บัตร UOB World Mastercard ดีกว่าบัตรระดับพรีเมียมอื่นอย่างไร?

ในโลกของบัตรเครดิตระดับพรีเมียม การเลือกบัตรที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และคุ้มค่ากับการใช้งานจริงอาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน เพราะแต่ละบัตรล้วนมีจุดเด่นเฉพาะตัว บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจข้อดีของ บัตร UOB World Mastercard ว่าทำไมถึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในกลุ่มนักเดินทาง นักช้อป และผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์หรูหรา พร้อมเปรียบเทียบกับบัตรเครดิตระดับพรีเมียมอื่น ๆ อย่างละเอียด

สิทธิประโยชน์เด่นของบัตร UOB World Mastercard

1. คะแนนสะสม UOB Rewards Plus ที่เหนือกว่า

ผู้ถือบัตรสามารถรับคะแนนสะสม UOB Rewards Plus ได้อย่างรวดเร็ว โดยทุกยอดใช้จ่าย 15 บาท = 1 คะแนน และพิเศษสำหรับยอดใช้จ่ายในหมวดร้านอาหารและท่องเที่ยว รับคะแนนเพิ่มสูงสุด 3 เท่า แตกต่างจากบัตรอื่นที่อาจต้องใช้ยอดสูงกว่าจึงจะได้คะแนนเท่ากัน

2. สิทธิ์ใช้บริการห้องรับรองสนามบิน (Lounge Access)

บัตร UOB World Mastercard มาพร้อม บริการห้องรับรองพิเศษที่สนามบิน มากกว่า 1,000 แห่งทั่วโลกผ่าน LoungeKey โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มในรอบแรกของปี (บางบัตรคิดค่าธรรมเนียมต่อครั้ง)

3. ประกันเดินทางที่ครอบคลุม

เพียงจองตั๋วเครื่องบินผ่านบัตร ผู้ถือบัตรจะได้รับความคุ้มครอง ประกันอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางสูงสุดถึง 20 ล้านบาท และยังรวมถึงการคุ้มครองสัมภาระล่าช้า กระเป๋าหาย หรือเที่ยวบินล่าช้าอีกด้วย

4. รับเครดิตเงินคืน (Cash Back)และส่วนลดมากมาย

มีแคมเปญรับเครดิตเงินคืนตามยอดใช้จ่าย เช่น เติมน้ำมัน รับเครดิตเงินคืน 3% หรือโปรแกรม Dining Privileges รับส่วนลดร้านอาหารชั้นนำที่ร่วมรายการทั่วโลก นับว่าเป็นสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง

>> สมัครบัตรเครดิต UOB (บัตรหลัก)ได้ที่นี่ <<

เปรียบเทียบกับบัตรเครดิตระดับพรีเมียมอื่น

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูตารางเปรียบเทียบระหว่างบัตร UOB World Mastercard กับบัตรเครดิตระดับพรีเมียมอื่น เช่น SCB M Legend, KBank The Wisdom และ Citi Prestige:

คุณสมบัติ UOB World Mastercard SCB M Legend KBank The Wisdom Citi Prestige
คะแนนสะสม 15 บาท = 1 คะแนน
หมวดท่องเที่ยว/ร้านอาหาร 3 เท่า
25 บาท = 1 คะแนน
หมวด M 4 เท่า
25 บาท = 1 คะแนน
ไม่มีหมวดพิเศษ
25 บาท = 1 คะแนน
มีเรตพิเศษบางหมวด
ห้องรับรองสนามบิน Lounge Key ไม่จำกัดครั้ง/ปี Miracle Lounge 2 ครั้ง/ปี มีบริการเฉพาะสนามบินไทย Priority Pass ไม่จำกัดครั้ง/ปี
ประกันเดินทาง คุ้มครองสูงสุด 20 ล้านบาท คุ้มครอง 10 ล้านบาท คุ้มครอง 15 ล้านบาท คุ้มครอง 35 ล้านบาท
เครดิตเงินคืน/ส่วนลด มีหลายแคมเปญตลอดปี จำกัดเฉพาะห้างในเครือ M เน้นสิทธิ์บริการเฉพาะกลุ่ม สิทธิประโยชน์ระดับ Global

UOB World เหมาะกับใคร?

1. นักเดินทางสายพรีเมียม

หากคุณเดินทางบ่อยและต้องการความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง บัตร UOB World Mastercard จะช่วยให้คุณเข้าถึงบริการห้องรับรองและประกันเดินทางที่ครอบคลุม โดยไม่ต้องสมัครหลายบัตรให้วุ่นวาย

2. นักช้อปและนักชิม

ผู้ที่ชื่นชอบการใช้จ่ายในหมวดร้านอาหาร โรงแรม หรือเที่ยวต่างประเทศ จะได้รับคะแนนสะสมเร็วกว่าและใช้แลกของรางวัลได้ง่ายกว่าบัตรทั่วไป

3. ผู้ใช้ที่ต้องการความคุ้มค่าแบบไม่ต้องจ่ายแพง

ถึงแม้จะเป็นบัตรระดับพรีเมียม แต่ ค่าธรรมเนียมรายปีของ UOB World Mastercard ยังสามารถยกเว้นได้ หากมียอดใช้จ่ายถึงเกณฑ์ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นเมื่อเทียบกับบัตรพรีเมียมอื่นที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตลอดเวลา

ทำไม UOB World Mastercard ถึงเหนือกว่าคู่แข่ง?

บัตร UOB World Mastercard มอบความคุ้มค่าครอบคลุมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นคะแนนสะสมเร็ว การเข้าถึง Lounge ทั่วโลกโดยไม่จำกัดครั้ง ความคุ้มครองประกันเดินทางที่สูง รวมถึงส่วนลดที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทั้งกิน เที่ยว และช้อปแบบพรีเมียม เมื่อเทียบกับบัตรเครดิตระดับพรีเมียมอื่น ๆ จะเห็นได้ว่า UOB World Mastercard มีจุดเด่นที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันมากกว่า และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้รับสิทธิประโยชน์แบบจัดเต็ม โดยไม่ต้องแบกรับภาระค่าธรรมเนียมเกินจำเป็น

 

ใช้จ่ายด้วยบัตร American Express ดีกว่าบัตรอื่นจริงหรือ?

ในโลกของบัตรเครดิตที่มีให้เลือกมากมาย “บัตร American Express” หรือ Amex ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการใช้จ่ายในร้านอาหารหรือห้างสรรพสินค้า แต่คำถามสำคัญคือ จ่ายด้วย Amex ดีกว่าบัตรเครดิตอื่นจริงหรือไม่? บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์ในเชิงลึก พร้อมเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียอย่างชัดเจน

Amex คืออะไร? ทำไมถึงมีชื่อเสียงในวงการบัตรเครดิต

บัตร American Express เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่มีประวัติยาวนาน มีฐานลูกค้าแข็งแกร่งทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้สูง Amex โดดเด่นในเรื่อง:

  • สิทธิพิเศษระดับพรีเมียม เช่น การเข้าเลานจ์สนามบิน, บริการ Concierge ส่วนตัว

  • โปรแกรมสะสมแต้มที่ยืดหยุ่น (Membership Rewards)

  • ระบบรักษาความปลอดภัยและบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม

จ่ายค่าอาหารด้วย Amex – คุ้มค่ากว่าจริงหรือ?

ส่วนลดร้านอาหารและดีลพิเศษ

Amex มีดีลร้านอาหารพรีเมียมทั่วโลก รวมถึงในไทย เช่น:

  • ส่วนลด 10–20% กับร้านอาหารในโรงแรมหรู

  • ดีล “ซื้อ 1 แถม 1” สำหรับผู้ถือบัตร Platinum หรือ Gold

  • การจองร้านดังล่วงหน้าแบบ Priority (สำหรับบัตร Centurion และ Platinum)

สมัครบัตร American Express Platinum

คะแนนสะสมจากการกิน

Amex ให้แต้มสะสมมากกว่าบัตรทั่วไปในหมวดร้านอาหาร เช่น:

ประเภทบัตร Amex คะแนนสะสมในหมวดอาหาร
Amex Platinum 10x คะแนน Membership Rewards
Amex Gold 4x คะแนนจากร้านอาหารในไทยและต่างประเทศ
Amex Blue Cash เงินคืนสูงสุด 6% (เฉพาะในสหรัฐฯ)

ช้อปปิ้งด้วย Amex สิทธิพิเศษที่คนรักการช้อปต้องรู้

ดีลร้านค้าพันธมิตรและ Shop Small

Amex สนับสนุนร้านค้ารายย่อยผ่านโครงการ “Shop Small” ซึ่งผู้ถือบัตรจะได้รับ:

  • เครดิตเงินคืนเมื่อใช้จ่ายที่ร้านค้าท้องถิ่นที่ร่วมรายการ

  • โปรโมชันพิเศษจากแบรนด์แฟชั่นและห้างระดับโลก เช่น Harrods, Amazon, Zalora, Central

ประกันสินค้าเมื่อซื้อด้วย Amex

จุดเด่นของ Amex คือการให้ Purchase Protection เช่น:

  • คุ้มครองสินค้าที่ชำรุด/สูญหายภายใน 90 วันแรกหลังซื้อ

  • รับประกันราคาตก หากสินค้าชิ้นเดียวกันลดราคาภายในช่วงเวลาที่กำหนด

  • คุ้มครองการซื้อออนไลน์ และการขนส่ง (บางประเภทบัตรเท่านั้น)

เทียบกับบัตรเครดิตทั่วไป Amex ดีกว่ายังไง?

รายการเปรียบเทียบ Amex บัตรเครดิตทั่วไป
ส่วนลดร้านอาหาร สูงถึง 20% เฉลี่ย 5–10%
คะแนนสะสมร้านอาหาร 4–10 เท่า 1–3 เท่า
สิทธิ์ Shop Small มี ไม่มี
ประกันสินค้าซื้อใหม่ มี (ขึ้นอยู่กับประเภทบัตร) บางธนาคารมี บางธนาคารไม่มี
ค่าธรรมเนียมรายปี สูงกว่า ต่ำกว่า
ร้านค้ารับบัตรในไทย น้อยกว่าบัตร Visa/MasterCard แพร่หลายกว่า

ถึงแม้บัตร Amex จะมีค่าธรรมเนียมรายปีที่สูงกว่าและมีร้านรับบัตรน้อยกว่าในไทย แต่สิทธิประโยชน์ที่ได้รับก็มากกว่าชัดเจนในหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องการสะสมแต้มและสิทธิพิเศษด้านร้านอาหาร

ข้อควรรู้ก่อนสมัคร Amex เพื่อใช้งานจริง

เงื่อนไขการสมัคร

  • รายได้ขั้นต่ำของผู้สมัครอยู่ที่ 30,000–70,000 บาทขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับประเภทบัตร)

  • มีสลิปเงินเดือน หรือรายได้แสดงชัดเจน

  • ตรวจสอบว่าร้านหรือบริการที่คุณใช้งานบ่อย รับ Amex หรือไม่

การวางแผนใช้บัตรให้คุ้มค่า

  • ใช้ Amex จ่ายในร้านที่ให้แต้มพิเศษหรือมีโปรโมชั่นร่วม

  • ใช้แต้ม Membership Rewards แลกตั๋วเครื่องบิน, โรงแรม, หรือเครดิตเงินคืน

  • สมัครบัตรเสริมให้ครอบครัวเพื่อสะสมแต้มร่วมกัน

จ่าย Amex ดีกว่าจริงหรือ? ขึ้นอยู่กับ “พฤติกรรมการใช้จ่าย”

หากคุณเป็นสายกิน-สายช้อปที่เน้นคุณภาพและความพรีเมียม Amex คือบัตรที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุด ทั้งในเรื่องส่วนลด โปรโมชั่น และสิทธิประโยชน์พิเศษที่หาบัตรอื่นเทียบได้ยาก

แต่ถ้าคุณเน้นร้านค้าทั่วไป ใช้จ่ายที่ต้องการความยืดหยุ่น หรือไม่อยากเสียค่าธรรมเนียมสูง บัตรเครดิต Visa หรือ Mastercard จากธนาคารในประเทศอาจเหมาะสมกว่า Amex ไม่ใช่บัตรที่เหมาะกับทุกคน แต่สำหรับคนที่เหมาะสม มันคือบัตรที่มอบประสบการณ์การใช้จ่ายที่ดีกว่าจริง

ตรวจสอบด่วน ชื่อซิมไม่ตรงกับโมบายแบงก์กิ้ง ระวังโดยระงับบัญชี

ขีดเส้นตายออกมาแล้ว สำหรับใครที่ใช้ Mobile Banking แล้วชื่อซิมไม่ตรงกัน วันที่ 30 เมษายน 2568 นี้ อาจจะถูกระงับบัญชีได้เลย

หลังจากรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรี ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และ สังคม ได้ออกมาตรการ ยกระดับความปลอดภัยการใช้ Mobile Banking ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบัญชีม้า เพื่อให้ชื่อบัญชีโมบายแบงก์กิ้งตรงกับชื่อเจ้าของซิมมือถือจากการตรวจสอบ จะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน

  1. กลุ่มชื่อเจ้าของซิม และ ชื่อบัญชี Mobile Banking ตรงกัน
  2. กลุ่มชื่อเจ้าของซิม และ ชื่อบัญชี Mobile Banking ไม่ตรงกัน
  3. กลุ่มที่ไม่พบชื่อเจ้าของซิม และ ไม่มีข้อมูล

ทางธนาคาร ได้แจ้งกับกลุ่มที่มีชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ตรงกัน และ กลุ่มชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน แจ้งให้อัพเดทข้อมูลชื่อเจ้าของซิมและชื่อผู้ใช้งานบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง หรือ แอพของธนาคารให้ตรงกันภายใน 90 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน 2568 ไม่เช่นนั้นจะถูกการระงับใช้งานชั่วคราว

วิธีเช็คชื่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์มือถือ AIS, DTAC และ TrueMove H

  • AIS วิธีเช็ค ให้กด *545# และกดโทรออก
  • DTAC ให้กด *102# แล้วกดโทรออก
  • TrueMove H กด *933# แล้วกดโทรออก

ถ้าหากซิมไม่ตรงกับบัญชี Mobile Banking หรือ ธนาคาร ต้องทำอย่างไร?

ทางธนาคารกรุงไทย ได้ออกมาแนะนำหากชื่อของซิมเบอร์มือถือไม่ตรงกับชื่อบัญชี Mobile Banking ที่ผูกเอาไว้ ให้เจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ตรวจสอบด้วยตัวเอง โดยกด *179*หมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก# แล้วกดโทรออก หากพบว่าชื่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์มือถืไม่ตรงกับชื่อบัญชีแอพของธนาคาร หรือ Mobile Banking สามารถดำเนินการได้ตามรายละเอียดด้านล่าง

  1. ติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อขอเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์มือถือ ให้ตรงกับชื่อบัญชีธนาคาร
  2. ติดต่อสาขาของธนาคาร เพื่อเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ที่ผูกกับแอพของธนาคารให้ตรงกับชื่อของเจ้าของเบอร์โทรศัพท์
  3. กรณีต้องการขอยกกเว้น ให้ติดต่อสาขาของธนาคาร เพื่อยื่นคำขอเข้ากลุ่ม ยกเว้น ตัวอย่างเช่น บุคคลในครอบครัว, ผู้ไร้ความสามารถ, ผู้เสมือนไร้ความสามารถ, ผู้พิการ, และ กลุ่มนิติบุคคล ซึ่งจะต้องแสดงเอกสาร เพื่อยืนยันตัวตนและเอกสารพิสูจน์ความสัมพันธ์ ภายใน 30 เมษายน 2568

ถ้าหากครบกำหนดภายหลัง 30 เมษายน 2568 จะมีมาตรการยังไง?

  • ทางธนาคารจะทำการส่งข้อมูลผู้ใช้ Mobile Banking ที่เป็นปัจจุบันถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ
  • ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ จะนำข้อมูลดังกล่าวที่ภาคธนาคารส่งผ่านระบบของ ปปง. ไปตรวจสอบกับข้อมูลของลูกค้าของตนเอง ว่าเป็นกลุ่มใด และ ส่งกลับไปให้ธนาคาร

 

เตรียมตัวเขย่าตลาด E-Commerce ผ่าน ChatGPT

ChatGPT เตรียมเปิดตัวรุกตลาด E-Commerce เปิดฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด ให้กับผู้ใช้งานที่ต้องการช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์ หรือ เปรียบเทียบสินค้าอิเล็กทรอนิกส์, แฟชั่น รวมไปถึงของใช้ในบ้านโดยตรง สำหรับหน้าตาของการสั่งซื้อ อาจจะมาในรูปแบบลิงก์ให้กดตรงเข้าไปซื้อที่เว็บไซต์ที่มีการซื้อขายจริงเลย

จากการรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า OpenAI ซึ่งเป็นบริษัท Startup ปัญญาประดิษฐ์ มีข่าวว่าจะเปิดให้บริการช้อปปิ้งสินค้าผ่านทางออนไลน์ได้ผ่าน ChatGPT ซึ่งกำลังเป็นกระแส และ เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการท้าทายคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Google

การเปิดตัวครั้งนี้ถือว่าเป็นการเขย่าวงการ E-Commerce ทั่วโลกแน่อน เนื่องจากปัจจุบัน ChatGPT มีผู้ใช้งานมากถึง 500 ล้านคน จากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงผู้คนที่ใช้งาน และไม่ได้เข้าสู่ระบบด้วย ถือว่าเป็นจำนวนตัวเลขที่ไม่น้อยเลย

ในส่วนของ ChatGPT นั้นเป็นแอปพลิเคชั่นที่ถูกสร้างโดย OpenAI เป็นการผลักดันให้เป็นแอปพลิเคชั่นที่สามารถช่วยผู้คนได้หลากหลายรูปแบบตอบโจทย์ขั้นสุด ไม่ว่าจะเป็น ผู้ช่วยเสียง รวมไปถึง เครื่องมือสร้างวีดีโอ ปัจจุบันทาง ChatGPT ยังคงนำหน้าคู่แข่งอย่าง xAI, Google และ Anthropic

สำหรับ Feature ช้อปปิ้ง ที่เป็นหนึ่งในหลายการอัปเดตที่ OpenAI เปิดตัวทำให้ Chat Bot ได้เข้าสู่การแข่งขันอย่างเต็มรูปแบบ โดยโฆษกของ OpenAI ระบุว่าบริษัทจะไม่รับรายได้จากการเป็นพันธมิตรจากการซื้อสินค้าที่ทำผ่าน ChatGPT

การค้นหาไม่ว่าจะเป็นการค้นหาด้วยเสียง, รูปภาพ หรือการพิมพ์ค้นหา เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมและเติมโตเร็วที่สุดของ Chat Bot ยกตัวอย่างตัวเลขของการค้นหา เช่น อาทิตย์ก่อนมีคนใช้ ChatGPT ค้นหาข้อมูลกว่า 1 พันล้านครั้ง

source: bloomberg.com

 

 

ขั้นตอนการสมัครบัตร American Express สำหรับคนไทย

บัตร American Express (Amex) ถือเป็นหนึ่งในบัตรเครดิตที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ด้วยจุดเด่นเรื่องสิทธิประโยชน์พิเศษ และบริการที่เหนือกว่าบัตรทั่วไป หลายคนที่อยู่ในประเทศไทยอาจกำลังสนใจอยากสมัครบัตร Amex แต่ไม่แน่ใจว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร หรือมีเงื่อนไขอะไรบ้าง บทความนี้จะสรุปขั้นตอนและข้อกำหนดล่าสุดอย่างละเอียด พร้อมแนะนำวิธีเพิ่มโอกาสในการสมัครผ่านง่ายขึ้น

บัตร American Express ที่คนไทยสามารถสมัครได้

ก่อนจะไปสู่ขั้นตอนการสมัคร มารู้จักกันก่อนว่าปัจจุบันคนไทยสามารถสมัครบัตร Amex ประเภทไหนได้บ้าง

ตัวอย่างบัตร Amex ยอดนิยมในไทย

  • American Express Platinum Credit Card – เน้นสิทธิพิเศษโรงแรม, ร้านอาหาร, และเลานจ์สนามบิน

  • American Express Gold Credit Card – เด่นเรื่องการสะสมแต้มเร็ว โดยเฉพาะหมวดร้านอาหาร

  • American Express Personal Card – บัตรพื้นฐานที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้ Amex

  • American Express Platinum Charge Card – บัตรชาร์จพรีเมียมที่ไม่มีวงเงินจำกัดตายตัว (แต่ต้องชำระเต็มทุกเดือน)

หมายเหตุ: บัตร Amex บางประเภทที่เห็นในต่างประเทศ เช่น Amex Blue Cash หรือ Amex Green อาจไม่มีให้สมัครโดยตรงในไทย

คุณสมบัติพื้นฐานที่ต้องมีสำหรับการสมัคร

เพื่อให้การสมัครผ่านได้ง่ายขึ้น ควรเช็กตัวเองก่อนว่ามีคุณสมบัติตรงตามที่กำหนดหรือไม่

รายได้ขั้นต่ำที่กำหนด

  • บัตรเครดิต Amex ทั่วไป: รายได้ประจำ 30,000–70,000 บาท/เดือน ขึ้นไป

  • บัตรชาร์จ (Charge Card) เช่น Amex Platinum Charge: รายได้ขั้นต่ำแนะนำ 100,000 บาท/เดือน หรือมีฐานะการเงินมั่นคง

เอกสารประกอบการสมัคร

  • สำเนาบัตรประชาชน หรือหนังสือเดินทาง (กรณีเป็นชาวต่างชาติที่มีใบอนุญาตทำงานในไทย)

  • สำเนาสลิปเงินเดือนล่าสุด หรือหนังสือรับรองเงินเดือน

  • รายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลังอย่างน้อย 3–6 เดือน

  • สำเนาใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิต (ถ้ามีบัตรเครดิตใบอื่นอยู่แล้ว)

ประวัติทางการเงินที่ดี

  • ไม่มีประวัติผิดนัดชำระหนี้กับสถาบันการเงินใด ๆ

  • ควรมีเครดิตสกอร์ดี (ประวัติการผ่อนชำระตรงเวลาสม่ำเสมอ)

วิธีการสมัครบัตร Amex สำหรับคนไทย

สมัครออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ทางการ

ปัจจุบัน การสมัคร Amex สามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. เข้าเว็บไซต์ทางการของ American Express Thailand

  2. เลือกบัตรที่ต้องการสมัคร และคลิก “สมัครเลย”

  3. กรอกข้อมูลส่วนตัวตามที่ระบบร้องขอ เช่น ชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่, รายได้ ฯลฯ

  4. อัปโหลดเอกสารประกอบ (ระบบรองรับไฟล์ PDF หรือรูปถ่าย)

  5. รอการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร

 

สมัครบัตร American Express Platinum

 

สมัครผ่านสาขาธนาคารตัวแทน

ในประเทศไทย บัตร Amex บางประเภทสามารถสมัครผ่านธนาคารตัวแทนที่มีข้อตกลงกับ Amex ได้ เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) โดยสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่สาขาใกล้บ้าน

สมัครผ่านตัวแทนหรืออีเวนต์พิเศษ

บางช่วงเวลา Amex จะมีแคมเปญเปิดบูธตามห้างสรรพสินค้าหรืออีเวนต์การเงิน ผู้สมัครที่ยื่นเอกสารครบภายในงานอาจได้รับของสมนาคุณ หรือได้รับการอนุมัติเร็วขึ้นกว่าปกติ

เคล็ดลับเพิ่มโอกาสสมัครบัตร Amex ผ่านง่ายขึ้น

เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน

  • ตรวจสอบความชัดเจนของเอกสาร เช่น สลิปเงินเดือน ต้องไม่มีรอยขีดฆ่าหรือแก้ไข

  • รายการเดินบัญชีควรมีการเคลื่อนไหวเข้าออกสม่ำเสมอ

เคลียร์หนี้เก่า ลดภาระหนี้สิน

หากมีหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อเก่า ๆ แนะนำให้ชำระให้เหลือน้อยที่สุดก่อนสมัคร เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีศักยภาพในการบริหารการเงินดี

ใช้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้จริง

  • เนื่องจากเจ้าหน้าที่อาจโทรตรวจสอบความถูกต้อง การให้ข้อมูลที่เป็นจริงจะช่วยลดความเสี่ยงในการโดนปฏิเสธ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการสมัครบัตร Amex

ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะรู้ผล?

  • โดยปกติแล้วจะทราบผลการสมัครภายใน 5–14 วันทำการ หลังจากส่งเอกสารครบถ้วน

จำเป็นต้องมีบัตรเครดิตใบอื่นก่อนหรือไม่?

  • ไม่จำเป็น แต่หากมีประวัติการใช้บัตรเครดิตที่ดีมาก่อน จะช่วยให้การพิจารณาง่ายขึ้น

มีค่าธรรมเนียมรายปีหรือไม่?

บัตร Amex ส่วนใหญ่มีค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งแตกต่างกันไปตามประเภทบัตร เช่น บัตร Platinum มักมีค่าธรรมเนียมสูง แต่ก็มาพร้อมกับสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่า

สมัครบัตร Amex ไม่ยาก ถ้ารู้จักเตรียมตัว

การสมัครบัตร American Express สำหรับคนไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากมีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไข และเตรียมเอกสารให้พร้อม ที่สำคัญคือการบริหารเครดิตให้ดี และเลือกบัตรให้ตรงกับไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายของตัวเอง

Amex อาจมีเงื่อนไขเข้มงวดกว่าบัตรทั่วไปเล็กน้อย แต่สำหรับผู้ที่ผ่านการสมัครแล้ว สิทธิประโยชน์ที่ได้รับนั้นคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้ชีวิตระดับพรีเมียมอย่างแท้จริง

อัพเดทโรงพยาบาลเอกชน 5 แห่งใหม่เข้าร่วม บัตรทอง

สปสช. เปิดรายละเอียดโรงพยาบาล เอกชน 5 แห่งใหม่ที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. เพิ่มทางเลือกดูแลผู้ป่วนสิทธิบัตรทอง กทม. เปิดให้ลงทะเบียนเข้ารับบริการโดยตรงที่โรงพบาล ทางด้าน สปสช. แนะนำขั้นตอนในการเปลี่ยนหน่วยบริการ

ข้อมูลล่าสุดจากทางรองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่าตอนนี้ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้มีโรงพยาบาลเอกชน 5 แห่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิและหน่วยบริการประจำเพื่อดูแลประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

สำหรับผู้ที่มีทะเบียนบ้านในกรุงเทพฯ หรือ ผู้ที่เข้ามาทำงานและพักอาศัยในพื้นที่กรุเทพฯ แต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนมา สามารถทำการลงทะเบียนเปลี่ยนหน่วยบริการปฐมภูมิและหน่วยบริการประจำได้ ตามรายชื่อโรงพยาบาลเอกชน ทั้ง 5 แห่งที่ขึ้นทะเบียนใหม่

ในส่วนของการเปลี่ยนหน่วยบริการ หรือสถานพยาบาลประจำตัว สามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชั่น สปสช. หรือ Line OA ที่ @nhso เลือกเปลี่ยนหน่วยบริการ และดำเนินการตามขั้นตอนเอกสารที่ต้องใช้บัตรประชาชน

ถ้าหากไม่สะดวกเปลี่ยนผ่านแอปฯ และไลน์ OA สปสช. สามารถเปลี่ยนด้วยตัวเองได้ที่ ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพ สปสช. ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารบี ถ. แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม. หรือ โทร. สายด่วน สปสช. 1330 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการให้

5 โรงพบาเอกชน แห่งใหม่ที่เข้าร่วมบัตรทอง

  1. โรงพยาบาล ไอเอ็มเอส สีลม (เขตบางรัก) ติดต่อสอบถามที่เบอร์ 02-635-7123 เบอร์มือถือ 083-945-8591
  2. โรงพยาบาล ธนบุรี (เขตราษฎร์บูรณะ) ติดต่อสอบถาม 02-427-9966 ต่อ 512 หรือ 515 เบอร์มือถือ 064-183-3237
  3. โรงพยาบาล บางนา 1 (เขตบางนา) ติดต่อสอบถาม 02-746-8630-8
  4. โรงพยาบาล เดอะซีพลัส ประเวศ (เขตประเวศ) ติดต่อ 02-322-9555
  5. โรงพยาบาล เพชรเวช (เขตห้วยขวาง) ติดต่อสอบถาม 1390

 

 

 

ขั้นตอนยกเลิกบัตรเครดิต ทำยังไงให้ถูกต้อง

การ ยกเลิกบัตรเครดิต อาจฟังดูง่าย แต่หากดำเนินการไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อคะแนนเครดิตโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ขั้นตอนและสิ่งที่ควรระวัง เพื่อให้การยกเลิกบัตรเครดิตของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีผลเสียตามมาในภายหลัง

เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ต้องการยกเลิกบัตรเครดิต

1. ลดภาระหนี้สิน

หลายคนเลือกยกเลิกบัตรเครดิตเพื่อลดโอกาสในการก่อหนี้ โดยเฉพาะคนที่มีบัตรหลายใบแล้วรู้สึกว่าควบคุมการใช้จ่ายได้ยาก

2. ปรับโครงสร้างทางการเงิน

บางครั้ง การยกเลิกบัตรเครดิตที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ช่วยให้การบริหารเงินง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องคอยติดตามยอดเงินและวันครบกำหนดชำระจากหลายบัญชี

3. หลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมรายปี

หากบัตรที่ถืออยู่มีค่าธรรมเนียมรายปีสูง และไม่มีสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่า หลายคนเลือกยกเลิกเพื่อไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมโดยเปล่าประโยชน์

4. เปลี่ยนไปใช้บัตรที่ตอบโจทย์มากกว่า

เมื่อมีผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตใหม่ๆ ที่ให้สิทธิพิเศษดีกว่าเดิม การยกเลิกบัตรใบเก่าเพื่อเปิดบัตรใหม่จึงกลายเป็นทางเลือกที่หลายคนตัดสินใจ

ขั้นตอนการยกเลิกบัตรเครดิตอย่างถูกต้อง

1. ตรวจสอบยอดค้างชำระ

ก่อนยกเลิกบัตรเครดิต ต้องแน่ใจว่าไม่มีหนี้ค้างชำระ ไม่ว่าจะเป็นยอดใช้จ่ายปกติ หรือดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นหลังวันตัดยอด

คำแนะนำ:

  • ชำระยอดคงค้างให้หมด รวมถึงยอดผ่อนชำระที่อาจเหลืออยู่

  • ขอใบเสร็จหรือเอกสารยืนยันการชำระเงินให้ครบถ้วน

2. ติดต่อธนาคารเจ้าของบัตร

คุณสามารถยกเลิกบัตรได้โดยติดต่อผ่านช่องทางเหล่านี้:

  • โทรศัพท์ไปที่ Call Center

  • ไปที่สาขาของธนาคาร

  • ส่งจดหมายขอยกเลิก (บางธนาคารยังรองรับ)

แนะนำให้ใช้วิธีที่สามารถเก็บหลักฐานได้ เช่น อีเมลตอบรับหรือเอกสารยืนยัน

3. ขอเอกสารยืนยันการยกเลิก

เมื่อยกเลิกบัตรแล้ว ควรขอ “หนังสือยืนยันการยกเลิกบัตรเครดิต” เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน เผื่อเกิดปัญหาในอนาคต เช่น ธนาคารยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปี

4. ตัดบัตรเครดิตด้วยตัวเอง

เพื่อความปลอดภัย ควรทำลายบัตรเครดิตโดยการตัดแถบแม่เหล็ก และชิปการ์ดออกจากกัน ไม่ควรทิ้งบัตรทั้งใบแบบไม่ทำลาย

ข้อควรระวังในการยกเลิกบัตรเครดิต

1. คะแนนเครดิต (Credit Score) อาจได้รับผลกระทบ

การยกเลิกบัตรที่มีอายุการใช้งานยาวนาน หรือมีวงเงินสูง อาจส่งผลให้คะแนนเครดิตลดลง เพราะสองปัจจัยนี้มีผลกับการคำนวณคะแนน

  • หากบัตรไม่มีค่าธรรมเนียม ควรเก็บไว้ แม้จะไม่ใช้บ่อย

  • พิจารณาลดวงเงินลงแทนการยกเลิก

2. ตรวจสอบผลกระทบกับสิทธิประโยชน์ที่มีอยู่

บางบัตรอาจเชื่อมโยงกับคะแนนสะสม, สิทธิการบิน, หรือประกันภัย หากยกเลิกบัตรไปโดยไม่ได้โอนสิทธิหรือแลกคะแนนก่อน อาจทำให้สิทธิเหล่านั้นสูญหาย

3. อย่ายกเลิกหลายใบพร้อมกัน

การยกเลิกบัตรหลายใบในระยะเวลาใกล้เคียงกัน อาจทำให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินมองว่าคุณมีความเสี่ยงทางการเงินสูงกว่าปกติ

ทางเลือกหากไม่ต้องการใช้บัตรแต่ไม่อยากยกเลิก

ถ้าคุณยังลังเลว่าควรยกเลิกหรือไม่ อาจเลือกทางสายกลางเหล่านี้:

  • ขอ “ระงับบัตรชั่วคราว” เพื่อหยุดการใช้จ่ายโดยไม่กระทบคะแนนเครดิต

  • ขอ “ลดวงเงิน” เพื่อควบคุมการใช้จ่ายและลดความเสี่ยง

  • เลือกบัตรที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี เพื่อเก็บเครดิตไลน์ไว้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ยกเลิกบัตรเครดิตต้องมีแผน

การยกเลิกบัตรเครดิตไม่ใช่แค่การโทรแจ้งธนาคารแล้วจบ แต่ควรวางแผนอย่างรอบคอบ ตรวจสอบยอดหนี้ ผลกระทบต่อคะแนนเครดิต และเอกสารยืนยันให้ครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง หากวางแผนและดำเนินการอย่างถูกต้อง การยกเลิกบัตรเครดิตจะช่วยให้สถานะทางการเงินของคุณมั่นคงยิ่งขึ้น

เปิดคู่มือเอาตัวรอด ในยุคเศรษฐกิจแย่

ในช่วงที่ เศรษฐกิจไม่ดี หลายคนอาจรู้สึกถึงความไม่แน่นอนทั้งในเรื่องงาน การเงิน และอนาคต แต่ถึงอย่างนั้น การตั้งสติและวางแผนรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ ก็สามารถช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างมั่นคง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแนวทางการปรับตัวที่ทำได้จริง พร้อมวิธีปฏิบัติที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการความอยู่รอดในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ

ทำไมเศรษฐกิจไม่ดีถึงกระทบเรามากกว่าที่คิด?

เศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ที่ลดลง ตำแหน่งงานที่หายไป หนี้สินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าครองชีพที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจว่าทำไมเราถึงได้รับผลกระทบจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการวางแผนรับมือ

1. รายได้ไม่สอดคล้องกับค่าใช้จ่าย

เมื่อเศรษฐกิจแย่ หลายธุรกิจต้องลดต้นทุน ซึ่งหมายถึงการลดโบนัส ลดเงินเดือน หรือแม้แต่เลิกจ้างพนักงาน ในขณะที่ค่าครองชีพกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

2. ความไม่แน่นอนทางอาชีพ

การจ้างงานชะลอตัว หรือบางอุตสาหกรรมหายไปจากตลาด ทำให้คนต้องหันมาพัฒนาทักษะใหม่ หรือเปลี่ยนอาชีพเพื่อความอยู่รอด

3. หนี้สินเพิ่มขึ้น

หลายคนต้องพึ่งพาเงินกู้ หรือบัตรเครดิตเพื่อประคองตัวเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาหนี้สินสะสมหากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี

ปรับตัวอย่างไรในภาวะเศรษฐกิจไม่ดี

1. วางแผนการเงินอย่างเคร่งครัด

  • ตั้งงบประมาณที่ชัดเจน
    การทำบัญชีรายรับรายจ่าย จะช่วยให้คุณรู้ว่าควรใช้เงินในแต่ละเดือนได้เท่าไหร่ และตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป
  • สำรองเงินฉุกเฉิน
    ตั้งเป้าเก็บเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ตกงาน หรือค่ารักษาพยาบาล
  • ลดหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง
    หากเป็นไปได้ ควรเร่งชำระหนี้บัตรเครดิตหรือหนี้ส่วนบุคคลที่ดอกเบี้ยสูง เพื่อลดภาระทางการเงินระยะยาว

2. เพิ่มรายได้จากหลายช่องทาง

  • หารายได้เสริม (Passive Income)
    การมีรายได้จากหลายทาง เช่น งานฟรีแลนซ์, ขายสินค้าออนไลน์ หรือ Affiliate Marketing ช่วยกระจายความเสี่ยงหากงานประจำมีปัญหา
  • พัฒนาทักษะที่ตลาดต้องการ
    การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เช่น ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง, เขียนโปรแกรม, การขายออนไลน์ จะเพิ่มโอกาสในการหารายได้และโอกาสการจ้างงานใหม่

3. ปรับตัวเรื่องอาชีพอย่างยืดหยุ่น

  • อย่ายึดติดกับตำแหน่งเดิม
    เศรษฐกิจไม่ดีอาจทำให้อุตสาหกรรมที่เคยรุ่งเรืองซบเซาลง การเปิดใจยอมรับการทำงานในสายอาชีพอื่น ๆ อาจเป็นทางรอดที่สำคัญ
  • ทำงานแบบชั่วคราวหรือโปรเจกต์
    การรับงานแบบระยะสั้น ช่วยให้ยังมีรายได้ และสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ไปในตัว

วิธีดูแลตัวเองในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี

1. ดูแลสุขภาพกายและใจ

ความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจอาจกระทบทั้งสุขภาพกายและจิตใจ ควรให้เวลากับการพักผ่อน ออกกำลังกาย และทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การอ่านหนังสือ หรือการทำสมาธิ

2. หลีกเลี่ยงการใช้เงินเพื่อระบายอารมณ์

ในช่วงที่เครียด หลายคนมักใช้การช้อปปิ้งเป็นเครื่องปลอบใจ แต่การใช้จ่ายโดยไม่วางแผนอาจทำให้ปัญหาทางการเงินยิ่งแย่ลง ควรหาวิธีระบายอารมณ์ที่ไม่ต้องใช้เงิน เช่น ทำอาหาร ทำสวน หรือออกกำลังกาย

3. มองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ

แม้เศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่ก็ยังมีอุตสาหกรรมที่เติบโต เช่น เทคโนโลยี สุขภาพ และพลังงานทางเลือก การติดตามแนวโน้มเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนอนาคตได้ดียิ่งขึ้น

เศรษฐกิจไม่ดี แต่เรายังรอดได้ถ้าวางแผน

แม้เศรษฐกิจจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่การปรับตัวอย่างมีสติ วางแผนการเงินรอบคอบ เสริมสร้างทักษะใหม่ และดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี จะช่วยให้เรายืนหยัดอยู่ได้ในทุกสถานการณ์ จำไว้ว่าวิกฤตทุกครั้งคือโอกาสที่ซ่อนอยู่ ขอแค่เราไม่ยอมแพ้ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตามความจำเป็น

เงินสดสำคัญมาก เตรียมตัวให้พร้อม

สถานการณ์ตอนนี้ที่มันน่ากลัว เวลาคนลดราคา ตอนนี้ไม่ได้ลดราคาแบบปกติ เนื่องจากเศรษฐกิจที่มีขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่เพิ่มภาษีกันแบบโหดๆ ทำให้กระทบเศรษฐกิจไปทั่วโรค ยกตัวอย่างที่พีคมากๆบริษัท Apple ที่กำลังจะย้ายโรงงานผลิตจากจีนไปอยู่ที่อินเดีย เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องภาษี ระหว่างสหรัฐอเมริกา และ จีนที่ขึ้นภาษีสู้กันเป็น 100% ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

หากอยากให้ธุรกิจอยู่รอด จำเป็นต้องบริหารกระแสเงินสดให้ดีเลย เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งใหญ่เลยทีเดียวบางคนบอกว่าน่าจะหนักกว่ายุคโควิดที่ผ่านมาอีก ในสถานการณ์แบบนี้ เราจำเป็นจะต้องจัดการพวกต้นทุนให้ดี ตอนนี้องค์กรหลายๆองค์กรมองว่าต้องมี Fixed Cost ให้น้อยๆบริษัทไหนที่คนน้อย จะสามารถบริหารจัดการได้ง่ายกว่า

เงินสดในมือสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจ ต้องบริหารกระแสเงินสดให้ดีๆเลย เนื่องจากตอนนี้กำลังอยู่ในจุดของวิกฤตเศษฐกิจโลก ทำให้เราต้องตระหนักตลอดเวลา เนื่องจากวิกฤตรอบนี้หนักแน่นอน แต่ในวิกฤตทุกวิกฤต เราก็จะเจอกับโอกาสเสมอ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะมองมันยังไง หลายคนอาจจะมองว่าวิกฤตนี้ อาจจะเป็นโอกาสของใครหลายๆคนก็ได้

รายละเอียดขั้นตอนในการสมัครบัตรเสริม UOB

บัตรเสริม UOB เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับครอบครัวหรือคนใกล้ชิดที่ต้องการแบ่งวงเงินใช้ร่วมกันกับผู้ถือบัตรหลัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อบริหารค่าใช้จ่ายในครัวเรือน หรือเพื่อควบคุมการใช้จ่ายของบุตรหลาน การสมัครบัตรเสริมจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการบริหารการเงินอย่างชาญฉลาด สำหรับใครที่กำลังสนใจอยากสมัครบัตรเสริม UOB วันนี้เราจะพาคุณไปดูขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ เข้าใจง่าย และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

บัตรเสริม UOB คืออะไร?

บัตรเสริม (Supplementary Card) คือบัตรเครดิตที่ผูกอยู่กับบัญชีของบัตรหลัก โดยผู้ถือบัตรเสริมสามารถใช้วงเงินเดียวกับบัตรหลักในการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งวงเงินทั้งหมดจะถูกรวมไว้ในใบแจ้งหนี้ฉบับเดียวกับบัตรหลัก และผู้ถือบัตรหลักจะเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระเงิน

ข้อดีของบัตรเสริม:

  • ช่วยควบคุมและบริหารค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น

  • เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการให้บุตรหลานใช้จ่ายอย่างมีขอบเขต

  • สะสมคะแนนหรือรับสิทธิประโยชน์ร่วมกับบัตรหลัก

คุณสมบัติของผู้สมัครบัตรเสริม UOB

1. ความสัมพันธ์กับผู้ถือบัตรหลัก

  • ต้องเป็นบุคคลในครอบครัว เช่น บุตร คู่สมรส หรือบิดามารดา

2. อายุของผู้สมัคร

  • อายุขั้นต่ำ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

3. เอกสารประกอบการสมัคร

  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้สมัครบัตรเสริม

  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้ถือบัตรหลัก

  • สำเนาทะเบียนบ้าน (ในบางกรณี)

  • เอกสารยืนยันความสัมพันธ์ เช่น สูติบัตร ทะเบียนสมรส หรือทะเบียนบ้าน

>> สมัครบัตรเครดิต UOB (บัตรหลัก)ได้ที่นี่ <<

ขั้นตอนในการสมัครบัตรเสริม UOB

1. ตรวจสอบคุณสมบัติของบัตรหลัก

ก่อนทำการสมัครบัตรเสริม ต้องแน่ใจก่อนว่าผู้ถือบัตรหลักมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของธนาคาร UOB เช่น ไม่ผิดนัดชำระ มีประวัติทางการเงินดี และวงเงินคงเหลือเพียงพอสำหรับแบ่งใช้กับบัตรเสริม

2. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน

การเตรียมเอกสารล่วงหน้าจะช่วยให้ขั้นตอนการสมัครรวดเร็วขึ้น เอกสารที่ควรเตรียมมีดังนี้:

  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้สมัครบัตรเสริม

  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้ถือบัตรหลัก

  • เอกสารแสดงความสัมพันธ์ (ถ้ามี)

  • แบบฟอร์มสมัครบัตรเสริมที่กรอกข้อมูลครบถ้วน

เคล็ดลับ:
สำเนาเอกสารทุกชุดควรเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องให้เรียบร้อย

3. กรอกใบสมัครบัตรเสริม UOB

ผู้สมัครต้องกรอกข้อมูลในใบสมัครอย่างละเอียดและถูกต้อง โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือบัตรหลัก เช่น หมายเลขบัตรเครดิต วงเงินที่ต้องการแบ่งให้กับบัตรเสริม (ถ้าต้องการกำหนดแยก)

4. ส่งใบสมัครและเอกสารประกอบ

คุณสามารถเลือกส่งใบสมัครได้หลายช่องทาง ได้แก่

  • ยื่นที่สาขาของธนาคาร UOB

  • ส่งผ่านเจ้าหน้าที่บัตรเครดิตที่ให้บริการ

  • ส่งไปรษณีย์ไปยังธนาคารตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในใบสมัคร

5. รอการพิจารณาอนุมัติ

หลังจากส่งเอกสารครบถ้วนแล้ว ธนาคารจะทำการตรวจสอบข้อมูลและพิจารณาอนุมัติ โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 5-10 วันทำการ หากข้อมูลครบถ้วนและไม่มีปัญหา เอกสารจะถูกดำเนินการต่อทันที

6. รับบัตรเสริมและเริ่มใช้งาน

เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ธนาคารจะจัดส่งบัตรเสริมไปยังที่อยู่ที่ระบุไว้ หรือสามารถติดต่อรับบัตรที่สาขา ทั้งนี้ผู้ถือบัตรเสริมจะสามารถเริ่มใช้งานได้ทันทีหลังจากทำการเปิดใช้งานบัตร

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้บัตรเสริม UOB

1. วงเงินเป็นวงเงินเดียวกับบัตรหลัก

ผู้ถือบัตรเสริมใช้วงเงินร่วมกับบัตรหลัก ดังนั้นการใช้จ่ายทุกครั้งจะไปหักจากวงเงินรวมทันที ผู้ถือบัตรหลักควรวางแผนการใช้จ่ายให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกินวงเงินที่กำหนด

2. การชำระเงิน

ใบแจ้งหนี้ของบัตรเสริมจะถูกรวมกับบัตรหลัก โดยผู้ถือบัตรหลักเป็นผู้รับผิดชอบการชำระหนี้ทั้งหมด ดังนั้นควรติดตามและตรวจสอบรายการใช้จ่ายเป็นประจำ

3. สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

ผู้ถือบัตรเสริมจะได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกับบัตรหลัก เช่น คะแนนสะสม, โปรโมชั่นร้านค้า, สิทธิประโยชน์ประกันภัย (ขึ้นอยู่กับประเภทบัตร)

4. การยกเลิกบัตรเสริม

หากไม่ต้องการใช้บัตรเสริมต่อไป สามารถแจ้งยกเลิกได้ผ่านทางธนาคาร UOB โดยไม่กระทบสิทธิการใช้งานของบัตรหลัก

สมัครบัตรเสริม UOB ง่ายกว่าที่คิด

การสมัครบัตรเสริม UOB เป็นวิธีที่สะดวกและปลอดภัยในการบริหารค่าใช้จ่ายร่วมกันในครอบครัว เพียงแค่เตรียมเอกสารให้พร้อม กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน และส่งใบสมัครตามขั้นตอน ก็สามารถรอรับบัตรและเริ่มใช้งานได้ไม่ยาก ที่สำคัญ การใช้บัตรเสริมอย่างมีวินัย ยังช่วยส่งเสริมการวางแผนทางการเงินที่ดีในระยะยาวอีกด้วย

สามารถจ่ายช้าได้กี่วัน ก่อนโดนคิดค่าปรับหรือดอกเบี้ย?

สำหรับผู้ถือบัตรเครดิต หลายคนอาจเคยเกิดคำถามว่า ถ้าจ่ายค่าบัตรเครดิตช้า จะมีผลอะไรไหม? หรือ สามารถจ่ายช้าได้กี่วัน ก่อนโดนคิดค่าปรับหรือดอกเบี้ย?” เพราะบางครั้งเราอาจติดภารกิจ, ลืมวันครบกำหนด, หรือมีปัญหากระแสเงินสดจนต้องเลื่อนการจ่ายออกไป
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า การจ่ายบัตรเครดิตช้าได้กี่วัน จึงจะไม่เสียหาย และมีวิธีไหนบ้างที่จะป้องกันผลกระทบหากจำเป็นต้องชำระล่าช้า

กำหนดวันครบกำหนดชำระของบัตรเครดิต คืออะไร?

วันครบกำหนดชำระ (Payment Due Date)

  • คือวันที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินกำหนดให้คุณต้องจ่ายยอดเงินตามใบแจ้งหนี้

  • ปกติจะห่างจากวันตัดรอบบัญชีประมาณ 15-25 วัน แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละธนาคาร

  • ถ้าชำระหลังวันครบกำหนด จะถูกนับเป็นการ ชำระล่าช้า (Late Payment) ทันที

ถ้าบัตรคุณตัดรอบทุกวันที่ 10 และกำหนดชำระวันที่ 30 ของเดือน ถ้าคุณจ่ายในวันที่ 31 เป็นต้นไป จะถือว่า “ชำระล่าช้า” แล้ว

จ่ายบัตรเครดิตช้าได้กี่วัน โดยไม่เสียค่าปรับ?

ไม่มี “ระยะผ่อนผัน” อย่างเป็นทางการ

ความเข้าใจผิด ที่พบบ่อย คือบางคนคิดว่า “จ่ายช้าสัก 1-2 วันคงไม่เป็นไร” แต่ในความเป็นจริง ธนาคารส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายให้ จ่ายล่าช้าแม้แต่ 1 วัน

หากเลยกำหนดวันชำระแม้เพียง 1 วัน จะเกิดผลกระทบทันที เช่น:

  • ถูกคิดค่าธรรมเนียมชำระล่าช้า (Late Payment Fee)

  • ถูกคิดดอกเบี้ยจากยอดที่ค้างทั้งหมด ย้อนหลังตั้งแต่วันใช้จ่าย

  • มีผลกระทบต่อประวัติเครดิตกับเครดิตบูโรในระยะยาว

บางธนาคารอาจมี “การยืดหยุ่น” 1 วันในระบบ แต่ไม่ใช่สิทธิที่การันตีได้ และไม่ควรเสี่ยงรอให้เลยวันครบกำหนด

ผลเสียที่เกิดจากการจ่ายบัตรเครดิตช้า

1. โดนค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยทันที

  • ค่าธรรมเนียมชำระล่าช้าอาจอยู่ที่ประมาณ 100-500 บาท ต่อเดือน

  • ดอกเบี้ยจะถูกคิดจากยอดค้างทั้งหมดในเรตที่สูง เช่น 16-20% ต่อปี

2. เสียประวัติเครดิต

  • หากจ่ายล่าช้าเกิน 30 วัน จะถูกบันทึกประวัติไม่ดีในเครดิตบูโร

  • ส่งผลเสียเมื่อต้องการขอสินเชื่อ เช่น กู้ซื้อบ้าน, รถ หรือบัตรเครดิตใบใหม่ในอนาคต

3. เสียสิทธิ์โปรโมชั่นต่างๆ

  • อาจเสียสิทธิ์คะแนนสะสม, เครดิตเงินคืน, หรือโปรแกรมผ่อน 0% ในบางกรณี

วิธีป้องกันการจ่ายบัตรเครดิตช้า

1. ตั้งระบบหักบัญชีอัตโนมัติ (Auto Debit)

  • เลือกตั้งหักเฉพาะยอดขั้นต่ำ หรือยอดเต็มจำนวนตามที่สะดวก

  • ป้องกันการลืมจ่าย และมั่นใจว่าการชำระจะทำตรงเวลาเสมอ

2. ตั้งแจ้งเตือนวันครบกำหนดในมือถือ

  • ใช้ฟีเจอร์ Reminder หรือ Calendar ตั้งเตือนล่วงหน้า 3-5 วันก่อนวันครบกำหนด

  • ช่วยให้คุณมีเวลาเตรียมเงินให้พร้อม

3. ชำระผ่าน Mobile Banking หรือแอปของธนาคาร

  • ชำระด้วยแอปฯ ช่วยให้โอนเงินสะดวกในไม่กี่นาที

  • ตรวจสอบสถานะการจ่ายได้ทันที ลดความผิดพลาดเรื่องเวลา

ถ้าจ่ายช้าแล้วควรทำอย่างไร?

อย่ารอ! รีบดำเนินการดังนี้

  1. รีบชำระให้เร็วที่สุด แม้เลยวันครบกำหนดไปแล้ว

  2. โทรแจ้งธนาคารหากมีเหตุสุดวิสัย เช่น อุบัติเหตุ, เจ็บป่วย เพื่อขอผ่อนผันค่าปรับ (บางกรณีธนาคารอาจพิจารณาลดให้)

  3. ตรวจสอบยอดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในรอบถัดไปอย่างละเอียด

  4. พยายามจ่ายเต็มจำนวนในรอบถัดไปเพื่อรีเซตสถานะ

จ่ายบัตรเครดิตต้องตรงเวลา อย่าเสี่ยงแม้แต่วันเดียว

แม้ว่าหลายคนอาจเข้าใจว่า “จ่ายช้าแค่วันเดียวไม่เป็นไร” แต่ความจริงคือ “เลยวันครบกำหนดแม้แต่วันเดียวก็ถือว่าชำระล่าช้า และมีผลทันที”

หากคุณต้องการรักษาประวัติการเงินที่ดี

  • วางแผนการเงินล่วงหน้า

  • ชำระตรงตามวันครบกำหนด

  • ใช้ตัวช่วยเช่น Auto Debit หรือ Mobile Banking

เพราะการรักษาวินัยทางการเงินวันนี้ จะช่วยเปิดโอกาสทางการเงินที่ใหญ่กว่าในอนาคต