กำหนดแนวทางใช้เงิน 8,000 ล้านบาทดัน รถไฟฟ้า 20 บาท

รอลุ้นรถไฟฟ้า 20 บาท จากการตรวจสอบล่าสุด ยังอยู่ในช่วงหารือระหว่าง คลังกับทางด้าน รฟม. เริ่มต้นกันยายน 2568 นี้ ในส่วนของการกำหนดแนวทางจัดใช้เงินให้ถูกระเบียนกฎหมาย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์นี้

ทางด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรื่องกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้านโยบายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นฉบับปรับปรุงให้มีควมทันสมัยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และ สนับสนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย เพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

แต่อยา่งไรก็ดียังสามารถดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาได้เนื่องจากกระทรวงการคลังมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้เงินกำไรสะสมของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ที่ได้ส่วนแบ่งรายได้ของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เพื่อไปใช้ชดเชยส่วนต่างรถไฟฟ้า สายสีอื่นซึ่งอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้โดยตรง ทำให้ต้องมีการหารือในรูปแบบการใช้เงินให้รอบคอบ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียนกฎหมาย คาดว่าน่าจะหารือเสร็จภายใน 2 สัปดาห์

ทางด้านนายสุริยะ ยังกล่าวด้วยความมั่นใจว่า จะสามารถผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายได้ตามเป้าหมายภายใน 30 กันยายน 2568 นี้ ปัจจุบันมีความพร้อมในผลการศึกษาทั้งหมด เหลือเพียงการหารือเพื่อนำเงินกำไรของ รฟม. มาเข้ากองทุนตั๋วรวม และชดเชยส่วนต่ายรายได้ที่เกิดขึ้นในรถไฟสายอื่นๆ สำหรับตัวเลข จะใช้เงินชดเชยเพียง 8,000 ล้านบาทต่อปี ไม่มีการปรับเพิ่มกรอบวงเงินเป็น 9,500 ล้านบาท

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่กรุงเทพมหานคร มีแนวคิดว่ารถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ควรมีผู้บริหารจัดการหน่วยงานเดียว หรือ Single Owner เพราะจะทำให้การบริหารจัดการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะหารือกับกระทรวงคมนาคม เพื่อโอนสิทธิในการบริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับกระทรวงคมนาคม ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี เนื่องจากกระทรวงต้องการบริหารรถไฟฟ้าให้เป็นระบบและมาตราฐานเดียวกันอยู่แล้ว

 

 

AI จะเข้ามาแทนที่อาชีพไหน ในอนาคต?

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและรูปแบบการทำงานของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การใช้งานแชทบอทตอบคำถามลูกค้า ไปจนถึงระบบอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรม คำถามที่หลายคนเริ่มตั้งขึ้นคือ “แล้วอาชีพของเราจะถูกแทนที่ด้วย AI หรือไม่?” บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจว่า AI มีบทบาทกับการทำงานอย่างไร อาชีพใดที่เสี่ยงมากที่สุด และควรเตรียมตัวอย่างไรในยุคที่เทคโนโลยีไม่หยุดนิ่ง

AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตจริงได้อย่างไร?

AI ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ด้วยพลังของ Big Data, Cloud Computing และ Machine Learning ทำให้ระบบ AI ในปัจจุบันฉลาดขึ้นกว่าเดิมมาก ระบบเหล่านี้สามารถเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาล และตัดสินใจได้เองในบางสถานการณ์ เช่น:

  • ระบบแนะนำสินค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์
  • รถยนต์ไร้คนขับที่วิเคราะห์เส้นทางและความปลอดภัย
  • การวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพเพื่อตรวจหาโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
  • การเขียนบทความหรือสร้างคอนเทนต์เบื้องต้นด้วย Generative AI

อาชีพไหนที่กำลังถูก AI แทนที่?

AI เข้ามาแทนที่อาชีพได้รวดเร็วโดยเฉพาะงานที่มีลักษณะซ้ำซาก มีรูปแบบตายตัว หรือสามารถประมวลผลจากข้อมูลได้โดยไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มาก

1. พนักงานคอลเซ็นเตอร์ และบริการลูกค้า

หลายบริษัทเริ่มหันมาใช้แชทบอทหรือ Voice AI ในการตอบคำถามลูกค้า เพราะสามารถให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุด

2. พนักงานเก็บเงิน และแคชเชียร์

ระบบชำระเงินอัตโนมัติ เช่น Self-Checkout และ Mobile Payment ทำให้ร้านค้าบางแห่งไม่ต้องพึ่งพาพนักงานหน้าร้านมากเหมือนเดิม

3. พนักงานด้านเอกสาร และธุรการ

งานอย่างการกรอกแบบฟอร์ม ตรวจสอบข้อมูล หรือตรวจคำผิด เริ่มถูกแทนที่ด้วยระบบ OCR และ AI ด้านภาษา

4. งานผลิตในโรงงาน

แขนกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมช่วยให้งานผลิตทำได้แม่นยำและรวดเร็วกว่ามนุษย์โดยไม่ต้องพัก

5. นักแปลภาษาเบื้องต้น

AI อย่าง Google Translate หรือ DeepL ทำให้การแปลภาษาทั่วไปสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้คนจริงในหลายกรณี

อาชีพที่ยัง “มั่นคง” ในยุค AI

แม้หลายอาชีพจะถูก AI แทนที่ แต่อาชีพที่ต้องใช้ “ความเข้าใจเชิงลึก ความคิดสร้างสรรค์ หรือทักษะมนุษย์” ยังยากที่ระบบใดจะมาแทนที่ได้ทั้งหมด

1. นักจิตวิทยา และนักบำบัด

AI ยังไม่สามารถเข้าใจอารมณ์ ความซับซ้อนของจิตใจ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง

2. นักออกแบบ และศิลปิน

แม้ AI จะสร้างภาพหรือเพลงได้ แต่การออกแบบเชิงแนวคิด หรือศิลปะที่มีอารมณ์ ยังเป็นเรื่องของมนุษย์โดยแท้

3. วิศวกร และนักพัฒนาเทคโนโลยี

AI อาจช่วยวิเคราะห์หรือแนะนำโค้ดได้ แต่การวางโครงสร้างระบบและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ยังคงต้องใช้มนุษย์เป็นหลัก

4. งานบริการที่ต้องสัมผัสจริง เช่น ช่างไฟ ช่างประปา

งานที่ต้องใช้แรงกาย ความชำนาญในพื้นที่จริง และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยังต้องใช้มนุษย์เป็นหลัก

เราจะอยู่ร่วมกับ AI อย่างไร?

แทนที่จะมองว่า AI มาแย่งงาน การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีและใช้มันให้เกิดประโยชน์จะเป็นแนวทางที่ยั่งยืนกว่า โดยเฉพาะการ “Upskill” และ “Reskill” ทักษะใหม่ ๆ อย่างเช่น:

  • การเรียนรู้เกี่ยวกับ Data Analysis และ AI เบื้องต้น
  • ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา
  • การสื่อสารและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • ทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีสร้างสรรค์ เช่น การเขียนคอนเทนต์ การตัดต่อวิดีโอ หรือ UX/UI

อนาคตของงานอยู่ในมือเรา

AI อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะถูกแทนที่ทั้งหมด อนาคตยังต้องการมนุษย์ที่มีความยืดหยุ่น เรียนรู้เร็ว และปรับตัวได้เก่ง การเตรียมตัวล่วงหน้าในวันนี้ จะทำให้เราสามารถก้าวทันเทคโนโลยี และเปลี่ยนความกลัวให้เป็นโอกาส

บัตรเครดิต UOB ดีไหม? เจาะลึกสิทธิประโยชน์และข้อควรรู้ก่อนสมัคร

หากคุณกำลังมองหาบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การท่องเที่ยว และการสะสมคะแนนแลกของรางวัล บัตรเครดิต UOB ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย แต่คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ “บัตรเครดิต UOB ดีไหม?” บทความนี้จะพาคุณไปรีวิวอย่างละเอียด ตั้งแต่จุดเด่น จุดด้อย ค่าธรรมเนียม ไปจนถึงแนะนำบัตรรุ่นยอดนิยมที่คุ้มค่าน่าใช้ในปี 2025

รู้จักกับธนาคาร UOB และบัตรเครดิตในเครือ

ธนาคารยูโอบี (United Overseas Bank) เป็นธนาคารจากสิงคโปร์ที่มีสาขาทั่วเอเชีย รวมถึงประเทศไทย บัตรเครดิตของ UOB มีความโดดเด่นทั้งในด้านสิทธิพิเศษ การคืนเงิน การสะสมคะแนน และความร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลก เช่น Marriott, Agoda, และสายการบินชั้นนำ

บัตรเครดิต UOB ที่คนไทยนิยมสมัคร

  • บัตรเครดิต UOB Preferred Platinum
  • บัตรเครดิต UOB Lady’s
  • บัตรเครดิต UOB One
  • บัตรเครดิต UOB Privi Miles
  • บัตรเครดิต UOB Premier

>> สมัครบัตรเครดิต UOB (บัตรหลัก)ได้ที่นี่ <<

4 ข้อดีของบัตรเครดิต UOB

1. สิทธิพิเศษด้านไลฟ์สไตล์

UOB มีโปรโมชันร่วมกับร้านอาหาร โรงแรม และสปาชั้นนำเป็นประจำ โดยเฉพาะบัตร UOB Lady’s ที่เน้นการช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงโดยเฉพาะ

2. สะสมคะแนนง่าย แลกของรางวัลไว

ระบบ UOB Rewards Plus ให้คุณสะสมคะแนนจากทุกยอดใช้จ่าย 25 บาท = 1 คะแนน และสามารถแลกของรางวัล หรือใช้แทนเงินสดในการจองเที่ยวบินและโรงแรมได้ทันที

3. มีบัตรที่เน้นการคืนเงิน

เช่น UOB One Card ที่ให้เงินคืนสูงสุดถึง 15% ตามหมวดที่กำหนด ช่วยประหยัดในการใช้จ่ายประจำวันได้จริง

4. การแบ่งจ่าย 0% และสิทธิประโยชน์ผ่อนสินค้า

ร่วมกับพันธมิตรทางร้านค้า เช่น Power Buy, Central และ Shopee ให้คุณสามารถผ่อน 0% ได้นานสูงสุดถึง 10 เดือน

ข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนสมัคร

1. วงเงินอนุมัติอาจไม่สูงเท่าบัตรเจ้าอื่น

จากประสบการณ์ของผู้ใช้บางราย พบว่าการอนุมัติวงเงินของ UOB มีความเข้มงวด และเริ่มต้นวงเงินอาจไม่สูงมากเมื่อเทียบกับธนาคารอื่น

2. เงื่อนไขการฟรีค่าธรรมเนียมรายปี

ผู้ใช้ต้องมียอดใช้จ่ายตามเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อขอยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี มิฉะนั้นอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2,000 – 5,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับรุ่นของบัตร

3. ระบบแอป UOB TMRW ยังพัฒนา

ถึงแม้จะมีแอปพลิเคชันให้ใช้งาน แต่ยังไม่ถือว่าลื่นไหลหรือใช้งานง่ายเท่ากับแอปของธนาคารอื่นบางแห่ง

บัตรเครดิต UOB รุ่นแนะนำในปี 2025

UOB Privi Miles

  • เหมาะสำหรับสายเที่ยว สะสมคะแนนเร็ว ใช้แลกไมล์กับสายการบินต่างประเทศได้ เช่น Thai Airways, Emirates, และ Singapore Airlines

UOB Lady’s Card

  • บัตรที่ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ มีหมวดหมู่สิทธิพิเศษให้เลือกเอง เช่น ช้อปปิ้ง สุขภาพ หรือความงาม พร้อมโปรโมชั่นส่วนลดจากร้านค้าแบรนด์เนม

UOB Preferred Platinum

  • ตอบโจทย์คนเมือง ใช้จ่ายในหมวดดิจิทัล เช่น แกร็บ Netflix Shopee ได้คะแนน 10 เท่า พร้อมดีลร้านอาหารในเครือ Marriott และ Hyatt

การสมัครบัตรเครดิต UOB

คุณสมบัติผู้สมัคร

  • รายได้ขั้นต่ำ 15,000 – 70,000 บาท/เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นบัตร
  • มีประวัติเครดิตดี ไม่มีหนี้เสีย
  • เอกสารประกอบ เช่น สลิปเงินเดือน, Statement 3-6 เดือน

ช่องทางสมัคร

สามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ UOB, สาขาธนาคาร, หรือช่องทางออนไลน์ผ่านพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ ได้

บัตรเครดิต UOB ดีจริงไหม คุ้มที่จะสมัครรึเปล่า?

จากการรีวิวทั้งหมดจะเห็นว่า บัตรเครดิต UOB มีจุดเด่นทั้งด้านสิทธิประโยชน์และโปรโมชันที่ตอบโจทย์หลายกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะสายช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว และสะสมคะแนน แม้จะมีข้อจำกัดบางประการในเรื่องค่าธรรมเนียมและระบบแอป แต่ในภาพรวมก็ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ต้องการบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง

ก่อนสมัครควรเลือกบัตรให้ตรงกับรูปแบบการใช้จ่ายของตนเอง พร้อมอ่านรายละเอียดเงื่อนไขของแต่ละรุ่นอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

 

ประกันสังคมจ่ายเงิน 750 บาท ได้อะไรบ้าง

เงินสมทบ 750 บาท ผู้ประกันตนได้สิทธิอะไรบ้าง ทั้งในกรณีเจ็บป่วย ชราภาพ ว่างงาน หรือ เสียชีวิต สิทธิผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครองจากการนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือนในอัตรา 5% ของค่าจ้างซึ่งนายจ้างที่ได้รับสมทบในอัตรา 5% นอกจากนี้ยังมีส่วนสมทบในอัตรา 2.75% รวมทั้ง 3 เป็น 12.75% สำหรับใช้ในการจ่ายสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 กรณี ให้กับผู้ประกันตน

  • กรณีเจ็บป่วย
  • ประสบอัตราย
  • กรณีคลอดบุตร
  • กรณีทุพพลภาพ
  • กรณีตาย
  • กรณีสงเคราะห์บุตร
  • กรณีชราภาพ
  • กรณีว่างงาน

เงินสมทบ 750 บาท เช็คสิทธิประโยชน์แต่ละกรณี

สำนักงานประกันสังคม จัดสรรจ่ายสิทธิประโยชน์แต่ละกรณี ตามรายละเอียดด้านล่าง

  • 4.5% หรือ 675 บาท นำไปใช้ในกรณีเจ็บป่วย ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ทันตกรรม และ เงินทดแทนการขาดรายได้ที่ต้องหยุดพักรักษาตัวตามแพทย์สั่ง, ค่าคลอดบุตร, รวมถึงค่าฝากครรภ์ และ เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร, เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ, เงินจัดการศพและเงินสงเคราะห์กรณีตาย
  • 7% หรือ 1,050 บาท นำไปใช้ในกรณีชราภาพ และ สงเคราะห์บุตร โดยเป็นเงินออมกรณีบำเหน็จบำนาญชราภาพให้ผู้ประกันตน 900 บาท และกรณีสงเคราะห์บุตร 150 บาท
  • 1.25% หรือ 187.50 บาท นำไปใช้สำหรับการจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน

ไม่ใช่ผู้ประกันตนทุกคน ที่ต้องชำระเงินสมทบ 750 บาทต่อเดือน ผู้ประกันตนมีค่าจ้างไม่ถึง 15,000 บาท จะชำระในอัตรา 5% ของค่าจ้างจริง เช่นค่าจ้าง 10,000 บาท จะจ่ายเงินสมทบในอัตรา 500 บาทต่อเดือน

สำหรับผู้ประกันตนที่เสียชีวิต ทายาทผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินค่าทำศพ เงินสงเคราะห์กรณีตายและเงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตน เป็นหลักประกันว่าหากเกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้นก็ยังมีสิทธิประโยชน์จากสำนักงานประกันสังคมให้การดูแลแก่ครองครัวของผู้ประกันตน หรือพี่น้องแรงงานท่านใด ที่ข้อสงสัยส

วันหยุดยาวเดือนมิถุนายน 2568 ได้หยุดวันไหนบ้าง?

เปิดรายละเอียดวันหยุดยาว มิถุนายน 2568 จะได้เตรียมตัววางแผนเดินทางไปเที่ยวกัน ต้องเช็คให้แน่ใจก่อนว่า วันหยุดราชการ, วันหยุดธนาคาร ในเดือนมิถุนายน 2568 นั้น จะมีวันหยุดวันไหนบ้าง

หลังจากที่เราผ่านวันหยุดยาวในเดือนพฤษภาคม 2568 มาได้ไม่กี่วัน คนไทยหลายๆคนก็เริ่มหาวันหยุดยาวในเดือนมิถุนายนกันแล้ว เนื่องจากจะได้เตรียมความพร้อมที่จะเดินทางไปเที่ยว หรือ กลับบ้านต่างจังหวัด เพราะว่าหยุดยาวที่ผ่านมาไม่ได้เดินทางกลับบ้าน เนื่องจากค่าเดินทางแพงมากในช่วงวันหยุดยาวในเดือนพฤษภาคม 2568 เพราะฉะนั้นเรามาเช็คกันให้ชัวร์ว่า วันหยุดในเดือนมิถุนายน 2568 นั้นจะมีวันหยุดยาววันไหนให้เราได้เลือกหยุด และ ลาเพิ่มกันบ้าง

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2568 

  • วันหยุดเพิ่มกรณีพิเศษ (เป็นวันหยุดข้าราชการ และ ธนาคาร)

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2568 

  • วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี (เป็นวันหยุดราชการ และ ธนาคาร)

จากข้อมูลวันหยุดดังกล่าว ส่งผลให้ช่วงเดือนมิถุนายน 2568 มีวันหยุดยาวถึง 4 วันด้วยกัน เริ่มตั้งแต่วันตามรายละเอียดด้านล่าง

  • วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2568
  • วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568
  • วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2568 (บางบริษัทอาจจะไม่หยุดในวันนี้)
  • วันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2568

 

 

สภาพอากาศวันนี้ คนกรุงรับมือฝนตกหนัก 70%

กรมอุตุแจ้งเตือนพยากรณ์อากาศวันนี้ 14 พฤษภาคม 2568 ประกาศเตือนคนกรุง รับมือฝนตกหนักร้อยละ 70% ภาคใต้และด้านตะวันตกของไทย ฝนตกสะสมอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วม

ด้านตะวันตกของไทยฝนที่ตกสะสมอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมขังแบบฉับพลัน พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้าภาคใต้และประเทศไทย

พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคใต้และประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนฟ้าคะนองกับมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ และ ด้านตะวันออกของประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และฝนกที่ตกสะสม ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากโดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม เนื่องจากลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย

ในส่วนของคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยจะมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทย และ ทะเลอันดับมันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศเทศ ตั้งแต่เวลา 6.00 น. วันนี้ถึง 6.00 วันพรุ่งนี้

  • กรุงเทพ และ ปริมณฑล มีฝนฟ้านองร้อยละ 70 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
  • ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, ตาก, สุโขทัย, กำแพงเพชร, พิจิตร, พิษณุโลก และเพชรบูรณ์
  • ภาคตะวันออกเฉี่ยงเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย, ชัยภูมิ, ขอนแก่ง, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, อำนาจเจริญ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี
  • ภาคกลาง ฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ มีฝนตกหนักบางแห่ง จังหวัดนครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, พระนครศรีอยุธยา, กาญจนบุรี, สุพรรณบุรี, ราชบุรี, นครปฐม, สมุทรสาคร และ สมุทราสงคราม
  • ภาคตะวังออก มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง และ จันทบุรี
  • ภาคใต้ ฝั่งตะวันออก มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช และ สงขลา
  • ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง, พังงา, ภูเก็ต และ กระบี่

 

 

5 ข้อดีของบัตรกดเงินสด ที่คนมีรายได้ประจำควรรู้

หากคุณเป็นคนที่มีรายได้ประจำ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ ข้าราชการ หรือแม้แต่ฟรีแลนซ์ที่มีรายได้สม่ำเสมอ การมี “บัตรกดเงินสด” ติดกระเป๋าไว้ อาจเป็นตัวช่วยที่ดีในช่วงเวลาที่ต้องใช้เงินฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน หรือจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝัน

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5 ข้อดีของบัตรกดเงินสด ที่เหมาะกับคนมีรายได้ประจำ พร้อมคำแนะนำในการใช้งานอย่างชาญฉลาด เพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากบัตรประเภทนี้ได้เต็มที่ และไม่เป็นหนี้โดยไม่จำเป็น

1. ใช้เป็นวงเงินสำรองฉุกเฉินได้ทันที

บัตรกดเงินสดคือเพื่อนแท้ในยามวิกฤต

บัตรกดเงินสดมีลักษณะคล้ายกับเงินสดที่สามารถเบิกออกมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ โดยไม่ต้องยื่นขอสินเชื่อทุกครั้งเมื่อมีความจำเป็น การมีวงเงินสำรองจากบัตรกดเงินสดจึงช่วยให้คนมีรายได้ประจำสามารถบริหารจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทางด่วน หรือค่าซ่อมรถ

สะดวกและเข้าถึงง่าย

ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดได้จากตู้ ATM ทุกเครือข่ายที่ร่วมรายการตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ไม่ต้องพึ่งการยืมเงินจากคนใกล้ตัวหรือแหล่งเงินกู้นอกระบบ

2. ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือคนค้ำประกัน

สมัครง่าย ไม่ซับซ้อน

คนที่มีรายได้ประจำส่วนใหญ่สามารถสมัครบัตรกดเงินสดได้โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน ซึ่งต่างจากการขอสินเชื่อทั่วไปที่อาจมีเงื่อนไขหลายอย่าง การใช้เพียงสลิปเงินเดือนหรือ Statement ธนาคาร ก็สามารถขออนุมัติบัตรได้

เหมาะกับผู้เริ่มต้นสร้างเครดิต

บัตรกดเงินสดยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างประวัติเครดิตในระบบ โดยการใช้วงเงินอย่างมีวินัย จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือทางการเงินในอนาคตได้ดี

3. รูดไม่เป็น เบิกเป็นเงินสดเท่านั้น จึงควบคุมการใช้เงินได้ง่าย

ลดความเสี่ยงจากการใช้จ่ายเกินตัว

บัตรกดเงินสดไม่สามารถรูดซื้อสินค้าได้เหมือนบัตรเครดิต ผู้ถือบัตรจึงมักจะใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ทำให้การใช้เงินเป็นไปอย่างมีเหตุผลมากขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมพฤติกรรมการใช้จ่าย

มีการคำนวณที่ชัดเจน

เมื่อกดเงินออกมาใช้แล้ว จะมีการคิดดอกเบี้ยตามวันที่ใช้จริง ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวางแผนการชำระคืนได้ง่ายขึ้น และรู้ว่าควรจ่ายคืนเมื่อใดเพื่อประหยัดดอกเบี้ยมากที่สุด

4. จ่ายคืนขั้นต่ำได้ และหมุนเวียนวงเงินได้เรื่อย ๆ

ผ่อนจ่ายได้ตามความสามารถ

อีกหนึ่งข้อดีของบัตรกดเงินสด คือการอนุญาตให้ผู้ถือบัตรจ่ายคืนขั้นต่ำรายเดือนเพียง 3-5% ของยอดที่ใช้ไป ทำให้ไม่เป็นภาระเกินตัวในช่วงที่การเงินตึงตัว

คืนปุ๊บ วงเงินกลับมาปั๊บ

เมื่อผู้ใช้จ่ายคืนยอดเงินที่ใช้ไปแล้ว วงเงินจะกลับมาให้ใช้ได้อีกทันที เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้ประจำ และต้องการหมุนเงินเป็นรอบ ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

5. โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษมากมาย

รับส่วนลด หรือเงินคืน

หลายธนาคารมีการจัดโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้า หรือมอบเงินคืนเมื่อใช้ตามยอดที่กำหนด แม้บัตรกดเงินสดจะไม่ได้มีโปรแรงเท่าบัตรเครดิต แต่ก็ยังมีสิทธิพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยประหยัดได้ไม่น้อย

ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้า หรือรายปี

บัตรกดเงินสดส่วนใหญ่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี หรือหากมี ก็มักจะมีเงื่อนไขให้ยกเว้นได้ง่าย ทำให้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการวงเงินสำรองโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายประจำ

 

รายละเอียดการสมัครบัตรเครดิต UOB แต่ละประเภท

บัตรกดเงินสดคือเครื่องมือทางการเงินที่ใช้เป็น

  • สำหรับคนมีรายได้ประจำ บัตรกดเงินสดเปรียบเสมือน “ตัวช่วย” ที่ใช้ให้เป็นก็ได้ประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสะดวก ความคล่องตัว และความยืดหยุ่นในการใช้เงิน
  • อย่างไรก็ตาม แม้บัตรกดเงินสดจะมีข้อดีมากมาย แต่การใช้งานอย่างมีวินัย และการวางแผนการชำระเงินที่ดีเท่านั้น ที่จะทำให้คุณไม่ตกเป็นทาสของดอกเบี้ยที่สูงจนเกินไป
  • หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือการเงินที่ช่วยเสริมสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน บัตรกดเงินสดอาจเป็นคำตอบที่ใช่ แต่ก่อนสมัคร ควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขของแต่ละธนาคารให้รอบคอบ เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์สูงสุด

โควิด 19 ล่าสุดในปี 2568 เป็นสายพันธุ์ โอมิครอน XEC

จากที่เราพอจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ล่าสุดอย่าง โอมิครอน XEC ที่กำลังแพร่ระบาดในโรงเรียนอยู่ในขณะนี้ ทำให้หลายโรงเรียนต้องปิดการเรียน เนื่องจากเกิดการระบาดเป็นวงกว้าง ซึ่งสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ในตอนนี้ เป็นสายพันธุ์ โอมิครอน XEC ซึ่งเป็นสายพันธุ์โควิดที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่ค้นพอก่อนหน้านี้

สายพันธุ์ที่กำลังระบาดในประเทศไทยตอนนี้ เป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายง่าย ติดกันง่ายทำให้เราเห็นตัวเลขคนติดโควิดสูงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาบวกกับช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดกระโดดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางด้านกรมควบคุมโรคได้ออกมาแจ้งตัวเลขผู้ป่วยโควิด 19 โดยมียอดสะสมรวม 41,197 ราย เสียชีวิตสะสม 15 ราย ตามที่คาดการณ์เอาไว้เนื่องจากโควิด 19 กลายเป็นโรคประจำถิ่นเหมือนกันไข้หวัด ที่สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี

ทางกรมควบคุมโรคได้ออกมาแจ้งเกี่ยวกับกลุ่มเสี่ยง 608 ได้แก่ผู้สูงอายุ และ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เพราะถ้าหากว่าติดเชื้อโควิด อาจจะมีความเสี่ยงเสียชีวิตได้ ถ้าหากสงสัยว่าติดโควิด แนะนำให้ทำการตรวจด้วย ATK จะได้ทราบว่าติดเชื้อหรือไม่

อาการโควิด 2568 สายพันธุ์ โอมิครอน XEC มีอาการอะไรบ้าง?

  • ไข้ขึ้นสูง อาจมีอาการหนาวสั่น
  • มีอาการไอต่อเนื่อง ในช่วง 24 ชั่วโมง เป็นการไอต่อเนื่อง 1-3 ชั่วโมง
  • อาจสูญเสียการรับกลิ่นหรือได้รับรสเปลี่ยนแปลง
  • หากใจลำบาก
  • มีอาการเหนื่อย หรือ หมดแรง
  • ปวดเมื่อยตามตัว และ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ปวดหัวรุนแรง
  • เจ็บคอ
  • คัดจมูก และ มีน้ำมูกไหล
  • เบื่ออาหาร
  • ท้องเสีย
  • รู้สึกไม่สบายตัว หรือ มีอาการอาเจียน

 

ประเทศไทยฝนตกหนัก พื้นที่ไหนเสี่ยงน้ำท่วมเช็คได้เลย

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนของประเทศไทย สิ่งที่มาพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องก็คือ “น้ำท่วม” ซึ่งมักสร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ระบบระบายน้ำยังไม่สมบูรณ์ บทความนี้จะพาไปสำรวจว่า พื้นที่ไหนของไทยเสี่ยงน้ำท่วมบ้าง พร้อมแนะนำแหล่งตรวจสอบข้อมูลอัปเดตสถานการณ์ฝนและน้ำท่วมแบบเรียลไทม์

สาเหตุหลักของน้ำท่วมในประเทศไทย

แม้ฝนจะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่หากตกหนักและตกต่อเนื่องหลายวันโดยไม่มีการระบายออกที่ดี ก็อาจก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมได้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของไทย ได้แก่:

  • ฝนตกหนักต่อเนื่อง จากพายุฤดูร้อนหรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
  • การระบายน้ำไม่ทัน ในเขตเมืองหรือพื้นที่ที่มีการก่อสร้างอาคารถนนจำนวนมาก
  • แม่น้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา แม่กลอง และปิง
  • พื้นที่ต่ำ-แอ่งกระทะ ที่มักกลายเป็นจุดรับน้ำ
  • ขยะอุดตันท่อระบายน้ำ ทำให้การระบายชะลอตัวหรือหยุดนิ่ง

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในช่วงฝนตกหนัก

1. กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่เผชิญปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมาทุกปี พื้นที่เสี่ยงสูงได้แก่ เขตดอนเมือง หลักสี่ ลาดพร้าว บางเขน บางนา สะพานใหม่ และพื้นที่แนวคลองต่าง ๆ เช่น คลองลาดพร้าว คลองบางซื่อ

2. ภาคกลาง

จังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี นครสวรรค์ และชัยนาท มักได้รับผลกระทบจากน้ำล้นตลิ่งหรือเขื่อนปล่อยน้ำเพื่อระบาย

3. ภาคเหนือ

จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และตาก มีภูมิประเทศเป็นภูเขา การไหลของน้ำจึงรุนแรง หากมีฝนตกหนักต่อเนื่อง อาจเกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน โดยเฉพาะหมู่บ้านหรืออำเภอที่อยู่เชิงเขา

4. ภาคอีสาน

จังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี และนครราชสีมา มีโอกาสน้ำท่วมจากฝนตกหนักและระบบระบายน้ำในเมืองไม่ทัน โดยเฉพาะช่วงปลายฤดูฝน

5. ภาคใต้

ภาคใต้มีฝนตกทั้งจากมรสุมและพายุเขตร้อน โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และพัทลุง พื้นที่ชายฝั่งมักเผชิญปัญหาน้ำท่วมขังและดินถล่มในพื้นที่ลาดชัน

เช็คสถานการณ์น้ำท่วมได้จากที่ไหน?

การรับรู้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วม ปัจจุบันมีหลายช่องทางที่สามารถตรวจสอบสถานการณ์ได้สะดวกและแม่นยำ

1. เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา

ให้ข้อมูลพยากรณ์อากาศรายวัน รายชั่วโมง และเตือนภัยฝนตกหนัก
www.tmd.go.th

2. แอปพลิเคชัน Thai Weather หรือ Radar by TMD

ตรวจสอบภาพเรดาร์ฝนได้แบบเรียลไทม์ พร้อมการแจ้งเตือนเมื่อมีฝนเข้าใกล้พื้นที่คุณ

3. ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

อัปเดตพื้นที่น้ำท่วม น้ำป่า ดินถล่ม และเปิดเผยการสั่งการจากส่วนกลางไปยังแต่ละจังหวัด
www.disaster.go.th

4. เฟซบุ๊กกลุ่มข่าวท้องถิ่น

ข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ที่มักแชร์ภาพถ่าย วิดีโอ และสภาพจริง ซึ่งช่วยให้ติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด

เตรียมตัวอย่างไรให้ปลอดภัยเมื่อน้ำท่วม

หากคุณอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ควรมีแผนเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เช่น

  • ตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าให้อยู่สูงกว่าระดับน้ำ
  • จัดกระเป๋าฉุกเฉินที่มีของจำเป็น เช่น น้ำดื่ม อาหารแห้ง ยา และเสื้อผ้า
  • สำรวจเส้นทางอพยพหากน้ำท่วมสูง
  • ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอและอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม
  • หากต้องขับรถฝ่าพื้นที่น้ำท่วม ควรประเมินระดับน้ำก่อน และหลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ต่ำ

อย่าประมาท แม้ฝนจะเป็นเรื่องปกติ

แม้การเกิดฝนตกหนักจะเป็นธรรมชาติของฤดูฝน แต่การรู้เท่าทันสถานการณ์และเตรียมความพร้อมล่วงหน้าจะช่วยลดความเสียหายได้มาก การตรวจสอบข่าวสารจากแหล่งทางการเป็นสิ่งสำคัญ และการวางแผนป้องกันไว้เสมอจะช่วยให้คุณและครอบครัวปลอดภัยในช่วงฤดูฝนปีนี้

ปี 2025 ใช้ AI เขียน Content ยังทำได้ไหม?

ในยุคที่เทคโนโลยี AI เติบโตอย่างรวดเร็ว หนึ่งในเครื่องมือที่เปลี่ยนโฉมวงการคอนเทนต์คือ AI Content Writer หรือเครื่องมือเขียนบทความด้วยปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงตลอดช่วงปี 2020–2024 แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2025 คำถามที่เริ่มถูกหยิบยกขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็คือ “AI ยังน่าใช้เขียนบทความอยู่ไหม?” หรือ “เราควรกลับมาเขียนเองแล้วหรือเปล่า?” บทความนี้จะพาคุณวิเคราะห์แนวโน้ม ข้อดี-ข้อเสีย และคำแนะนำสำหรับการเลือกใช้ AI เขียนบทความในยุคปัจจุบัน

AI Content Writer คืออะไร และเคยรุ่งเรืองแค่ไหน?

AI Content Writer คือเครื่องมือที่ใช้โมเดลภาษา (Language Model) เช่น GPT-4, Claude หรือ Gemini เพื่อช่วยสร้างเนื้อหาที่มนุษย์เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเขียน ไม่ว่าจะเป็นบทความ SEO, รายงานข่าว, บล็อก หรือแม้แต่สคริปต์โฆษณา ในช่วงปี 2021–2023 เครื่องมือเหล่านี้สามารถผลิตเนื้อหาได้รวดเร็ว มีต้นทุนต่ำ และแม่นยำในเชิงไวยากรณ์ ทำให้ธุรกิจจำนวนมากเปลี่ยนจากการจ้างนักเขียนมาเป็นการใช้ AI แทน

ความสำเร็จในยุคแรกของ AI Writer

  • ประหยัดเวลาในการผลิตเนื้อหา
  • ต้นทุนต่ำกว่าใช้แรงงานคน
  • รองรับหลายภาษา และปรับโทนการเขียนได้
  • เหมาะสำหรับการผลิตเนื้อหา SEO จำนวนมาก

แต่เมื่อเทคโนโลยีเริ่มเป็นที่แพร่หลาย สิ่งที่ตามมาคือเนื้อหาที่เริ่ม “คล้ายกันเกินไป” และไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับเว็บไซต์หรือแบรนด์ได้อีกต่อไป

แนวโน้มในปี 2025: คนเริ่มกลับมาเขียนเอง?

แม้ว่า AI จะยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิตเนื้อหา แต่ในปี 2025 เราเริ่มเห็นแนวโน้มที่น่าสนใจจากทั้งฝั่ง Google และพฤติกรรมของผู้ใช้คือ

1. Google เน้น “เนื้อหาคุณภาพ” ที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น

อัลกอริธึมล่าสุดของ Google ในปี 2024–2025 เริ่มให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์จริง” และ “ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” มากขึ้น ซึ่ง AI แม้จะเขียนได้เร็ว แต่ขาดมุมมองส่วนตัว หรือ Insight ลึกซึ้งที่ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเท่านั้นที่ให้ได้

2. ผู้อ่านเริ่มเบื่อเนื้อหาแบบ AI

การอ่านบทความที่มีโครงสร้างซ้ำ ๆ หรือใช้ภาษาที่ดูเรียบเกินไป ทำให้ผู้อ่านเริ่มรู้สึกว่า “นี่ไม่ใช่คนเขียน” และความเชื่อมั่นในเนื้อหาก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้บล็อกหรือเว็บไซต์ที่ใช้ AI อย่างเดียว อาจเริ่มมี Bounce Rate สูงขึ้น

3. AI เป็นเพียง “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “เจ้าของเสียง”

หลายธุรกิจเริ่มใช้ AI เพื่อช่วยในกระบวนการ เช่น ร่างโครงเรื่อง, ค้นหาข้อมูลเบื้องต้น หรือเขียนเป็นดราฟท์ แต่ให้คนจริงเป็นผู้ปรับแต่ง (Human Editing) เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์หรือความเชื่อถือในตัวผู้เขียน

ข้อดีของการใช้ AI Writer ในปี 2025

  • เหมาะสำหรับเนื้อหาเชิงปริมาณ เช่น รายงานข่าว, สรุปข้อมูล, FAQ
  • ช่วยเริ่มต้นไอเดียได้อย่างรวดเร็ว
  • ดีต่อการเขียนบทความที่ต้องการโครงสร้าง SEO ชัดเจน
  • รองรับการเขียนหลายภาษาในระดับพื้นฐานได้ดี

ข้อเสียที่ควรพิจารณา

  • ขาด “เสียง” หรือมุมมองส่วนตัวที่ทำให้บทความมีชีวิต
  • อาจใช้ข้อมูลล้าสมัย หรือไม่ตรงกับบริบทท้องถิ่น
  • หากไม่มีการรีไรต์หรือกลั่นกรอง อาจกระทบต่ออันดับ SEO

คำแนะนำ: ควรใช้ AI Writer อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด?

1. ใช้ AI เป็นตัวช่วยคิด ไม่ใช่คนเขียนแทน

เริ่มจากให้ AI สร้างร่างแรกของบทความ แล้วให้มนุษย์ปรับแก้ภาษาหรือเพิ่มมุมมองที่เฉพาะตัว เพื่อให้ได้เนื้อหาที่ทั้งเร็วและลึก

2. ผสมผสานความเป็นมนุษย์เข้าไป

เสริมเรื่องราวส่วนตัว, ประสบการณ์จริง หรือกรณีศึกษาที่ AI ไม่มีทางรู้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

3. ตรวจสอบความถูกต้องทุกครั้ง

AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด หากอิงจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ควรตรวจสอบแหล่งข้อมูลก่อนใช้งาน

AI Writer ยังน่าใช้อยู่ไหมในปี 2025?

คำตอบคือ “ยังน่าใช้” แต่ต้องใช้อย่างรู้เท่าทัน AI ไม่ใช่เครื่องมือที่จะมาแทนมนุษย์ทั้งหมด แต่เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการเขียน หากใช้ให้ถูกวิธี และมีมนุษย์คอยกำกับเนื้อหาอยู่เสมอ คุณจะได้บทความที่ทั้งเร็ว มีคุณภาพ และตรงกับกลุ่มเป้าหมายในระยะยาว