ก่อนอายุ 30 เก็บเงินก้อนแรกยังไงให้ได้ 100,000 บาท
ก่อนอายุ 30 ปีหลายๆคนเคยคิดหรือไม่ว่าอยากจะออมเงินให้ได้เท่าไหร่ก่อนอายุ 30 เงินหนึ่งแสนบาทอาจดูเป็นเป้าหมายที่ใหญ่สำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน แต่ความจริงแล้ว การเก็บเงินก้อนแรกให้ได้ภายในอายุ 30 ปีไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน หากรู้จักวางแผนและลงมือทำอย่างจริงจัง บทความนี้จะช่วยแนะนำขั้นตอนง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำตามได้ เพื่อให้เป้าหมาย “เงินเก็บ 1 แสน” กลายเป็นจริง
ทำไมต้องเริ่มเก็บเงินตั้งแต่อายุน้อย?
หลายคนมักมองว่า “เดี๋ยวหาเงินได้มากกว่านี้ค่อยเก็บ” หรือ “รอมีรายได้มั่นคงก่อน” แต่ความจริงแล้วการเริ่มเก็บเงินตั้งแต่อายุน้อยจะช่วยสร้างวินัยทางการเงิน และมีเวลาให้เงินเติบโตผ่านการลงทุนหรือดอกเบี้ยทบต้นได้มากกว่า
ข้อดีของการมีเงินเก็บเร็ว
- มีเงินสำรองยามฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วย ตกงาน หรืออุบัติเหตุ
- สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เร็ว เช่น หุ้น กองทุน หรืออสังหาริมทรัพย์
- ลดความเครียดด้านการเงินในอนาคต
ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
ก่อนจะเริ่มเก็บเงิน ต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายคืออะไร ในที่นี้คือเงิน 100,000 บาทภายในอายุ 30 ปี สมมติว่าเริ่มต้นตอนอายุ 23 ปี จะมีเวลาเก็บประมาณ 7 ปี หรือ 84 เดือน
ตัวอย่างการแบ่งเป้าหมาย
- เป้าหมาย: เก็บเงิน 100,000 บาท ภายใน 84 เดือน
- 100,000 ÷ 84 = ต้องเก็บประมาณ 1,200 บาทต่อเดือน
- หากมีเวลาแค่ 5 ปี: 100,000 ÷ 60 = เก็บเดือนละประมาณ 1,667 บาท
จะเห็นได้ว่า ยิ่งเริ่มเร็ว จำนวนเงินต่อเดือนที่ต้องเก็บจะยิ่งน้อยลง และไม่รู้สึกกดดัน
5 วิธีเริ่มเก็บเงินให้ถึง 100,000 บาท
1. แยกรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ
เริ่มต้นด้วยการจดบันทึกทุกบาทที่ใช้จ่าย เพื่อให้เห็นภาพว่ารายจ่ายส่วนไหนลดได้บ้าง ลองใช้แอปพลิเคชันช่วยบันทึก เช่น Piggipo, Spendee หรือ Excel Sheet ธรรมดาก็ได้
2. กำหนด “เงินออมก่อนใช้”
ทุกครั้งที่ได้เงินเดือน ให้แบ่งเงินออมทันที เช่น 10% หรือ 15% แล้วค่อยนำส่วนที่เหลือมาใช้จ่าย การออมก่อนใช้จะช่วยป้องกันการใช้จ่ายเกินตัว
3. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
- งดชานมไข่มุก หรือกาแฟแบรนด์ทุกวัน
- จำกัดการกินข้าวนอกบ้าน
- เลิกซื้อของตามกระแสที่ไม่ได้ใช้จริง
4. หารายได้เสริม
หากเก็บจากเงินเดือนอย่างเดียวแล้วยังไม่พอ ลองหารายได้พิเศษ เช่น ขายของออนไลน์, เขียนบทความ, รับงานแปล หรือขับแกร็บในเวลาว่าง เพียงมีรายได้เพิ่มอีกเดือนละ 1,000 บาท ก็จะทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
5. เปิดบัญชีแยกสำหรับเงินออม
อย่าเก็บเงินออมไว้ในบัญชีเดียวกับเงินใช้จ่าย ให้เปิดบัญชีใหม่แยกไว้โดยเฉพาะ และไม่พกบัตร ATM ของบัญชีนี้ เพื่อไม่ให้ถอนออกง่าย ๆ
การลงทุนเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มต้น
หากสามารถเก็บเงินได้ถึงระดับหนึ่ง เช่น 20,000-30,000 บาท การนำเงินไปลงทุนเพื่อให้เติบโตเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ทางเลือกการลงทุน
- กองทุนรวม: เหมาะสำหรับมือใหม่ มีผู้จัดการกองทุนดูแล
- บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง: เช่น บัญชีดิจิทัลจากธนาคารต่าง ๆ
- ตราสารหนี้: ความเสี่ยงต่ำ รายได้คงที่
สร้างแรงจูงใจในการเก็บเงิน
การมีเป้าหมายอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง
- ตั้งรางวัลให้ตัวเองเมื่อเก็บได้ตามเป้า
- หาเพื่อนร่วมเป้าหมาย มาช่วยกันเตือนและแบ่งปันไอเดีย
- ติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ เช่น เช็กยอดทุกปลายเดือน
การเก็บเงิน 100,000 บาทก่อนอายุ 30 ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเริ่มต้นวางแผนเร็ว มีวินัย และมีความมุ่งมั่นในการลงมือทำ ความสำเร็จจะไม่ใช่เรื่องไกลตัว และเมื่อถึงเป้าหมายแรกแล้ว เป้าหมายถัดไปก็จะดูเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นในชีวิตการเงินระยะยาว
เปิดเผยข้อมูลจากกรมสรรพากร พิจารณาปรับแก้กฎกระทรวงเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศ
อัพเดทจากทางกรมสรรพากร พิจารณาปรับแก้กฎกระทรวงเก็บเงินภาษีเงินได้จากต่างประเทศ ที่นำเข้ามาในประเทศไทย เพื่อผ่อนคลายกฎเกณฑ์การเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศ ที่นำกลับเข้ามาในประเทศไทย หากเงินได้นั้นเกิดขึ้น และถูกนำกลับมาภายใน 2 ปีภาษีจะได้รับการยกเว้นโดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ทางกรมสรรพากรพบว่าคนไทยที่มีการลงทุนในต่างประเทศ มีตัวเลขสูงถึง 2 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทเช่น อสังหาริมทรัพย์, ประกัน, หุ้น, ตราสารหนี้ ซึ่งเงินทุนเหล่านี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบดอกเบี้ย, เงินปันผล, หรือ กำไรที่เกิดจากการขายสินทรัพย์ และ อื่นๆ จะได้ยอดราวๆหลักแสนล้านบาท การจูงใจให้เงินเหล่านี้ไหลกลับเข้าประเทศจะช่วยกระตุ้นตลาดในประเทศให้กลับมาคึกคักยิ่งขึ้น
หลักการในการจัดเก็บภษาีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทยนั้น อ้างอิงจากแหล่งเงินทุน นั่นก็คือเงินได้ที่เกิดขึ้นในไทย และ หลักถิ่นที่อยู่ สำหรับผู้ที่อาศัยในไทยรวมกันเกิน 180 วันในปีนั้น หากมีเงินได้จากต่างประเทศ เมื่อนำเข้ามาในไทยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามหลักของ World Wide Income รวมถึงคนไทยที่มีเงินได้จากต่างประเทศ โดยมีการปรับเกณฑ์ไปแล้วเมื่อ 1 มกราคม 2567 ที่กำหนดให้เงินได้จากต่างประเทศที่เกิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป หากนำเข้าไทยเมื่อไหร่ต้องเสียภาษีเมื่อนั้น เพื่อความเป็นธรรม เนื่องจากก่อนหน้านี้ หากนำเงินเข้ามาในปีถัดไปจะไม่ต้องเสียภาษี
ในส่วนของหลักเกณฑ์ใหม่ที่กำลังพิจารณาอยู่ในตอนนี้ ก็คือหากเงินได้จากต่างปะเทศ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี่ 2567 เป็นต้นไป ถูกนำกลับเข้าไทยภายใน 2 ปีภาษี นับจากปีที่เงินนั้นเกิดขึ้น มีโอกาสได้รับการยกเว้นภาษี แต่หากนำเกลับเข้ามาหลังจากนั้นต้องเสียภาษีตามปกติ ทั้งนี้ การเสียภาษีซ้ำซ้อน ทางกรมสรรพากรมีกลไก เครดิตภาษี ตามาตราฐานสากล กล่าวคือ หากเงินได้ต่างประเทศถูกหักภาษีในต่างประเทศไปแล้ว ผู้เสียภาษีสามารถนำภาษีที่เสียไปนั้นมาหักออกจากภาษีที่ต้องเสียในไทยได้ โดยจำนวนที่เครดิตได้ จะไม่เกินภาษีที่เสียไปในต่างประเทศ หรือไม่เกินภาษีที่ต้องเสียในประเทศไทย แต่จำนวนใดจะน้อยกว่า ซึ่งกำไลนี้อยู่ใต้อนุสัญญาภาษีซ้อนที่ไทยมีกับ 61 ประเทศทั่วโลก
3 แนวทางรีดรายได้เพิ่มจากกรมสรรพากร
นอกจากนี้กรมสรรพากร ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาการศึกษาเพื่อขยายฐานภาษีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกันที่กรมสรรพากรกำลังศึกษา
- การปรับปรุงเชิงนโยบาย จากกฎหมายที่มีอยู่แล้วซึ่งสามารถสั่งการได้ทันทีอยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาล ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มอัตราจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จากปัจจุบันที่มีนโยบายลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% จาก 10%
- การปรับปรุงเชิงบริหาร สำหรับภาษีบางรายการที่จัดเก็บได้ไม่มาก โดยสามารถออกกฎระเบียบเพิ่มเติมเพื่อให้การจัดเก็บรายได้มีประสิทธิภาพ เช่น การออกกฎกระทรวงเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้จากต่างประเทศ
- การปรับปรุงเชิงโครงสร้าง เช่นการศึกษาการยกร่างกฎหมายใหม่ ในการจัดเก็บภาษี เพื่อส่งเสริมในมิติรายได้รัฐ หรือ กรณีอื่นๆ เช่นภาษีที่เก็บจากคนที่เดินทางไปต่างประเทศ
เช็คด่วนใครได้เงิน 900 บาทจากประกันสังคมบ้าง?
ผู้ประกันตน มาตรา 33 และ มาตรา 39 รับเงินคืนจากประกันสังคม 900 บาท ในพื้นที่ 55 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วาตภัยและอุทกภัยนาน 6 เดือน
ประกาศจากสำนักงานประกันสังคม สปส. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้ประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วาตภัยและอุทกภัยนาน 6 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ไปจนถึงเดือน มีนาคม 2568 เฉพาะพื้นที่ 55 จังหวัด ด้วยการปรับลดเงินสมทบประกันสังคม ม.33 และ ม.39
- ผู้ประกันตน ม.33 และ นายจ้าง ปรับจาก 5% เหลือ 3%
- ผู้ประกันตน ม.39 จาก 432 บาทเหลือ 283 บาท
ล่าสุดประกันสังคมเริ่มทยอยโอนเงินส่วนต่างที่จ่ายเกินให้กับผู้ประกันตนตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไปเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานกาณ์ดังกล่าว ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ มาตรา 39 ที่จ่ายเงินสมทบเงิน จะได้จำนวนเงินที่ได้รับคืนสูงสุด 900 บาทต่อคน ขึ้นอยู่กับฐานเงินเดือน และ ยอดเงินที่จ่ายเกินจริงในช่วงเวลานั้น และ ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ต้องลงทะเบียนเพราะนายจ้างจะต้องเป็นผู้ยื่นเรื่องเท่านั้น โดยใครที่อยู่ในพื้นที่ 55 จังหวัด สามารถรอรับเงินคืนได้เลย
แนะนำวิธีการจัดการหนี้บัตรเครดิตแบบขั้นตอนใน 1 ปี
หนี้บัตรเครดิตอาจดูเหมือนกับดักที่ไม่มีทางออก โดยเฉพาะเมื่อยอดหนี้พอกพูนและดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกเดือน แต่ถ้าเริ่มต้นวางแผนให้ดี การปลดหนี้บัตรเครดิตภายใน 1 ปีเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง บทความนี้จะพาไปดูวิธีจัดการหนี้แบบ Step by Step พร้อมเทคนิคที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
ทำความเข้าใจปัญหา: หนี้บัตรเครดิตเกิดจากอะไร?
ก่อนจะวางแผนปลดหนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่าหนี้บัตรเครดิตมักเกิดจากการใช้จ่ายเกินตัว การจ่ายขั้นต่ำเป็นประจำ และดอกเบี้ยที่สูงมาก ซึ่งดอกเบี้ยบัตรเครดิตในไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 16–18% ต่อปี ทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหากไม่มีการจัดการ
ตัวอย่างปัญหาที่พบได้บ่อย
- ใช้จ่ายเกินกว่ารายได้ต่อเดือน
- จ่ายขั้นต่ำต่อเนื่องหลายเดือน
- เปิดบัตรหลายใบเพื่อหมุนเงิน
- ไม่จดบันทึกรายจ่าย
STEP 1: รวมยอดหนี้ทั้งหมดแล้ววางแผน
ขั้นแรกคือการลิสต์ยอดหนี้ของบัตรเครดิตแต่ละใบออกมา พร้อมข้อมูลดังนี้:
- ยอดหนี้รวม
- ดอกเบี้ยแต่ละใบ
- วันครบกำหนดชำระ
จากนั้นรวมยอดทั้งหมดออกมาเป็นตัวเลขเดียว เพื่อรู้ว่าจริง ๆ แล้วหนี้ทั้งหมดอยู่ที่เท่าไหร่ และจะวางแผนจ่ายได้อย่างไรใน 12 เดือน
STEP 2: หยุดใช้บัตรเครดิตทันที
การหยุด ใช้บัตรเครดิตเป็นขั้นตอนสำคัญ หากยังใช้ต่อไป หนี้จะไม่ลดลงเลย ทางที่ดีควร:
- หยุดรูดทันที
- เก็บบัตรไว้ในที่ปลอดภัย หรือยกเลิกการใช้บัตรที่ไม่จำเป็น
- ใช้เฉพาะเงินสดหรือบัตรเดบิตเท่านั้นในช่วงระยะเวลาชำระหนี้
STEP 3: จัดสรรรายได้รายเดือนสำหรับหนี้
แบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วนหลัก
- ค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ
- เงินออมฉุกเฉินเล็กน้อย
- เงินสำหรับจ่ายหนี้บัตรเครดิต (อย่างน้อย 40–50% ของรายได้)
หากรายได้ไม่พอ ควรเริ่มหารายได้เสริม เช่น รับจ้างพิเศษ ขายของออนไลน์ หรือรับงานฟรีแลนซ์
STEP 4: ใช้เทคนิคการจ่ายหนี้ Snowball
เริ่มจากยอดหนี้น้อยที่สุด
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแรงจูงใจ เพราะหนี้จะถูกเคลียร์ได้เร็ว
- จ่ายขั้นต่ำทุกใบ
- นำเงินที่เหลือไปโปะบัตรที่มีหนี้น้อยที่สุดก่อน
- เมื่อเคลียร์ใบแรกได้ ให้นำเงินไปโปะใบถัดไปต่อ
เริ่มจากบัตรที่ดอกเบี้ยสูงที่สุด
เหมาะสำหรับลดดอกเบี้ยรวมในระยะยาว
- จ่ายขั้นต่ำทุกใบ
- นำเงินที่เหลือไปจ่ายบัตรที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน
ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน สำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ และไม่ก่อหนี้ใหม่ระหว่างทาง
STEP 5: เจรจาปรับโครงสร้างหนี้
หากไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด หรือรายได้ลดลง สามารถติดต่อธนาคารเพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ เช่น
- เปลี่ยนเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลดอกเบี้ยต่ำ
- ขอผ่อนชำระระยะยาว
- ขอลดอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว
หลายธนาคารมีแคมเปญช่วยเหลือลูกหนี้โดยเฉพาะ แนะนำให้พูดคุยตรง ๆ อย่าปล่อยให้ค้างชำระจนเข้าสู่ขั้นตอนฟ้องร้อง
STEP 6: ติดตามผลทุกเดือน
ทำตารางหรือใช้แอปบันทึกเพื่อดูความคืบหน้าของการปลดหนี้เดือนต่อเดือน เช่น
- ยอดหนี้ที่ลดลง
- ยอดที่จ่ายไปแล้ว
- เป้าหมายที่เหลือ
สิ่งนี้จะช่วยให้เห็นภาพว่าความพยายามของคุณส่งผลจริง และช่วยสร้างกำลังใจในการเดินต่อ
ตัวอย่างแผนการปลดหนี้ภายใน 1 ปี
เดือน | ยอดที่จ่าย (บาท) | ยอดหนี้คงเหลือ (บาท) |
---|---|---|
มกราคม | 8,500 | 91,500 |
กุมภาพันธ์ | 8,500 | 83,000 |
มีนาคม | 9,000 | 74,000 |
… (จนถึงเดือนธันวาคม) | … | 0 |
การปลดหนี้บัตรเครดิตใน 1 ปีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ แต่หากรู้จักวางแผน แบ่งขั้นตอนให้ชัดเจน และมีวินัยทางการเงิน การจบหนี้ก้อนแรกของชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม หัวใจสำคัญคือความตั้งใจ ความสม่ำเสมอ และไม่ก่อหนี้ใหม่ซ้ำซ้อนอีก
กรมอุตุพยากรณ์อากาศวันนี้ ประกาศเตือนคนกรุงรับมือฝนตก
สภาพอากาศวันนี้ ทางกรมอุตุพยากรณ์อากาศวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 มีการแจ้งประกาศเตือนให้รับมือฝนตกหนัก ถึงหนักมากแจ้งว่าฝนตกหนักถึง 80% ของพื้นที่ สำหรับภาคเหนือ และ ภาคอีสาน จะมีฝนฟ้าคะนองครองคลุมทั้งภาค
พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพฯมหานคร และ ปริมณฑล ภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ขอให้ประชาชนในบริเวณประเทศไทย ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และ ฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน, น้ำป่าไหลหลาก และ ดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหล และ พื้นที่ลุ่ม ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และ เส้นทาง ที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะพื้นที่ต่ำ อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมขังระยะสั้นได้
สำหรับเกษตรกร แนะนำให้เตรียมตัวป้องกันด้วยการปรับปรุงระบบน้ำในแปลงเพาะปลูก เพื่อเป็นการลดผลกระทบ และ ความเสียหายที่อาจะเกิดขึ้นกับผลผลิตทางการเกษตร และ สัตว์เลี้ยง เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และ อ่าวไทยที่มีกำลังปานกลาง
ในส่วนของคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงปรมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตรขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทย และ ทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณฝนฟ้าคะนอง
พยากรณ์อากาศ ประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้
- กรุงเทพและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน, เชียงราย, เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, แพร่, น่าน, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, ตาก, กำแพงเพชร, พิษณุโลก, พิจิตร และ เพชรบูรณ์
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณจังหวัดเลย, หนองคาย, บึงกาฬ, มุกดาหาร, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, อำนาจเจริญ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี
- ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80% ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, สิงห์บุรี, ลพบุรี, อ่างทอง, สระบุรี, สุพรรณบุรี, พระนครศรีอยุธยา, กาญจนบุรี, ราชบุรี, นครปฐม, สมุทรสงคราม และ สุมทรสาคร
- ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก, สระแก้ว, ปราจีนบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี และ ตราด
- ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที ่และ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเพชรบุรี, ประจอบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, พัทลุง และ สงขลา
ความคืบหน้าล่าสุด แจกเงินดิจิทัล 10,000 เฟส 3
แจกความคืบหน้าล่าสุด แจกเงินดิจิทัล 10,000 เฟส 3 ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ทางรัฐบาลแถลงเลื่อนโครงการไปอย่างไม่มีกำหนดแต่ทาง DGA Thailand หรือ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล แนะนำอย่าเพิ่งรีบลบแอปฯ ทางรัฐ เพราะอาจจะพลาดสิทธิ
แจ้งความคืบหน้าเงินดิจทัล 10,000 เฟส 3 ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ความคืบหน้าล่าสุด ทางรัฐบาลแถลงเลื่อนโครงการไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ได้ออกมาแนะนำประชาชนว่าอย่าเพิ่งรีบลบแอป เนื่องจากอาจจะพลาดสิทธิสำคัญ การเปลี่ยนแปลงดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ทางนายกรัฐมนตรีได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ว่า เป้าหมายหลักของโครงการก็คือการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในรอบแรก และรอบสอง โดยได้เน้นในกลุ่มเปราะบาง และ กลุ่มผู้สูงอายุ
และเมื่อมีประเด็นเรื่องกำแพงภาษีจากสหัรฐเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้รัฐบาลจะต้องทำการทบทวนแผนการดำเนินงาน โดยได้รับข้อเสนอจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้พิจารณาใช้งบประมาณดังกล่าวในเรื่องที่จำเป็นและเร่งด่วนมากกว่า เช่นการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศได้ในเวลานี้ และเมื่อถูกถามว่า รัฐบาลหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “ยกเลิก” เพราะกลัวกระทบฐานเสียงหรือไม่ ทางด้านนายกออกมาแจ้งว่า รัฐบาลไม่ได้ยกเลิกโครงการ เพียงแค่ปรับตามสถานการณ์ เพื่อให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด หากในอนาคตเศรษฐกิจฟื้นตัว และผลของการใช้ดิจิทัลวอลเล็ต เห็นผลชัดเจน พร้อมกลับนำมาใช้อีกครั้ง เพราะว่าจุดประสงค์หลัก คือการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แจ้งเตือนอย่าเพิ่งลบแอปฯ ทางรัฐ เพราะอาจพลาดสิทธิ
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล แนะนำประชาชนอย่าเพิ่งลบแอปทางรัฐ แจ้งว่าเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐอย่างสะดวก และ ครบถ้วนโดยเฉพาะในยุคที่บริการภาครัฐกำลังเข้าสู่ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ
- ตรวจสอบสถานะความคืบหน้าในการแจ้งความ/แจ้งเหตุ/คดี
- เช็คสิทธิ-จ่ายบิลภาครัฐกว่า 192 บริการในที่เดียว
- แจ้งเตือนวันที่ใบอนุญาตต่างๆใกล้หมดอายุ เช่น ใบขับขี่, ภาษีรถยนต์ และ พาสปอร์ต
- รับสิทธินโยบายภาครัฐใหม่ๆที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ปรับขั้นค่าจ้างใหม่ 2568 ใครได้เงินค่าแรงสูงสุด 800 บาท
ลูกจ้างมีเฮ ปรับขึ้นค่าจ้างใหม่ 2568 ใครได้รับค่าแรงสูงสุด 800 บาท ต่อวัน เช็คได้เลย 13 กลุ่มอาชีพค่าจ้างพุ่งกี่บาท พร้อมกับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานใหม่ล่าสุด มีผลบังคับใช้วันไหน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ด้านล่าง
เปิดรายละเอียดกลุ่มผู้โชคดีวันนี้ มีการปรับขึ้นค่าจ้างใหม่ 2568 ใครได้เงินค่าแรงสูงสุด 800 บาทต่อวัน สามารถเช็คได้สำหรับ 13 กลุ่มอาชีพค่าจ้างพุ่ง เปิดเผยข้อมูลจากทางรองโฆษกประจำสำนักนกยารัฐมนตรี ได้มีการแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค้าจ้างเรื่องอัตราค้าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ฉบับ 14 ลงวันที่ 9 เมษายน 2568 มีผลบังคังใช้ 90 วัน ภายหลังวันที่ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา การปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้ ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับแรงงานหลายๆกลุ่ม ที่ต้องการค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับทักษะความสามารถ
เปิด 13 อาชีพค่าแรงพุ่ง ดูได้ด้านล่างใครได้สูงสุด 800 บาทต่อวัน
- พนักงานขับรถโดยสารสาธารณะ เพื่อการท่องเที่ยว (รถทัวร์) ระดับ 1: อัตราค่าจ้าง 600 บาทต่อวัน
- ช่างซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า ระดับ 2 อัตราค่าจ้าง 600 บาท ต่อวัน
- ผู้บังคังรถปั้นจั่นตีนตะขาบ ระดับ 1 อัตราค่าจ้าง 620 บาท ต่อวัน
- ผู้บังคับรถปั้นจั่นล้อยาง ระดับ 1 อัตราค้าจ้าง 620 บาท ต่อวัน
- ผู้บังคังปั้นจั่นติดรถบรรทุก ระดับ 1 อัตราค่าจ้าง 560 บาท ต่อวัน
- พนักงานขับรถบรรทุก ระดับ 1 อัตราค่าจ้าง 485 บาท ต่อวัน
- ช่างเทคนิคเครื่องปรับอากาศสำหรับห้องสะอาด ระดับ 1 อัตราค่าจ้าง 720 บาท ต่อวัน และ ระดับ 2 อัตราค่าจ้าง 800 บาทต่อวัน
- ช่างอิเล็กทริกส์ ระดับ 1 อัตราค่าจ้าง 500 บาท ต่อวัน
- ช่างไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรม การจัดงานประชุมการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล และ การแสดงสินค้าระดับ 2 อัตราค่าจ้าง 600 บาท ต่อวัน
- นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษีซี) ระดับ 1 อัตราค่าจ้าง 700 บาท ต่อวัน
- นักดูและ และ บริหารระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระดับ 2 อัตราค่าจ้าง 770 บาท ต่อวัน
- ช่างควบคุมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรม ระดับ 1 อัตราค่าจ้าง 605 บาท ต่อวัน
- ผู้ฝึกสอนมวยไทย ระดับ 1 อัตราค่าจ้าง 565 บาท ต่อวัน
การประกาศอัตราค่าจ้างใหม่นี้ ช่วยให้แรงงานสามาร
สรุปค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตและบัตรเครดิตทุกธนาคาร หลังปรับเงื่อนไขใหม่
ในปี 2568 หลายธนาคารในประเทศไทยได้มีการปรับปรุงค่าธรรมเนียมของบัตรเดบิตและบัตรเครดิต เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้ใช้งานยุคดิจิทัล และลดต้นทุนในการให้บริการ บทความนี้จะพาผู้อ่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมใหม่ล่าสุด พร้อมแนะนำวิธีเลือกใช้บัตรให้คุ้มค่ามากที่สุด
ความแตกต่างระหว่างค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตและบัตรเครดิต
ค่าธรรมเนียมบัตรเดบิต
บัตรเดบิตมีลักษณะการใช้งานที่เชื่อมโยงกับบัญชีเงินฝากโดยตรง ผู้ใช้จะสามารถใช้เงินได้เท่ากับยอดคงเหลือในบัญชี โดยค่าธรรมเนียมที่พบบ่อย ได้แก่:
- ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (บางธนาคารยกเว้น)
- ค่าธรรมเนียมรายปี: โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 200 – 350 บาทต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเบิกถอนข้ามธนาคาร: เฉลี่ย 10 – 20 บาทต่อครั้ง
- ค่าธรรมเนียมการออกบัตรใหม่: 100 – 150 บาท
ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต
บัตรเครดิตเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มาพร้อมวงเงินสินเชื่อ การใช้บัตรจึงมีต้นทุนในการให้บริการมากกว่าบัตรเดบิต โดยค่าธรรมเนียมหลัก ๆ ได้แก่:
- ค่าธรรมเนียมรายปี: ตั้งแต่ 300 บาทไปจนถึงหลายพันบาท ขึ้นอยู่กับประเภทบัตร
- ค่าธรรมเนียมชำระเงินล่าช้า: 100 – 350 บาท หรือคิดเป็น % ของยอดค้างชำระ
- ค่าธรรมเนียมเบิกเงินสด: 3% ของยอดเบิก + VAT
- ค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงินต่างประเทศ: 2 – 3.5% ของยอดใช้จ่าย
เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตและเครดิตของธนาคารชั้นนำ
ธนาคาร | ค่ารายปีบัตรเดบิต | ค่ารายปีบัตรเครดิต | ค่าธรรมเนียมเบิกเงินสด | ค่าธรรมเนียมต่างประเทศ |
กสิกรไทย | 350 บาท | ฟรีปีแรก, ปีถัดไป 300-1,200 บาท | 3% + VAT | 2.50% |
ไทยพาณิชย์ | 300 บาท | เริ่มต้น 500 บาท | 3% + VAT | 2.50% |
กรุงไทย | 250 บาท | เริ่มต้น 500 บาท | 3% + VAT | 2.75% |
กรุงเทพ | 200 บาท | ฟรีปีแรก, ปีถัดไป 500 บาท | 3% + VAT | 2.75% |
TTB | 250 บาท | 1,000 บาท | 3% + VAT | 2% |
แนวโน้มและเหตุผลในการปรับค่าธรรมเนียม
การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมผู้บริโภค
ธนาคารพบว่าผู้ใช้งานเริ่มหันไปใช้ Mobile Banking มากขึ้น การทำรายการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มีต้นทุนต่ำกว่าการใช้ตู้ ATM หรือสาขาโดยตรง ทำให้ธนาคารต้องปรับค่าธรรมเนียมเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนใหม่
การส่งเสริมให้ใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัล
ธนาคารหลายแห่งลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับบัตรเครดิตดิจิทัล หรือบัตรที่สมัครผ่านแอปฯ เพื่อกระตุ้นการใช้งานออนไลน์ เช่น บัตร SCB BEYOND หรือ UOB EVOL มีโปรโมชั่นยกเว้นค่ารายปีถ้าผู้ถือบัตรใช้จ่ายครบตามที่กำหนด
ข้อควรพิจารณาในการเลือกบัตรให้คุ้มค่า
- ตรวจสอบค่าธรรมเนียมแฝง เช่น ค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงิน ค่าธรรมเนียม SMS แจ้งเตือน
- เลือกบัตรที่เหมาะกับพฤติกรรม เช่น ถ้าใช้จ่ายต่างประเทศบ่อย ควรเลือกบัตรที่มีค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงินต่ำ
- พิจารณาสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น คะแนนสะสม, Cash Back หรือ ประกันการเดินทาง
- สำรวจโปรโมชั่นจากธนาคาร เช่น ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีเมื่อใช้จ่ายครบตามเกณฑ์
ค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตและเครดิตในปี 2568 ได้รับการปรับใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้ใช้บริการยุคดิจิทัลมากขึ้น โดยมีแนวโน้มลดค่าธรรมเนียมบัตรดิจิทัลและเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่จับต้องได้ หากเลือกใช้งานอย่างเหมาะสม ผู้บริโภคจะสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 ใครได้ไปต่อรับเงิน 1,545 บาท
ข้อมูลล่าสุดวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าของการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปี 2568 ในส่วนของกลุ่มเปราะบาง ผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งจากเดิมคาดว่าเปิดให้ลงทะเบียนภายในเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
ทางด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวว่าตอนนี้ยังไม่สามารถกำหนดวันลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปี 2568 ได้เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจาณาหลักเกณฑ์การใช้ชีวิต และการวัดความยากจน
ปัจจุบันกำหนดเกณฑ์รายได้ทั้งปีไม่เกิน 100,000 บาทหรือไม่เกินวันละ 274 บาท โดยกระทรวงการคลังกำลังพิจาณาว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ตรงนี้หรือไม่ เพื่อให้การช่วยเหลือมีความเหมาะวสมและตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 ใครได้ไปต่อบ้าง?
- กลุ่มเดิม คือผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจนปัจจุบันจำนวน 14.5 ล้านคน ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ กระทรวงการคลังจะนำรายชื่อไปคัดกรองอัตโนมัติ
- กลุ่มใหม่ คือคนที่ไม่เคยได้รับสิทธิมาก่อน คาดว่าจะมีจำนวน 10 ล้านคน โดยมาจากประชาชนที่อายุเพิ่งครบ 18 ปี โดยคาดว่าจะมีการเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิมาก่อน และ เข้าเกณฑ์คุณสมบัติ รวมถึงกลุ่มตกหล่นที่ลงทะเบียนในปี 2565 แล้วยังไม่ได้ทำการยืนยันตัวตน
เปิดคุณสมบัติ ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่
- ลงทะเบียนรายบุคคล และตรวจสอบคุณสมบัติเป็นรายบุคคลและครอบครัว
- ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
- อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
- มีรายได้คนละไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
- ภายในครอบครัว มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคนต่อปี
- ทรัพย์สินทางการเงิน ได้แก่เงินฝาก พันธบัตร ตราสารหนี้ต่างๆ ต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน
- คนในครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี
- ต้องไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือ ที่ดิน เกินจากเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด
- ไม่มีบัตรเครดิต
- ไม่มีวงเงินกู้บ้านที่มีราคาตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป
- วงเงินกู้ซื้อรถตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป
- ต้องไม่เป็นพระภิกษุ สามเณร ผู้ต้องขัง หรือ บุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ ข้าราชการ พนักงานราชการ ผู้รับบำเหน็จรายเดือน ผู้รับบำนาญ ข้าราชการการเมือง รวมถึง สส. และ สว.
รับเงินช่วยเหลือ 1,545 บาท แบ่งเป็นค่าอะไรบ้าง?
- วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 300 บาทต่อคนต่อเดือน
- วงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ 750 บาทต่อคนต่อเดือน
- วงเงินส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน
- มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา 100 บาท ต่อครัวเรือนต่อเดือน
- มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า 315 บาท ต่อครัวเรือน ต่อเดือน
- รวมเป็นเงินช่วยเหลือทั้งสิ้น 1,545 บาท
ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ 2568 ผ่านช่องทางไหน?
สำหรับการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 รอบใหม่นั้นทางรัฐบาลแจ้งว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ในส่วนของขั้นตอนการลงทะเบียนผ่านแอปนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน
นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ดำเนินการตรวจสอบบททวนหลักเกณฑ์ทั้งเก่าและใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมกับการดำเนินงาน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คนจนไม่จริงเข้ามาสวมสิทะิ ซึ่งในด้านเกณฑ์รายได้ครัวเรือนยังมีอยู่เหมือนเดิม
ออกตรงกำหนด รัฐจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2568
ข้าราชการเงินเข้าทุกคนแล้ว ทางรัฐบาลแจ้งว่าเงินเดือนข้าราชการ 2568 ออกตรงกำหนดรอบแรกเดือนพฤษภาคม 2568 ใครได้เงินบ้างตรวจสอบได้ มีเงินเพิ่ม ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 2568
อัพเดทความเครื่องไหวรอบจ่ายเงินเดือนล่าสุด ข้าราชการเงินเข้าทุกคนแล้ว รัฐบาลจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2568 และ ค่าจ้างลูกจ้างประจำ ออกตรงกำหนดรอบเดือนพฤษภาคม 2568 เช็คเลยใครได้เงินแล้วบ้าง
เงินเพิ่ม สำหรับคนบรรจุใหม่ ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 2568 ทุกวุฒิการศึกษา ปวช. – ปวส.ม ปริญญาตรี – ปริญญาโท – ปริญญาเอก
อัพเดทเงินเดือนข้าราชการ เดือนพฤษภาคม 2568 ค่าจ้างลูกจ้างประจำ มีการจ่ายเงินเดือน 2 รอบ โดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังได้มีกำหนดให้ข้าราชการ และ ลูกจ้างประจำได้รับเงินเดือน 2 รอบต่อเดือน เริ่มมาตั้งแต่เดือน มกราคม 2567
ข้าราชการแจ้งแสดงความประสงค์รับเงินเดือน 2 รอบทุกเดือน
- ข้าราชการ และ ลูกจ้างประจำที่ต้องการเปลี่ยนรูปแบบการรับเงินเดือน สามารถยื่นเอกสารแสดงความประสงค์ได้ปีละ 1 ครั้ง
- โดยสามารถยื่นแบบแสดงความประสงค์ต่อส่วนราชการ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 15 ธันวาคม ของทุกปี
- จะมีผลสำหรับการรับเงินเดือนหรือค่าจ้างตั้งแต่เดือนมกราคมของปีถัดไป
เงื่อนไขการแบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2568 เป็นอย่างไร?
- ข้าราชการสามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินเดือนแบบแบ่งจ่าย 2 รอบต่อเดือนหรือไม่ โดยเป็นไปตามความสมัครใจ
การเลือกรับเงินเดือนข้าราชการ 2568
- ข้าราชการ และ ลูกจ้างประจำที่ไม่แสดงความประสงค์ที่จะรับเงินเดือน 2 รอบจะได้รับเงินเดือนในรอบที่ 2 ของเดือนนั้นๆ
- ตั้งแต่การรับเงินเดือน 2 รอบเป็นทางเลือกสำหรับข้าราชการเท่านั้น หากไม่เลือกก็ยังคงได้รับเงินเดือนตามปกติเพียงแต่ได้รับในรอบที่ 2
เปิดกำหนดวันจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2568 ออกวันไหน ค่าจ้างลูกจ้างประจำเดือนพฤษภาคม 2568
- กำหนดจ่ายรอบแรก รัฐจ่ายวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ตรงกับวันหวยออก
- กำหนดจ่ายรอบ 2 รัฐจ่ายวันที่ 27 พฤษภาคม 2568
ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 2568 ล่าสุดใครได้บ้าง?
พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา โดย พ.ร.บ. งบประมาณปี 2568 มีกำหนดรายละเอียดเอาไว้อย่างชัดเจน วงเงินที่จะนำมาใช้ในการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ กลุ่มแรก บรรจุที่มีวุฒิการศึกษาในระดับ ปริญญาตรี ภายใต้วงเงินงบประมาณจ่ายงบกลาง ซึ่งตั้งเอาไว้ 842,001 ล้านบาท
ข้าราชการบรรจุใหม่ เงินเดือนขึ้นกี่บาท พร้อมอัพเดตทุกวุฒิการศึกษา อัตราเงินเดือนข้าราชการ 2568
วุฒิการศึกษา ปวช. เงินขึ้นกี่บาท
- ปีงบประมาณ 2567 อัตรา 10,340 – 11,380 บาท
- ปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเป็น 11,380 – 12,520 บาท
วุฒิการศึกษา ปวส. เงินขึ้นกี่บาท
- ปีงบประมาณ 2567 อัตรา 12,650 – 13,920 บาท
- ปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเป็น 1,3920 – 15,320 บาท
วุฒิการศึกษาปริญญาดท เงินขึ้นกี่บาท
- ปีงบประมาณ 2567 อัตรา 19,250- 21,180 บาท
- ปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเป็น 21,180 – 23,300 บาท
วุฒิการศึกษา ปริญญาเอก เงินขึ้นกี่บาท
- ปีงบประมาณ 2567 อัตรา 23,100 – 25,410 บาท
- ปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเป็น 25,410 – 27,960 บาท