ละสัปดาห์ แตกต่างจากการสมัครผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ ส่วนมากจะต้องส่งเอกสารตามหลัง ซึ่งอาจจะใช้เวลาที่นานกว่า แต่จะได้รับความสะดวกสบายมากกว่า เนื่องจากจะมีพนักงานติดต่อกลับ
ทำบัตรเครดิตผ่านตัวแทน น่ากลัวหรือไม่?
การสมัครบัตรเครดิตผ่านตัวแทนนั้นไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เนื่องจากเอกสารทุกอย่างที่เรากรอก ทางตัวแทนจะให้เราเซ็นชื่อกำกับทุกครั้ง ว่าใช้ทำอะไร โดยตัวแทนจะมีตราประทับปั้มมาให้ ทำให้เรามั่นใจได้ในระดับนึงว่าเอกสารของเรา จะไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด นอกจากนี้หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าการสมัครบัตรเครดิตผ่านตัวแทนนั้น มีโอกาสที่ได้รับบัตรมากกว่าสมัครผ่านทางออนไลน์หรือไม่ ต้องตอบตรงนี้ว่า ไม่เกี่ยวกับ จะสมัครผ่านตัวแทน หรือ สมัครผ่านทางออนไลน์ โอกาสที่จะสมัครบัตรเครดิตผ่านนั้นเท่ากันหมด เนื่องจากทางธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลของเราโดยละเอียด ว่ามีคุณสมบัติที่จะสมัครบัตรเครดิตผ่านหรือไม่ รายได้เหมาะกับการสมัครบัตรเครดิตแบบไหน
สมัครบัตรเครดิตผ่านทางเว็บไซต์ดียังไง?
หลายคนที่กำลังตัดสินใจจะสมัครบัตรเครดิตผ่านทางออนไลน์อยู่ตอนนี้อาจจะมีคำถามว่า ถ้าเลือกสมัครบัตรเครดิตผ่านทางออนไลน์นั้นจะดีกว่าไหม แล้วมันดีกว่ายังไง ต้องตอบตรงนี้เลยว่า การสมัครบัตรเครดิตผ่านทางออนไลน์นั้น เราสามารถดูและ เปรียบเทียบบัตรเครดิตได้อย่างละเอียด แถมยังสามารถดูรีวิวจากการสมัครบัตรของลูกค้าท่านอื่นได้อีกด้วย ซึ่งการสมัครบัตรผ่านตัวแทนเราอาจจะเปรียบเทียบได้น้อยกว่า ไม่ว่าจะเป็น โปรโมชั่นของบัตรเครดิตต่างๆ, การแลกคะแนนสะสม รวมไปถึงโปรโมชั่นต่างๆ ของบัตรเครดิตนั้นๆ
นอกจากนี้การสมัครบัตรเครดิตผ่านทางออนไลน์นอกจากจะได้เปรียบเทียบบัตรเครดิตแล้ว เรายังสามารถเช็คสิทธิพิเศษต่างๆ ที่บางครั้งตัวแทนไม่ได้บอกเรา แต่กลับมีข้อมูลบนเว็บไซต์ที่มากกว่า เนื่องจากการให้ข้อมูล และ รายละเอียดนั้นมันละเอียดและลึกกว่าที่ตัวแทนจะอธิบายให้เรานั่นเอง อีกอย่างก็คือการเลือกสมัครผ่านทางออนไลน์นั้นมันง่าย สะดวกบายกว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถสมัครได้ จุดเด่นที่สำคัญแถมยังเป็นจุดดึงดูดให้ผู้ที่ต้องการสมัครบัตรเครดิต สมัครผ่านทางออนไลน์ก็คือ โปรโมชั่นเฉพาะสมัครบัตรเครดิตผ่านช่องทางออนไลน์ ที่เหนือกว่าการสมัครผ่านตัวแทน ยกตัวอย่างเช่น การแจกของพวกหูฟัง, Cash Voucher ต่างๆ ที่มีให้เฉพาะลูกค้าที่เลือกสมัครผ่านทางออนไลน์เท่านั้น
กรุงเทพฯติดอันดับ เมืองที่มีมลพิษสูงสุดที่ในโลกอันดับ 9
จากการอัพเดทข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศแบบ Realtime ของ IQAir วันที่ 9 มกราคม 2568 เวลาโดยประมาณ 8.30 กรุงเทพมหานครของเรา ติดอันดับเมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก โดยมีคะแนนดัชนีคุณภาพอากาศ AQI อยู่ที่ 163 คะแนน ซึ่งคะแนนระดับนี้ มีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน คนที่เป็นโรคทางเดินหายใจ หรือ ภูมิแพ้ อาการอาจจะกำเริบได้ แนะนำไม่ให้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง และใส่หน้ากากอนามัยเพื่อลดเความเสียง สำหรับมิลพิษหลักที่ทำให้ระดับมลพิษของกรุงเทพฯสูงขนาดนี้ก็คือ PM2.5 นั่นเองอยู่ที่ 72.5 µg/m³ เป็นระดับที่สูงกว่าเกณฑ์แนะนำประจำปีขององค์การอนามัยโลกถึง 14.5 เท่า
นอกจากกรุงเทพฯแล้ว ประเทศไทยยังมีจังหวัดเชียงใหม่ที่ติดอันดับ 14 เมืองที่มีมลพิษสูงที่สุดในโลกอีกเช่นเดียวกัน สำหรับอับดับดัชนีคุณภาพอากาศ หรือ AQI นั่นจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็นข้อมูลแบบ Realtime สำหรับใครที่สนใจอยากจะตรวจสอบข้อมูลแบบ Realtime สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ IQAir เพื่อตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวของท่านเอง
เปิด 10 อันดับเมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก ณ วันที่ 9 มกราคม 2568
- นิวเดลี ประเทศอินเดีย AQI 281
- ละฮอร์ ประเทศปากีสถาน AQI 198
- กินชาซา ประเทศคองโก AQI 191
- กัมปาลา ประเทศยูกันดา AQI 189
- ธากา ประเทศบังคลาเทศ AQI 187
- ฮานอย ประเทศเวียดนาม AQI 183
- มานามา ประเทศบาห์เรน AQI 164
- กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย AQI 163
- โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม AQI 161
IQAir คืออะไร?
IQAir คือบริษัทเทคโนโลยี ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพอากาศระดับโลก ซึ่งการให้ข้อมูลของบริษัท IQAir นั้นเป็นข้อมูลในรูปแบบ Realtime บริษัทนี้สามารถให้ข้อมูลแบบ Realtime ได้ก็เพราะว่ามีเครื่องตรวจจับคุณภาพอากาศที่ถูกวางไว้ทั่วโลก ทำให้ IQAir สามารถบอกข้อมูลคุณภาพอากาศได้ตรงมากๆ การให้ข้อมูลของ IQAir นั้นจะให้ผ่าน AirVisual ที่ดัชนีคุณภาพอากาศของสหรัฐ หรือ US AQI ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากทางสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกานั่นเอง เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อการสื่อสารว่าอากาศที่เราหายใจเข้าไปนั้นมีมลพิษมากน้อยแค่ไหน และ มีผลต่อสุขภาพของมนุษย์หรือไม่
ดัชนี AQI สามารถวัดระดับมลพิษทางอากาศได้ทั้งหมด 5 ชนิดด้วยกัน
- PM2.5 ฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่้งสามารถแทรกซึมเข้าไปในปอดของมนุษย์ และ เข้าสู่กระแสเลือดได้
- PM10 ฝุ่นที่มีอนุภาพขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เป็นฝุ่นที่ทำให้เกิดปัญหาทางเดินหายใจได้
- O3 โอโซน เป็นก๊าซที่อาจจะทำให้เกิดปัญหางเดินหายใจ และ ปัญหาสุขภาพอื่นๆ
- NO2 ไนโตรเจนไอออกไซด์ สามารถทำให้ทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองและทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจกำเริบได้
- CO คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น อาจทำให้เกิดอันตรายหากสูดดมในปริมาณมาก
เปิดตารางรับเงินอุดหนุนบุตร 2568
สำหรับใครที่กำลังรอรายละเอียดการจ่ายเงินอุดหนุนบุตรอยู่ในตอนนี้ ทางกรมบัญชีกลางได้ออกมาเปิดเผย เกี่ยวกับการโอนเงินว่าจะจ่ายเงินเข้าบัญชีวันไหนบ้างในปี 2568 รวมไปถึงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, เบี้ยคนพิการ และ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับรอบจ่ายครั้งแรก ของเงินอุดหนุนบุตรในปี 2568 นั้นจะตรงกับวันที่ 10 มกราคม 2568 นี้ มาพร้อมกับขั้นตอนการลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
กรมบัญชีกลางได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดการจ่ายเงินเยียวยากลุ่มเปราะบางตลอดปี 2568 ว่าจะทำการโอนเงินวันไหนบ้างสำหรับเบี้ยยังชีพ, เบี้ยผู้สูงอายุ, เบี้ยคนพิการ และ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาพร้อมกับขั้นตอนการลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือ
เงินอุดหนุนบุตร เบี้ยเด็กแรกเกิด มกราคม 2568 เงินเข้าบัญชีวันไหน
กรมบัญชีกลางแจ้งว่า เงินอุดหนุนบุตรจะถูกโอนเข้าบัญชี ผู้ที่ได้รับสิทธิในวันที่ 10 มกราคม 2568 โดยจะทำการยึดหลักเกณฑ์จ่ายเงินเข้าบัญชี ทุกๆวันที่ 10 ของเดือนถ้าหากเดือนไหนตรงกับวันเสาร์ และ วันอาทิตย์ หรือ วันหยุดราชการ จะทำการจายเงินเด็กแรกเกิดเข้าบัญชีล่วงหน้าก่อนวันหยุด
สามารถตรวจสอบเงินอุดหนุนบุตรผ่านช่องทางไหนได้บ้าง?
- ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ กรมกิจการเด็กและเยาวชน
- ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ
- ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชั่น เงินเด็ก
การลงทะเบียนขอรับเงินอุดหนุนบุตร เบี้ยเด็กแรกเกิด
การขอรับเงินอุดหนุนเงินเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และ เด็กที่มีสัญชาติไทยนั้น ผู้ปกครองสามารถยื่นคำร้องได้ในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิด และ ผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ตามทะเบียนบ้าน สำหรับรายพื้นที่ในการลงทะเบียนสามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง
- กรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเขต
- เมื่อพัทยา ลงทะเบียนได้ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา
- ส่วนภูมิภาค ลงทะเบียนได้ที่องค์การบริหารส่วนตำบล หรือ เทศบาล
- ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น เงินเด็ก ทั้งนี้ผู้ปกครองจะต้องพิสูจน์ และ ยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชั่น ThaiID ของกรมการปกครองก่อน เมื่อตรวจสอบสิทธิผ่านแล้วจะได้รับเงินที่มีผลตั้งแต่เดือนที่ลงทะเบียนรับเงิน
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนโทร 082-091-7245, 082-037-9767, 083-431-3533, 065-731-3199 หรือ ติดต่อที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300
วันจ่ายเงินอุดหนุนบุตร 2568
- วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2568
- วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568
- วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน 2568
- วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม 2568
- วันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2568
- วันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568
- วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2568
- วันพุธที่ 10 กันยายน 2568
เปิดรายละเอียดประกันสังคม 2568 เพิ่มสิทธิมากขึ้น
จากการตรวจสอบตัวเลขผู้ประกันตนในปี 2567 มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมกว่า 24.80 ล้านคน ประกอบไปด้วย มาตรา 33 จำนวน 12.07 ล้านคน และ มาตรา 39 จำนวน 1.72 ล้านคน มาตรา 40 จำนวน 11.01 ล้านคน ทางสำนักงานประกันสังคมได้แจ้งว่าการจ่ายสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมจะมีอยู่ 7 กรณีด้วยกัน ได้แก่ผู้ประกันตนไปแล้วคิดเป็นจำนวน 38.58 ล้าน คิดเป็นจำนวนเงิน 112,829.93 ล้านบาท สำหรับกองทุนเงินทดแทน คิดเป็นจำนวน 1,821.25 ล้านบาท รวมสิทธิประโยชน์จากทั้ง 2 กองทุน คิดเป็นจำนวน 114,651.18 ล้านบาท
กองทุนประกันสังคม มีเงินสมทบมากกว่า 2.6 ล้านล้านบาท และได้ผลตอบแทนจากเงินสะสมจากการลงทุนคิดเป็นจำนวน 989,740 ล้านบาทในปี 2567
ประกันสังคม 2568 เพิ่ม สิทธิ 4 สิทธิด้วยกัน
1. เพิ่มเงินสงเคราะห์บตรเพิ่มเป็น 1,000 บาท
ในปี 2568 ประกันสังคมได้มีการพิจารณาเพิ่มสิทธิสำหรับเงินสงเคราะห์บุตร จากการพิจารณาเพิ่มเติม ในส่วนนี้ให้กับผู้ประกันตน จะมีผลบังคับให้ใช้ทันทีตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 และ ส่วนที่คณะกรรมการประกันสังคม หรือ บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบแล้วรอออกประกาศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ผู้ประกันตน มาตรา 33 และ มาตรา 39 ซึ่งมีบัตรตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 6 ปี จะได้รับเงินสงเคราะห์บัตร จาก 800 บาทเพิ่มเป็น 1,000 บาท ต่อเดือน ต่อบัตร 1 คน โดยให้สิทธิคราวละไม่เกิน 3 คน
ในกรณีผู้ประกันตน ทีได้รับเงินสงเคราะห์บัตรใหม่ จะต้องยื่นแบบคำขอกับทางสำนักงานประกันสังคมโดยสำนักงานจะต้องจ่ายเงินวงเคราะห์บัตรของเดือนมกราคม 2568 เป็นเงิน 1,000 บาทให้โดยอัตโนมัติ
2. มะเร็งรักษาทุกโรงพยาบาล ที่เอ็มโอยูประกันสังคม
เริ่มต้นตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 สำหรับการรักษามะเร็ง สามารถรักษาได้ทุกโรงพยาบาล โดยผู้ประกันตน สามารถไปรักษาได้ที่โรงพยาบาลแห่งใดก็ได้ที่ได้ทำข้อตกลงระหว่างสำนักงานประกันสังคม แล้วประกันสังคมจะตามไปจ่าย ไม่ต้องรักษาเฉพาะแต่โรงพยาบาล ประกันสังคมตามสิทธิเท่านั้น ตามโครงการ SSO Cancer Care โดยสำนักงานประกันสังคม หรือ สปส. รักษาโรงมะเร็งที่มีคุณภาพสำหรับผู้ประกันตนแบบครงวงจร ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยจนถึงการรักษา
ปัจจุบันสามารถเข้ารับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลใดก็ได้ ที่ทำข้อตกลงระหว่างประกันสังคม ซึ่งมีแล้วมากกว่า 50 โรงพยาบาล ที่เข้าร่วมข้อตกลงกับทางประกันสังคม รวมถึงการเพิ่มยามุ่งเป้าสำหรับมะเร็ง ถือว่าเป็นการเพิ่มการเข้าถึงการรักษาโรงมะเร็งของผู้ประกันตน ผู้ประกันตน สามารถตัดสินใจร่วมกับทางทีมแพทย์ที่ทำการรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิผู้ประกันตนหรือ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคม หรือ สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศ สามารถโทรสายด่วนได้ที่เบอร์ 1506 กด 1 สำนักงานประกันสังคม
3. เพิ่มโรงพยาล ประกันสังคม 7 แห่ง
ในปี 2568 นี้ทางประกันสังคมได้มีการเพิ่มโรงพบาบาล ที่อยู่ในคู่สัญญาประกันสังคมถึง 7 แห่งด้วยกันเป็นโรงพบาบาลรัฐ 4 แห่ง และ โรงพยาบาลเอกชน 3 แห่ง สามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง
- โรงพยาบาล จุฬาภรณ์ จังหวัดกรุงเทพมหานคร
- โรงพยาบาล กาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎ์ธานี
- โรงพยาบาล ราชวิถี 2 รังสิต จังหวัด ปทุมธานี
- โรงพยาบาล ผู้สูงอายุบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร
- โรงพยาบาล พญาไทศรีราชา 2 จังหวัดชลบุรี
- โรงพยาบาล วัฒนแพทย์สมุย จังหวัดสุราษร์ธานี
- โรงพยาบาล ราชธานี หนองแค จังหวัดสระบุรี
จากการประกาศดังกล่าวทำให้ปัจจุบัน ประกันสังคมมีโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทั้งหมดเป็น 271 แห่ง เป็นโรงพยาบาลรัฐ 174 แห่ง และ โรงพยาบาลเอกชน 97 แห่ง ผู้ประกันตนสามารถเปลี่ยนโรงพยาบาล และ สิทธิประกันสังคมได้ปีละ 1 ครั้ง และ ในปีนี้สามารถเลือกเปลี่ยนได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568
4. เงินทดแทนว่างงานขยับเป็น 60%
บอร์ดประกันสังคมได้ลงมติเห็นชอบในกรณีว่างงาน โดยเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 มีมติเห็นชอบแรวทางการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน สำหรับการว่างงาน เพราะเหตุถูกเลิกจ้าง ให้มีสิทธิรับเงินทดแทนเป็น 60% ของค่าจ้างรายวัน เพิ่มขึ้นจากเดิม 50% ของค่าจ้างรายวัน
เล็งเพิ่มสิทธิทำฟัน ประกันสังคม
ในส่วนของสิทธิทำฟันประกันสังคม นั้นตอนนี้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิทำฟันปีละ 900 บาท ทางด้านประกันสังคมแจ้งว่า จะมีการพิจารณาและมีความชัดเจนเกี่ยวกับ สิทธิประโยชน์ของสิทธิการทำฟันยกตัวอย่างเช่น รากฟันเทียม และ อื่นๆ รวมถึงกรณีที่ไม่ได้ใช้สิทธิก็สามารถเก็บสิทธินั้นไปใช้ในปีถัดไปได้ เป็นการรักษาสิทธิไว้ให้ผู้ประกันตน โดยจะเริ่มโครงการทดลองทำเป็น sandbox เพื่อดูผลที่เกิดขึ้น
สรุปในปี 2568 สำหรับสิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย ทางคณะกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม เตรียมพร้อมเพื่อปรับสิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วยให้รักษาได้รวดเร็ว และครอบคลุมทุกโรค เพื่อดูแลผู้ประกันตน รองรับเทคโนโลยีด้านการรักษา เช่น การผ่าตัดแผลขนาดเล็กผ่านกล้อง จำนวน 27 รายการ รวม 76 โรค และ รักษาได้ภายใน 28 วัน เพื่อเป็นการลดระยะการพักฟื้น ลดภาระค่าใช้จ่ายในการนอนพักรักษาตัว เพื่อให้ผู้ประกันตนสามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
เปิดรายละเอียดผู้มีสิทธิลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568
แจ้งอัพเดทความคืบหน้าล่าสุด สำหรับผู้ที่มีสิทธิลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 นี้ ทางกระทรวงการคลังได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้มีการจัดเตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรายใหม่ ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ระบุในที่ประชุมเกี่ยวกับคณะกรรมการประชารัฐสวัสดดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ได้หารือเกี่ยวกับเกณฑ์เปิดลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ โดยเบี้องต้นจะทำการตรวจสอบสิทธิ 14.5 ล้านคน
สำหรับการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ในปี 2568 นั้นจากการกำหนด คาดว่าอาจจะมีประมาณ 10 ล้านคนเข้ามาลงทะเบียนใหม่ เป็นการประมาณการตัวเลขจากกลุ่มคนเช่นเด็กที่เติมโต ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และ กลุ่มที่เคยลงทะเบียนเอาไว้ แต่ไม่ได้รับสิทธิ โดยทั้งหมดจะต้องทำการตรวจสอบตามกลไก ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ อาจจะมีสูงถึง 25 ล้านคน
เกณฑ์การลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568
ทางด้านกระทรวงการคลังได้ออกมาเปิดเผยกระบวนการในการลงทะเบียนเบื้องต้น คาดว่าจะมีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 25 ล้านคน ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน
- กลุ่มเดิมคือผู้ที่มีสิทธิในปัจจุบันที่ผ่ารกระบวนการแล้วกว่า 14.5 ล้านคน
- กลุ่มใหมที่ประมาณการเอาไว้ที่ 10 ล้านคน
สำหรับกลุ่มใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิมาก่อน จะมาจากประชาชนที่มีอายุครบ 18 ปีเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา และกลุ่มที่เคยลงทะเบีนแต่ไม่ได้รับสิทธิประมาณ 4-5 ล้านคน และกลุ่มอื่น ที่คาดการณ์เอาไว้ว่ามีหลายล้านคนที่คาดว่าจะมาลงทะเบียน แต่ไม่ได้หมายความว่า การลงทะเบียนจะได้รับสิทธิทั้งหมด จะต้องมาตรวจสอบกลไกหลังจากนี้อีก
ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะต้องลงทะเบียนใหม่หรือไม่?
- ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ สำหรับกลุ่มผู้ที่มีสิทธิเดิมจำนวน 14.5 ล้านคน ไม่จำเป็นจะต้องลงทะเบียนใหม่ รัฐบาลจะนำรายชื่อไปคัดกรองสิทธิให้อัตโนมัติ
- กลุ่มผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิ กลุ่มนี้จะต้องลงทะเบียนใหม่ โดยการลงทะเบียนจะเริ่มต้นขึ้นก่อนสิ้นเดือนมีนาคม 2568
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะแจ้งให้ศึกษาการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” และ ขึ้นตอนการลงทะเบียน เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน นอกจากนี้ยังได้มีคำสั่งให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. ได้ดำเนินการตรวจสอบทบทวนหลักเกณฑ์ทั้งแบบเก่า และ แบบใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมกับการดำเนินการ และป้องกันไม่ให้คนจนไม่จริงเข้ามาสวมสิทธิ
หลักเกณ์รายได้ครัวเรือนยังอยู่คงเดิม ในขณะที่เกณฑ์เรื่องการถือครองที่ดิน จะทำให้สามารถตรวจสอบและใช้ได้จริง พร้อมกับการดูรายละเอียดในเรื่องสิททรัพย์การถือครองสลาก และ พันธบัตร
กำหนดการลงทะเบีนน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568
- มกราคม 2568 เปิดให้ลงทะเบียนสำหรับผู้ถือบัตรเก่า และ ผู้สนใจรายใหม่
- มีนาคม 2568 ประกาศผลการลงทะเบียน และ เปิดให้ยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ
- เมษายน 2568 เริ่มใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่
เปิดเกณฑ์คุณสมบัตรผู้เข้าร่วมโครงการ เบื้องต้นคาดว่าจะยังไม่ได้เปลี่ยนจากเดิมตามรายละเอียดด้านล่าง
- ลงทะเบียนรายบุคคล และ ตรวจสอบคุณสมบัติเป็นรายบุคคล และ ครอบครัว
- ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
- มีรายได้คนละไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ภายในครอบครัว มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี
- ทรัพย์สินทางการเงินได้แก่ เงินฝากพันธบัตร, ตราสารหนี้ต่างๆ จะต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน และ ครอบครัวไม่เกิน 100,00 บาทต่อคนต่อปี เช่นเดียวกัน
- ต้องไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือ ที่ดินที่เกินจากเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด
- ไม่มีบัตรเครดิต
- ไม่มีวงเงินกู้บ้านตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป
- วงเงินกู้ซื้อรถตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป
- ต้องไม่เป็นภิกษุ สามเณร ผู้ต้องขัง หรือ บุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ ข้าราชการ พนักงานราชการ ผู้รับบำเหน็จรายเดือน ผู้รับบำนาญ ข้าราชการการเมือง รวมไปถึง สส. และ สว.
วันตรุษจีน 2568 วันไหว้ วันจ่าย วันเที่ยว ตรงกับวันไหน
เทศกาลตรุษจีนเป็นเทศกาลที่คนจีน และ คนไทยเชื้อสายจีนต่างก็ให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นเทศกาลที่สืบทอดกันมาหลายพันปี ในวันตรุษจีนนั้นคนจีน และ คนไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่จะเลือกใส่เสื้อสีแดงเนื่องจากเป็นสีมงคลของคนจีนนั่นเอง สำหรับคำถามที่ถูกถามเข้ามาทุกๆปี สำหรับวันตรุษจีนนั้นมักจะถามกันว่า วันตรุษจีนปีนี้ตรงกับวันอะไร วันไหนที่เป็นวันจ่าย, วันไหว้ และ วันเที่ยว
วันตรุษจีนคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ?
วันตรุษจีน ถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนจีน เป็นวันสำคัญที่มีมานานตั้งแต่ 4,000 ปีก่อน ในอดึตวันตรุษจีนถูกเรียกว่า วันชุงเจ๋ หมายถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากช่วงก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นช่วงปลายปีเมืองจีนจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะในช่วงฤดูหนาว ทำให้ไม่สามารถทำการเกษตรได้ และเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ก็จะสามารถกลับมาทำการเพาะปลูกได้ตามปกติ ทำให้เกิดเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิขึ้น ชาวจีนเลยได้มีการกำหนดให้วันแรกของฤดูใบไม้ผลิของแต่ละปี เป็นวันสำคัญเรียกว่า “วันตรุษจีน”
10 อย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับวันตรุษจีน
- วันตรุษจีนถือเป็นเทศกาลปีใหม่ของคนจีน ตามธรรมเนียมประเพณีปฎิบัติ 3 วัน ได้แต่วันจ่าย, วันไหว้ และ วันเที่ยว
- วันจ่าย ภาษาจีนเรียกว่า “ตื่อเส็ก” เป็นวันก่อนสิ้นปี นิยมออกไปหาซื้ออาหาร, ผลไม้ และ เตรียมเครื่องเซ่นไหว้
- วันไหว้ หรือ วันสิ้นปีของชาวจีน เป็นการนำอาหาร, ผลไม้ และ เครื่องเซ่นไหว้ ไปขอพรกับเทพเจ้า และ บรรพบุรุษ
- วันเที่ยว ภาษาจีน เรียกวันนี้ว่า “วันชิวอิก” หรือวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันสิริมงคล งดทำบาป, ไม่พูดจาไม่ดี, ไม่ทำความสะอาดบ้าน เป็นวันที่นิยมเดินทางท่องเที่ยวเป็นครอบครัว
- ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ อั่งเปาตั่วตั่ว ไก๊ ภาษาจีนแปลว่า ปีใหม่นี้ ขอให้สมปรารถนา มีแต่ความสุข โชคดีร่ำรวยตลอดปี
- อั่งเป่า แปลความหมายตามภาษาจีนคำว่า อั่ง แปลว่าแดง คำว่าเปา แปลว่า ซอง รวมความหมายของคำว่า อั่งเปา แปลว่า ซองสีแดงไว้ใส่เงิน
- แต๊ะเอีย แปลเป็นไทยได้ว่า เงินที่อยู่ในซอง นิยมใส่กันเป็นเลขคู่ เพราะหมายถึงโชคทวีคูณนั่นเอง
- อาหารนำโชค เป็นมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ นิยมกินเกี้ยว เพื่อให้มั่งมีเงินทอง และ มื้อแรกของปีใหม่ นิยมกินเจ เพื่อที่จะได้บุญตลอดปี
- ผมไม้ต้องห้าม สำหรับวันตรุษจีน ก็คือผลไม้ที่มีสีดำ เนื่องจากเป็นผลไม้ที่สื่อถึงการไว้ทุกข์ ไม่เป็นมงคล
- เครื่องแต่งกาย ส่วนใหญ่จะเลือกใส่เสื้อผ้าสีสดใส โดยเฉพาะสีแดง ที่เป็นสีมงคล ไม่ควรใส่เสื้อสีเทา และ สีดำเนื่องจากไม่เป็นสิริมงคล
ตรุษจีน 2568 ตรงกับวันอะไร ?
วันตรุษจีน วันจ่าย 2568 ตรงกับวันที่ 27 มกราคม 2568
- วันนี้คนจีน และ คนไทยเชื้อสายจีนจะออกไปซื้อของเพื่อมาเตรียมไว้เทพเจ้า, บรรพบุรุษ และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โดยเน้นการเตรียมอาหาร, ผลไม้, เครื่องเซ่นไหว้ รวมถึงของใช้จำเป็นสำหรับครอบครัว
วันตรุษจีน วันไหว้ 2568 ตรงกับวันที่ 28 มกราคม 2568
- วันไหว้ ถือว่าเป็นวันที่สำคัญที่สุดสำหรับวันตรุษจีน การไหว้จะเริ่มต้นจากการไหว้เทพเจ้า ตามด้วยการไหว้บรรพบุรุษ และ ผีไร้ญาติ ถือว่าเป็นวันสำคัญเนื่องจากเป็นการไหว้เพื่อขอบคุณเทพเจ้า, บรรพบุรุษที่คุ้มครอง และ เพื่อเป็นการขอพรให้ปีใหม่มีความสุข รำรวย สุขภาพแข็งแรงตลอดปี
วันตรุษจีน วันเที่ยว 2568 ตรงกับวันที่ 29 มกราคม 2568
- วันเที่ยวถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนจีน วันนี้คนจีน และ คนไทยเชื้อสายจีน จะเลือกใส่เสื้อผ้าที่มีสีสดใส ออกไปไหว้ขอพรจากญาติผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเลือกส้ม 4 ผลอวยพรผู้ใหญ่ และ ออกไปเที่ยวเพื่อพักผ่อน เป็นวันที่ต้องไม่พูดจาหยาบคาย
เปิดรายละเอียด วิธีขอสเตทเม้นของแต่ละธนาคาร
ปัจจุบันการทำธุรกรรมทางเงินต่างๆ หรือจะเป็นการสมัครบัตรเครดิตจากธนาคารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สมัครบัตร UOB, สมัครบัตร KTC, สมัครบัตรกสิกรไทย หรือจะเป็นการขอสินเชื่อต่างๆ ทางธนาคารจะทำการขอดูสเตทเม้น ย้อนหลังของผู้สมัคร เนื่องจากทางธนาคารจะต้องเช็คความสามารถในการชำระหนี้ หากต้องการจะกู้ยืมเงิน หรือ สมัครบัตรเครดิตต่างๆ นอกจากนี้การขอสเตทเม้น นั้นยังใช้สำหรับการขอวีซ่าเพื่อการเรียนต่อต่างประเทศ รวมไปถึงการสมัครงานบางแห่งด้วย
Statement คืออะไร?
สำหรับคำถามที่ว่า Statement คืออะไรนั้นในวงการการเงิน หรือ ธนาคาร คำๆนี้จะหมายถึงข้อมูลที่บันทึกการเคลื่อนไหวของบัญชีธนาคารนั่นเอง การขอดูรายละเอียดบัญชีธนาคารย้อนหลัง ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงิน และ ถอนเงิน สามารถตรวจสอบได้ผ่าน Statement นั่นเอง ปกติแล้วหากคุณต้องการสมัครบัตรเครดิต ไม่ว่าจากธนาคารไหนก็ตาม ทางธนาคารจะขอดูสเตทเม้น จากบัญชีธนาคารของคุณย้อนหลัง 3 เดือน หรือ 6 เดือน และ 12 เดือน ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของธนาคารนั้นๆ
การขอดู Statement ย้อนหลัง
การขอดู Statement ย้อนหลังจากทางธนาคาร ถือว่ามีความสำคัญมากๆ เป็นตัวตัดสินได้เลยว่าคุณจะสมัครบัตรเครดิตผ่านหรือไม่ผ่าน หรือ กู้ผ่านหรือไม่ผ่าน เนื่องจากสเตทเม้น เป็นตัวชี้วัดว่าคุณมีศักยภาพในการผ่อนชำระคืนมากน้อยแค่ไหน ทางธนาคารเลยต้องการตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบัญชีย้อนหลัง เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันว่าเราสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้หรือไม่ ในส่วนของการขอ Statement เพื่อทำวีซ่าเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ เนื่องจากจะต้องใช้เป็นหลักฐานว่าเราสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆได้ครอบคลุมตลอดระยะเวลาที่เราเรียนต่อหรือไม่
สมัครบัตรเครดิต จะต้องขอ Statement หรือไม่?
การสมัครบัตรเครดิตจากทางธนาคารต่างๆ เอกสารหลักที่ธนาคารจะขอดูเลยก็คือ Statement ของผู้ขอสมัครนั่นเอง เนื่องจากสเตทเม้น สามารถใช้เป็นหลักฐาน ว่าเรามีความสามารถพอที่จะจ่ายค่าบัตรเครดิต ในระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด Statement เป็นเอกสารที่แสดงให้ธนาคารเห็นพฤติกรรมการใช้เงิน รวมไปถึงวินัยการใช้เงินของเราได้เป็นอย่างดี แม้แต่การสมัครงานบางแห่งที่เราขอเรียนเงินเดือนที่มากกว่าหรือเท่ากับเงินเดือนปัจจุบัน บริษัทเหล่านั้นอาจจะขอ Statement จากทางเราเพื่อเป็นการยืนยันว่าเราได้รับเงินเดือนตามที่แจ้งไปจริงๆ
ธนาคารกรุงเทพ
ธนาคารกรุงเทพ ลูกค้าสามารถขอสเตทเม้น ได้ผ่าน 2 ช่องทาง
- ขอสเตทเม้นผ่านธนาคาร โดยการเดินทางไปที่ธนาคาร และ ทำการขอสเตทเม้น กับทางเจ้าหน้าที่โดยตรงเลย สำหรับเอกสารที่จำเป็นจะต้องใช้ก็คือ บัตรประจำตัวประชาชน, สมุดบัญชี สำหรับค่าธรรมเนียมในการขอสเตทเม้นไม่เกิน 6 เดือนจะไม่เสียค่าธรรมเนียม หากขอเกิน 6 เดือน หรือ 12 เดือน ธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียม 200 บาท และ หากขอ 2 ปี จะเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท
- ขอสเตทเม้นผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถขอสเตทเม้น ผ่าน Mobile Banking ผ่าน Application ของธนาคารกรุงเทพ
ธนาคารกรุงไทย
ธนาคารกรุงไทย สามารถขอ สเตทเม้นได้ผ่าน 2 ช่องทางด้วยกัน
- สามารถขอสเตทเม้นผ่านสาขาของธนาคาร โดยนำบัตรประชาชน และ สมุดบัญชีไปเพื่อขอ สเตทเม้น สำหรับค่าธรรมเนียมในการขอ 3-6 เดือนจะเสียค่าธรรมเนียม 100 บท และ 6-12 เดือนจะเสียค่าธรรมเนียม 200 บาท หากขอ 2 ปี ขึ้นไป จะเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท
- ขอสเตทเม้นผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถทำรายการได้ผ่าน Mobile Banking ผ่าน Application Krungthai NEXT ของธนาคากรุงไทย ไม่เสียค่าธรรมเนียมในการขอผ่านทางออนไลน์
ธนาคารกสิกรไทย
ธนาคารกสิกรไทย สามารถขอได้ 2 ช่องทาง
- สามารถขอได้ผ่านทางธนาคาร โดยให้เตรียมสมุดบัญชี และ บัตรประจำตัวประชาชนไปเพื่อยื่นขอกับทางธนาคาร ค่าธรรมเนียมหากน้อยกว่า 6 เดือนจะเสียค่าธรรมเนียม 200 บาท หากขอ 6-24 เดือน จะเสียค่าธรรมเนียม 200 บาท และ หากขอมากกว่า 24 เดือนจะเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท
- การขอสเตทเม้นผ่านทางออนไลน์ของธนาคารกสิกรไทย สามารถขอได้ ผ่านทาง Mobile Banking บน Application K Plus ไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น
ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)
ธนาคาร TTB สามารถขอได้ผ่าน 2 ช่องทาง
- ผ่านทางธนาคาร โดยผู้ขอจะต้องเตรียมสมุดบัญชี และ บัตรประชาชนไป ค่าธรรมเนียม 6 เดือน เสียค่าธรรมเนียม 100 บาท 6 เดือนขึ้นไป เสียค่าธรรมเนียม 200 บาท
- ขอผ่านทางออนไลน์ สามารถขอได้ผ่าน Mobile Banking ผ่านแอป TTB Touch หากต้องการใช้ Application TTB Touch จะต้องทำการเปิดกับทางธนาคารการเริ่มต้นใช้งาน
ธนาคารไทยพาณิชย์
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สามารถขอได้ผ่าน 2 ช่องทาง
- ผ่านทางธนาคาร โดยจะต้องเตรียมเองการบัตรประจำตัวประชาชน และ สมุดบัญชีธนาคารเพื่อขอสเตทเม้น หากขอ 6 เดือน จะเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 100 บาท หากเกินกว่านั้น จะเสียค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่แต่ละสาขา
- ขอสเตทเม้นผ่านทางออนไลน์ สำหรับลูกค้าธนาคาร SCB สามารถขอผ่านช่องทางออนไลน์ผ่าน Mobile Banking บน Application SCB Easy โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม และ ยังสามารถขอได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย
เปิดรายละเอียดและข้อกำหนด ยื่นภาษีออนไลน์ 2567
เข้าสู่ปีใหม่ในปี 2568 ซึ่งในช่วงต้นปีคนไทยส่วนใหญ่ที่ทำงานกินเงินเดือนก็จะเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับ การยื่นภาษีกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปัจจุบัน เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยื่นภาษีที่สำนักงานกรมสรรพากรแล้ว เราสามารถทำการขอยื่นภาษีผ่านช่องทางออนไลน์ได้แล้ว สะดวกสบายและรวดเร็วมากๆ การยื่นภาษีออนไลน์ในปี 2567 นั้นหลายคนยังมีคำถาม และยังไม่ค่อยทราบข้อมูลกันมากนัก ว่าสามารถยื่นได้ถึงเมื่อไหร่ และ ผู้ยื่นจะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง สำหรับแนวทางสำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นภาษีอยู่ สามารถดูรายละเอียดข้อมูลได้ด้านล่าง
ยื่นภาษีออนไลน์คืออะไร
คำถามยอดฮิต สำหรับคำถามที่ว่า “ยื่นภาษีออนไลน์คืนอะไร” มนุษย์เงินเดือนหลายๆคนยังคงมีคำถามในหัวอยู่ว่า เราจำเป็นต้องยื่นภาษีรึเปล่า แล้วสามารถยื่นภาษีผ่านทางออนไลน์ได้หรือไม่ การยื่นภาษีออนไลน์ เป็นการส่งแบบการแสดงรายได้ และ รายการภาษี หรือ ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด. 91 ผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร การยื่นภาษีออนไลน์ เป็นดการช่วยลดขั้นตอน และ ความยุ่งยากในการยื่นภาษี สำหรับผู้ที่มีรายได้ทุกคน สามารถทำการยื่นแบบภาษีผ่านทางออนไลน์จากที่บ้านได้ง่ายโดยที่ไม่ต้องไปยื่นที่สำนักงานสรรพากร
ยื่นภาษีออนไลน์ 2567 สามารถยื่นได้ถึงเมื่อไหร่?
การยื่นภาษีออนไลน์ 2567 ทางกรมสรรพากร เปิดให้ผู้ที่มีรายได้ สามารถยื่นแบบแสดงรายได้ และ การลดหย่อนภาษีได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 และในส่วนของช่องทางออนไลน์ สามารถส่งแบบได้ถึงสัปดหา์แรกของเดือนเมษายน 2568 ไปจนถึงวันที่ 8 เมษายน 2568
เอกสารที่ต้องใช้ สำหรับการยื่นภาษีออนไลน์
- รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวกับรายได้ และ การลดหย่อนภาษีเช่น หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่ จ่าย หรือ 50 ทวิ
- เอกสารรายได้จากแหล่งอื่น
- เอกสารลดหย่อยภาษี เช่น เบี้ยประกันชีวิต, กองทุนรวมเพื่อการออม หรือ SSF ค่าลดหย่อนบุตร
เว็บไซต์ยื่นภาษีออนไลน์ กรมสรรพากร
- เข้าไปที่เว็บไซต์ www.rd.go.th และทำการเลือกเมนู ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา หรือ E-Filing
การลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
- หากผู้เสียภาษียังไม่เคยมีบัญชีกับทางกรมสรรพากร สามารถลงทะเบียนได้ง่ายๆ โดยใช้บัตรประจำตัวประชาชน
ภาษีที่สามารถยื่นได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- ภ.ง.ด. 90 สำหรับผู้ที่มีรายได้หลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น ค่าจ้าง, ค่าธรรมเนียม และ รายได้จากการขายทรัพย์สิน
- ภ.ง.ด. 91 สำหรับผู้ที่มีรายได้จากเงินเดือนอย่างเดียว
กรอกข้อมูลรายได้ และ ค่าลดหย่อนภาษี
- หลังจากเลือกแบบภาษีแล้ว ทำให้การกรอกข้อมูลตามเอกสารที่เตรียมเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่น รายได้ประจำปี และ ข้อมูลค่าลดหย่อนภาษี
ตรวจสอบความถูกต้อง และ คำนวณภาษี
- ระบบจะทำการตรวจสอบข้อมูล และคำนวณภาษีที่ต้องชำระ
- ผู้เสียภาษี สามารถทำการชำระภาษีผ่าน Mobile Banking
- การขอคืนภาษี ให้ทำการระบุบัญชีธนาคารเพื่อขอรับเงินคืน
หนังสือรับรองการหัก ณ ที่ จ่าย หรือ 50 ทวิ
- หนังสือรับรองนี้ สำหรับพนักงาน ประจำ หรือ ลูกจ้าง
รายการสำหรับการลดหย่อนภาษี
- เบี้ยประกันชีวิต หรือ เบี้ยประกันสุขภาพ
- กองทุน SSF หรือ RMF
- ค่าเลี้ยงดูบิดา มารดา
- ดอกเบี้ย เงินกู้ยืม เพื่อที่อยู่อาศัย
ระยะเวลาในการขอคืนภาษี
หากมีการหักภาษีเกิน ทางระบบ จะทำการคืนเงินให้ผ่านบัญชีที่กรอกภายในระยะเวลา 30 วันหลังจากยื่นแบบ ถ้าหากผู้เสียภาษีมีข้อสงสัย สามารถติดต่อไปยัง Call Center หรือที่เบอร์ 1161 สำนักงานสรรพากร