UOB PRIVI Miles 2025 vs. UOB KrisFlyer 2025 บัตรไหนตอบโจทย์สายเที่ยว
ในปี 2025 นี้ สายเดินทางจำนวนไม่น้อยกำลังพิจารณาบัตรเครดิตที่สามารถสะสมไมล์ได้อย่างคุ้มค่า ซึ่ง UOB ได้ออกแบบบัตรเครดิตทั้งสองใบที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้คือ UOB PRIVI Miles และ UOB KrisFlyer แต่ละใบมีจุดเด่นและข้อแตกต่างที่น่าสนใจ สำหรับใครที่ยังลังเล บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบเพื่อให้คุณเลือกบัตรที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์มากที่สุด
เปรียบเทียบคุณสมบัติพื้นฐานของบัตร
UOB PRIVI Miles 2025
- สะสมคะแนนทุก 15 บาท = 1 UOB Reward Point
- โอนคะแนนไปยังไมล์สายการบินได้หลากหลาย เช่น KrisFlyer, Asia Miles, Royal Orchid Plus
- ค่าธรรมเนียมรายปี: 4,000 บาท (ยกเว้นเมื่อมียอดใช้จ่ายตามเกณฑ์)
- ไม่มีพันธมิตรสายการบินตายตัว ใช้ได้หลากหลาย
UOB KrisFlyer 2025
- ทุกยอดใช้จ่าย SGD 1 (หรือเทียบเท่า) ได้ 1.2 KrisFlyer Miles (ยอดใช้จ่ายต่างประเทศได้ 2 ไมล์)
- สิทธิพิเศษจาก Singapore Airlines เช่น Priority Check-in, Bonus Miles
- ค่าธรรมเนียมรายปี: ประมาณ 3,000 – 4,000 บาท (แล้วแต่ประเภทบัตร)
- คะแนนจะเข้า KrisFlyer อัตโนมัติ ไม่ต้องโอนเอง
ข้อดีและข้อควรพิจารณา
UOB PRIVI Miles เหมาะกับใคร?
บัตรใบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ความยืดหยุ่นในการแลกไมล์ เพราะสามารถโอนคะแนนไปยังหลายสายการบิน ทำให้เลือกใช้ไมล์ได้ตามเส้นทางบินที่สะดวกที่สุด นอกจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์ด้านท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น บริการห้องรับรองสนามบิน ประกันการเดินทาง และบริการผู้ช่วยส่วนตัว (Concierge)
สมัครบัตรเครดิต UOB อัพเดทล่าสุดที่นี่
UOB KrisFlyer เหมาะกับใคร?
ถ้าคุณเป็นผู้โดยสารประจำของ Singapore Airlines หรือ Scoot บัตรนี้ให้สิทธิพิเศษเฉพาะที่เหนือกว่าชัดเจน เช่น การเพิ่มไมล์พิเศษ (Bonus Miles) เมื่อจองผ่าน SingaporeAir.com และอัปเกรดสถานะ PPS Club หรือ KrisFlyer Elite ได้เร็วขึ้น
การสะสมไมล์และการแลกไมล์
UOB PRIVI Miles
คะแนนที่ได้จะเป็น UOB Reward Point ซึ่งสามารถโอนไปยังไมล์ของสายการบินพาร์ทเนอร์ได้ตามเรต เช่น 1,000 คะแนน = 1,000 ไมล์ โดยอาจมีค่าธรรมเนียมในการโอน 800 – 1,000 บาท ต่อครั้ง แต่เหมาะกับผู้ที่วางแผนเดินทางหลากหลายเส้นทาง
UOB KrisFlyer
คะแนนจะถูกส่งเข้า KrisFlyer Account โดยอัตโนมัติทุกเดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมการโอน แต่ไม่สามารถแลกกับสายการบินอื่นได้นอกจาก Singapore Airlines และพันธมิตร Star Alliance เท่านั้น
ตารางเปรียบเทียบโดยสรุป
คุณสมบัติ | UOB PRIVI Miles | UOB KrisFlyer |
---|---|---|
สะสมไมล์ | 15 บาท = 1 คะแนน | SGD 1 = 1.2 ไมล์ (ต่างประเทศ = 2 ไมล์) |
สายการบินที่ใช้ได้ | หลายสายการบิน (โอนได้) | Singapore Airlines + Star Alliance |
ค่าธรรมเนียมรายปี | 4,000 บาท (ฟรีตามยอดใช้จ่าย) | ประมาณ 3,000 – 4,000 บาท |
ความสะดวก | ต้องโอนเอง | เข้าระบบอัตโนมัติ |
สิทธิพิเศษอื่น | ห้องรับรองสนามบิน, ประกันเดินทาง | Priority Check-in, Bonus Miles |
เลือกบัตรไหนถึงจะคุ้มค่าที่สุด?
ถ้าคุณต้องการ ความยืดหยุ่น และเดินทางกับหลายสายการบินตลอดปี UOB PRIVI Miles จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าคุณมี Loyalty กับ Singapore Airlines อยู่แล้ว หรือเดินทางไปสิงคโปร์และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นประจำ UOB KrisFlyer จะให้สิทธิพิเศษแบบครบเครื่องและใช้งานได้ง่ายกว่าชัดเจน
โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง เปิดวิธีลงทะเบียนแล้ววันนี้
โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศไทยของเรา ที่ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก กับโครงการที่ใช้ชื่อว่า เที่ยวไทยคนละครึ่ง วันนี้มีการเปิดรายละเอียดวิธีการลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง สำหรับผู้ประกอบการ และ ประชาชน สามารถเข้าสู่ระบบผ่านการโหลดแอปพลิเคชั่น Amazing Thailand ททท. จำกัด 5 แสนสิทธิ กดรับสิทธิได้ทันที โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งสามารถเริ่มเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2568
สำหรับรายละเอียด เช่น รายชื่อท่องเที่ยว เมืองหลัก เมืองรอง ได้รับเงินช่วยเหลือกี่บาท ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินเที่ยวแบบครบจบที่เดียวสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งได้ด้านล่าง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ได้เปิดให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ผ่านทางเว็บไซต์ เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com โดยประเภทผู้ประกอบการที่เปิดรับตามรายละเอียดด้านล่าง
- ร้านอาหาร
- ร้านขายของที่ระลึก
- ร้านค้า OTOP
- แหล่งท่องเที่ยว หรือ กิจกรรมท่องเทื่ยว
- นวดเพื่อสุขภาพ
- รถเช่า / เรือเช่า
- โรงแรม และ ที่พัก
เอกสารที่ต้องใช้สำหรับผู้ประกอบการ
- ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ. 20
- ใบอนุญาตประกอบการของกระทรวงมหาดไทย
- Rate Plan หรือ แผนราคาที่พัก
- เอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนในการลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่งผ่านเว็บไซต์
- เข้าสู่ระบบหน้าเว็บไซต์หลัก เที่ยวไทยคนละครึ่ง
- เลือกประเภทผู้ใช้งานเพื่อดำเนินการต่อ
- สำหรับการเข้าใช้งานครั้งรแกเลือก ยังไม่มีบัญชีกด สมัครสมาชิก
- กรอกข้อมูลสมัครสมาชิก อ่านและกดยอดรับ ข้อกำหนด และเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัวและกด สร้างบัญชี
- กรอกรหัส OTP เพื่อยืนยันเบอร์โทรศัพท์แล้วกด ดำเนินการต่อ
- กรอกข้อมูลผู้ประกอบการแล้วกด ถัดไป
- กรอกข้อมูลกิจการแล้วกด ถัดไป
- อ่านและกดยอมรับว่าได้ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดแล้วกดยืนยันและส่งข้อมูล
- ระบบรับข้อมูลการลงทะเบียนของท่านเรียบร้อยแล้ว
ขั้นตอนการตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 สำหรับผู้ประกอบการ
- เข้าเว็บไซต์ เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com แล้วกดผู้ประกอบการ
- กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ แล้วกดเข้าสู่ระบบ
- หลังจากลงทะเบียนสำเร็จระบบจะแสดงสถานะ กำลังตรวจสอบคุณสมบัติ โดยไม่ต้องดำเนินการใดๆ กรุณารอผลการพิจาณา
ช่องทางการโหลดแอป Amazing Thailand
- ผู้ใช้มือถือระบบ iOS: Amazing Thailand
- ผู้ใช้มือถือระบบ Android: Amazing Thailand
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย vs. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้/เงินฝาก
ในโลกของการเงิน อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่เพียงตัวเลขที่กำหนดโดยธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจประเทศผ่านการตัดสินใจของธนาคารกลาง โดยเฉพาะ “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ที่หลายคนอาจได้ยินผ่านข่าวเศรษฐกิจอยู่บ่อยครั้ง บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รวมถึงวิเคราะห์ความสัมพันธ์และกลไกที่เชื่อมโยงกันระหว่างอัตราทั้งสาม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายคืออะไร?
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Interest Rate) เป็นเครื่องมือหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการกำหนดทิศทางของนโยบายการเงิน เป็นอัตราที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใช้เป็นเป้าหมายในการควบคุมภาวะเศรษฐกิจผ่านการควบคุมต้นทุนการกู้ยืมระหว่างธนาคาร
บทบาทของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระบบเศรษฐกิจ
- ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
- กระตุ้นหรือลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ
- รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท
เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ธปท. อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืม ส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ขณะที่ในสถานการณ์เงินเฟ้อพุ่งสูง ธปท. อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดึงสภาพคล่องออกจากระบบ
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้คืออะไร?
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Loan Interest Rate) คืออัตราที่ธนาคารเรียกเก็บจากผู้กู้เงิน ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือธุรกิจ โดยอัตรานี้จะสะท้อนถึงต้นทุนของธนาคารที่รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ต้นทุนการดำเนินงาน และความเสี่ยงของผู้กู้
ความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
โดยทั่วไป เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวขึ้น ธนาคารพาณิชย์มักจะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นตาม เพราะต้นทุนของธนาคารก็สูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้การกู้เงินในระบบแพงขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง
ในทางตรงกันข้าม หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง ธนาคารอาจทยอยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตาม ทำให้ผู้ประกอบการหรือบุคคลทั่วไปสามารถขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างประเภทของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
- MLR (Minimum Loan Rate): สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี
- MOR (Minimum Overdraft Rate): สำหรับสินเชื่อเบิกเกินบัญชี
- MRR (Minimum Retail Rate): สำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากคืออะไร?
อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit Interest Rate) คือผลตอบแทนที่ธนาคารจ่ายให้แก่ผู้ฝากเงิน เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ธนาคารใช้ในการบริหารสภาพคล่อง โดยอัตรานี้จะเปลี่ยนแปลงตามต้นทุนของธนาคารและการแข่งขันในตลาด
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตามนโยบาย
เมื่อธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารก็จะมีแรงจูงใจในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อรักษาฐานเงินฝากเดิมและดึงดูดเงินฝากใหม่ แต่ในหลายกรณี ธนาคารอาจไม่ปรับขึ้นในทันที เพราะอาจต้องพิจารณาความคุ้มค่าด้านผลตอบแทนและต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย
กลไกการเชื่อมโยง: ดอกเบี้ยนโยบายส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร?
กลไกของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้จบแค่การตัดสินใจของ กนง. แต่จะถูกส่งผ่านไปยังตลาดการเงิน ผ่านอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร ก่อนจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในด้านเงินกู้และเงินฝาก ซึ่งในที่สุดจะส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค การลงทุนของภาคเอกชน และการบริโภคของครัวเรือน
ผลกระทบโดยรวมของการปรับดอกเบี้ย
- การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย = การกู้ยืมแพงขึ้น → ลดการใช้จ่าย → ควบคุมเงินเฟ้อ
- การลดดอกเบี้ยนโยบาย = การกู้ยืมถูกลง → กระตุ้นเศรษฐกิจ
ข้อสังเกต: อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
แม้ว่าจะมีความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่สิ่งเดียวที่กำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดเสมอไป ปัจจัยอื่น เช่น สภาพคล่องในตลาด การแข่งขันระหว่างธนาคาร ความเสี่ยงด้านเครดิต และนโยบายภาครัฐ ก็ล้วนมีบทบาทในการกำหนดระดับดอกเบี้ยเช่นกัน
เข้าใจเพื่อวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
การเข้าใจกลไกของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน เพราะช่วยให้สามารถวางแผนการใช้เงิน การกู้ยืม และการออมได้อย่างเหมาะสมในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
ประกาศสภาพอากาศวันนี้จนถึงเย็นวันพรุ่งนี้ ฝนตก 70%
ตามประกาศจากกรมอุตุฯ ประเทศไทยที่ได้แจ้งก่อนหน้านี้ว่าประเทศไทยจะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ล่าสุดได้ออกมาแจ้งเกี่ยวกับพื้นที่เสี่ยงภัยฝนฟ้าคะนองสูงสุดในวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568 กรมอุตุฯ ได้ออกมาเตือนล่าสุดอีกว่าให้ระวังน้ำท่วมฉับพลัน, น้ำป่าไหลหลาก, ดินถล่ม ซึ่งฝนจะตกหนักถึง 70% ของพื้นที่ ประกาศรายชื่อล่าสุด 49 จังหวัดโดนพายุฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ โดนเต็มๆ
กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกมาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงช้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้ มีฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และ ดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ในส่วนของภาคเหนือ มีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และ ประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉี่ยงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน, ประเทศไทย และ อ่าวไทยที่มีกำลังปานกลาง
สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย มีกำลังปานกลางโดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทย ตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 2 เมตร
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยเวลา 06.00 น. ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้
- สภาพอากาศภาคเหนือ มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- สภาพอากาศภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- สภาพอากาศภาคกลางมีฝนตกร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
- สภาพอากาศภาคตะวันออก มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
- สภาพอากาศภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ ส่วนมากที่จังหวัดระนอง พังงา ตรัง และ สตูล
- สภาพอากาศกรุงเทพและปริมณฑล มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่
สิทธิประกันสังคมล่าสุด เงินบำนาญชราภาพ 7,500 โอนแล้ว
ประกันสังคมแจงสิทธิประกันสังคมล่าสุด sso.go.th ส่งเงินสมทบกี่เดือนถึงจะได้รับสิทธิบำเหน็จ-บำนาญ สำหรับผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนแล้ว เงินบำนาญชราภาพ 3,000 – 7,500 บาท โอนล่าสุดของเดือนมิถุนายน 2568 โอนเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้ประกันตน เกษียณอายุ 55 ปีได้รับเงินสูงสุดตลอดชีวิต สำหรับข้อมูลที่ไม่ควรพลาดเกี่ยวกับเงื่อนไขการรับเงินบำนาญชราภาพ รวมไปถึงสูตรคำนวณเงินบำนาญที่จะได้รับสูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน
เงินเข้าวันไหน สำหรับเงินบำนาญชราภาพ มิถุนายน 2568
ผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพ สำนักงานประกันสังคม จะทำการโอนเงินเข้าบัญชีผู้รับเงินภายในวันที่ 25 ของทุกเดือน ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2568 นั้นได้ทำการโอนเงินเข้าบัญชีผู้ที่ได้รับสิทธิไปแล้วในวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ในส่วนของรายละเอียดหากวันที่ 25 ของเดือนนั้นๆ ตรงกับวันหยุดราชการ เสาร์-อาทิตย์ หรือ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ทาง สปส. จะเลื่อนการจ่ายเงินเป็นวันทำการก่อนวันหยุดแทน เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับเงินอย่างต่อเนื่อง สำหรับการยื่นสิทธิประกันสังคมเมื่อไหร่ นั้นสำหรับผู้ที่กำลังจะยื่นขอสิทธิเงินบำนาญชราภาพ หากจะยื่นขอรับสิทธิจะแนะนำให้ทำภายในวันที่ 7 ของเดือนจะได้รับสิทธิในงวดเดือนนั้นทันที หากยื่นหลังวันที่ 7 ของเดือน จะได้รับสิทธิในเดือนถัดไป รวมงวดเดือนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามหากเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ หรือที่เรียกว่าเงินก้อน จะได้รับภายใน 7-10 วันทำการ หลังจากได้รับการอนุมัติส่วนเงินบำนาญชราภาพ หลังจากได้รับการอนุมัติแล้วเงินจะโอนเข้าบัญชีภายในวันที่ 25 ของเดือนถัดไป
คุณสมบัติผู้ที่มีสิทธิรับเงินบำนาญชราภาพ 2568
- ต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
- สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 พนักงานบริษัท หรือมาตรา 39 ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ ต้องสิ้นสุดลง
การได้รับเงินบำเหน็จเงินก้อนหรือเงินบำนาญ รายเดือนตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการส่งเงินสมทบ
- ส่งเงินสมทบน้อยกว่า 180 เดือน หรือ 15 ปี จะได้รับเงินบำเหน็จ เป็นเงินก้อนครั้งเดียว
- ส่งเงินสมทบทั้งแต่ 180 เดือนขึ้นไป จะได้รับเงินบำนาญ เป็นรายเดือนตลอดชีวิต
สูตรคำนวญเงินบำนาญชราภาพ 2568 จ่ายสูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน
ประกันสังคมได้กำหนดสูตรการคำนวญเงินบำนาญชราภาพ โดยเงินบำนาญจะคำนวณจากร้อยละของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ก่อนเกษียณ ซึ่งอัตราเงินบำนาญจะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาการส่งเงินสมทบตามรายละเอียดด้านล่าง
- ส่งเงินสมทบ 15-20 ปีจะได้รับประมาณ 3,000 – 4,125 บาทต่อเดือน
- ส่งเงินสมทบ 21-25 ปีจะได้รับประมาณ 4,350 – 5,250 บาทต่อเดอน
- ส่งเงินสมทบ 26-30 ปีจะได้รับประมาณ 5,475 – 6,375 บาทต่อเดือน
- ส่งเงินสมทบ 31-35 ปีจะได้รับประมาณ 6,600 – 7,500 บาทต่อเดือน
สำหรับใครที่มีคำถามหรือสงสัยเกี่ยวกับรายละเอียด เงินบำนาญชราภาพ สามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1506 สายด่วน 24 ชั่วโมง
สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตน ใช้สิทธิรักษา ยุติการตั้งครรภ์ ไม่ผิดกฎหมาย
สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตน สามารถใช้สิทธิรักษา ยุติการตั้งครรภ์ ไม่ผิดกฎหมาย ที่สถานพยาบาลตามสิทธิ สำหรับสถานพยาบาลกับกรมอนามัย ทำแท้งได้ถูกกฎหมาย เปิดเผยข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม ได้รับทราบข้อมูล ว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ สำหรับการดูแลการให้บริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยในส่วนของงบประมาณส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคและงบประมาณบริการผู้ป่วยใน ซึ่งเป็นการจ่ายให้คนไทยทุกสิทธิการรักษา
ผู้ประกันตนที่มีสัญชาติไทย สามารถใช้สิทธิบริการยุติการตั้งครรภ์ได้ 2 ลักษณะ
- เข้ารับบริการที่สถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนกับกรมอนามัยสามารถใช้สิทธิได้เช่นเดียวกับผู้ที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
- การเข้ารับบริการที่สถานพยาบาลตามสิทธิ กรณีสถานพยาบาลตามสิทธิ ไม่สามารถให้การรักษาได้ ให้ทำการส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามที่กรมอนามัยกำหนด หรือ หากส่งต่อไปยังสถานพยาบาลศักยภาพสูง หรือ สถานพยาบาลอื่น ให้สถานพยาบาลตามสิทธิรับผิดชอบค่าบริการทางการแพทย์ให้กับผู้ประกันตน ส่วนผู้ประกันตนที่ไม่ใช่สัญชาติไทย ให้เข้ารับบริการพยาบาลตามสิทธิ
ในส่วนของกรณีสถานพยาบาลตามสิทธิ ไม่สามารถให้การรักษาได้ ให้ส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามที่กรมอนามัยกำหนด หรือ หากส่งต่อไปยังสถานพยาบาลศักยภาพสูง หรือ สถานพยาบาลอื่น โดยให้สถานพยาบาลตามสิทธิรับผิดชอบค่าบริการทางการแพทย์ให้กับผู้ประกันตน
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 2568 ธนาคารไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุด?
ในยุคที่อัตราเงินเฟ้อและสภาพเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน การเลือกฝากเงินแบบประจำยังคงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมั่นคงสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บออมเงินโดยไม่เสี่ยง การฝากประจำไม่เพียงให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยที่แน่นอน แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการวางแผนการเงินในระยะกลางถึงยาว โดยในปี 2568 นี้ หลายธนาคารมีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ผู้ฝากควรติดตามข้อมูลอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำคืออะไร?
เงินฝากประจำ (Fixed Deposit) คือเงินฝากที่ผู้ฝากตกลงจะไม่ถอนออกก่อนครบกำหนดเวลาที่กำหนด โดยธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งมักจะสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป ระยะเวลาฝากมีตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ไปจนถึง 36 เดือนหรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับธนาคาร
แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปี 2568
ปี 2568 เป็นอีกปีที่น่าจับตาในด้านการเงิน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยแบบระมัดระวังเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากจึงยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิด โดยเฉพาะเงินฝากประจำที่หลายธนาคารแข่งขันกันออกโปรโมชั่นดอกเบี้ยสูงเพื่อดึงดูดเงินฝาก
ธนาคารพาณิชย์ที่เสนออัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงในปี 2568
- ธนาคารออมสิน: ฝากประจำ 24 เดือน ดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ 2.80% ต่อปี
- ธนาคารกรุงไทย: ฝากประจำ 12 เดือน สำหรับลูกค้าดิจิทัล รับอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 2.55% ต่อปี
- ธนาคารกสิกรไทย: มีโปรโมชั่นฝากประจำ 6 เดือน ที่ดอกเบี้ย 2.30% ต่อปี สำหรับลูกค้าบัญชีออนไลน์
- ธนาคารกรุงเทพ: เสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.40% ต่อปี สำหรับเงินฝากประจำ 12 เดือน
วิธีเลือกเงินฝากประจำให้คุ้มค่า
การเลือกบัญชีเงินฝากประจำที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า ไม่ได้พิจารณาเพียงแค่อัตราดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความถี่ในการจ่ายดอกเบี้ย เงื่อนไขการถอนเงินก่อนกำหนด และภาษีหัก ณ ที่จ่ายอีกด้วย
ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา
- ระยะเวลาฝาก: ระยะเวลาฝากที่ยาวมักให้ดอกเบี้ยสูงกว่า แต่ควรมั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินในช่วงเวลาดังกล่าว
- ดอกเบี้ยทบต้น: บางธนาคารเสนอการทบต้นรายเดือน ทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้นในระยะยาว
- โปรโมชั่นพิเศษ: ธนาคารบางแห่งมีโปรฝากประจำที่จำกัดเวลา เช่น โปรช่วงเทศกาลหรือเปิดบัญชีผ่านแอป
- ภาษีดอกเบี้ย: ดอกเบี้ยที่ได้รับอาจถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ควรพิจารณาส่วนนี้ในการคำนวณผลตอบแทนสุทธิ
เปรียบเทียบผลตอบแทน: ฝากประจำเทียบกับเครื่องมือออมอื่น
แม้เงินฝากประจำจะมีผลตอบแทนที่แน่นอนและปลอดภัย แต่เมื่อเทียบกับเครื่องมือออมอื่น เช่น พันธบัตรรัฐบาล กองทุนตราสารหนี้ หรือแม้แต่กองทุนรวมตลาดเงิน บางกรณีอาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยเฉพาะหากผู้ลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้บ้าง ดังนั้น ควรพิจารณาเงินฝากประจำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการออม และกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นด้วย
เงินฝากประจำยังเหมาะกับใครในปี 2568?
เงินฝากประจำยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคง ไม่ชอบความเสี่ยง และมีเป้าหมายทางการเงินชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนออมเงินไว้ใช้ในอนาคต เช่น เก็บเงินแต่งงาน ซื้อบ้าน หรือเตรียมเกษียณ ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังค่อนข้างสูงในปี 2568 นี้ ถือเป็นจังหวะดีที่ควรใช้ประโยชน์จากโปรโมชั่นและเงื่อนไขที่ธนาคารเสนออย่างเต็มที่
ก่อนตัดสินใจเปิดบัญชีเงินฝากประจำ ควรศึกษารายละเอียดแต่ละธนาคาร เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย และเลือกช่วงเวลาฝากที่เหมาะกับแผนการเงินส่วนตัวให้มากที่สุด อย่าลืมพิจารณาความยืดหยุ่นในการถอนเงินล่วงหน้า และผลกระทบจากภาษีดอกเบี้ยด้วย
อยากลดภาระหนี้บัตรเครดิต ต้องเจรจากับธนาคาร ยังไงถึงได้ผล
การมีหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากอาจสร้างความกดดันทางการเงินและจิตใจได้ไม่น้อย แต่ข่าวดีคือ ผู้ถือบัตรสามารถ “เจรจากับธนาคาร” เพื่อหาทางออกที่ดีกว่าได้ หากทำด้วยวิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่ช่วยลดภาระรายเดือน แต่ยังอาจลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ด้วย
ทำไมต้องเจรจากับธนาคาร?
ธนาคารมีนโยบายให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาด้านการชำระหนี้ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ หรือการขอผ่อนผันชั่วคราว เพราะหากลูกค้าไม่สามารถชำระได้เลย จะกลายเป็นหนี้เสียที่ส่งผลเสียต่อทั้งสองฝ่าย การเจรจาจึงเป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์ทั้งผู้ถือบัตรและธนาคาร
เตรียมตัวอย่างไรก่อนเจรจา?
1. ประเมินหนี้และสถานการณ์ของตนเอง
- รวมยอดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด
- ประเมินรายได้ รายจ่ายต่อเดือน และกำหนดจำนวนเงินที่สามารถผ่อนชำระได้จริง
- ตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของตนเองจากเครดิตบูโร เพื่อใช้ประกอบการเจรจา
2. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือจากธนาคาร
ปัจจุบันหลายธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น
- ปรับลดอัตราดอกเบี้ย (จาก 18% เหลือ 10-12% ต่อปี)
- ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ (สูงสุดถึง 60 เดือน)
- เปลี่ยนหนี้บัตรเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลแบบผ่อนรายเดือน
3. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน
สิ่งที่ธนาคารมักขอ ได้แก่
- สำเนาบัตรประชาชน
- สลิปเงินเดือนหรือหลักฐานรายได้ล่าสุด
- รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 3-6 เดือน
- เอกสารแสดงภาระหนี้อื่นๆ (ถ้ามี)
วิธีเจรจาอย่างมืออาชีพ
1. ใช้ภาษาที่สุภาพและตรงประเด็น
การเจรจาไม่ใช่การต่อรองแบบเอาชนะ แต่คือการขอความช่วยเหลือ ควรใช้ภาษาที่แสดงความรับผิดชอบ เช่น “ขอเจรจาเพื่อขอลดดอกเบี้ยและผ่อนชำระตามความสามารถจริง”
2. อย่าใช้อารมณ์หรือต่อว่าเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่เป็นเพียงผู้ประสานงาน ไม่สามารถตัดสินใจขั้นสุดท้ายได้เอง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่ก้าวร้าว เช่น “จะไม่จ่ายแล้ว” หรือ “ธนาคารเอาเปรียบ”
3. เสนอแนวทางที่เป็นไปได้
เช่น “สามารถชำระได้เดือนละ 3,000 บาท หากลดดอกเบี้ยลงมาบ้าง จะสามารถรักษาวินัยการชำระได้ต่อเนื่อง” ซึ่งช่วยให้ธนาคารเห็นความตั้งใจ
ตัวเลือกที่ธนาคารอาจเสนอ
1. ปรับโครงสร้างหนี้
ธนาคารอาจรวมยอดหนี้ทั้งหมดของคุณแล้วเปลี่ยนเป็นสินเชื่อใหม่ที่มีดอกเบี้ยต่ำลง เช่น 10-12% และให้ผ่อนเป็นงวดรายเดือนตามระยะเวลา 36-60 เดือน
2. โครงการไกล่เกลี่ยหนี้ของ ธปท.
สำหรับผู้ที่มีหนี้หลายสถาบัน การเข้าร่วมโครงการของธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเป็นทางเลือกที่ดี โดยสามารถขอเจรจาผ่านช่องทางกลางที่มีความเป็นธรรม
บางธนาคารมีบริการรวมหนี้บัตรมาไว้ที่เดียว พร้อมเสนอเงื่อนไขดอกเบี้ยต่ำกว่า เช่น 8-10% ต่อปี หากคุณมีเครดิตดีและมีรายได้มั่นคง
ข้อควรระวังในการเจรจา
- อย่ารับเงื่อนไขที่เกินความสามารถ แม้จะดูเหมือนเป็นข้อเสนอที่ดี
- ขอรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ และตรวจสอบก่อนลงนาม
- อย่าหยุดจ่ายหนี้โดยไม่ได้รับการยืนยันจากธนาคารก่อน เพราะจะกระทบเครดิตบูโร
การเจรจากับธนาคารไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากมีการเตรียมตัวที่ดีและสื่อสารอย่างมีวุฒิภาวะ ผู้ถือบัตรเครดิตที่มีภาระหนี้สูงสามารถขอความช่วยเหลือและลดภาระลงได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้อย่าลืมรักษาวินัยทางการเงินและไม่สร้างหนี้ใหม่ระหว่างที่อยู่ในกระบวนการเจรจา
กระทรวงสาธารณสุขแจ้งเรื่องการควบคุมกัญชา 2568
ประกาศการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับกัญชาเสรี เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งเปิดขึ้นภายหลังการลงนามประกาศ กระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุม กัญชา 2568 โดยสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา โดยการประกาศนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันถัดไป หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในส่วนหัวใจสำคัญของการประกาศครั้งนี้ ก็คือ การควบคุมไม่ให้นำช่อดอกกัญชาไปใช้ผิดวันถุประสงค์ โดยจะจำกัดการจำหน่ายให้เฉพาะผู้ที่มรใบสั่งจ่ายจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น สามารถใช้ได้ไม่เกิน 30 วันตามความจำเป็นในการรักษา
ภายใต้กฎระเบียนใหม่ล่าสุดนี้ ผู้ที่ต้องการซื้อ ช้อดอกกัญชา เพื่อการแพทย์ จะต้องมีใบสั่งแพทย์ หรือ ใบรับรองแพทย์เท่านั้น นอกจากนี้ ผู้จำหน่ายกัญชาจะต้องมีแพทย์ประจำร้าน และ ผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการขออนุญาต หรือผู้ที่ต้องการต่อใบอนุญาตก็ต้องปฎิบัติตามกฎกระทรวงเท่านั้น การใช้กัญชาในการแพทย์แผนไทย ซึ่งมีการใช้มาตั้งแต่โบราณก็จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย และจำเป็นต้องมีใบรับรองสั่งยาจากแพทย์ไทยด้วยเช่นกัน การประกาศครั้งนี้ มุ่งหมายให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใสในการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์อย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประเทศไทยได้ถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีการประกาศควบคุมการใช้อย่างชัดเจนว่าให้ใช้เพื่อการแพทย์เท่านั้น ในส่วนของสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการเปิดร้านจำหน่ายกัญชากันเป็นจำนวนมาก มีมากกว่า 1 หมื่นแห่งทั่วประเทศโดยมีการระบุว่ามีสถานประกอบการกิจการกัญชาที่ขึ้นทะเบียนแล้วประมาณ 18,000 แห่ง แต่เป็นสถานพยาบาลเพียง 19 แห่งเท่านั้น
ปัญหาดังกล่าวได้นำไปสู่การร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ได้ส่งสัญญาญอย่างชัดเจนว่า กัญชาต้องเป็นไปเพื่อการแพทย์เท่านั้น โดยมีการสื่อสารว่าการออกประกาศครั้งนี้ ไม่ใช่เกมการเมือง แต่เป็นการแก้ไขปัญหาเรื้อรัง ที่มีประชาชนร้องเรียนเข้ามา การปรับเปลี่ยนกฎระเบียนครั้งล่าสุดนี้ ยังรวมถึงการเตรียมปรับแก้บทลงโทษให้รุนแรงขึ้น สำหรับร้านค้าที่ลักลอบเปิดโดยไม่มีใบอนุญาต หรือ ไม่มีการปฎิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดซึ่งโทษเดิมจำคุก 1 ปี หรับไม่เกิน 20,000 บาท จะเพิ่มเป็นจำคุกมากกว่า 2 ปี และปรับมากกว่า 200,000 บาทในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
จากการประกาศใช้ดังกล่าว มีการเข้าจับกุมผู้ประกอบการกัญชา ที่ไม่ปฎิบัติตามกฎหมายหลายราย เช่น ร้านค้าที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาต แต่จำหน่ายไปก่อน รวมไปถึงการฝ่าฝืนเงื่อนไข เช่น การอนุญาตให้สูบในร้าน หรือ ไม่มีการทำรายงาน, การขาย, รวมถึงผลิตภัณฑ์อย่าง เจลลี่ผสมกัญชา ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และ ยา ความท้าทายอีกอย่าง ในส่วนของภาครัฐ และ ภาคเอกชน โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการได้ลงทุนไปแล้วภายใต้กฎระเบียนเดิม การที่กฎหมายใหม่กำหนดให้ผู้ประกอบการรายใหม่หรือผู้ที่ต่อใบอนุญาต ต้องมีแพทย์ประจำร้าน และการซื้อขายจะต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือการหาทางออกที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่ประกอบการเหล่านี้ รวมถึงการรักษาไว้เจตนารมณ์ของการใช้ประโยชน์จากกัญชา เพื่อการแพทย์แผนไทย และ การวิจัยเป้าหมายคือการทำให้กัญชาสามารถอยู่บนพื้นที่ ที่ถูกควบคุมอย่างถูกต้อง
สวัสดิการค่าเล่าเรียนบุตร ใครเบิกได้บ้าง?
กรมบัญชีกลาง ได้ออกมาตอบข้อสงสัย เกี่ยวกับสวัสดิการค่าเล่าเรียนบุตร ใครสามารถเบิกได้บ้าง สำหรับข้าราชการ และ ลูกจ้างประจำราชการ ตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาบุตร
ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นสวัสดิการที่รัฐบาลจัดให้กับกลุ่มบุคคลากรภาครัฐ เพื่อเป็นการช่วยเหลือ และ แบ่งเบาค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา โดยทางกรมบัญชีกลางได้มีการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาบุตร 2562 ที่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2562 เป็นต้นมา ทางกรมบัญชีกลาง ออกมาตอบชัดเจนเกี่ยวกับสวัสดิการบุตรว่าใครสามารถเบิกได้บ้าง
- ข้าราชการ หรือ ลูกจ้างประจำ ที่รับเงินเดือนหรือค่าจ้างจากเงินงบประมาณรายจ่ายงบบุคลากรของกระทรวง ทบวง กรม
- ลูกจ้างชาวต่างชาติ ที่มีหนังสือสัญญาจ้าง
- ผู้ได้รับบำนาญปกติ หรือ ผู้ที่ได้รับบำนาญพิเศษเหตุทุพพลภาพ
ผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ
- ข้าราชการการเมือง
- ข้าราชการตำรวจชั้นพลตำรวจที่อยู่ในระหว่างเข้ารับการอบรมในสถานศึกษาของกรมตำรวจ ซึ่งเป็นการศึกษาอบรมก่อนเข้าปฎิบัติหน้าที่ราชการประจำ
บุตรของผู้ที่มีสิทธิเบิกเงินค่าเล่าเรียน จะได้รับสิทธิกี่คน
บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีอายุครบ 3 ปี แต่ไม่เกิน 25 ปี ลำดับที่ 1 ถึง 3 โดยนับเรียงตามลำดับการเกิดก่อนหลัง ทั้งนี้ไม่ว่าเป็นบุตรที่เกิดจากสมรสครั้งไหน หรือ อยู่ในอำนาจปกครองของตนหรือไม่ สำหรับใครที่ไม่มีบุตร หรือ มีบุตรไม่ถึง 3 คน แต่ต่อมาเป็นบุตรแฝด ทำให้รวมแล้วมีบุตรเกิน 3 คน ให้สามารถเบิกค่าเล่าเรียนบุตรแฝดได้ทุกคน และถ้าบุตรคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต พิการ ไร้ความสามารถ ก่อนอายุ 25 ปี บริบูรณ์ให้ลดจำนวนสิทธิ์ลงจนเหลือไม่เกิน 3 คน ถึงจะมีสิทธิเบิกค่าเล่าเรียนบุตรเพิ่มได้อีก