รู้จักกับบัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี
ในยุคที่การเงินต้องใช้ความยืดหยุ่นสูง การมี “บัตรกดเงินสด” ติดตัวไว้ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถจัดการสภาพคล่องได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี ที่สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายจุกจิกในระยะยาวได้ วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับบัตรประเภทนี้ให้ละเอียด พร้อมแนะนำข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจสมัครใช้งาน
บัตรกดเงินสดคืออะไร?
บัตรกดเงินสด (Cash Card) คือ บัตรทางการเงินที่ธนาคารหรือบริษัททางการเงินออกให้แก่ลูกค้า เพื่อให้สามารถเบิกเงินสดล่วงหน้าออกจากวงเงินที่อนุมัติไว้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านตู้ ATM หรือโอนเข้าบัญชีธนาคาร โดยจะมีดอกเบี้ยจากการใช้วงเงิน แต่ไม่มีการคิดดอกเบี้ยหากยังไม่มีการเบิกใช้
คุณสมบัติหลักของบัตรกดเงินสด
- อนุมัติวงเงินล่วงหน้า
- สามารถกดเงินสดผ่านตู้ ATM ได้ทันที
- ไม่มีการใช้วงเงินจะไม่ถูกคิดดอกเบี้ย
- บางบัตรสามารถใช้ผ่อนสินค้าได้
บัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี คืออะไร?
บัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี คือบัตรที่ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมประจำปี ไม่ว่าจะใช้งานหรือไม่ใช้งานก็ตาม ซึ่งต่างจากบางบัตรที่หากไม่มียอดใช้จ่ายตามเกณฑ์ จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปี
จุดเด่นของบัตรไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี
- ไม่ต้องจ่ายค่ารายปีแม้ไม่ใช้งาน
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีวงเงินสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
- ลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว
เปรียบเทียบ: บัตรกดเงินสดแบบมีค่าธรรมเนียมรายปี vs ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี
หัวข้อ | มีค่าธรรมเนียมรายปี | ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี |
---|---|---|
ค่าธรรมเนียมรายปี | มีค่าใช้จ่ายทุกปี (บางกรณีมีเงื่อนไขฟรี) | ไม่มีค่าใช้จ่าย |
เหมาะสำหรับ | ผู้ที่ใช้บัตรบ่อย | ผู้ที่ต้องการสำรองวงเงินเฉย ๆ |
ข้อควรระวัง | ต้องเช็กเงื่อนไขเพื่อรับฟรีค่าธรรมเนียม | มักมีดอกเบี้ยสูงกว่าหากใช้งานจริง |
ข้อดีของบัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี
1. ลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
หลายคนสมัครบัตรไว้ใช้ในยามจำเป็น แต่กลับต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีทั้งที่แทบไม่เคยใช้งาน บัตรที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีจะช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเงินแบบเปล่าประโยชน์
2. เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการการเงิน
คุณสามารถเก็บบัตรไว้เป็นวงเงินสำรองได้ตลอดเวลา หากวันหนึ่งมีเหตุฉุกเฉินก็สามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารายปีสะสม
3. เหมาะกับคนที่มีหลายบัตร
หากคุณมีบัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสดหลายใบ การเลือกแบบที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีจะช่วยลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนในระยะยาว
ข้อควรระวังเมื่อใช้บัตรกดเงินสด
แม้ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี แต่บัตรกดเงินสดมักจะมีดอกเบี้ยที่สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ดังนั้นควรพิจารณาใช้อย่างรอบคอบ และมีแผนชำระเงินคืนที่ชัดเจน
ข้อควรรู้
- ดอกเบี้ยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 18–28% ต่อปี
- การชำระขั้นต่ำเพียงอย่างเดียวจะทำให้คุณใช้เวลานานในการปลดหนี้
- ควรใช้เฉพาะในกรณีฉุกเฉินจริง ๆ
ตัวอย่างบัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีที่น่าสนใจ
- บัตรกดเงินสด Xpress Cash จากธนาคารกสิกรไทย – ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี ใช้กดเงินสดและผ่อนสินค้าได้
- บัตรกดเงินสด SCB Speedy Cash – ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี มีโปรโมชั่นผ่อนสินค้า 0% บางร้านค้า
- บัตรกดเงินสด Krungsri First Choice – ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี และมีวงเงินสูงสุดถึง 500,000 บาท
บัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการวงเงินสำรองโดยไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายรายปี อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรใช้เกินความจำเป็น และต้องมีแผนการชำระเงินคืนที่ชัดเจนเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้สินในอนาคต ก่อนตัดสินใจสมัคร อย่าลืมเปรียบเทียบข้อเสนอจากสถาบันการเงินหลายแห่ง และตรวจสอบเงื่อนไขให้ครบถ้วน เพื่อให้ได้บัตรที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และความสามารถในการชำระของคุณมากที่สุด
กรมควบคุมโรคเผยยอดพุ่งตามฤดูกาล 3 โรคทางเดินหายใจ
กรมควบคุมโรคออกโรงเตือนประชาชน ให้เฝ้าระวัง 3 โรคระบบทางเดินหายใจ แถมออกมาย้ำว่าโควิด-19 เชื้อไม่ได้ก่อให้เกิดอาการรุนแรงขึ้น อัตราการป่วยตายร้อยละ 0.2 แตจ่จะเพิ่มยอดป่วยสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน
กรมควบคุมโรคเปิดเผย ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ช่วงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่เปิดเทอมใหม่ แถมยังเป็นช่วงหน้าฝน ทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ มีโอกาสติดกันได้สูงมากขึ้น โดยเฉพาะ โรคโควิด-19 ตรวจพบผู้ป่วยสะสมแล้ว 221,186 ราย เสียชีวิตแล้ว 52 ราย อัตราการป่วยตาย ร้อยละ 0.2 ทางกรมควบคุมโรคเลยออกมาย้ำเตือนประชาชให้ตระหนัก แต่ไม่ให้ตระหนก เพราะว่าโควิด-19 ถือว่าเป็นเชื้อประจำถิ่น ที่พบผู้ป่วยได้มากในช่วงฤดูฝน, ฤดุหนาว เหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ หรือโรค RSV
10 จังหวัดที่ตรวจพบผู้ป่วยสูงสุด
- ระยอง
- กรุงเทพฯ
- ชลบุรี
- ภูเก็ต
- นนทบุรี
- ปทุมธานี
- นครปฐม
- สมุทรปราการ
- ตราด
- ประจวบคีรีขันธ์
ในส่วนของอัตราการป่วยที่พบมากที่สุดจะพบในเด็กตั้งแต่ 0-4 ปี และเสียชีวิตมากในกลุ่มผู้สูงอายุ อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และสายพันธุ์โควิด-19 ที่ตรวจเจอมากที่สุด แต่ได้ JN.1 ตรวจพบร้อยละ 63.92 โดยพบสายพันธุ์ XEC ลดลง ซึ่งต้องติดตามเป็นระยะ
โรคไข้หวัดใหญ่
นอกจากนี้อีกหนึ่งโรคที่ถูกตรวจพบ และมีจำนวนผู้ป่วยสะสมเยอะถึง 343,721 รายเสียชีวิตสะสม 45 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.013 มีแนวโน้มว่าผู้ป่วยจะลดลง แต่ยังสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง พบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มอายุ 5-9 ปี และ เสียชีวิตมากในกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ สำหรับสายพันธุ์ที่ตรวบพบเยอะเป็นอันดับ 1 จะเป็น A/H1N1 พบร้อยละ 46.55
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
โรคติดเชื้อทางเดินทางใจอัพเสบเฉียบพลัน หรือ โรคปอดอักเสบ พบผู้ป่วยสะสม 189,424 ราย พบผู้เสียชีวิต 276 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.146 สถานการณ์ผู้ป่วยมีแนวโน้มลดลง แต่ยังสูงกว่าปี 2567 และสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลังพบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มอายุ 0-4 ปี และ ผู้เสียชีวิต เยอะสุดยังคงเป็นกลุ่มอายุ 60 ปี ขึ้นไป
ในส่วนของการป้องกัน และ ดูแลตัวเองจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ หากเป็นกลุ่มเสี่ยงก็ให้ลดการเข้าพื้นที่เสี่ยงเช่น ห้างสรรพสินค้า, คอนเสิร์ต, สถานที่ที่ มีการรวมคนจำนวนมาก แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยป้องกัน และขอให้กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนป้องกันโรค
เลือกสมัครบัตรเครดิต UOB แบบไหนดี สำหรับมือใหม่
สำหรับใครที่กำลังคิดจะเริ่มใช้ บัตรเครดิต UOB เป็นใบแรก หลายคนอาจจะสับสนว่าควรเริ่มจากใบไหนดี ใช้แบบไหนถึงจะคุ้ม หรือแม้แต่กลัวจะใช้ผิดวิธีจนเป็นหนี้ไม่รู้ตัว บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวทางการเลือกบัตรให้เหมาะกับตัวเอง และเริ่มต้นใช้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
ทำไมต้องเลือกบัตรเครดิตจาก UOB?
UOB ถือเป็นหนึ่งในธนาคารที่มีบัตรเครดิตให้เลือกหลากหลาย และตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนรุ่นใหม่ เช่น
- บัตรที่เน้นการคืนเงินสด (Cashback)
- บัตรสำหรับคนที่ชอบเดินทาง
- บัตรที่เน้นสะสมคะแนน
- บัตรระดับพรีเมียมที่มาพร้อมสิทธิพิเศษมากมาย
แต่ละใบก็มีจุดเด่นต่างกันออกไป ดังนั้นการเลือกให้เหมาะกับการใช้จ่ายของตัวเองจึงเป็นหัวใจสำคัญ
เริ่มต้นยังไงดี? สิ่งที่มือใหม่ควรรู้ก่อนสมัคร
1. ประเมินพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง
คุณใช้จ่ายส่วนใหญ่กับเรื่องอะไร? กินข้าวนอกบ้าน ช้อปออนไลน์ เดินทางต่างประเทศ หรือเติมน้ำมัน? การรู้ตัวเองช่วยให้เลือกบัตรที่ให้สิทธิประโยชน์ได้ตรงเป้าหมาย
2. ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร
แม้บัตรบางใบจะดูน่าสนใจ แต่ก็อาจมีรายได้ขั้นต่ำที่สูงเกินไป เช่น บัตรระดับ World หรือ Infinity ที่ต้องมีรายได้หลักแสนต่อเดือน สำหรับมือใหม่ รายได้ขั้นต่ำ 15,000 – 30,000 บาทต่อเดือนจะสมัครได้หลายใบแล้ว
3. เปรียบเทียบโปรโมชั่นแต่ละบัตร
บัตรเครดิต UOB มักมีโปรโมชั่นร่วมกับร้านอาหาร ร้านค้า หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee, Agoda หรือแม้แต่ค่าฟิตเนส ลองเทียบดูว่าโปรโมชั่นไหนเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณ
สมัครบัตรเครดิต UOB (บัตรหลัก)ได้ที่นี่
บัตรเครดิต UOB ยอดนิยมสำหรับมือใหม่
1. UOB Lady’s Card
เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ชอบช้อปปิ้งและดูแลตัวเอง มีสิทธิประโยชน์เช่น:
- เลือกหมวดรับเครดิตเงินคืนได้เอง เช่น แฟชั่น, ความงาม, ร้านอาหาร
- ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับร้านค้าที่ร่วมรายการ
2. UOB Preferred Platinum
บัตรที่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้จ่ายออนไลน์และจ่ายผ่าน QR Code เป็นหลัก
- รับคะแนนสะสม 10 เท่า เมื่อใช้จ่ายออนไลน์หรือสแกนจ่าย
- ฟรีค่าธรรมเนียมปีแรก และปีถัดไปหากใช้จ่ายครบตามเงื่อนไข
3. UOB Yolo Platinum
สาย Cashback ต้องสนใจใบนี้ เพราะมีจุดเด่นคือ:
- รับเครดิตเงินคืน 10% สำหรับการใช้จ่ายในหมวดที่ร่วมรายการ
- ครอบคลุมหมวด Grab, BTS, MRT, ร้านอาหาร และช้อปออนไลน์
คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน
อย่าจ่ายขั้นต่ำทุกเดือน
แม้การจ่ายขั้นต่ำจะดูเหมือนช่วยแบ่งเบาภาระรายเดือน แต่จะทำให้คุณเสียดอกเบี้ยสูง และกลายเป็นหนี้สะสมโดยไม่รู้ตัว ควรจ่ายเต็มจำนวนทุกเดือนเพื่อไม่ให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
อย่ากดเงินสดจากบัตรเครดิต
การกดเงินสดจะมีค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยทันทีต่างจากการรูดซื้อสินค้า ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
ตั้งเป้าการใช้บัตรเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ภาระ
อย่าลืมว่าบัตรเครดิตคือเครื่องมือที่ช่วยบริหารสภาพคล่องทางการเงิน หากใช้ถูกวิธีสามารถสะสมคะแนน แลกของรางวัล หรือรับเงินคืนได้อย่างคุ้มค่า
การเลือก บัตรเครดิต UOB สำหรับมือใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก หากเริ่มจากความเข้าใจในพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง และเลือกบัตรที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ ควบคู่กับการใช้บัตรอย่างมีวินัย บัตรเครดิตจะกลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของคุณในชีวิตประจำวัน แทนที่จะเป็นภาระทางการเงิน
ธนาคารกรุงไทย – กสิกรไทย ถอนเงินไม่ใช้บัตร ข้ามธนาคารได้แล้ว
เปิดเผยข้อมูลจากทางธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่าตอนนี้เปิดให้ลูกค้าของธนาคารสามารถถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารได้แล้วกว่า 16,000 ตู้ทั่วประเทศ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ประกาศจากทางธนาคาร กรุงไทย และ ธนาคาร กสิกรไทย แจ้งเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าของธนาคาร กับบริการใหม่ล่าสุด สามารถทำการถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT และ K Plus ได้ทั้งตู้ ATM/CDM ของธนาคารกรุงไทย และ ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 16,000 ตู้ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ลูกค้าของธนาคารกรุงไทยสามารถใช้บริการถอนเงินแบบไม่ใช้บัตร โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เมื่อทำรายการถอนเงินที่ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ ในส่วนของการใช้บริการถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรข้ามธนาคาร ลูกค้าธนาคารกรุงไทย สามารถทำรายการผ่าน Krungthai NEXT เพื่อสร้างรหัสถอนเงิน และนำไปใช้ถอนเงินได้ที่ตู้ ATM/CDM ของธนาคารกสิกรไทย และ ลูกค้าธนาคารกสิกรไทย สามารถทำรายการผ่านแอปพลิเคชั่น K Plus โดยสแกน QR Code ที่หน้าตู้ ATM/CDM ของธนาคารพรุงไทย ทั้งนี้การใช้บริการถอนเงินที่ไม่ใช้บัตรข้ามธนาคาร มีค่าธรรมเนียมตามแต่ละธนาคารกำหนด
รายละเอียดโทรอายัดบัญชี แต่ละธนาคาร
เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับการเงิน เช่น โดนโกงออนไลน์, โดนมิจฉาชีพหลอก, บัตรหาย หรือสงสัยว่าบัญชีถูกแฮก สิ่งที่ควรทำทันทีคือการ โทรอายัดบัญชีธนาคาร เพื่อหยุดการทำรายการ และป้องกันไม่ให้เงินสูญหายเพิ่มขึ้น ในบทความนี้เราจะรวบรวมเบอร์โทรฉุกเฉินของธนาคารต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับอายัดบัญชี รวมถึงคำแนะนำเบื้องต้นที่ควรรู้หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน
อายัดบัญชีคืออะไร และควรทำเมื่อไหร่?
การอายัดบัญชีคือการระงับการทำรายการทางการเงินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการถอน โอน หรือใช้งานบัตร ATM / เดบิต เพื่อป้องกันไม่ให้เงินในบัญชีถูกนำไปใช้โดยผู้ไม่หวังดี การอายัดควรทำทันทีเมื่อ:
- บัญชีถูกแฮก
- โอนเงินผิดบัญชี
- ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
- บัตร ATM / เดบิต / บัตรเครดิต สูญหายหรือถูกขโมย
เบอร์โทรอายัดบัญชีแต่ละธนาคาร
ด้านล่างนี้คือเบอร์โทรที่สามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมงของธนาคารชั้นนำในประเทศไทย
ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
- โทร. 1333 หรือ 02-645-5555 กด 3 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่อายัดบัญชีทันที
ธนาคารกสิกรไทย (KBank)
- โทร. 02-888-8888 กด 001 จากมือถือในประเทศ
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
- โทร. 02-777-7777 กด 2 ตามด้วย 2 อีกครั้งเพื่ออายัดบัตรและบัญชี
ธนาคารกรุงไทย (KTB)
- โทร. 02-111-1111 กด 108 และแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีว่าต้องการอายัดบัญชี
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)
- โทร. 1572 กด 5 ตลอด 24 ชั่วโมง
ธนาคารทีทีบี (ttb)
- โทร. 1428 กด 03 เพื่ออายัดบัตรหรือบัญชี
ธนาคารยูโอบี (UOB)
- โทร. 02-285-1555 กด 1 เพื่อทำรายการอายัด
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB)
- โทร. 02-626-7777 กด 0 แล้วแจ้งขออายัดบัญชี
ธนาคารธนชาต (Thanachart)
- โทร. 1770 กด 0 ติดต่อเจ้าหน้าที่
สิ่งที่ควรเตรียมเมื่อโทรอายัดบัญชี
การเตรียมข้อมูลให้ครบจะช่วยให้การอายัดรวดเร็วและปลอดภัย:
- ชื่อ-นามสกุล เจ้าของบัญชี
- เลขที่บัญชี หรือหมายเลขบัตร
- หมายเลขบัตรประชาชน (ถ้าจำได้)
- เวลาที่พบความผิดปกติ หรือรายการต้องสงสัย
คำแนะนำเพิ่มเติมหลังอายัดบัญชี
หลังจากอายัดบัญชีเรียบร้อยแล้ว ควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
- แจ้งความกับสถานีตำรวจในท้องที่ เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
- เก็บเอกสารและเลขบันทึกแจ้งความไว้ให้ครบ
- แจ้งธนาคารเพื่อดำเนินการขอคืนเงิน (ถ้ามีการสูญเสีย)
- เปลี่ยนรหัสผ่านทุกช่องทางที่เกี่ยวข้องกับบัญชี
การอายัดบัญชีเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสียหายทางการเงินจากเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรจดจำเบอร์โทรฉุกเฉินของธนาคารไว้ให้ดี และหากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ ควรติดต่อธนาคารโดยตรงทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของบัญชีของคุณ
สำนักงานระบายน้ำ กทม. เตรียมความพร้อมวางแผนระบายน้ำ
กรุงเทพมหานคร สำนักงานระบายน้ำ ได้ออกแจ้งถึงความพร้อมในการวางแผนระบายน้ำ และ สถานีระบายน้ำ สูบน้ำ เพื่อรับมือฝนตกหนักในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันน้ำท่วม 50 เขต
เปิดเผยข้อมูลจากผู้อำนวยการสำนักงานการระบายน้ำ กล่าวถึงการเตรียมตัวเพื่อร้องรับสถานการณ์ฝนตกตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเกี่ยวกับฝนตกหนัก และ ตกหนักมากบางแห่ง เนื่องจากประเทศไทยตอนนี้เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งทางสำนักการระบายน้ำ และ กทม. ได้ดำเนินการตามแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯร่วมกัน
กรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมด้านระบายน้ำและสถานีสูบน้ำ
- อุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง
- สถานีสูบน้ำ 200 แห่ง
- ประตูระบายน้ำ 243 แห่ง
- บ่อสูบน้ำที่ช่วยระบายน้ำในท่อ 349 แห่ง
- ลดระดับน้ำในแก้มลิงให้อยู่ในระดับต่ำเพื่อรองรับน้ำฝน
การบริหารจัดการและเจ้าหน้าที่
- จัดเจ้าหน้าที่ประจำอุโมงค์ระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ และ บ่อสูบน้ำตลอด 24 ชั่วโมง
- จัดหน่วยปฎิบัติการเร่งด่วนเคลื่อนที่ BEST เข้าพื้นที่ทันทีเมื่อมีฝนตก
- ตรวจสอบและเร่งระบายน้ำในพื้นที่เสี่ยง ณ จุดเฝ้าระวัง และ บริเวณอุโมงค์ทางลอดต่างๆ
การจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ
- เก็บขยะ บริเวณหน้าสถานีสูบน้ำ
- เก็บขยะหน้าตะแกรงรับน้ำฝน
- เก็บวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำ เพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างรวดเร็ว
การสนับสนุนและช่วงเหลือ
- ให้ความช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขัง
- เตรียมเครื่องจักรและอุปกรณ์สำรอง เช่น เครื่องสูบน้ำเครื่องที่, เครื่องผลักดันน้ำ, เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองประจำสถานีสูบน้ำในกรณีไฟฟ้าขัดข้อง, รถเครน, และ รถบรรทุกติดตั้งเครนยกไฮดรอลิก
นอกจากนี้ยังได้มีการประสานงานร่วมกันสำนักงานเขตทั้ง 50 สำนักงานเขต เพื่อจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกัน และ แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ภายในสำนักงานเขต เพื่อเป็นศูนย์ให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบเหตุน้ำท่วมหรืออื่นๆ พร้อมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสนับสนุนปฎิบัติการ
ประกาศอัพเดต แอปฯทางรัฐ เพิ่มบริการรถไฟฟ้า 20 บาท
แอปฯทางรัฐ โดย DGA Thailand ได้ออกมาประกาศบริการสำคัญสำหรับประชาชน ทั้งการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่ลงทะเบียนใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย
แอปพลิเคชั่นทางรัฐ เตรียมตัวยกระดับการให้บริการครั้งสำคัญ พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่หลากหลายรายการ ที่จะช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการและบริการต่างๆ จากภาครัญได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และ โปร่งใส มากขึ้น สำหรับแอปทางรัฐ เป็นแอปที่ถูกพัฒนามาเพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถทำธุรกรรมภาครัฐได้อย่างครบถ้วนในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบสิทธิ, ตรวจสอบเงินช่วยเหลือ, หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐ
จากการประกาศล่าสุด ทีมพัฒนาได้เตรียมปล่อยบริการใหม่ ที่จะสามารถใช้งานได้เร็วๆนี้ เพื่อเป็นการขยายขอบเขตการให้บริการและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
บริการใหม่ที่เตรียมเปิดให้บริการผ่านแอปฯทางรัฐ
1. ลงทะเบียนบัตรสวัสดิาการแห่งรัฐรอบใหม่: สำหรับผู้ที่กำลังรอคอยการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่ 2568 มีการคาดการณ์ว่าเกณฑ์คุณสมบัติใหม่ที่จะประกาศออกมานั้น มีความเหมาะสมครอบคลุมผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริงมากยิ่งขึ้น
หลักเกณฑ์เบื้องต้น
- ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทยอายุ 18 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป
- มีรายได้ส่วนบุคคลไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี และมีรายได้เฉลี่ยต่อคนในครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
- มีทรัพย์สินทางการเงินรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน และไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปีในระดับครอบครัว
- ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือ ที่ดิน เกินจากเกณฑ์ที่กำหนด
- ไม่มีบัตรเครดิต
- ไม่มีวงเงินกู้บ้านตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป
- ไม่มีวงเงินกู้ซื้อรถไม่เกิน 1 ล้านบาทขึ้นไป
- ไม่เป็นผู้ที่ถูกตัดสิทธิตามเงื่อนไข เช่น พระภิกษุ, ผู้ต้องขัง, ข้าราชการบางประเภท
2. ลงทะเบียนใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย สำหรับประชาชนที่ต้องการรับสิทธิโครงการค่าโดยสารราคาพิเศษ
3. กองทุนหมู่บ้าน เข้าถึงบริการกองทุนหมู่บ้าน และ ชุมชนเมืองเพื่อสนับสนุนพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
4. กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ติดตามโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ส่งเสริมความเข้มแข็งของผู้หญิงในชุมชน
5. ระบบแจ้งเตือนข่าวสาร สิทธิสวัสดิการแบบ Real Time เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนจะไม่พลาดโอกาสสำคัญในการรับสิทธิจากภาครัฐ
การพัฒนาแอปฯทางรัฐ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาภาครัฐที่มุ่งนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลและบริการ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่อาจขาดโอกาสในการเดินทางหรือเข้าถึงช่องทางการรับบริการแบบดั้งเดิม
ประชาชนสามารถทำการดาวน์โหลดแอปฯทางรัฐได้ในระบบ iOS และ Android
ก่อนอายุ 30 เก็บเงินก้อนแรกยังไงให้ได้ 100,000 บาท
ก่อนอายุ 30 ปีหลายๆคนเคยคิดหรือไม่ว่าอยากจะออมเงินให้ได้เท่าไหร่ก่อนอายุ 30 เงินหนึ่งแสนบาทอาจดูเป็นเป้าหมายที่ใหญ่สำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน แต่ความจริงแล้ว การเก็บเงินก้อนแรกให้ได้ภายในอายุ 30 ปีไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน หากรู้จักวางแผนและลงมือทำอย่างจริงจัง บทความนี้จะช่วยแนะนำขั้นตอนง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำตามได้ เพื่อให้เป้าหมาย “เงินเก็บ 1 แสน” กลายเป็นจริง
ทำไมต้องเริ่มเก็บเงินตั้งแต่อายุน้อย?
หลายคนมักมองว่า “เดี๋ยวหาเงินได้มากกว่านี้ค่อยเก็บ” หรือ “รอมีรายได้มั่นคงก่อน” แต่ความจริงแล้วการเริ่มเก็บเงินตั้งแต่อายุน้อยจะช่วยสร้างวินัยทางการเงิน และมีเวลาให้เงินเติบโตผ่านการลงทุนหรือดอกเบี้ยทบต้นได้มากกว่า
ข้อดีของการมีเงินเก็บเร็ว
- มีเงินสำรองยามฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วย ตกงาน หรืออุบัติเหตุ
- สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เร็ว เช่น หุ้น กองทุน หรืออสังหาริมทรัพย์
- ลดความเครียดด้านการเงินในอนาคต
ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
ก่อนจะเริ่มเก็บเงิน ต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายคืออะไร ในที่นี้คือเงิน 100,000 บาทภายในอายุ 30 ปี สมมติว่าเริ่มต้นตอนอายุ 23 ปี จะมีเวลาเก็บประมาณ 7 ปี หรือ 84 เดือน
ตัวอย่างการแบ่งเป้าหมาย
- เป้าหมาย: เก็บเงิน 100,000 บาท ภายใน 84 เดือน
- 100,000 ÷ 84 = ต้องเก็บประมาณ 1,200 บาทต่อเดือน
- หากมีเวลาแค่ 5 ปี: 100,000 ÷ 60 = เก็บเดือนละประมาณ 1,667 บาท
จะเห็นได้ว่า ยิ่งเริ่มเร็ว จำนวนเงินต่อเดือนที่ต้องเก็บจะยิ่งน้อยลง และไม่รู้สึกกดดัน
5 วิธีเริ่มเก็บเงินให้ถึง 100,000 บาท
1. แยกรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ
เริ่มต้นด้วยการจดบันทึกทุกบาทที่ใช้จ่าย เพื่อให้เห็นภาพว่ารายจ่ายส่วนไหนลดได้บ้าง ลองใช้แอปพลิเคชันช่วยบันทึก เช่น Piggipo, Spendee หรือ Excel Sheet ธรรมดาก็ได้
2. กำหนด “เงินออมก่อนใช้”
ทุกครั้งที่ได้เงินเดือน ให้แบ่งเงินออมทันที เช่น 10% หรือ 15% แล้วค่อยนำส่วนที่เหลือมาใช้จ่าย การออมก่อนใช้จะช่วยป้องกันการใช้จ่ายเกินตัว
3. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
- งดชานมไข่มุก หรือกาแฟแบรนด์ทุกวัน
- จำกัดการกินข้าวนอกบ้าน
- เลิกซื้อของตามกระแสที่ไม่ได้ใช้จริง
4. หารายได้เสริม
หากเก็บจากเงินเดือนอย่างเดียวแล้วยังไม่พอ ลองหารายได้พิเศษ เช่น ขายของออนไลน์, เขียนบทความ, รับงานแปล หรือขับแกร็บในเวลาว่าง เพียงมีรายได้เพิ่มอีกเดือนละ 1,000 บาท ก็จะทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
5. เปิดบัญชีแยกสำหรับเงินออม
อย่าเก็บเงินออมไว้ในบัญชีเดียวกับเงินใช้จ่าย ให้เปิดบัญชีใหม่แยกไว้โดยเฉพาะ และไม่พกบัตร ATM ของบัญชีนี้ เพื่อไม่ให้ถอนออกง่าย ๆ
การลงทุนเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มต้น
หากสามารถเก็บเงินได้ถึงระดับหนึ่ง เช่น 20,000-30,000 บาท การนำเงินไปลงทุนเพื่อให้เติบโตเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ทางเลือกการลงทุน
- กองทุนรวม: เหมาะสำหรับมือใหม่ มีผู้จัดการกองทุนดูแล
- บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง: เช่น บัญชีดิจิทัลจากธนาคารต่าง ๆ
- ตราสารหนี้: ความเสี่ยงต่ำ รายได้คงที่
สร้างแรงจูงใจในการเก็บเงิน
การมีเป้าหมายอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง
- ตั้งรางวัลให้ตัวเองเมื่อเก็บได้ตามเป้า
- หาเพื่อนร่วมเป้าหมาย มาช่วยกันเตือนและแบ่งปันไอเดีย
- ติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ เช่น เช็กยอดทุกปลายเดือน
การเก็บเงิน 100,000 บาทก่อนอายุ 30 ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเริ่มต้นวางแผนเร็ว มีวินัย และมีความมุ่งมั่นในการลงมือทำ ความสำเร็จจะไม่ใช่เรื่องไกลตัว และเมื่อถึงเป้าหมายแรกแล้ว เป้าหมายถัดไปก็จะดูเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นในชีวิตการเงินระยะยาว
เปิดเผยข้อมูลจากกรมสรรพากร พิจารณาปรับแก้กฎกระทรวงเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศ
อัพเดทจากทางกรมสรรพากร พิจารณาปรับแก้กฎกระทรวงเก็บเงินภาษีเงินได้จากต่างประเทศ ที่นำเข้ามาในประเทศไทย เพื่อผ่อนคลายกฎเกณฑ์การเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศ ที่นำกลับเข้ามาในประเทศไทย หากเงินได้นั้นเกิดขึ้น และถูกนำกลับมาภายใน 2 ปีภาษีจะได้รับการยกเว้นโดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ทางกรมสรรพากรพบว่าคนไทยที่มีการลงทุนในต่างประเทศ มีตัวเลขสูงถึง 2 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทเช่น อสังหาริมทรัพย์, ประกัน, หุ้น, ตราสารหนี้ ซึ่งเงินทุนเหล่านี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบดอกเบี้ย, เงินปันผล, หรือ กำไรที่เกิดจากการขายสินทรัพย์ และ อื่นๆ จะได้ยอดราวๆหลักแสนล้านบาท การจูงใจให้เงินเหล่านี้ไหลกลับเข้าประเทศจะช่วยกระตุ้นตลาดในประเทศให้กลับมาคึกคักยิ่งขึ้น
หลักการในการจัดเก็บภษาีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทยนั้น อ้างอิงจากแหล่งเงินทุน นั่นก็คือเงินได้ที่เกิดขึ้นในไทย และ หลักถิ่นที่อยู่ สำหรับผู้ที่อาศัยในไทยรวมกันเกิน 180 วันในปีนั้น หากมีเงินได้จากต่างประเทศ เมื่อนำเข้ามาในไทยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามหลักของ World Wide Income รวมถึงคนไทยที่มีเงินได้จากต่างประเทศ โดยมีการปรับเกณฑ์ไปแล้วเมื่อ 1 มกราคม 2567 ที่กำหนดให้เงินได้จากต่างประเทศที่เกิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป หากนำเข้าไทยเมื่อไหร่ต้องเสียภาษีเมื่อนั้น เพื่อความเป็นธรรม เนื่องจากก่อนหน้านี้ หากนำเงินเข้ามาในปีถัดไปจะไม่ต้องเสียภาษี
ในส่วนของหลักเกณฑ์ใหม่ที่กำลังพิจารณาอยู่ในตอนนี้ ก็คือหากเงินได้จากต่างปะเทศ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี่ 2567 เป็นต้นไป ถูกนำกลับเข้าไทยภายใน 2 ปีภาษี นับจากปีที่เงินนั้นเกิดขึ้น มีโอกาสได้รับการยกเว้นภาษี แต่หากนำเกลับเข้ามาหลังจากนั้นต้องเสียภาษีตามปกติ ทั้งนี้ การเสียภาษีซ้ำซ้อน ทางกรมสรรพากรมีกลไก เครดิตภาษี ตามาตราฐานสากล กล่าวคือ หากเงินได้ต่างประเทศถูกหักภาษีในต่างประเทศไปแล้ว ผู้เสียภาษีสามารถนำภาษีที่เสียไปนั้นมาหักออกจากภาษีที่ต้องเสียในไทยได้ โดยจำนวนที่เครดิตได้ จะไม่เกินภาษีที่เสียไปในต่างประเทศ หรือไม่เกินภาษีที่ต้องเสียในประเทศไทย แต่จำนวนใดจะน้อยกว่า ซึ่งกำไลนี้อยู่ใต้อนุสัญญาภาษีซ้อนที่ไทยมีกับ 61 ประเทศทั่วโลก
3 แนวทางรีดรายได้เพิ่มจากกรมสรรพากร
นอกจากนี้กรมสรรพากร ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาการศึกษาเพื่อขยายฐานภาษีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกันที่กรมสรรพากรกำลังศึกษา
- การปรับปรุงเชิงนโยบาย จากกฎหมายที่มีอยู่แล้วซึ่งสามารถสั่งการได้ทันทีอยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาล ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มอัตราจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จากปัจจุบันที่มีนโยบายลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% จาก 10%
- การปรับปรุงเชิงบริหาร สำหรับภาษีบางรายการที่จัดเก็บได้ไม่มาก โดยสามารถออกกฎระเบียบเพิ่มเติมเพื่อให้การจัดเก็บรายได้มีประสิทธิภาพ เช่น การออกกฎกระทรวงเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้จากต่างประเทศ
- การปรับปรุงเชิงโครงสร้าง เช่นการศึกษาการยกร่างกฎหมายใหม่ ในการจัดเก็บภาษี เพื่อส่งเสริมในมิติรายได้รัฐ หรือ กรณีอื่นๆ เช่นภาษีที่เก็บจากคนที่เดินทางไปต่างประเทศ
เช็คด่วนใครได้เงิน 900 บาทจากประกันสังคมบ้าง?
ผู้ประกันตน มาตรา 33 และ มาตรา 39 รับเงินคืนจากประกันสังคม 900 บาท ในพื้นที่ 55 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วาตภัยและอุทกภัยนาน 6 เดือน
ประกาศจากสำนักงานประกันสังคม สปส. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้ประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วาตภัยและอุทกภัยนาน 6 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ไปจนถึงเดือน มีนาคม 2568 เฉพาะพื้นที่ 55 จังหวัด ด้วยการปรับลดเงินสมทบประกันสังคม ม.33 และ ม.39
- ผู้ประกันตน ม.33 และ นายจ้าง ปรับจาก 5% เหลือ 3%
- ผู้ประกันตน ม.39 จาก 432 บาทเหลือ 283 บาท
ล่าสุดประกันสังคมเริ่มทยอยโอนเงินส่วนต่างที่จ่ายเกินให้กับผู้ประกันตนตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไปเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานกาณ์ดังกล่าว ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ มาตรา 39 ที่จ่ายเงินสมทบเงิน จะได้จำนวนเงินที่ได้รับคืนสูงสุด 900 บาทต่อคน ขึ้นอยู่กับฐานเงินเดือน และ ยอดเงินที่จ่ายเกินจริงในช่วงเวลานั้น และ ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ต้องลงทะเบียนเพราะนายจ้างจะต้องเป็นผู้ยื่นเรื่องเท่านั้น โดยใครที่อยู่ในพื้นที่ 55 จังหวัด สามารถรอรับเงินคืนได้เลย