กกร. กังวลส่งออกแข่งรุนแรง เงินบาทแข็งค่า
เศรษฐกิจโลกกับความกังวลการส่งออก แข่งรุนแรง
จากการประเมินจากหลายๆฝ่าย ว่าตอนนี้เศรษฐกิจโลก มีทิศทางที่ดูดีขึ้น หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศข้อตกลงด้านภาษีกับหลายๆประเทศ หลายประเทศมีอัตราภาษีศุลกากร ส่วนลดที่ลดลงกว่าที่สหรัฐอเมริกาประกาศ เมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย และ อาเซียน สำหรับการประมาณการณ์ของเศรษฐกิตโลกในปี 2025 นั้น IMF คาดการณ์เอาไว้ว่า จะมีการปรับเพิ่มเติมโต 3% จากเดิมอยู่ที่ 2.8% ต่ำกว่าการคาดการณ์เอาไว้เฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการชะลอตัวของผลกำแพงภาษีที่มันสูงขึ้น
ข้อมูลจากทางด้านกรรมการสมาคมธนาคารไทย แจ้งว่าเอกชนมีความวังวลประเด็ดภาษีสินค้า Transshipment และการกำหนดสัดส่วน Local Content ของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ การใช้เกณฑ์องค์การการค้าโลก หรือ WTO ที่อยู่ที่ 40% แต่ปัจจุบันสหรัฐอเมริกา จะใช้เกณฑ์ของตัวเองซึ่งยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน แต่อาจจะส่งผลให้กับบางสินค้าของไทยถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศเพื่อบ้าน ที่มีสัดส่วน Local Content ต่ำ ประเทศไทยยังต้องเร่งมือปรับตัวรับมือระยะสั้น และ ระยะยาว โดยระยะสั้นการแข่งขันด้านราคาจะเพิ่มขึ้นทั้งสินค้าที่ไทยส่งออก และสินค้าที่ขายในประเทศไทย ที่จะแข่งขันกับสินค้าที่ไทยเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบกลุ่มที่มี Margin ต่ำ
จากการคาดการณ์เศรษฐกิจไทย ในปี 2025 มีแนวโน้มที่จะขยายตัว 1.8-2.2% ปรับขึ้นจากการประมาณการเดิมอยู่ที่ 1.5-2.0% ในส่วนของการส่งออก มีแนวโน้มขยายตัวอยู่ที่ 2-3% สูงกว่าการประมาณการเดิม โดยความสำเร็จจากการเจรจาการค้าส่งผลให้ไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่ 19% แทน 36% ซึ่งยังต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่ต้องเจรจาต่อไป
สินค้าที่ได้กำไรน้อยกระทบมากที่สุด
จากตัวเลขเดิมไทยเคยเสียภาษีสหรัฐเพียง 2% ซึ่งตัวเลขใหม่นี้ขยับขึ้นมาเป็น 19% หากเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค ยังคงสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐได้ในระยะสั้น ต่างจากภูมิภาคอื่นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นฐานการผลิตหลัก อย่างจีนที่โดนภาษีในอัตราที่สูงกว่า สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลับที่มีอัตรากำไร หรือ Margin ต่ำกว่า 10% ส่วนใหญ่จะขายในปริมาณมากแต่มีราคาถูก ทำให้ไม่สามารถผลักภาระภาษี 19% ให้กับผู้บริโภคโดยตรง เพราะสหรัฐเป็นตลาดปิด และ ผู้บริโภคมีทางเลือกอื่น กลุ่มนี้เลยต้องเจรจานำเข้าเพื่อแบ่งเบาภาระร่วมกันเช่น ไทยที่เป็นผู้ส่งออกรับผิดชอบ 10% และ ผู้นำเข้ารับผิดชอบ 9% เป็นต้น
3 แนวทางการปรับตัวของไทย
สถานการณ์ภาษีออกมาแบบนี้ถือว่าเป็นสัญญาญเตือนว่าโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าหากประเทศไทยยังไม่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ก็อาจจะตามหลังประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ สิ่งที่ต้องทำจะมีอยู่ 3 แนวทางหลักๆ
- เจรจาและบริหารจัดการ ยังต้องมีการเจรจากับสหรัฐเกี่ยวกับสัดส่วน Local Content ที่ต้องมีสัดส่วนในการผลิตในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 40-60% เพื่อเป็นการป้องกันการสวมสิทธิ์จากประเทศอื่น
- ปฎิรูปประเทศ รีบปฎิรูประบบการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ปรับปรุงระบบการศึกษาให้สาารถผลิตบุคลากรได้ตรงตามความต้องการของตลาด และพัฒนาระบบราชการให้เร็ว ทันสมัย และ โปร่งใส ระบบดิจิทัล จะช่วยลดต้นทุน และ แก้ไขปัญหาที่ไม่ใช่ภาษี หรือ Non Tariff Barriers ที่สหรัฐเคยมองว่าไทยมีกฎหมายซับซ้อน และ ใช้เวลาในการอนุมัตินาน
- เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ ภาครัฐเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่นด้านดิจิทัล และ การจัดการน้ำ ระบบขนส่งทางบกและทางน้ำ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน กระจายความเจริญในประเทศ และส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองเพื่อกระจายรายได้และลดความแออัดในเมืองหลัก