พยากรณ์อากาศ มรสุมปกคลุมประเทศไทยต่อเนื่อง
กรมอุตุ พยากรณ์อากาศ ประกาศเตือนฝนตกอีกระลอก มรสุมปกคลุมประเทศไทยต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีฝนตกแบบยาวๆ 6 วันติด
ปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้น และ มีฝนตกหนักบางแห่ง เสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และ น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขา พื้นที่ลุ่ม และ ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน ในขณะที่ทะเลอันดามันและอ่าวไทย คลื่นลมมีกำลังปานกลาง ทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนอันดามันตอนล่าง และ อ่าวไทยตอนบนสูงประมาณ 1 เมตร หากมีฝนฟ้าคะนองจะมีคลื่นสูงกว่า 2 เมตร เรือเล็กควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ
ภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน: เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร และ สุราษฎร์ธานี
- วันที่ 20 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 30%
- วันที่ 21 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 40%
- วันที่ 22 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 40%
- วันที่ 23 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 40%
- วันที่ 24 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 40%
- วันที่ 25 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 60%
- วันที่ 26 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 60%
ภาคเหนือตอนบน: เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง
- วันที่ 20 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 20%
- วันที่ 21 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 40%
- วันที่ 22 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 60%
- วันที่ 23 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 60%
- วันที่ 24 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 70%
- วันที่ 25 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 80%
- วันที่ 26 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 80%
ภาคตะวันออก: นครนายก, ฉะเชิงเทรา, ปราจีนบุรี, สระแก้ว, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด
- วันที่ 20 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 20%
- วันที่ 21 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 70%
- วันที่ 22 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 80%
- วันที่ 23 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 80%
- วันที่ 24 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 80%
- วันที่ 25 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 80%
- วันที่ 26 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 80%
กรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑล
- วันที่ 20 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 30%
- วันที่ 21 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 60%
- วันที่ 22 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 80%
- วันที่ 23 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 80%
- วันที่ 24 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 80%
- วันที่ 25 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 70%
- วันที่ 26 สิงหาคม 2568 โอกาสเกิดฝนตก 70%
เรามีทั้งหมดกี่ Gen และแต่ละ Gen คือยุคไหน
มนุษย์ในแต่ละยุคสมัยเติบโตมาท่ามกลางบริบททางสังคม เทคโนโลยี และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน จึงเกิดการแบ่งช่วงวัยออกเป็นกลุ่มที่เรียกว่า “Generation” หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า “Gen” เพื่อใช้ในการศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรม ค่านิยม และแนวคิดที่แตกต่างกันในแต่ละยุค บทความนี้จะพาไปรู้จักว่าในปัจจุบันมีทั้งหมดกี่ Gen และแต่ละ Gen มีช่วงปีและลักษณะอย่างไรบ้าง
ทำไมต้องแบ่ง Gen?
การแบ่ง Generation ไม่ได้มีเพียงจุดประสงค์เพื่อเรียกชื่อยุค แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจบริบทของสังคมในแต่ละช่วงเวลา ทั้งในแง่ของพฤติกรรมผู้บริโภค การตลาด การศึกษา และการทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การรู้ว่าแต่ละ Gen มีแนวคิดแบบไหน จึงเป็นข้อมูลสำคัญในการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจและการสื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
Generation ทั้งหมดที่ถูกแบ่งในปัจจุบัน
แม้จะไม่มีการกำหนดที่ตายตัว แต่โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่ง Generation ได้เป็น 6 กลุ่มหลักที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ดังนี้
1. Baby Boomer (เกิดระหว่างปี 1946 – 1964)
- ลักษณะเด่น: เติบโตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความอดทน ขยัน สู้งาน
- ค่านิยม: เชื่อในความมั่นคงและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
- เทคโนโลยี: เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีช้ากว่า Gen อื่น แต่ปรับตัวได้
2. Gen X (เกิดระหว่างปี 1965 – 1980)
- ลักษณะเด่น: เติบโตช่วงเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง มีความเป็นอิสระสูง
- ค่านิยม: ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance และเสรีภาพ
- เทคโนโลยี: เป็นสะพานเชื่อมจากยุคอนาล็อกเข้าสู่ดิจิทัล
3. Gen Y หรือ Millennials (เกิดระหว่างปี 1981 – 1996)
- ลักษณะเด่น: เติบโตมาพร้อมกับอินเทอร์เน็ต เป็นผู้ริเริ่มการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
- ค่านิยม: ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ประสบการณ์ และความหลากหลาย
- เทคโนโลยี: ใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
4. Gen Z (เกิดระหว่างปี 1997 – 2012)
- ลักษณะเด่น: เติบโตมาท่ามกลางเทคโนโลยีทันสมัย โซเชียลมีเดีย และความเร็ว
- ค่านิยม: ต้องการอิสระในการแสดงออก ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสังคม
- เทคโนโลยี: เป็น Digital Native ตัวจริง เล่นมือถือก่อนอ่านหนังสือ
5. Gen Alpha (เกิดตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นไป)
- ลักษณะเด่น: คือกลุ่มเด็กที่เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ AI และอุปกรณ์ IoT
- ค่านิยม: คาดว่าจะเติบโตพร้อมความสามารถในการเรียนรู้แบบ Multimodal
- เทคโนโลยี: ใช้แท็บเล็ต สมาร์ทโฟนตั้งแต่เด็ก และอาจไม่รู้จักโลกที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต
ตารางสรุป Gen ต่าง ๆ
Generation | ช่วงปีเกิด | ลักษณะเด่น |
---|---|---|
Baby Boomer | 1946 – 1964 | ขยัน อดทน รักความมั่นคง |
Gen X | 1965 – 1980 | เป็นอิสระ ปรับตัวเก่ง |
Gen Y (Millennials) | 1981 – 1996 | รักอิสระ อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต |
Gen Z | 1997 – 2012 | โตมากับโซเชียล คิดเร็ว ทำเร็ว |
Gen Alpha | 2013 – ปัจจุบัน | ใช้เทคโนโลยีตั้งแต่เกิด |
เข้าใจความแตกต่าง เพื่ออยู่ร่วมกันได้ดีขึ้น
การเข้าใจว่าแต่ละ Generation มีแนวคิด ทัศนคติ และการใช้ชีวิตแตกต่างกันอย่างไร จะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันในครอบครัว องค์กร และสังคมได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะในยุคที่โลกหมุนเร็วขึ้น การยอมรับความแตกต่างคือกุญแจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ลงทะเบียนใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย 25 สิงหาคม 2568 นี้
คมนาคมแจ้งเดือนประชาชนที่สนใจลงทะเบียนใช้รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย เปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นวันแรกผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ แจ้งว่า 1 คน สามารถลงสิทธิ์บัตร EMV-Rabbit ได้ อย่างละ 1 ใบ ยืนยันพร้อมผลักดันนโยบายเต็มที่เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม ในฐานะโฆษกกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้ออกมายืนยัน ภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2568 เวลา 00.01 น. จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนใช้สิทธิผ่านแอปทางรัฐ โดยไม่จำกัดสิทธิ์ จำนวนผู้ลงทะเบียน และ ไม่มีวันปิดลงทะเบียน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สิทธิตามนโยบายโดยสารถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย ผู้ลงทะเบียนการใช้บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือ EMV Contactless กับบัตร Rabbit Card ในการลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ ผู้ที่ลงทะเบียน 1 คน ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย โดยจะต้องระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก ถึงจะสามารถลงทะเบียนบัตร EMV ได้ 1 ใบ และ บัตร Rabbit Card ได้ 1 ใบเท่านั้น
ในส่วนของการใช้งาน ระยะแรกจะให้บริการ 2 บัตรตามที่ได้ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐนั่นก็คือบัตร Rabbit Card สามารถใช้ได้ 4 สาย ได้แก่สายสีเขียว สายสีทอง สายสีเหลือง สายสีชมพู ขณะที่ EMV Contactless ตามเงื่อนไขที่ธนาคารที่เข้าร่วมให้บริการกำหนด สามารถให้บริการได้ 6 สาย ได้แก้ สายสีแดง, สีน้ำเงิน, สีม่วง, สีชมพู, สีเหลือง, แอร์พอร์ต เรลลิงค์ การใช้งานจะเสียค่าแรกเข้าการใช้บริการสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ทั้งนี้มีผู้ใช้บริหารหากทำการเปลี่ยนสายการเดินทางนอกสถานนี จะจำกัดเวลา 30 นาที ส่วนหากอยู่สายเดิมจะจำกัดเวลา 180 นาที ซึ่งหากเกิดระยะเวลาที่กำหนด จะคติดค่าแรกเข้าใหม่ทันที
สำหรับเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี ที่ต้องการลงทะเบียน เนื่องจากเข้าเงื่อนไขของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA สามารถลงทะเบียนได้ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสาร ประจำสถานีรถไฟฟ้าทุกสถานี โดยจะต้องมีผู้ปกครองเป็นคนพาไปลงทะเบียน ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า ทุกสายต่อวันรวม 1.7 ล้านคน ต่อเที่ยว หากเริ่มใช้จริงคาดว่าจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมากกว่า 20%
จ่ายเงินบำนาญข้าราชการ สิงหาคม 2568
กรมบัญชีกลาง ประกาศล่าสุด สำหรับวันจ่ายเงินบำนาญข้าราชการ สิงหาคม 2568 รัฐบาลจ่ายตรงทั่วประเทศ โอนเงินเข้าบัญชีผู้สูงอายุ, อดึตข้าราชการทุกท่าน สามารถวางแผนการจ่ายเงินหลังเกษียณอายุ ใช้เงินให้พอยังชีพรายเดือน พร้อมกับปฎิทินการจ่ายเงินที่แน่นอนตลอดทั้งปี
ข่าวดีสำหรับผู้ที่รับเงินบำนาญข้าราชการ 2568 ทั่วประเทศ ทางกรมบัญชีกลาง ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว เกี่ยวกับกำหนดวันโอนเงินบำนาญรายเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อให้ผู้สูงอายุ และ อดึตข้าราชการทุกท่านได้มีเวลาวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างสบายใจ โดยเงินบำนาญข้าราชการ สิงหาคม 2568 จะทำการโอนเงินในวันที่ 22 สิงหาคม 2568
ปฎิทินการจ่ายเงินบำนาญ 2568 ตลอดทั้งปี
เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการเงิน กรมบัญชีกลางได้เปิดเผยปฎิทินการจ่ายเงินบำนาญรายเดือนตลอดทั้งปี 2568 โดยยึดหลักการโอนเงินในวันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน 5 วันทำการ ซึ่งเป็นไปตามธรรมเนียมปฎิบัติที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้รับบำนาญ สามารถตรวจสอบวันสำคัญได้จากปฎิทินด้านล่างนี้
ปฎิทินจ่ายเงินบำนาญรายเดือนปี 2568
- มกราคม จ่ายวันที่ 24 มกราคม 2568
- กุมภาพันธ์ จ่ายวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568
- มีนาคม จ่ายวันที่ 24 มีนาคม 2568
- เมษายน จ่ายวันที่ 23 เมษายน 2568
- พฤษภาคม จ่ายวันที่ 23 พฤษภาคม 2568
- มิถุนายน จา่ยวันที่ 23 มิถุนายน 2568
- กรกฎาคม จ่ายวันที่ 23 กรกฎาคม 2568
- สิงหาคม จ่ายวันที่ 22 สิงหาคม 2568
- กันยายน จ่ายวันที่ 23 กันยายน 2568
- ตุลาคม จ่ายวันที่ 24 ตุลาคม 2568
- พฤศจิกายน จ่ายวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568
- ธันวาคม จ่ายวันที่ 23 ธันวาคม 2568
การประกาศวันจ่ายเงินบำนาญ ถือเป็นมาตรการสำคัญ เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับผู้สูงอายุที่เป็นอดึตข้าราชการ ให้สามารถวางแผนชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีคุณภาพ
Local Content สัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศไทย
ประเทศไทยกำลังเจอกับความท้าทายครั้งใหม่ กับมาตรการทางการค้าจากประเทศคู่ค้าอย่างอเมริกา ซึ่งประเด็นที่เสนอให้ใช้เกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศไทย หรือ ที่เรียกว่า Local Content ที่มีตัวเลขถึง 60% สำหรับสินค้าไทยที่ส่งออก
กำหนดเกณฑ์ที่เกินกว่า 45% ไม่เพียงเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่ไทยเคยเจรจาเอาไว้ แต่ยังเป็นมาตรการที่อาจจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่เป็นตัวพึ่งพาวัตถุดิบ และชิ้นส่วนจากต่างประเทศเป็นหลัก ข้อกำหนดดังกล่าวจะบีบให้ภาคธุรกิจไทยต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทานครั้งใหญ่ การที่จะต้องหาวัตถุดิบ และชิ้นส่วนจากแหล่งภายในประเทศ ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมันไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับอุตสาหกรรมที่ยังขาดแคลนวัตถุดิบอยู่ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงคุณภาพ และ ราคาที่มันไม่สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้โดยตรง ผลกระทบที่ตามมาจะทำให้ต้นทุนการผลิตโดยรวมสูงขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐลดลง
อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้าสูง อย่างอุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่อาจจะได้รับผลกระทบหนักสุด จนถึงขั้นที่ไม่สามารถรักษาตลาดสหรัฐเอาไว้ได้ และ อาจจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมขนาดกลาง และ ขนาดย่อม SMEs ที่เป็นส่วนสำคัญ ในห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ Local Content ที่เข้มงวด อาจจะทำลายโอกาสของไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค Transshipment Hub ถึงแม้ข้อมูลที่ชี้ว่าการส่งออกไทยไปสหรัฐโตขึ้น 27% แต่ดัชนีผลการผลิตอุตสาหกรรมภายในประเทศ กลับโตได้ไม่ถึง 1% ชี้ว่าสินค้าจำนวนมากที่ส่งผ่านจากไทยไปยังสหรัฐอเมริกาอาจจะเป็นการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า หากเกณฑ์ใหม่นี้มีผลบังคับใช้ สินค้าเหล่านี้จะถูกสกัดทำให้ไทยสุญเสียบทบาทสำคัญในการเป็นสะพานเชื่อมการค้า และ อาจจะทำให้นักลงทุนพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีเงื่อนไขยืดหยุ่นกว่า
ในส่วนของการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปของ Local Content ไม่ใช่เพียงแค่การต่อรองตัวเลขทางภาษี แต่เป็นการกำหนดทิศทางอนาคตของภาคการผลิต และ เศรษฐกิจไทย รัฐบาลและภาคเอกชนต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบที่แท้จริงในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดกลยุทธ์การเจรจาที่รัดกุม และเตรียมพร้อมาตรการรองรับเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่สามารถหาทางออกที่เหมาะสมได้ ความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก อาจจะลดลงและอาจจะนำไปสู่การเสียโอกาสทางเศรษฐฏิจครั้งใหญ่เร็วๆนี้
เงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1000 บาท ตรวจสอบยังไง
เงินช่วยเหลือชาวนาล่าสุด ทางธกส. เปิดวิธีตรวจสอบสถานะชาวนา ผ่านมือถือง่ายๆ ตกไร่ละ 1000 บาท สูงสุด 10,000 บาทต่อครัวเรือน เข้าบัญชีวันไหน ใครได้รับสิทธิ์บ้าง ทางธนาคาร ธ.ก.ส. โอนตรงเข้าบัญชีเงินฝากเกษตรกรผู้มีสิทธิ
หลังจากที่แจ้งประกาศเยียวยาชาวนากับมาตรการเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1000 บาทไปแล้ว ทำให้ชาวนาในประเทศดีใจกันทั่วประเทศ ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เพื่อบรรเทาความเดือนร้อน จากราคาข้าวที่ตกต่ำ และช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้เพียงพอกับการดำรงชีพ
ใครบ้างที่ได้รับสิทธิ์เงินช่วยเหลือ
- โครงการนาปรังปี 2568 เป้าหมาย 8.6 แสนครัวเรือน
- โครงการนาปี ปีการผลิต 2568/69 เป้าหมาย 4.63 ล้านครัวเรือน
ขั้นตอนในการตรวจสอบสถานะทะเบียนเกษตรกร เพื่อไม่ให้พลาดสิทธิ์
สำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเรียบร้อยแล้ว สามารถทำการตรวจสอบสถานะการเป็นเกษตรกร และทำการตรวจสอบผลการรับการสนับสนุนโครงการของรัฐได้ง่ายๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เพียงแค่ทำตามขั้นตอนตามรายละเอียดด้านล่าง
- เข้าไปที่เว็บไซต์ efarmer.doae.go.th/checkFarmer
- กรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก
- กรอกรหัสหลังบ้านประชาชน หมายเลข 12 หลักที่อยู่ด้านหลังบัตร โดยพิมพ์ติดกันไม่ต้องใส่ “-“
- กดปุ่มตรวจสอบสถานะทะเบียนเกษตรกร
บัตรเฟิร์สช้อย สมัครแบบไหนดี ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คุณ
เมื่อพูดถึง “บัตรเฟิร์สช้อยส์” หลายคนอาจนึกถึงเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการใช้จ่ายแบบผ่อนชำระ แต่ในความเป็นจริง บัตรเฟิร์สช้อยส์มีหลากหลายประเภทให้เลือกตามไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นสายช้อปปิ้ง นักเดินทาง หรือผู้ต้องการวงเงินหมุนเวียน วันนี้เราจะพาคุณมารู้จักแต่ละแบบ พร้อมแนะนำว่าแบบไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด
รู้จักกับบัตรเฟิร์สช้อยส์
บัตรเครดิตและบัตรสินเชื่อจาก First Choice ภายใต้การดูแลของกรุงศรีคอนซูมเมอร์ เป็นที่รู้จักในด้านการผ่อนสินค้า 0% ดอกเบี้ยต่ำ อนุมัติไว และสิทธิพิเศษจากพันธมิตรทั่วประเทศ ด้วยจุดเด่นเรื่องเงื่อนไขสมัครที่ไม่ซับซ้อนและวงเงินอนุมัติที่ปรับตามพฤติกรรมการใช้ จึงเหมาะกับคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มองหา “ตัวช่วยทางการเงินแบบยืดหยุ่น”
ประเภทของบัตรเฟิร์สช้อยส์ มีอะไรบ้าง?
1. บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ (Krungsri First Choice Card)
บัตรหลักที่สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบบัตรเครดิต และบัตรผ่อนสินค้า 0% ที่ร้านค้าร่วมรายการ ใช้ซื้อสินค้า โทรศัพท์ ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ได้แบบไม่ต้องใช้เงินก้อน มีแอปควบคุมวงเงิน และยังใช้ถอนเงินสดจากตู้ ATM ได้
2. บัตรเฟิร์สช้อยส์ แพลทินัม (First Choice Platinum)
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสิทธิพิเศษเพิ่มเติม เช่น บริการเลขาส่วนตัว ประกันอุบัติเหตุจากการเดินทาง และโปรโมชั่นจากร้านค้าระดับพรีเมียม โดยบัตรนี้เน้นกลุ่มรายได้กลาง-สูง และผู้ที่มีการใช้จ่ายประจำทุกเดือน
3. บัตรเฟิร์สช้อยส์ ยูเนี่ยนเพย์ (UnionPay Card)
บัตรสำหรับผู้ที่ชอบเดินทาง หรือสั่งซื้อสินค้าจากจีนและประเทศในเอเชียที่รับเครือข่าย UnionPay โดยเฉพาะ เหมาะกับผู้ที่ชอบช้อปออนไลน์จากเว็บจีน เช่น Taobao, JD.com หรือเดินทางไปจีน/ฮ่องกง
4. สินเชื่อเงินสดพร้อมใช้
นอกจากบัตรประเภทใช้จ่าย ยังมีสินเชื่อเฟิร์สช้อยส์แบบวงเงินหมุนเวียน สำหรับผู้ที่ต้องการเงินก้อนเร่งด่วน โอนเข้าบัญชีธนาคาร หรือเลือกผ่อนจ่ายตามงวด
เลือกสมัครบัตรเฟิร์สช้อยส์แบบไหนดี ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ
ถ้าคุณคือ “สายช้อปผ่อน 0%”
- แนะนำ บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ เพราะเหมาะกับการผ่อนสินค้าทุกหมวดหมู่ทั้งมือถือ ทีวี ตู้เย็น โดยไม่ต้องใช้เงินสดก้อน และยังมีโปรโมชั่น 0% นานสูงสุด 36 เดือนในบางช่วง
ถ้าคุณเป็น “คนทำงาน มีรายได้ประจำ”
- บัตรเฟิร์สช้อยส์ แพลทินัม ตอบโจทย์มาก เพราะมีวงเงินสูงสุดถึง 500,000 บาท พร้อมสิทธิพิเศษต่างๆ เหมาะสำหรับใช้จ่ายรายเดือน หรือใช้ในยามฉุกเฉิน
ถ้าคุณชอบ “ช้อปออนไลน์จากจีนหรือเดินทางบ่อย”
- บัตร UnionPay เป็นตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะหากคุณชอบสั่งของจากเว็บจีน หรือเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง และต้องการบัตรที่มีอัตราแลกเปลี่ยนที่ดี
ถ้าคุณ “ต้องการเงินสดเร่งด่วน”
- กรณีคุณมีค่าใช้จ่ายด่วน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมบ้าน ควรเลือก สินเชื่อเฟิร์สช้อยส์แบบเงินก้อน ที่สามารถโอนเข้าบัญชีธนาคารได้โดยตรง ผ่อนจ่ายเป็นรายงวด
จุดเด่นของการใช้บัตรเฟิร์สช้อยส์
- ผ่อน 0% ได้นานสูงสุด 36 เดือนกับร้านค้าร่วมรายการ
- อนุมัติง่าย เอกสารไม่เยอะ
- สามารถเบิกเงินสดจากตู้ ATM ได้
- มีแอปกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ควบคุมวงเงินและแจ้งเตือน
- สิทธิพิเศษจากร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ
เอกสารที่ใช้สมัครบัตรเฟิร์สช้อยส์
กรณีมีรายได้ประจำ
- สำเนาบัตรประชาชน
- สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน (อายุไม่เกิน 2 เดือน)
- สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 3-6 เดือน
กรณีอาชีพอิสระ / เจ้าของกิจการ
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียน หรือใบเสร็จการซื้อขาย
- สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน
บัตรเฟิร์สช้อยส์ ใบไหนใช่สำหรับคุณ?
หากคุณต้องการความยืดหยุ่นในการใช้จ่าย การมีบัตรเฟิร์สช้อยส์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งสำคัญ ลองพิจารณาว่าคุณต้องการผ่อนสินค้า ใช้จ่ายรายเดือน หรือถอนเงินสด แล้วเลือกประเภทบัตรให้เหมาะกับความต้องการของคุณ การเลือกที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณบริหารการเงินได้ดีขึ้นและได้รับสิทธิประโยชน์เต็มที่จากทุกการใช้จ่าย
ชาวต่างชาติ เปิดบัญชีไทย ต้องทำยังไง ใช้เอกสารอะไรบ้าง?
ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาวต่างชาติทั้งในด้านการท่องเที่ยว การอยู่อาศัย และการทำงาน ซึ่งหนึ่งในเรื่องสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตในไทยอย่างราบรื่นคือ “การเปิดบัญชีธนาคาร” เพื่อรับเงินเดือน โอนเงิน หรือใช้จ่ายประจำวัน แต่สำหรับชาวต่างชาติ การเปิดบัญชีไทยอาจไม่ง่ายเหมือนคนไทย วันนี้เราจะมาเจาะลึกขั้นตอน เอกสาร และข้อควรรู้ทั้งหมด
ชาวต่างชาติเปิดบัญชีธนาคารในไทยได้หรือไม่?
คำตอบคือ “ได้” แต่ต้องขึ้นอยู่กับสถานะการพำนักและจุดประสงค์ในการเปิดบัญชี ซึ่งธนาคารในไทยแต่ละแห่งอาจมีนโยบายและข้อกำหนดที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ที่สามารถเปิดบัญชีได้
- นักท่องเที่ยวระยะสั้น
- ผู้พำนักระยะยาว เช่น คนทำงาน นักเรียน นักศึกษา
- ผู้ถือวีซ่าประเภทพิเศษ เช่น Elite Visa หรือ Retirement Visa
เอกสารที่ใช้เปิดบัญชีธนาคารไทยสำหรับชาวต่างชาติ
1. หนังสือเดินทาง (Passport)
เป็นเอกสารพื้นฐานที่ทุกธนาคารต้องใช้ในการยืนยันตัวตน ตรวจสอบวันหมดอายุและต้องมีตราประทับเข้าประเทศล่าสุด
2. วีซ่าที่มีอายุคงเหลือ
ธนาคารส่วนใหญ่จะขอดูวีซ่าที่ถูกต้องตามกฎหมายไทย เช่น Non-Immigrant Visa, Student Visa, Work Visa หรือ Retirement Visa หากเป็น Visa on Arrival อาจเปิดได้ในบางธนาคารเท่านั้น
3. ใบรับรองถิ่นที่อยู่ (Proof of Address)
อาจใช้ได้ทั้งในประเทศไทยหรือในประเทศต้นทาง เช่น:
- ทะเบียนบ้าน (กรณีเช่าที่พักในไทยควรขอจากเจ้าของบ้านหรือโรงแรม)
- ใบแจ้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์
- สัญญาเช่า
4. จดหมายรับรองจากหน่วยงาน
สำหรับผู้ที่ทำงาน/เรียนในไทย อาจต้องใช้เอกสารเพิ่มเติม เช่น:
- หนังสือรับรองการทำงาน
- จดหมายรับรองจากสถานศึกษา
- จดหมายจากสถานทูตในไทย
5. ใบอนุญาตทำงาน (Work Permit)
จำเป็นในกรณีเปิดบัญชีเพื่อรับเงินเดือนหรือมีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
ธนาคารที่เปิดบัญชีได้ง่ายสำหรับชาวต่างชาติ
ไม่ใช่ทุกธนาคารจะยินดีเปิดบัญชีให้กับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวระยะสั้น แต่ธนาคารต่อไปนี้เป็นที่รู้จักว่ามีขั้นตอนที่ยืดหยุ่นกว่า
1. ธนาคารกรุงเทพ (Bangkok Bank)
สาขาหลักในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น สีลม เชียงใหม่ ภูเก็ต มักจะให้บริการชาวต่างชาติได้ดี โดยเฉพาะผู้ถือ Tourist Visa
2. ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Bank)
มีบริการสำหรับผู้ถือวีซ่าหลายประเภท และมีการรองรับภาษาอังกฤษ
3. ธนาคารกสิกรไทย (Kasikornbank)
รองรับชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย และมี mobile banking ที่ทันสมัย
4. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
บางสาขายินดีเปิดบัญชีให้กับนักเรียน นักศึกษา และผู้พำนักระยะยาว
ประเภทบัญชีที่ชาวต่างชาติสามารถเปิดได้
1. บัญชีออมทรัพย์ (Saving Account)
เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน ฝาก-ถอน รับเงิน โอนจ่าย
2. บัญชีเดินสะพัด (Current Account)
ใช้เช็คได้ เหมาะกับชาวต่างชาติที่ทำธุรกิจในไทย
3. บัญชีเงินฝากประจำ (Fixed Deposit)
ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ เหมาะกับผู้ต้องการฝากเงินระยะยาว
ข้อควรรู้ก่อนเปิดบัญชีธนาคารในไทย
- ไม่ใช่ทุกสาขาจะให้บริการ: ควรเลือกสาขาหลักหรือในพื้นที่ท่องเที่ยว
- แนะนำให้โทรสอบถามล่วงหน้า: เพราะบางธนาคารอาจมีข้อกำหนดเฉพาะ
- ค่าธรรมเนียมรายปี: ธนาคารบางแห่งเก็บค่าบัตร ATM หรือค่าบริการอื่น
- Mobile Banking: บางธนาคารเปิดให้ชาวต่างชาติใช้งานผ่านแอปพลิเคชันได้ด้วย
เปิดบัญชีธนาคารไทยสำหรับชาวต่างชาติ ทำได้ไม่ยาก แค่เตรียมตัวให้พร้อม
การเปิดบัญชีธนาคารในไทยสำหรับชาวต่างชาติไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเอกสารครบถ้วนและเลือกธนาคารที่เหมาะสม โดยเฉพาะหากพำนักในประเทศไทยระยะยาว การมีบัญชีธนาคารไทยจะช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นอย่างมาก ทั้งการรับเงินเดือน ชำระค่าใช้จ่าย และซื้อของออนไลน์ ดังนั้นควรเตรียมเอกสารล่วงหน้า สอบถามสาขาที่จะไป และเลือกบัญชีที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ
เศรษฐกิจไทยเวลานี้หนัก แต่มองอนาคตยิ่งหนักกว่า
จากการเปิดเผยตัวเลขของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และ สังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ได้มีการเปิดเผย ตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ โดยโตถึง 2.8% แต่ก็เป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในภูมิภาค และถ้าหากมองไปช่วงครึ่งหลังของปีต่อเนื่องถึงต้นปีหน้าทาง สศช. ได้ฟันธงว่าเศรษฐกิจมีทิศทางชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ถ้าหากย้อนไปดูเศรษฐกิจไทยนับตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา ประเทศไทยเรายังไม่เจอคำว่า เศรษฐกิจดี เลยสักครั้ง อัตราการเติบโตเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลังเพียงราวๆ 2% ต่อปีขณะที่เพื่อนบ้านเอเชียของเราโต 4-6% เราเป็นกลุ่มรั้งท้ายมาโดยตลอด และนี่คือภาพรวมของวิกฤติโตต่ำ ที่ซึมลึกหนักกว่าในช่วงโควิด และ หนักกว่าในช่วงต้มยำกุ้ง
เศรษฐกิจไทยเกิดอะไรขึ้น เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ถูกถามกันมานานมาก แต่ยังไม่มีใครที่สามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน แต่ที่แน่ๆเศรษฐกิจไทยนั้นเจอกับดักอย่าง เช่น การอยู่ในอุตสาหกรรมเก่ามานาน ผลิตสินค้าที่คนใช้น้อยลงเรื่อยๆ แถมยังเจอกับอาการเงินเฟ้อต่ำใกล้ระดับติดลบในปี 2567 ที่เงินเฟ้อขยายตัวไปถึง 0.4% ในขณะที่ปี 2568 คาดการณ์ว่าจะต่ำกว่า 1% ภาคธุรกิจชะลอลงทุนเพราะกำลังซื้อของผู้คนหดหายไปเรื่อยๆ และที่สำคัญ การผลิตสินค้าก็ขยับราคาได้ยาก แถมยังเจอกับสินค้าจากจีนที่ทะลักเข้ามาในประเทศที่ราคาต่ำ และราคาถูกมากๆ แถมคุณภาพไม่ได้เป็นรองเข้ามาถล่มตลาดในไทย แบบพังยับ ทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าในปัจจุบันธุรกิจไทยทยอยปิดตัวลง เริ่มจากธุรกิจเล็กๆ และตอนนี้กำลังจะลุกลามไปถึงธุรกิจใหญ่ๆ อย่างที่เราเพิ่งทราบข่าวมาว่าทางธนาคารกสิกรไทยเพิ่งจะประกาศโครงการ สมัครใจลา ออกจ่ายชุดเชยเชยตามอายุงาน บวกเงินพิเศษ
ความน่าเป็นห่วงอย่างมากของธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งมีสัญญาญว่าหนี้เสี้ยกำลังเพิ่มขึ้น ข้อมูลเหล่านี้ได้มาจาก NCB หรือบริษัทเครดิตแห่งชาติ ระบุชัดเจนเลยว่า กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กโดยเฉพาะ Super Micro และ Micro กำลังเจอกับวิกฤติหนี้เสีย โดยกลุ่ม Super Micro มีหนี้เสียสูงถึง 14.8% ของสินเชื่อรวม ในขณะที่ Micro มีหนี้เสียถึง 12.1%
ภาพสะท้อนเหล่านี้ มาจากปัญหาเศรษฐกิจที่เราเจอมาหลากรอบ กระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของภาคธุรกิจ โดยธุรกิจยิ่งเล็ก ยิ่งมีสัญญาณเปราะบางของคุณภาพ สินเชื่อมากขึ้น การปรับโครงสร้างหนี้ถึงแม้จะช่วยฟื้นฟูธุรกิจได้แต่จะได้ผลก็ต่อเมื่อเข้าไปดูแลตั้งแต่ช่วงเริ่มมีสัญญาณค้างชำระ เพราะว่าถ้าปล่อยให้กลายเป็นหนี้เสียแล้ว โอกาสรอดมีไม่ถึง 10%
แบงก์ชาติคุมเข้ม สั่งแบงก์คุมโอนเงิน-ชำระเงินไม่เกิน 5 หมื่นต่อวัน
มาตรการใหม่ล่าสุด สดๆร้อนๆจากทางแบงก์ชาติ ที่ได้ออกมาตรการ สกัดมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงิน ด้วยแนวโน้มการถูกมิจฉาชีพ หรือ แก็งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงให้โอนเงินต่างๆยังอยู่ในระดับที่สูง และเพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายจากการที่ประชาชนถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ ในการหลอกให้โอนเงินผ่านบัญชีม้า มาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำให้ระยะข้างหน้าคือการจำกัดความเสียหายจากการโอนเงิน ก่อนที่เหยื่อหรือผู้โอนจะรู้ตัว
ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาตรการ จำกัดวงเงินการโอนเงินหรือการชำระเงิน
- จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพ สามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน
- จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก และ กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยง และ พฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดึตของลูกค้า โดยวงเงินเริ่มต้นอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน
การจำกัดการโอนเงิน และ การชำระเงินนั้น จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น อายุที่เกิน 65 ปี และ เด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ที่จะมีการจำกัดการโอนเงิน เพื่อช่วยป้องกัน ไม่ให้ตกเหยื่อหรือ เมื่อตกเป็นเหยื่อและมีการโอนเงินออกไปแล้ว ไม่ให้เสียหายมากไปกว่าเดิม การจำกัดการโอนเงิน หรือ ชำระเงินต่อวันลดลง สำหรับลูกค้าบางคน จะต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และ การทำธุรกรรมของลูกค้าแต่ละคนด้วย และการจะไปกำหนดวงเงินไม่ให้ออกจากบัญชี เกิน 5 หมื่นบาท เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่แบงก์จะต้องดูตามความเหมาะสม
หากเป็นลูกค้าที่ไม่เคยเปิดบัญชีมาก่อน กลุ่มนี้แบงก์อาจจะกำหนดการโอนเงินขั้นต่ำไว้ก่อนไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน สำหรับทุกกลุ่ม แต่หากไปใช้สักพัก และ แบงก์มองว่าเป็นลูกค้าปกติอาจจะให้กลุ่มนี้ออกจากกลุ่มเสี่ยงที่ต้องวงสัยได้ อาจจะกำหนดวงเงินขึ้นไปเพิ่มเติมได้ และถ้าหากเป็นลูกค้าที่อยู่ในกลุ่ม M หรือ กลุ่ม L การโอนเงินออก อาจจะทำได้มากกว่าขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเอาไว้ เช่น อาจจะมากกว่า 2 แสนบาทเป็นต้น
มาตรการลดวงเงิน การโอนเงินนั้นธนาคารจะเป็นผู้แจ้งให้กับลูกค้าทราบล่วงหน้า ซึ่งการกำหนดวงเงินการโอนเงิน และ ชำระเงินจะขึ้นอยู่กับ ดุลพินิจของแบงก โดยจะดูจากพฤติกรรมและ ธุรกรรมทางการเงินในอดึตร่วมด้วย หากเป็นคนที่เคยโอนเงินปกติ ในระดับดังกล่าว แบงก์อาจจะขยายวงเงินการโอนเงินเพิ่มขึ้นได้ โดยอาจจะไม่ต้องโทรหา Call Center เพื่อขยายวงเงิน หรือ ขอเอกสารเพิ่มเติม แต่บางกลุ่มที่ต้องการขยายวงเงินขึ้นต่ำที่กำหนด อาจจะต้องมีการติดต่อ Call Center เพื่อขยายวงเงินชั่วคราว หรือ แบงก์อาจจะขอเอกสารเพิ่มเติม ถึงความเป็นไปได้ในการโอนเงิน
ในส่วนของแนวโน้มในการถูกทุจริตทางการเงิน พบว่าความเสียหายจากการถูกหลอกโอนเงินไปยังต่างประเทศ ยังอยู่มในระดับสูง โดยยังไม่ได้ลดลงหากเทียบกับอดีต โดยเฉพาะการถูกหลอกให้โอนเงินให้มิจฉาชีพ ที่พบว่าความเสียหายในไตรมาส 2 อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท และ เฉลี่ยตกเดือนละ 2,000 ล้านบาทต่อเดือน ลดลงจากไตรทาส 2/2567 มูลค่า 5,890 ล้านบาท
เดือนกรกฎาคม 2568 สามารถระงับบัญชีม้าได้ถึง 3 ล้านบัญชี คิดเป็นรายชื่อบัญชีม้า 1.77 แสน รายชื่อ ทั้งนี้หากดูข้อมูลความเสียหายจากการหลอกลวงในเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ตัวเลขจำนวนความเสียหายจะอยู่ที่ 24,500 เคส คิดเป็นตัวเลขจำนวนเงินที่เสียหายให้กับมิจฉาชีพไปประมาณ 2,800 ล้านบาท เฉลี่ย 114,000 บาทต่อเคส โดยยอดโอนเงินสูงสุดอยู่ที่ 4.9 ล้านบาท และหากดูธุรกรรมที่เหยื่อโอนเข้าบัญชีม้าล่าสุด จะสูงกว่า 5 หมื่นบาท โอนเงินภายใน 3 นาที ประมาณ 50% ของมูลค่าความเสียหาย โดยที่เหยื่อจะแจ้งข้อมูลเข้ามาในระบบ 19-25 นาที