สภาพอากาศวันนี้ กรมอุตุ พยากรณ์ว่าทั่วไทยมีฝนลดลง
กรมอุตุพยากรณ์อากาศวันนี้ 5 มิถุนายน 2568 สภาพอากาศวันนี้ ทั่วไทยมีฝนลดลง โดยพื้นที่ 37 จังหวัดยังมีฝนตกโดยเฉพาะภาคใต้ฝนตกหนักสุดร้อยละ 70 ส่วน กทม. มีฝนฟ้าคะนอง พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก สาเหตุมาจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และ อ่าวไทยประกอบกันร่องมรสุมกำลังอ่อนพัดผ่านประเทศเมียนมา และ ประเทศลาวตอนบน
สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน มีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และ หลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
กรมอุตุฯ พยากรณ์อากาศ ตั้งแต่ 06.00 น. วันนี้ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้
- กรุงเทพและปริมณฑล มีฝนตกร้อยละ 40 ของพื้นที่
- ภาคเหนือ มีฝนตกร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากจะตกบริเวณ จังหวัดแม่ฮ่องสอน, เชียงราย, พะเยา, น่าน, อุตรดิตถ์ และ ตาก
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเลย, หนองคาย, บึงกาฬ, อุดรธานี, สกลนคร, นครพนม และ มุกดาหาร
- ภาคกลาง มีฝนตกร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดลพบุรี, สระบุรี, กาญจนบุรี และ ราชบุรี
- ภาคตะวันออก มีฝนตกร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก, ปราจีนบุรี, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี และ ตราด
- ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนตกร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, พัทลุง, สงขลา, ยะลา และ นราธิวาส
- ภาคใต้ มีฝนตกร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และ สตูล
เจาะลึก Exclusive Events ผู้ถือบัตร AMEX
ถ้าบัตรเครดิตทั่วๆ ไปเป็นแค่เครื่องมือทางการเงิน บัตรเครดิต American Express (Amex) ในระดับสูงอย่าง Platinum หรือ Centurion กลับกลายเป็น “กุญแจ” ที่ไขไปสู่โลกของสิทธิพิเศษที่แม้แต่เงินอย่างเดียวก็ซื้อไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่ผู้ถือบัตรหลายคนเรียกมันว่า “Key to Access” ไม่ใช่แค่สำหรับส่วนลดหรือเลานจ์สนามบิน แต่เพื่อเข้าถึง Exclusive Events และ ประสบการณ์เฉพาะกลุ่ม ที่มีเพียงไม่กี่คนในโลกเท่านั้นที่จะได้สัมผัส
Amex ไม่ใช่แค่บัตร แต่คือประสบการณ์
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ Amex โดดเด่นเหนือบัตรเครดิตอื่นๆ คือการนำเสนอ “ประสบการณ์” มากกว่าแค่ “สิทธิประโยชน์” Amex รู้ดีว่ากลุ่มลูกค้าของพวกเขาไม่ใช่แค่ต้องการส่วนลด แต่ต้องการเข้าถึงสิ่งที่ “หาไม่ได้ทั่วไป” และ “ไม่ได้เปิดให้ใครก็ได้”
Key Experience: ไม่ได้ใช้แค่รูด แต่เปิดโลกใหม่
- บัตร Amex Platinum และ Centurion มาพร้อมการเข้าร่วมงานระดับ Global เช่น เทศกาลหนัง Cannes, การแข่ง F1 Monaco หรือ Paris Fashion Week
- โอกาสรับเชิญไปร่วม Chef Table จากเชฟระดับ Michelin Star ที่ไม่เปิดจองสาธารณะ
- เข้าร่วมกิจกรรมปิดพิเศษ เช่น งานประมูลศิลปะระดับโลก หรือ Private Preview รถยนต์รุ่นหายากก่อนเปิดตัวจริง
Amex Experiences: ประเภทของกิจกรรมพิเศษที่ Amex เปิดให้
American Express แบ่งบริการด้าน “ประสบการณ์พิเศษ” ออกเป็นหลายกลุ่มหลัก ซึ่งจะผูกกับระดับบัตรและภูมิภาคที่คุณถือบัตรนั้นอยู่
1. Concert & Theatre Access
ผู้ถือ Amex ในหลายประเทศจะได้รับสิทธิ์ในการจองบัตรคอนเสิร์ตก่อนเปิดขายทั่วไป เช่น Taylor Swift, Coldplay, Ed Sheeran โดยสามารถเลือกที่นั่งโซนพิเศษ หรือมีแพ็กเกจ VIP เพิ่มให้
2. Culinary Experience
เข้าร่วมงานอาหารที่ไม่เปิดสู่สาธารณะ เช่น Collaboration ระหว่างเชฟระดับโลกกับสถานที่ลับ (Secret Dining Room), Wine Tasting ในไร่องุ่นส่วนตัว, หรือการเปิดตัวเมนูพิเศษเฉพาะ Amex Members
3. Fashion & Lifestyle
เข้าถึงงานแฟชั่นระดับโลกที่ไม่สามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ เช่น New York Fashion Week หรืองาน Exclusive Launch จากแบรนด์หรู เช่น Louis Vuitton, Dior, หรือ Chanel
4. Travel Experiences
ไม่ใช่แค่ Lounge ที่สนามบิน แต่รวมถึง:
- การจองโรงแรม 5 ดาวแบบมีสิทธิพิเศษ (Late Check-out, Room Upgrade, เครดิตอาหาร ฯลฯ)
- Private Jet หรือ Yacht Experience ในประเทศที่มีบริการ Concierge ครบวงจร
- เข้าร่วม Group Tour แบบ Curated ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวนจำกัดและไม่เปิดขายทั่วไป
ทำไม Amex ถึงสามารถจัดประสบการณ์เหล่านี้ได้?
1. เครือข่ายพาร์ตเนอร์ระดับโลก
Amex มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการหรูระดับโลกทั้งสายการบิน โรงแรม แบรนด์แฟชั่น และผู้จัดอีเวนต์ต่าง ๆ จึงสามารถต่อรองและออกแบบกิจกรรมพิเศษร่วมกันโดยเฉพาะ
2. ข้อมูลเชิงลึกของผู้ถือบัตร
ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ถือบัตรระดับสูง Amex สามารถคัดสรรกิจกรรมที่ “ตรงใจ” และ “ตรงกลุ่ม” ได้อย่างแม่นยำ ทำให้การจัดงาน Exclusive นั้นได้ผลลัพธ์จริงทั้งในแง่ประสบการณ์และความภักดีต่อแบรนด์
3. บริการ Personal Concierge
สำหรับผู้ถือบัตรระดับ Centurion และ Platinum Concierge สามารถช่วยจัดการคำขอที่ซับซ้อน เช่น การหาตั๋วงานที่เต็มแล้ว การจองโต๊ะในร้านอาหารที่จองไม่ได้ หรือการเข้าถึงบริการระดับ VIP ที่ปกติไม่ได้เปิดขาย
ใครควรสมัคร Amex เพื่อเข้าถึงประสบการณ์เหล่านี้?
กลุ่มที่เหมาะสม
- ผู้ที่เดินทางต่างประเทศเป็นประจำ
- นักสะสมประสบการณ์ ไม่ใช่แค่สินค้า
- นักธุรกิจระดับสูงที่ต้องการเข้าถึงเครือข่ายพิเศษ
- ผู้ที่เน้นไลฟ์สไตล์เหนือระดับ ไม่ใช่แค่คะแนนสะสม
ข้อควรคำนึง
- บัตรบางประเภทต้องมีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น รายได้ขั้นต่ำ, คำเชิญจาก Amex
- สิทธิพิเศษบางอย่างใช้ได้เฉพาะในบางประเทศ เช่น Centurion Lounge เปิดเฉพาะ Amex USA
- ค่าธรรมเนียมรายปีของบัตรระดับสูงมีมูลค่าสูง และควรพิจารณาความคุ้มค่ากับการใช้งานจริง
Amex ไม่ใช่แค่บัตร แต่เป็น Pass สู่โลกของความพิเศษ
ในยุคที่ผู้คนจำนวนมากมี “บัตรเครดิต” อยู่ในกระเป๋าสตางค์ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่มี “Key to Access” ซึ่งเปิดประตูสู่โลกที่ไม่ได้เปิดให้กับคนทั่วไป การถือ Amex จึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของสิทธิประโยชน์บนกระดาษ แต่คือการเข้าถึง “ประสบการณ์” ที่แท้จริง
หากคุณเป็นคนที่ให้คุณค่ากับเวลา ความทรงจำ และโอกาสที่หาไม่ได้จากการใช้เงินเพียงอย่างเดียว บัตรเครดิต Amex อาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนวิธีที่คุณมอง “ความคุ้มค่า” ไปอย่างสิ้นเชิง
แบงก์ชาติทั่วโลก เริ่มตุนทองคำในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อน
เจอข่าวตอนนี้แล้วเห็นได้ชัดเลยว่า เศรษฐกิจโลกกำลังมีปัญหา จากการที่เราเห็นว่าแบงก์ชาติทั่วโลก กำลังกักตุนทองคำในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่คือการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินโลก จากความกังวลในเงินดอลล่าร์ และความตึงเครียด
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ทำให้แบงก์ชาติทั่วโลก กำลังไล่ซื้อทองคำในอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีการสะสมทองคำประมาณ 80 เมตริกตันต่อเดือน หรือคิดเป็นมุลค่าประมาณ 8.5 พันล้านดอลลาร์ ตามราคาปัจจุบันซึ่งตัวเลขนี้ทำให้คนทั่วโลกมองเห็นถึงความผันผวน และความเร่งด่วนของแบงก์ชาติ ในการเพิ่มสำรอบทองคำ
จากการสำรวจของ HSBC พบว่า แบงก์ชาติจำนวน 72 แห่ง ซึ่งมากถึง 1 ใน 3 วางแผนจะซื้อทองคำเพิ่มเติมในปี 2025 ซึ่งไม่มีแบงก์ชาติใดตั้งใจจะขายทองคำออกมา นี่เป็นการสะท้อนถึงทิศทางเดียวกันของการสะสมทองคำ ปัจจับในการขับเคลื่อนหลัก ซึ่งเป็นความกังวลต่อดอลลาร์สหัรฐ การที่สหรัฐอเมริกา และ พันธมิตรได้มีการแช่แข็งเงินสำรองเงินตราต่างประเทศของรัสเซียในปี 2022 หลังจากที่รัฐเซียได้มีการรุกรานยูเครน ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนที่สำคัญ อัตราการซื้อทองคำของแบงก์ชาติของแต่ละประเทศก็เริ่มสูงขึ้นเป็น 2 เท่า จากเหตุการณ์นี้ เนื่องจากแบงก์ชาติหลายแห่งเริ่มพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของเงินสำรอง
ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติ โปแลนด์ให้ความเห็นว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์สำรองที่ปลอดภัยที่สุด ปราศจากการเชื่อมโยงโดยตรงกับนโยบายเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งสามารถรักษาคุณค่าที่แท้จริงได้ในระยะยาว การแช่แข็งทรัพย์สินรัสเซียแสดงให้เห็นว่าดลลาร์สามารถถูกใช้เป็นอาวุธได้ โดยการเข้าถึงระบบการเงินซึ่งสามารถถูกปิดกั้นตามคำสั่งของสหรัฐ ทองคำ เมื่อเก็บไว้ในประเทศ จะไม่สามารถถูกแตะต้องได้ทำให้แบงก์ชาติหลายแห่งเห็นทองคำเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย
จีนผู้ซื้อทองคำที่ไม่แจ้งการซื้อขาย
การซื้อทองคำที่รายงานโดยธนาคารประชาชนจีน มักถูกมองว่าช้าหรือไม่สมบูรณื โดยในปี 2015 นั้นได้มีการเปิดเผยถึงการเพิ่มขึ้นของการสำรองทองถึง 600 ตัน ทำให้ผู้สังเกตุการณ์ตลาดตกใจหลังจากเงียบไปเป็นเวลาถึง 6 ปี นอกจากนี้ยังค้นพบหลักฐานทางอ้อมอีกด้วย จากการประเมินจาก Goldman Sachs ประเมินว่าจีนซื้อทองคำเฉลี่ย 40 ตันต่อเดือนตั้งแต่ปี 2022 อ้างอิงจากข้อมูลการค้า การส่งออกทองคำจากตลาดลอนดอนไปประเทศจีน ยังคงดำเนินการต่อไปตลอดปีที่ผ่านมา การนำทองคำแท่งขนาดใหญ่ 400 ออนซ์ เป็นรูปแบบที่แบงก์ชาติส่วนใหญ่ใช้
ข้อมูลจากทางบลูมเบิร์ก เห็นว่าทองคำของแบงก์ชาติมากกว่า 1,200 ตัดเข้าสู่ สวิตเซอร์แลนด์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทองคำเหล่านี้ถูกเก็บเอาไว้ในห้องนิรภัยของสวิสหรือส่งต่อไปยังเจ้าของในขั้นตอนสุดท้าย การไหลของทองนั้นมาเพิ่มมาขึ้นอย่างมากหลังจากปี 2022
ทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ขึ้นกับประเทศใด ประเทศหนึ่งและไม่สามารถถูกแช่แข็งหรือยึดได้ง่าย ทำให้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการกระจายความเสี่ยงแนวโน้มนี้ คาดว่า จะดำเนินต่อไป และ อาจจะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อตลาดทองคำ แต่ยังเป็นสัญญาณของการปรับโครงสร้างระบบ การเงินโลกที่อาจจะเห็นการลดลงของบทบาท ดอลลาร์ และ การเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินทางเลือกอื่นๆ ในการจัดการเงินสำรองของประเทศต่างๆทั่วโลก
การรถไฟแห่งประเทศไทย ลดค่าโดยสาร 50% ให้กับผู้สูงอายุ
เริ่มแล้วการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. ได้มอบสิทธิพิเศษ ลดค่าโดยสารลง 50% ให้กับผู้โดยสาร, ผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป ลดนานสูงสุด 4 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2568 ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 ใช้ได้กับขบวนรถไฟธรรมดา และ รถชั้น 3 ทุกเส้นทาง
การรถไฟแห่งประเทศไทย ออกมาตรการพิเศษ ส่งเสริมการเดินทางของผู้สูงอายุด้วยการมอบส่วนลดค่าโดยสาร 50% สำหรับผู้โดยสารที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป โดยสามารถใช้สิทธิ์ได้กับขบวนรถไฟธรรมดา และ รถชั้น 3 ทุกเส้นทางทั่วประเทศไทย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยยกเว้นเฉพาะวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น ในส่วนของการใช้สิทธิ ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่แสดงบัตรประชาชน หรือเอกสารแสดงตนที่ระบุอายุอย่างชัดเจน ณ จุดจำหน่ายตั๋วโดยสารของรถไฟ สำหรับผู้โดยสารที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์จะได้รับสิทธิ์ลดค่าโดยสารทันที โดยไม่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า
สำหรับมาตรการค่าโดยสารนี้ เป็นอีกหนึ่งนโยบายของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มุ่งเน่นการดูแล และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญในสังคมไทย ซึ่งหวังว่าจะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีโอกาสได้เดินทางท่องเที่ยวไปเจอเจอครอบครัว หรือ ทำกิจกรรมต่างๆได้มากขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายที่ประหยัดและการเดินทางที่ปลอดภัย
เปรียบเทียบ Amex ไทย vs. Amex ต่างประเทศ ทำไมสิทธิประโยชน์ถึงต่างกัน
บัตรเครดิต American Express หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “Amex” ถือเป็นหนึ่งในบัตรที่มีภาพลักษณ์ระดับพรีเมียมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าลานจอดรถฟรี การเข้าเลานจ์สนามบิน หรือคะแนนสะสมที่สามารถใช้แลกของรางวัลระดับสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ถือบัตรในไทยหลายคนอาจเริ่มตั้งคำถามว่า… ทำไมสิทธิประโยชน์ของ Amex ที่ออกในประเทศไทยถึงดู “ด้อยกว่า” เมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา, สิงคโปร์ หรือออสเตรเลีย?
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงความแตกต่าง พร้อมอธิบาย “สาเหตุเบื้องหลัง” ที่แท้จริง และคำแนะนำในการเลือกใช้ Amex ให้เหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ในไทย
Amex คืออะไร และมีรูปแบบบัตรแบบใดบ้าง?
Amex หรือ American Express เป็นบริษัทที่ออกบัตรเครดิตด้วยตนเอง (Issuer) และเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายชำระเงิน (Network) พร้อมกันในรายเดียว ซึ่งแตกต่างจาก Visa หรือ Mastercard ที่ใช้ผ่านธนาคารพาณิชย์
ประเภทบัตร Amex ที่พบได้ทั่วไป
- Amex Platinum – เน้นสิทธิพิเศษการเดินทาง
- Amex Gold – เน้นคะแนนสะสมและไลฟ์สไตล์
- Amex Centurion (Black Card) – สุดยอดบัตรพรีเมียม (เชิญเท่านั้น)
- บัตรร่วม (Co-branded) เช่น บัตร Amex ร่วมกับสายการบิน โรงแรม หรือร้านค้า
Amex ในประเทศไทย: ความแตกต่างที่เห็นชัด
ในประเทศไทย Amex สิทธิประโยชน์หลักของบัตรจะมาจากข้อตกลงระหว่างธนาคารกับร้านค้าในประเทศ ไม่ใช่เครือข่ายสากลโดยตรง
สิทธิประโยชน์ Amex ไทย
- ผ่อน 0% กับร้านค้าชั้นนำในประเทศ
- โปรโมชั่นร้านอาหารและโรงแรมในเครือที่ร่วมรายการ
- สิทธิ์เข้า Miracle Lounge (บางประเภทบัตร)
อย่างไรก็ตาม สิทธิระดับ Global เช่น Centurion Lounge, Membership Rewards แบบ Full Catalog หรือบริการ Concierge พรีเมียม อาจไม่มีในบัตร Amex ที่ออกในไทย
Amex ต่างประเทศ: สิทธิประโยชน์จัดเต็ม
ทำไมถึงดีกว่า?
เมื่อเปรียบเทียบกับ Amex ในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ผู้ถือบัตรจะได้รับ:
- เข้าใช้ Centurion Lounge ได้ฟรีแบบไม่จำกัด
- เครดิตรายปีสำหรับสายการบิน, โรงแรม, Uber และร้านค้าออนไลน์
- สมัครบริการ streaming (Netflix, Spotify ฯลฯ) แล้วได้เงินคืน
- บริการ Global Concierge ที่สามารถจองร้านอาหารหรู หรือหาตั๋วคอนเสิร์ตระดับโลก
- คะแนน Membership Rewards เต็มรูปแบบ (ไม่มีหมดอายุ)
นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษในระดับเชิงลึกที่อิงกับ Lifestyle ผู้ใช้จริง เช่น บริการเช่าเครื่องบินเจ็ต, คอร์สพัฒนาตัวเอง หรือคลับหรูที่รับเฉพาะ Amex Platinum ขึ้นไปเท่านั้น
เหตุผลหลักที่สิทธิประโยชน์ Amex ไทย “ต่าง” จากต่างประเทศ
1. โครงสร้างตลาดและผู้ถือบัตร
- จำนวนผู้ถือบัตร Amex ในไทยมีไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว จึงทำให้การเจรจาต่อรองสิทธิพิเศษกับพาร์ตเนอร์ร้านค้าหรือสายการบินเป็นเรื่องยากกว่ามาก
2. ผู้ให้บริการหลักคือธนาคาร ไม่ใช่ Amex โดยตรง
- ในไทย Amex ให้ธนาคารกรุงศรีเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งทำให้สิทธิประโยชน์ถูกออกแบบตามนโยบายของธนาคาร ไม่ใช่ของบริษัทแม่ที่อยู่ในอเมริกา
3. ข้อจำกัดเรื่องสภาพแวดล้อมของร้านค้า
- ร้านค้าในไทยบางแห่งยังไม่รับบัตร Amex เพราะมีค่าธรรมเนียม Merchant Fee สูงกว่าบัตรทั่วไป ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิได้ทุกที่เหมือนบัตร Visa หรือ Mastercard
4. นโยบายภาษีและกฎหมายภายในประเทศ
- บางสิทธิพิเศษ เช่น การรับเครดิตคืนสำหรับบริการในต่างประเทศ ต้องผ่านเกณฑ์ด้านภาษีและกฎหมายในไทย ทำให้ไม่สามารถนำบางโปรแกรมมาใช้ได้
กลุ่มผู้ใช้งานที่เหมาะกับ Amex ไทย vs. Amex ต่างประเทศ
Amex ไทย เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่ใช้จ่ายในประเทศไทยเป็นหลัก
- ต้องการสิทธิผ่อน 0% กับร้านค้าชั้นนำ
- ไม่เน้นการเดินทางต่างประเทศบ่อย
Amex ต่างประเทศ เหมาะกับใคร?
- นักธุรกิจ/นักเดินทางระหว่างประเทศเป็นประจำ
- ต้องการประสบการณ์พรีเมียมทั้งในสนามบินและไลฟ์สไตล์
- สามารถจัดการค่าใช้จ่าย/ภาษีในต่างประเทศได้
- มีแผนสมัคร/ถือบัตรผ่านที่อยู่หรือธุรกิจในต่างประเทศ
คำแนะนำก่อนตัดสินใจถือบัตร Amex
- ตรวจสอบ “สิทธิประโยชน์จริง” ที่ใช้ได้ในประเทศที่คุณอยู่อย่างละเอียด
- ถามธนาคารหรือ Amex โดยตรงเกี่ยวกับขอบเขตสิทธิ์
- เปรียบเทียบกับบัตรระดับพรีเมียมอื่น เช่น Visa Infinite, Mastercard World Elite
- ประเมินว่า “Lifestyle” ของคุณเหมาะกับบัตรประเภทใด ไม่ใช่แค่แบรนด์
Amex ไทย กับต่างประเทศ ต่างกันด้วยเหตุผลมากกว่าที่คิด
แม้จะเป็นบัตรที่ใช้ชื่อเดียวกัน แต่สิทธิประโยชน์ของ Amex ในไทยและต่างประเทศ “ต่างกันมาก” ด้วยเหตุผลด้านระบบตลาด, โครงสร้างธุรกิจ, พฤติกรรมผู้บริโภค และกฎหมายท้องถิ่น หากคุณต้องการถือ Amex เพื่อหวังสิทธิระดับโลก ควรศึกษาว่า “บัตรใบไหน” และ “จากประเทศใด” จะตอบโจทย์คุณจริงๆ นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องคำนึงหากสมัครบัตรเครดิต AMEX แล้วจะต้องเสียค่าธรรมเนียมบัตรรายปี ซึ่งราคาค่าธรรมเนียมบัตรรายปีมีราคาค่อนข้างสูง แนะนำให้ศึกษาให้ดีๆก่อนการสมัคร
สำหรับใครที่เน้นการใช้จ่ายในประเทศ Amex ไทยก็ยังเป็นอีกตัวเลือกที่มีจุดแข็งด้านบริการลูกค้า การผ่อนสินค้า และโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าชั้นนำ หากเลือกใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ ก็ยังคุ้มค่าไม่แพ้บัตรอื่นเช่นกัน
รีวิวบัตรเครดิต UOB One Card: คืนสูงสุด 1% ทุกการใช้จ่ายจริงหรือ?
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มองหาบัตรเครดิตที่ช่วยให้คุณได้รับเครดิตเงินคืนทุกครั้งที่รูดจ่าย บัตรเครดิต UOB One Card อาจอยู่ในลิสต์ที่คุณกำลังพิจารณา ด้วยคำโปรยที่บอกว่า “รับเงินคืนสูงสุด 1% ทุกการใช้จ่าย” หลายคนอาจสงสัยว่าได้จริงหรือ? มีเงื่อนไขอะไรแอบแฝงหรือเปล่า? ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกแบบละเอียด เพื่อให้คุณเข้าใจและใช้บัตรใบนี้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
รู้จักกับ UOB One Card: บัตรเครดิตสายคืนเงิน
UOB One Card เป็นบัตรเครดิตประเภท “Cashback” จากธนาคาร UOB ที่ออกแบบมาเพื่อคนที่ใช้จ่ายเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าน้ำมัน, ค่าอาหาร, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ออนไลน์ช้อปปิ้ง หรือแม้แต่การจ่ายบิล
จุดเด่นของบัตร
- เครดิตเงินคืนสูงสุด 1% สำหรับทุกยอดใช้จ่าย*
- ไม่มีการจำกัดหมวดหมู่เฉพาะ — ใช้จ่ายอะไรก็ได้เงินคืน
- ไม่มีการกำหนดยอดขั้นต่ำต่อรายการ แต่มีเงื่อนไขสะสมยอดรายเดือน
- ร่วมโปรโมชันพิเศษกับร้านค้าและแอปชั้นนำทั่วไทย
*เงื่อนไขการคืน 1% ขึ้นอยู่กับยอดรวมที่ใช้จ่ายต่อรอบบัญชี
เครดิตเงินคืนทำงานอย่างไร?
ระบบการคืนเงินของ UOB One Card
บัตรใบนี้มีโครงสร้างการคืนเงินตามยอดใช้จ่ายรวมต่อรอบบัญชี ดังนี้:
ยอดใช้จ่ายต่อเดือน | อัตราเครดิตเงินคืน | ยอดเงินคืนสูงสุดต่อรอบบัญชี |
---|---|---|
0 – 4,999 บาท | 0.2% | ไม่เกิน 10 บาท |
5,000 – 19,999 บาท | 0.5% | ไม่เกิน 100 บาท |
20,000 บาทขึ้นไป | 1% | สูงสุด 500 บาท |
สรุปง่าย ๆ คือ ถ้ายิ่งใช้จ่ายมากต่อเดือน ก็ยิ่งได้อัตราคืนเงินที่สูงขึ้น โดยไม่มีการแยกหมวดหมู่ให้ซับซ้อน
โปรโมชั่นเสริมและสิทธิพิเศษที่เกี่ยวข้อง
นอกจากการคืนเงินพื้นฐานแล้ว UOB One Card ยังมีโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าชั้นนำ เช่น
- เครดิตเงินคืนเพิ่มเมื่อใช้จ่ายผ่าน Shopee, Lazada, Grab และ Robinhood
- โปรร่วมกับปั๊มน้ำมัน Shell และ Caltex รับคืนเพิ่ม 5% เมื่อใช้จ่ายครบตามเงื่อนไข
- สิทธิ์แบ่งจ่าย 0% นาน 3-6 เดือนกับร้านค้าและแพลตฟอร์มที่ร่วมรายการ
เทคนิคใช้บัตรให้คุ้มที่สุด
1. วางแผนยอดใช้จ่ายรายเดือน
เพื่อให้ได้เครดิตเงินคืน 1% แบบเต็มอัตรา แนะนำให้รวมยอดใช้จ่ายในเดือนนั้น ๆ ให้เกิน 20,000 บาท เช่น รวบรวมการช้อป, จ่ายบิล, เติมน้ำมัน และจ่ายค่าอาหารในบัตรใบเดียว
2. ใช้คู่กับโปรร้านค้า
ติดตามโปรโมชั่นจาก UOB ที่อัปเดตเป็นประจำ เช่น การใช้ร่วมกับแอป e-Wallet หรือร้านค้ารายใหญ่ ซึ่งอาจได้เครดิตเงินคืนเพิ่มเป็น 3-5%
3. อย่าลืมลงทะเบียนก่อนรับโปรพิเศษ
บางโปรโมชั่นจำเป็นต้องลงทะเบียนผ่านแอป UOB TMRW หรือเว็บไซต์ก่อน จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์
ข้อควรระวังและสิ่งที่หลายคนมองข้าม
1. มีเพดานเงินคืนต่อเดือน
แม้จะได้ 1% แต่เพดานสูงสุดต่อรอบบัญชีอยู่ที่ 500 บาท หมายความว่าใช้จ่ายเกิน 50,000 บาทก็ยังได้เงินคืนเท่าเดิม
2. เครดิตเงินคืนไม่ใช่เงินสด
เครดิตเงินคืนจะสะสมในบัญชีบัตรและหักจากยอดเรียกเก็บ ไม่สามารถแลกเป็นเงินสดหรือโอนเข้าบัญชีได้
3. รายการใช้จ่ายบางประเภทไม่ร่วมรายการ
เช่น การเบิกเงินสดล่วงหน้า, ดอกเบี้ย, ค่าธรรมเนียม, รายการแบ่งจ่ายบางประเภท ฯลฯ จะไม่คิดเครดิตเงินคืน
UOB One Card เหมาะกับใคร?
บัตร UOB One Card เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่:
- ใช้จ่ายบัตรเครดิตประจำในหลายหมวดหมู่
- ต้องการบัตรที่เข้าใจง่าย ไม่ต้องจำหมวดหมู่ซับซ้อน
- เน้นรับเงินคืนเป็นหลัก ไม่เน้นคะแนนสะสม
- สามารถบริหารยอดใช้จ่ายต่อเดือนได้เกิน 20,000 บาท
หากคุณเป็นหนึ่งในนั้น บัตรใบนี้อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดใบหนึ่งในตลาดตอนนี้
ข้อผิดพลาด สำหรับใครที่ใช้บัตรกดเงินสดชอบทำ
บัตรกดเงินสดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สะดวกและเข้าถึงง่าย ช่วยให้ผู้ถือบัตรสามารถเข้าถึงเงินสดได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้หลักประกัน แต่ความสะดวกนี้มักมาพร้อมกับภาระดอกเบี้ยและความเสี่ยงทางการเงิน หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง บทความนี้จะชวนคุณมาดู 10 ข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นจากการใช้บัตรกดเงินสด พร้อมแนะนำวิธีหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้คุณตกอยู่ในวังวนของหนี้สิน
1. ใช้บัตรโดยไม่เข้าใจอัตราดอกเบี้ย
- หลายคนเข้าใจผิดว่าบัตรกดเงินสดมีเงื่อนไขเหมือนบัตรเครดิต จึงคิดว่ามีระยะปลอดดอกเบี้ย ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะดอกเบี้ยจะเริ่มคิดทันทีตั้งแต่เบิกเงิน
- อ่านรายละเอียดอัตราดอกเบี้ยให้ชัดเจนก่อนใช้งาน และคำนวณความสามารถในการจ่ายคืนล่วงหน้า
2. เบิกเงินบ่อยโดยไม่จำเป็น
- การเบิกเงินบ่อย ๆ อาจทำให้คุณมีหนี้สะสมโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังอาจส่งผลเสียต่อเครดิตสกอร์ในระยะยาว
- ใช้บัตรกดเงินสดเฉพาะเมื่อจำเป็น และควรมีแผนการเงินเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า
3. จ่ายคืนแค่ยอดขั้นต่ำทุกเดือน
- การจ่ายขั้นต่ำอาจดูเหมือนผ่อนคลายภาระในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะทำให้ดอกเบี้ยสะสมและใช้เวลานานกว่าจะปลดหนี้ได้หมด
- พยายามชำระคืนมากกว่ายอดขั้นต่ำในแต่ละเดือน หากทำได้ควรโปะให้หมดโดยเร็ว
4. ไม่ตรวจสอบยอดคงเหลือก่อนใช้
- หลายคนใช้บัตรอย่างต่อเนื่องโดยไม่เช็คยอดคงเหลือ ส่งผลให้เบิกเกินวงเงิน และอาจโดนค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยเพิ่มเติม
- ตรวจสอบยอดเงินที่ยังเหลือในวงเงินสินเชื่อผ่านแอปหรือบริการออนไลน์ก่อนทุกครั้ง
5. ใช้บัตรผิดประเภทกับค่าใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม
- เช่น ใช้บัตรกดเงินสดจ่ายค่าสินค้าราคาแพง หรือค่าใช้จ่ายที่สามารถผ่อน 0% ได้ผ่านบัตรเครดิต ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าด้านดอกเบี้ย
- เลือกใช้บัตรตามวัตถุประสงค์ เช่น บัตรกดเงินสดสำหรับเงินสดฉุกเฉินเท่านั้น
6. ขาดการวางแผนก่อนเบิกใช้
- เบิกเงินโดยไม่วางแผนว่าจะใช้คืนอย่างไร หรือไม่มีแหล่งเงินสำรองในการโปะหนี้
- วางแผนรายรับ-รายจ่ายล่วงหน้า และคำนวณวงเงินที่สามารถชำระคืนได้ในแต่ละเดือน
7. ใช้หลายบัตรพร้อมกันโดยไม่ควบคุม
- การมีบัตรกดเงินสดหลายใบอาจทำให้มีหนี้หลายก้อน และยากต่อการควบคุมหนี้สินรวม
- เลือกถือเพียง 1-2 ใบที่จำเป็น และจัดการบริหารการใช้ให้ชัดเจน
8. ไม่อ่านเงื่อนไขหรือสัญญาอย่างละเอียด
- บางคนสมัครโดยไม่ได้อ่านสัญญาให้ถี่ถ้วน ทำให้ไม่รู้ว่าเงื่อนไขมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
- อ่านเอกสารทุกหน้าให้เข้าใจก่อนลงนาม และสอบถามหากมีข้อสงสัย
9. ลืมชำระคืนตรงเวลา
- การชำระล่าช้าทำให้ถูกคิดค่าปรับและส่งผลเสียต่อเครดิตในระบบแบงก์ชาติ
- ตั้งเตือนชำระหนี้ไว้ล่วงหน้าในมือถือ หรือสมัครบริการหักบัญชีอัตโนมัติ
10. สมัครบัตรโดยไม่พิจารณาความจำเป็นจริง ๆ
- บางคนสมัครเพราะเห็นโปรโมชั่นหรือเพื่อนแนะนำ โดยที่ตัวเองไม่มีความจำเป็นจริง ๆ และยังไม่มีวินัยทางการเงินที่ดีพอ
- ประเมินความจำเป็นในการใช้เงินสดอย่างรอบคอบ และมั่นใจว่าสามารถจัดการการชำระหนี้ได้ในระยะยาว
ใช้บัตรกดเงินสดอย่างไรให้ปลอดภัยและไม่เป็นหนี้
บัตรกดเงินสดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์มากหากใช้อย่างมีสติและวางแผนดีพอ การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั้ง 10 ข้อนี้จะช่วยให้คุณใช้บัตรได้อย่างปลอดภัย ไม่ตกอยู่ในกับดักหนี้ และรักษาสถานะทางการเงินให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเสมอ
บัตรกดเงินสดคืออะไร? เจาะลึกข้อดี-ข้อควรระวังที่ควรรู้ก่อนสมัคร
ในยุคที่ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ บัตรกดเงินสดกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการเงินที่คนไทยจำนวนไม่น้อยเลือกใช้ โดยเฉพาะในจังหวะที่ต้องการเงินด่วนแบบไม่ยุ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอม ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน บัตรใบนี้สามารถตอบโจทย์ได้อย่างยืดหยุ่น แต่ก่อนจะตัดสินใจสมัคร ลองมาเจาะลึกกันว่า บัตรกดเงินสดคืออะไร มีข้อดีอะไร และต้องระวังเรื่องใดบ้าง
บัตรกดเงินสดคืออะไร?
บัตรกดเงินสด (Cash Card) คือบัตรที่ผูกกับวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Credit) ที่ธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงินออกให้ลูกค้าเพื่อใช้ในการเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM หรือโอนเข้าบัญชีได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินค้ำประกันหรือหลักทรัพย์
ความแตกต่างระหว่างบัตรกดเงินสดกับบัตรเครดิต
- รูปแบบการใช้: บัตรกดเงินสดเน้นเบิกถอนเป็นเงินสด ส่วนบัตรเครดิตใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการเป็นหลัก
- ดอกเบี้ย: บัตรกดเงินสดเริ่มคิดดอกเบี้ยทันทีหลังเบิกถอน ส่วนบัตรเครดิตมีระยะปลอดดอกเบี้ย
- การผ่อนชำระ: บัตรกดเงินสดมักมีขั้นต่ำรายเดือนต่ำกว่า แต่ดอกเบี้ยสูงกว่าบัตรเครดิต
ข้อดีของบัตรกดเงินสด
1. ได้เงินสดทันที ไม่ต้องรออนุมัตินาน
เมื่อได้รับบัตรแล้ว ผู้ถือบัตรสามารถเบิกเงินสดได้ทันทีผ่านตู้ ATM หรือแอปพลิเคชันของธนาคาร ช่วยให้จัดการปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันเวลา
2. ไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน
เหมาะสำหรับพนักงานประจำหรืออาชีพอิสระที่มีรายได้ประจำแต่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
3. ผ่อนจ่ายได้เป็นรายเดือน
สามารถผ่อนชำระคืนเป็นงวด ๆ ตามอัตราขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนด เช่น 3%-5% ของยอดที่ใช้ไป
4. สมัครง่าย เอกสารไม่เยอะ
ผู้สมัครส่วนใหญ่ใช้เพียงเอกสารแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือนหรือรายการเดินบัญชี
5. เหมาะกับเหตุฉุกเฉินหรือค่าใช้จ่ายไม่คาดฝัน
หากต้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายของครอบครัว บัตรกดเงินสดคือแหล่งเงินสำรองที่รวดเร็ว
ข้อควรระวังก่อนสมัครบัตรกดเงินสด
1. อัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง
แม้จะมีความสะดวก แต่บัตรกดเงินสดมักคิดดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 25%-28% ต่อปี ซึ่งหากใช้โดยไม่วางแผน อาจกลายเป็นภาระดอกเบี้ยระยะยาว
2. เสี่ยงเป็นหนี้สะสมหากจ่ายแค่ขั้นต่ำ
การจ่ายเฉพาะยอดขั้นต่ำในแต่ละเดือนอาจทำให้ยอดหนี้สะสมไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อใช้บ่อยโดยไม่ได้ตรวจสอบวงเงินคงเหลือ
3. เบิกเงินบ่อยเกินไปทำให้คะแนนเครดิตลด
การใช้บัตรกดเงินสดบ่อย ๆ อาจทำให้สถาบันการเงินประเมินว่าผู้ใช้มีความเสี่ยงในการชำระเงิน ซึ่งอาจมีผลต่อการสมัครสินเชื่อในอนาคต
4. ค่าธรรมเนียมในการเบิกเงิน
แม้บางบัตรจะไม่มีค่าธรรมเนียม แต่หลายค่ายยังมีการเก็บค่าธรรมเนียมจากการเบิกเงินสดจากตู้ ATM หรือโอนเงินเข้าบัญชี
ใครบ้างที่เหมาะกับบัตรกดเงินสด?
- พนักงานประจำที่มีรายได้มั่นคง และสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้
- ฟรีแลนซ์หรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการเงินหมุนระยะสั้น
- ผู้ที่ไม่มีบัตรเครดิตแต่ต้องการแหล่งเงินสดในกรณีฉุกเฉิน
วิธีเลือกสมัครบัตรกดเงินสดให้เหมาะกับตัวเอง
1. ตรวจสอบอัตราดอกเบี้ย
เลือกบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด และเข้าใจเงื่อนไขการคำนวณดอกเบี้ยอย่างชัดเจน
2. เปรียบเทียบวงเงินและความยืดหยุ่น
เลือกบัตรที่ให้วงเงินเหมาะสมกับรายได้ และมีความยืดหยุ่นในการเบิกถอน
3. พิจารณาค่าธรรมเนียมอื่น ๆ
เช่น ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าธรรมเนียมเบิกถอน หรือค่าธรรมเนียมชำระล่าช้า
4. เลือกจากสถาบันการเงินที่เชื่อถือได้
ควรเลือกสมัครกับธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย และมีรีวิวจากผู้ใช้จริง
สมัครบัตรกดเงินสดอย่างไรให้ไม่เป็นหนี้
บัตรกดเงินสดเป็นตัวช่วยทางการเงินที่มีประโยชน์หากใช้อย่างมีวินัยและเข้าใจในเงื่อนไขต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ แต่หากใช้โดยไม่วางแผน อาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินในระยะยาว ดังนั้น ก่อนสมัคร ควรเปรียบเทียบข้อเสนอให้รอบด้าน และวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าให้ดี
ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 รักษาโรคไตได้ทุกระยะ
ข้อมูลจากทางเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคไตสาย เรื้อรัง ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ป่วย และ มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ทางด้านสำนักงานประกันสังคม พร้อมดูแลผู้ประกันตนมาตรา 33 และ ผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่เจ็บป่วยด้วยโรคไต ทุกระยะสามารถเข้ารับการรักษาได้ ณ สถานพยาบาลที่กำหนดสิทธิ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ในกรณีผู้ประกันตนที่เจ็บป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย สามารถรับสิทธิกรณี บำบัดทดแทนไตได้ ตามรายละเอียดด้านล่าง
- ฟอกเลือกด้วยเครื่องไตเทียม ในสิทธิอัตราไม่เกิน 1,500 บาทต่อครั้ง และ ไม่เกิน 4,500 บาทต่อสัปดาห์ เดือนละ 18,000 บาท จ่ายค่าเตรียมหลอดเลือด หรือ สายสวนหลอดเลือด สำหรับฟอสเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายตามรายการหัตถการ และ รายการเวชภัณฑ์ที่สำคัญ ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงตามอัตราที่กำหนด ไม่กำหนดกรอบระยะเวลา
- ผู้ประกันตนที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง ระยะสุดท้ายที่ติดเชื้อเอชไอวี จะจ่ายค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมให้กับสถานพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคม กำหนดในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 4,000 บาทต่อครั้ง และ ไม่เกิน 12,000 บาทต่อสัปดาห์
- การล่างช่องท้องด้วยน้ำยาอย่างถาวรให้สิทธิไม่เกินเดือนละ 20,000 บาท และจ่ายค่าวางท่อสำหรับรับส่งน้ำยาเข้าออกช่องท้องพร้อมอุปกรณ์ในอัตราไม่เกิน 20,000 บาทต่อราย ต่อระยะเวลา 2 ปี หากภายในระยะเวลา 2 ปี ผู้ประกันตนมีความจำเป็นต้องวางท่อส่งน้ำยาล้างช่องท้อง จ่ายเพิ่มอีกไม่เกิน 10,000 บาท
- การล้างช่องท้องด้วยเครื่องล้างไตอัตโนมัติ ให้สิทธิในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไมเ่กิน 32,700 บาท ต่อเดือนสำหรับผู้ประกันตนที่มีความพร้อมในการทำการล้างช่องท้องด้วยเครื่องล้างไต อัตโนมัติ
- การปลูกถ่ายไต จะได้รับสิทธิบริการทางการแพทย์ ก่อน, ระหว่าง และ หลังจากผ่าตัดปลูกถ่ายไต และ รับยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต สำหรับผู้ประกันตนที่มีความประสงค์จะใช้สิทธิบำบัดทดแทนไต จะต้องยื่นขอรับการอนุมัติก่อนที่สำนักงานประกันสังคมก่อน
กรณีผู้ประกันตนต่างชาติ ที่ทำงานในประเทศไทย ต้องมีสำเนาหนังสือเดินทาง Password หรือหนังสือสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และ ใบอนุญาตทำงานถูกต้องตามกฎหมาย
การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ผู้ประกันตนสามารถยื่นขอรับสิทธด้วยวิธีกา
รู้ทัน! สินเชื่อออนไลน์ปลอม มาในรูปแบบไหนบ้าง
ในปี 2568 แม้เทคโนโลยีจะช่วยให้คนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น แต่ก็เปิดช่องให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้ช่องทางออนไลน์ปลอมตัวเป็นผู้ให้สินเชื่อ เพื่อหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินหรือส่งข้อมูลส่วนตัวไปอย่างไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาไปรู้ทันกลลวงที่พบบ่อย พร้อมแนะนำวิธีตรวจสอบและป้องกันตัวอย่างเข้าใจง่าย
ประเภทของสินเชื่อออนไลน์ปลอมที่พบในปี 2568
1. แอปปลอมใน Google Play และเว็บไซต์เถื่อน
กลุ่มมิจฉาชีพสร้างแอปปลอมขึ้นมาโดยใช้ชื่อคล้ายกับแอปธนาคารหรือบริษัทไฟแนนซ์ชื่อดัง เมื่อเหยื่อติดตั้งแล้ว จะมีการขอเข้าถึงข้อมูลในเครื่อง เช่น รูปภาพ รายชื่อ และ SMS รวมถึงหลอกให้กรอกข้อมูลบัตรประชาชน และบัญชีธนาคาร
2. โฆษณาใน Facebook, TikTok, LINE OA
มีการยิงโฆษณาเชิญชวนให้กู้เงินได้ง่าย อนุมัติไว โดยแนบลิงก์ปลอมที่พาไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ เช่นใช้ชื่อบริษัทคล้ายของจริง พร้อมรีวิวปลอมเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ
3. การหลอกผ่านแชทส่วนตัว
มิจฉาชีพอาจทักแชทมาทาง Facebook หรือ LINE โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทสินเชื่อ มีโปรโมชันพิเศษ เช่น ดอกเบี้ยต่ำ วงเงินสูง และใช้คำพูดเร่งรัด เช่น “รีบสมัครก่อนปิดยอดวันนี้” เพื่อกดดันให้ผู้สนใจส่งเอกสารส่วนตัวอย่างเร่งด่วน
4. สินเชื่อหลอกให้โอนค่าธรรมเนียมก่อน
เป็นรูปแบบคลาสสิกที่ยังใช้งานอยู่ในปี 2568 โดยมิจฉาชีพจะขอให้ผู้สมัครโอนเงินล่วงหน้า เช่น ค่าดำเนินการ ค่าประกันวงเงิน หรือค่าธรรมเนียมอนุมัติ แล้วหลังจากนั้นจะตัดการติดต่อ
5. ปลอมเป็นบริษัทสินเชื่อถูกกฎหมาย
บางกรณี มิจฉาชีพสร้างเว็บไซต์ปลอมที่ใช้ชื่อบริษัทที่จดทะเบียนจริง พร้อมแสดงใบอนุญาตปลอมจาก ธปท. หรือ สคบ. ทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นของจริง โดยอาจปลอมโลโก้ เว็บไซต์ และเบอร์โทรติดต่อ
สัญญาณเตือนว่าเป็น “สินเชื่อปลอม”
- ขอให้โอนเงินล่วงหน้าก่อนการอนุมัติ
- ไม่มีการตรวจสอบเครดิตบูโรเลยแม้จะขอกู้วงเงินสูง
- เสนอโปรโมชันเกินจริง เช่น ดอกเบี้ย 0% ตลอดสัญญา
- ใช้ช่องทางติดต่อส่วนตัว เช่น แชท Facebook หรือ LINE ไม่ใช่เบอร์สำนักงาน
- ไม่มีเว็บไซต์อย่างเป็นทางการหรือไม่สามารถตรวจสอบได้บนเว็บไซต์ของ ธปท.
วิธีตรวจสอบก่อนสมัครสินเชื่อ
1. ตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการในเว็บไซต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการเผยแพร่รายชื่อผู้ให้บริการทางการเงินที่ได้รับใบอนุญาต หากไม่มีรายชื่อนั้น ให้ระวังว่าอาจเป็นผู้ให้บริการปลอม
2. อย่าโอนเงินล่วงหน้าเด็ดขาด
ผู้ให้บริการสินเชื่อที่ถูกกฎหมายจะไม่ขอให้ผู้สมัครโอนค่าธรรมเนียมหรือเงินประกันล่วงหน้า หากมีการเรียกเก็บเงินก่อน ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นการหลอกลวง
3. เช็กเว็บไซต์และแอปพลิเคชันอย่างละเอียด
เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือควรมี HTTPS, มีข้อมูลติดต่อชัดเจน และไม่ใช้โดเมนแปลก ๆ เช่น .xyz หรือ .top รวมถึงควรโหลดแอปจาก Google Play หรือ App Store เท่านั้น
4. สังเกตพฤติกรรมเร่งรัดให้โอนหรือสมัครด่วน
กลุ่มมิจฉาชีพมักใช้จิตวิทยาเร่งรัดให้ผู้สมัครทำตาม เช่น บอกว่าต้องรีบอนุมัติก่อนหมดสิทธิ์ ใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการ หรือพูดจาคล้ายบอท
หากเผลอโอนเงินไปแล้วต้องทำอย่างไร?
หากตกเป็นเหยื่อของสินเชื่อปลอม ควรดำเนินการดังนี้
- แจ้งความที่สถานีตำรวจทันที และเก็บหลักฐานทั้งหมด เช่น สลิปการโอน บทสนทนา
- ติดต่อธนาคารเพื่ออายัดบัญชีปลายทาง
- แจ้งความผ่าน ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ที่เว็บไซต์ thaipoliceonline.com
- เตือนผู้อื่นผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อรายต่อไป
ตั้งสติ ก่อนสมัครสินเชื่อออนไลน์
แม้โลกออนไลน์จะทำให้เราสมัครสินเชื่อได้ง่ายขึ้น แต่ก็ต้องมีสติและตรวจสอบให้ดีทุกครั้ง เพราะมิจฉาชีพใช้ช่องทางเดิมซ้ำ ๆ ด้วยกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่ดูแนบเนียนมากขึ้น หากพิจารณาอย่างรอบคอบ จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรแบ่งปันข้อมูลนี้ให้คนใกล้ตัวรู้ทันไปพร้อมกัน