ฝนถล่มกรุง กรมอุตุฯ ประกาศมีฝนตกร้อยละ 70

ฝนถล่มกรงวันนี้ ทางกรมอุตุเผยสภาพอากาศวันที่ 23 มิถุนายน 2568 กรุงเทพ มีฝนตกหนักร้อยละ 70 ของพื้นที่ เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน

พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และ ดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และ พื้นที่ลุ่ม

คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และ อ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่าง และ อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามัน และ อ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และ หลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้

  • กรุงเทพ และ ปริมณฑล มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
  • ภาคเหนือ มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, เชียงราย, พะเยา, ลำพูน, ลำปาง, น่าน, แพร่, อุตรดิตถ์, ตาก, สุโขทัย, พิษณุโลก และ เพชรบูรณ์
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเลย, หนองคาย, บึงกาฬ, นครราชสีมา และ บุรีรัมย์
  • ภาคกลาง มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดลพบุรี, สระบุรี, กาญจนบุรี, ราชบุรี และ พระนครศรีอยุธยา
  • ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70% ของพื้นที่ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก, ปราจีนบุรี, สระแก้ว, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี และ ตราด
  • ภาคใต้ ฝั่งตะวันออก มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี และ นครศรีธรรมราช
  • ภาคใต้ ฝั่งตะวันตก มีฝนตกร้อยละ 80% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และ สตูล

 

บุกค้นบริษัท ทำบัตรเครดิตปลอม ใช้สิทธิพิเศษบัตร

ตำรวจสอบสวนกลาง บุกค้นบริษัททำบัตรเครดิตปลอมหลอกใช้สิทธิพิเศษบัตรเครดิต ตรวจสอบของกลางเพียบ เช่น อุปกรณ์ทำบัตรมากกว่า 15 รายการ เจอความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้า

ตำรวจสอบสวนกลาง หรือ CIB โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้ทำการตรวจค้นบริษัทเมทัลการ์ด ครีเอชั่นส์ จำกัด ที่ซอยสุขุมวิท 13 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ในฐานความผิดปลอมเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือ เครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร

ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ หรือ เครื่องหมายรับรองที่ได้จดทะเบียน

การปลอมเครื่องหมายการค้า หรือ เครื่องหมายบริการ ที่ได้จดทะเบียนเอาไว้ในราชอาณาจักร ถือว่าเป็นความผิดโดยมีโทษทางอาญาตามที่กำหมดเอาไว้ในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534

ความผิดมาตรา 108 บุคคลใดปลอมเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือ เครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดฐานเลียนแบบเครื่องหมายการค้า มาตรา 109 บุคคลใดเลียนแบบเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ หรือ เครื่องหมายรับรอง หรือ เครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่นได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วมบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มาตรา 110 กำหนดความผิดเกี่ยวกับการนำเข้า จำหน่าย เสนอจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย ซึ่งสินค้าที่มีชื่อเครื่องหมายการค้าปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้ว

การปลอมและการเลียนแบบเครื่องหมายการค้า เป็นความผิดที่มีโทษทางกฎหมาย จากกรณีดังกล่าวตัวแทนบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัดมหาชน พบว่าในโซเซียลมีเดีย ได้มีการรับทำบัตรเครดิต รวมไปถึงบัตรพลาสติก ให้เป็นบัตรเหล็ก Metal Card ลวดลายรูปแบบสำเร็จ โดยผู้ต้องหาจะทำการโอนถ่ายข้อมูลจากบัตรเครดิตเดิมไปยังบัตรเหล็ก Metal Card ใบใหม่หรือที่เรียกว่า Skimming อีกทั้งยังสามารถสั่งทำลวดลายจากบัตรธรรมดา เป็นบัตรแบบพรีเมียร์ KTB Precious Plus เพื่อรับสิทธิพิเศษของบัตรเครดิต ต่อมาตัวแทนบริษัทได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับบริษัทดังกล่าว

หลังจากที่ตำรวจได้ค้นบริษัท พบว่าพนักงานบริษัท และของกลางรวมกว่า 15 รายการ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องคัดลอกข้อมูล, เครื่องยิงล็อตเลเซอร์, บัตรโลหะเปล่าสำหรับพิมพ์ลวดลาย, เครื่องอ่านข้อมูลบัตร ทางตำรวจได้ทำการตรวจยึด นำส่งพนักงานสอบสวน พร้อมทั้งได้ติดตามกรรมการของบริษัท MetalCard Creations เข้าพบ พนักงานสอบสวน กก.1 บก. ปอศ. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

AMEX VS บัตรเครดิตพรีเมียมอื่นๆ เลือกแบบไหนที่เหมาะกับคุณ?

เมื่อพูดถึงบัตรเครดิตระดับพรีเมียม หลายคนคงนึกถึงชื่ออย่าง American Express (AMEX) ที่เป็นตัวแทนของไลฟ์สไตล์หรูหราและสิทธิประโยชน์ชั้นสูง แต่ในขณะเดียวกัน บัตรระดับพรีเมียมอื่น ๆ อย่าง Visa Infinite และ Mastercard World Elite ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน บทความนี้จะพาไปสำรวจและเปรียบเทียบในทุกมิติ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ว่าแบบไหน “ใช่” สำหรับคุณ

เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมรายปี

บัตรเครดิต ค่าธรรมเนียมรายปี
AMEX The Platinum Card® ประมาณ 23,500 บาท/ปี
AMEX Centurion Card® (By Invitation Only) ประมาณ 180,000 บาท/ปี (ไม่รวมค่าแรกเข้า)
Visa Infinite (เช่น SCB Private Banking) ฟรี หรือ ~10,000 บาท/ปี ขึ้นกับธนาคาร
Mastercard World Elite ~8,000 – 20,000 บาท/ปี

AMEX มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ Centurion แต่ก็มาพร้อมกับสิทธิพิเศษเฉพาะกลุ่ม ส่วน Visa Infinite และ Mastercard มักจะยกเว้นค่าธรรมเนียมตามเงื่อนไขรายได้หรือการใช้จ่าย

สิทธิประโยชน์ด้านการเดินทาง

  • AMEX Platinum: เข้าเลานจ์สนามบินกว่า 1,400 แห่งทั่วโลก (Priority Pass + Centurion Lounge)
  • AMEX Centurion: บริการผู้ช่วยส่วนตัว, เลานจ์ส่วนตัว, สิทธิอัปเกรดสายการบิน & โรงแรมหรู
  • Visa Infinite: Priority Pass, ส่วนลดโรงแรมหรู, บริการ Concierge
  • Mastercard World Elite: Global Airport Concierge, สิทธิอัปเกรดโรงแรม, ส่วนลดรถเช่า

สมัครบัตร American Express Platinum

 

AMEX ชนะขาดในเรื่องเลานจ์และสิทธิพิเศษด้านโรงแรม แต่บัตรอื่นก็มีความยืดหยุ่นและร่วมมือกับผู้ให้บริการระดับโลกเช่นกัน

ระบบสะสมแต้มและการแลกใช้

บัตรเครดิต ระบบสะสมแต้ม ตัวเลือกการแลก
AMEX Membership Rewards ไมล์, คะแนนโรงแรม, สินค้า, เครดิตเงินคืน
Visa Infinite ขึ้นกับธนาคาร เช่น KBank Reward ไมล์, ส่วนลด, สินค้า
Mastercard World Elite ขึ้นกับธนาคารผู้ออก ไมล์, เครดิต, แลกของรางวัล

AMEX เด่นเรื่องการโอนแต้มไปพันธมิตรมากกว่า 20 แห่งทั่วโลก ในอัตราที่ค่อนข้างดี ส่วนบัตรจากธนาคารไทยอาจมีความหลากหลายน้อยกว่า

การรับบัตรและการอนุมัติ

  • AMEX: มีกระบวนการคัดเลือกละเอียด โดยเฉพาะ Centurion ที่ต้องเชิญเท่านั้น
  • Visa Infinite / Mastercard WE: ขึ้นกับธนาคาร เช่น ต้องเป็นลูกค้า Wealth หรือมีรายได้ขั้นต่ำเฉลี่ย 100,000 – 300,000 บาท/เดือน

Visa และ Mastercard ให้ความยืดหยุ่นกว่าในการสมัคร แม้จะต้องมีฐานรายได้สูง ส่วน AMEX เน้นความพิเศษเฉพาะกลุ่ม

บริการลูกค้าและ Concierge

AMEX ได้รับคำชื่นชมอย่างกว้างขวางในเรื่องบริการลูกค้า โดยเฉพาะบริการ Concierge ที่สามารถช่วยจองร้านอาหาร โรงแรม หรือตั๋วคอนเสิร์ตระดับโลกได้ ในขณะที่ Visa Infinite และ Mastercard World Elite ก็มีบริการในลักษณะเดียวกัน แต่คุณภาพอาจต่างกันตามธนาคารผู้ออกบัตร

ประกันภัยที่ครอบคลุม

  • AMEX: ประกันอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง, ประกันการล่าช้าของเที่ยวบิน/สัมภาระ, คุ้มครองการซื้อสินค้า
  • Visa Infinite: คุ้มครองอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง, ประกันสุขภาพระหว่างเดินทาง, คุ้มครองสินค้าจากการซื้อ
  • Mastercard World Elite: คุ้มครองคล้ายกับ Visa Infinite

ทั้งสามระบบให้ความคุ้มครองที่ดี หากจ่ายค่าเดินทางด้วยบัตร แต่ AMEX มักให้ความคุ้มครองที่สูงกว่าโดยเฉพาะในกลุ่มผู้เดินทางประจำ

เลือกบัตรแบบไหนที่เหมาะกับคุณ?

การเลือกบัตรเครดิตพรีเมียมควรพิจารณาจาก:

  1. ไลฟ์สไตล์การเดินทางบ่อยหรือไม่
  2. ต้องการสะสมไมล์หรือแต้มเพื่อแลกของ
  3. ต้องการบริการระดับพรีเมียมหรือไม่ เช่น Concierge
  4. ยินดีจ่ายค่าธรรมเนียมรายปีสูงหรือเปล่า

หากคุณเดินทางบ่อย ชื่นชอบบริการระดับหรู และใช้งานแต้มเพื่อจองโรงแรม/ตั๋วเครื่องบินระดับสากล AMEX Platinum หรือ Centurion อาจเป็นคำตอบ

แต่ถ้าคุณต้องการบัตรที่สิทธิประโยชน์ดี ใข้ง่ายในไทย และได้คะแนนคุ้มโดยไม่ต้องจ่ายแพงเกินไป Visa Infinite หรือ Mastercard World Elite ก็เป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผล

บัตรเครดิตพรีเมียมแต่ละแบบมีความโดดเด่นต่างกัน AMEX ชูจุดแข็งด้านเอกสิทธิ์เฉพาะตัวและบริการระดับโลก ในขณะที่ Visa และ Mastercard เน้นการเข้าถึงง่ายและเหมาะกับผู้ใช้ในไทยมากกว่า การเลือกบัตรที่ “ใช่” จึงขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายและเป้าหมายของแต่ละคน ลองถามตัวเองว่า “สิทธิประโยชน์ไหนที่เราจะใช้จริง?” แล้วคำตอบจะชัดเจนกว่าที่คิด

ร่างกฎใหม่ ก.พ. 68 รับเงินเพิ่ม 3,500-5,600 ต่อเดือน

ข้าราชการได้เงินเพิ่ม มีใครได้บ้าง สำหรับร่างกฎใหม่ ก.พ. 68 ให้สิทธิ์ข้าราชการ, นักฟิสิกส์การแพทย์ ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น สำหรับเงินประจำตำแหน่ง 3,500 – 5,600 บาท ต่อเดือนเพื่อดึงดูดคนเก่ง เข้ามาเสริมระบบสาธารณสุขไทย

ข่าวดีสำหรับวงการสาธารณสุขไทย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีการลงมติสำคัญ อนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเพิ่มสิทธิ์ให้ นักฟิสิกส์การแพทย์ ได้รับเงินประจำตำแหน่งโดยมีเป้าหมายหลักคือการรักษาและดึงดูดบุคลากรผู้ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางไว้ในระบบราชการ เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยในการดูแลรักษาผู้ป่วยของประชาชน

การอนุมัติร่างกฎหมาย ก.พ. ครั้งนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2567 โดยเฉพาะการเพิ่มสายงานฟิสิกส์การแพทย์ เข้าไปในบัญชีสายงานที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่ง สำหรับรายละเอียดการเพิ่มเงินประจำตำแหน่งสามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

  • ระดับชำนาญการ จะได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตรา 3,500 บาทต่อเดือน
  • ระดับชำนาญการพิเศษ จะได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตรา 5,600 บาทต่อเดือน

การปรับเพิ่มเงินเดือนดังกล่าว จะสอดคล้องกับมาตรฐานกำหนดตำแหน่งประเภทวิชาการ ที่เพิ่มขึ้นใหม่ในสายงานด้านวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี กลุ่มงานวิทยาศาสตร์สุขภาพและการแพทย์

นักฟิสิกส์การแพทย์ สำคัญต่อระบบสาธารสุขยังไง?

หลายคนอาจเกิดความสงสัยเกี่ยวกับนักฟิสิกส์การแพทย์ ว่ามีบทบาทสำคัญยังไง ซึ่งบุคลากรกลุ่มนี้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่จำเป็นมากในการทำงานร่วมกับแพทย์ โดยเฉพาะการรักษาผู้ป่วยมะเร็งด้วยรังสี

หน้าที่ของนักฟิสิกส์การแพทย์

  • บริหารจัดการความปลอดภัยจากการใช้รังสี เป็นส่วนสำคัญที่ต้องใช้ความรู้ในการควบคุมเครื่องมือเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน
  • วางแผนการรักษา และ คำนวณปริมาณรังสี ตามที่แพทย์กำหนดในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยเครื่องฉายรังสีในโรงพยาบาล
  • ใช้เครื่องมือรังสีที่มีความซับซ็อน รวมถึงการคำนวญด้วยคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยเป็นไปอย่างแม่นยำและปลอดภัย
  • ความแตกต่างกับนักรังสีแพทย์ นักฟิสิก์การแพทย์จะเน้นการใช้เครื่องฉาบรังสีที่ต้องอาศัยการคำนวณที่ซับซ้อนในขณะที่นักรังสีการแพทย์ จะเป็นผู้ประเมินว่าผู้ป่วยเหมาะกับการรักษาด้วยเครื่องฉายรังสีแบบไหน

 

 

ปิดหนี้บัตรเครดิตกับธนาคาร CIMB THAI

ถ้าคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังเผลอเข้าไปในวงการจ่ายขั้นต่ำสำหรับบัตรเครดิต หรือ ว่ามีเหตุผลส่วนตัวที่ต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องทางการเงิน และดันไม่สามารถจ่ายค่าบัตรเครดิตเต็มจำนวนได้ ทำให้ติดกับดักวงจร จ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต แบบที่ไม่รู้ว่าจะสามารถปิดหนี้บัตรเครดิตที่มีได้เมื่อไหร่ ทางออกสำหรับปัญหาจ่ายบัตรขั้นต่ำก็คือ การรวมหนี้บัตรเครดิตด้วยสินเชื่อรวมหนี้ ทางเลือกที่จะช่วยคุณแก้ปัญหาหนี้หลากหลายแห่งได้ในที่เดียว

ข้อดีของสินเชื่อรวมหนี้

  • การรวมหนี้ จะทำให้คุณจ่ายดอกเบี้ยต่อเดือนลดลง
  • รู้ระยะเวลาในการปลดหนี้ที่แน่นอน ทำให้สามารถวางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสหนี้สูงขึ้นด้วย
  • การเงินคล่องตัวมากขึ้น เพราะค่าผ่อนจ่ายหนี้ต่อเดือนมันลดลง
  • ลดความสับสนของวันครบรอบชำระหนี้จ่ายบัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด และ สินเชื่อหลายก้อนได้เป็นอย่างดี รวมถึงโอกาสการเกิดหนี้เสียก็ลดลงไปด้วย

ถ้าคุณกำลังอยู่ในช่วงที่กำลัดปวดหัวกับการจ่ายหนี้หลายๆทาง และกำลังมองหาทางประหยัดดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายในทุกๆปี ทาง CIMB ขอแนะนำ สินเชื่อส่วนบุคคล เพอร์ซันนัลแคช เป็นสินเชื่อรวมหนี้ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับพนักงานประจำที่มีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาทขึ้นไป โดยไม่ต้องใช้บุคคลหรือหลักทรัพย์มาค้ำประกัน

เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย สินเชื่อบุคคล

  • กู้เท่าที่จำเป็น และชำระคืนไหว
  • อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 9.99% ถึง 25% ต่อปี
  • วงเงินอนุมัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของทางธนาคาร
  • อัตราดอกเบี้ย และ ข้อกำหนดเงื่อนไขเป

กระทบทั่วประเทศ 3 ธนาคารใหญ่แจ้งปิดระบบ

ธนาคารปิดปรับปรุงระบบ แจ้งล่าสุดเป็น 3 ธนาคารใหญ่ ที่ออกมาแจ้งปิดปรับปรุงระบบ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบทั่วประเทศ จะไม่สามารถเข้าใช้งานแอปพลิเคชั่นได้ สำหรับธนาคารดังกล่าว ที่มีการแจ้งปิดปรับปรุงระบบสามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

  • ธนาคารกรุงไทย
  • ธนาคารออมสิน
  • ธนาคารไทยพาณิชย์

ทั้ง 3 ธนาคารใหญ่ออกมาแจ้งว่า บริการที่ไม่สามารถใช้งานได้นั้นจะมีแอปธนาคาร, บัตรเคดริต, การโอนเงินต่างประเทศ, การจ่ายบิล, การเบิกถอนเงินสด, ตู้ ATM และ บริการแจ้งเตือน Line ทางธนาคารแจ้งว่าให้วางแผนการทำธุรกรรมการเงินให้ดีๆ สำหรับรายละเอียดของแต่ละธนาคารสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

ธนาคารกรุงไทย

ธนาคารกรุงไทย ปิดระบบแอป Krungthai BUSINESS – Krungthai NEXT ทางธนาคารแจ้งว่า เพื่อเป็นการยกระดับการให้บริการ ธนาคารแจ้งปิดปรับปรุงระบบ Krungthai BUSNESS รวมถึงบริการอื่นๆ ที่ต้องเลือกทำรายการผ่าน Krungthai BUSINESS ในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 เวลา 22.00 น. ถึงวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2568 เวลา 18.00 น. รวมทั้งหมด 20 ชั่วโมงเต็ม แนะนำให้วางแผนการทำรายการล่วงหน้า และ ขอให้หลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมที่มีผลวันที่ 14 มิถุนายน 2568

ธนาคารออมสิน

ธนาคารออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบบัตรเครดิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 สำหรับช่วงเวลาในการปิด สามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

ช่องทางและบริการที่ไม่สามารถใช้งานได้

  • ซื้อสินค้าและบริการผ่าน Online Shopping
  • Application MyMo
  • GSB NOW
  • เบิก/ถอนเงินสด
  • ตู้ ATM และ ADM ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ
  • ชำระสินค้าและบริการผ่านเครื่องรูดบัตร EDC

ช่วงเวลาปิดทำการระบบ

  • ช่วงเวลาที่ 1 เวลา 04.30-0.30 น.
  • ช่วงเวลาที่ 2 เวลา 09.30-11.00 น.

ธนาคารไทยพาณิชย์

ธนาคารไทยพาณิชย์แจ้งว่า จะมีการปิดระบบเงิน Easy Store, แอปแม่มณี และ SCB Connect จะไม่สามารถเข้าใช้งานได้ชั่วคราว เนื่องจากมีการปิดปรับปรุงระบบ ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2568 ไปจนถึงเวลา 19.00 น. ถึงวันที่ 12 มิถุนายน 2568 เวลส 06.00 น. รวม 11 ชั่วโมง ทั้งนี้ลูกค้าสามารถทำรายการได้ตามปกติ ภายหลังจากวันและเวลาดังกล่าว

แจ้งปิดปรับปรุงแอปพลิเคชั่นแม่มณี

ทางธนาคารไทยพาณิชย์ มีการแจ้งปิดปรับปรุงระบบแอปพลิเคชั่นแม่มณี มีผลทำให้ลูกค้าไม่สามารถเข้าใช้งานแอปแม่มณีได้ และ ไม่สามารถรับชำระเงินเข้าบัญชีแม่มณีได้ โดยมีรายละเอียดการปิดระบบด้านล่าง

  • วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 เวลา 23.00 – 24.00 น.
  • วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2568 เวลา 00.00 – 05.00 น.
  • วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2568 เวลา 23.00 – 24.00 น.
  • วันอังคารที่ 17 มิถุนายน 2568 เวลา 00.00 – 02.00 น.

ล่าสุดทางธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ออกมาแจ้งลูกค้าธนาคารเพิ่มเติมอีกว่าทาง SCB Connect บริการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชั่น LINE ของแจ้งปิดปรับปรุงการให้บริการเพื่อพัฒนาระบบให้ดีขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถเข้าใช้บริการได้ในวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ถึงเวลา 02.00 น. รวม 7 ชั่วโมง ของวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568

เก็บแต้มบัตรเครดิตยังไงให้คุ้ม ในยุคเงินเฟ้อปี 2025

ในภาวะที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ การใช้บัตรเครดิตอย่างมีกลยุทธ์ไม่เพียงแค่ช่วยให้เราสะดวกในการใช้จ่าย แต่ยังสามารถสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้กับทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายออกไป ด้วยการเก็บแต้มสะสม ไมล์ หรือรับเงินคืนที่คุ้มค่ามากขึ้นกว่าเดิม บทความนี้จะพาไปสำรวจกลยุทธ์การเก็บแต้มบัตรเครดิตในปี 2025 พร้อมวิธีแลกแต้มให้คุ้มค่าในยุคที่การบริหารเงินเป็นสิ่งสำคัญ

เลือกบัตรเครดิตให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์

หัวใจหลักของการเก็บแต้มให้คุ้มค่าคือ การเลือกบัตรที่ตอบโจทย์การใช้จ่ายของตัวเอง หากเลือกผิดประเภท ต่อให้ใช้บัตรบ่อยแค่ไหน แต้มที่ได้ก็อาจไม่คุ้ม

1. สายกิน-ช้อปในประเทศ

  • เลือกบัตรที่ให้แต้มพิเศษในหมวดร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือแพลตฟอร์มออนไลน์
  • มองหาบัตรที่ให้ cashback สูงในหมวดหมู่ที่ใช้งานประจำ เช่น Shopee, Grab, Foodpanda

2. สายเดินทาง-นักท่องเที่ยว

  • บัตรที่สะสมไมล์ได้ดี เช่น UOB PRVI Miles, SCB My Travel หรือ Citi Premier
  • ควรมีสิทธิประโยชน์อย่าง Lounge Access หรือ Travel Insurance ด้วย

3. สายใช้จ่ายก้อนใหญ่ เช่น ผ่อนสินค้า บ้าน รถ

  • เลือกบัตรที่ให้แต้มจากยอดใช้จ่ายสูงแบบไม่มีเพดาน
  • บางบัตรให้แต้มพิเศษจากการผ่อนชำระ 0% หรือยอดใช้จ่ายรายเดือนที่ถึงเกณฑ์

ใช้จ่ายอย่างมีจังหวะ – รับแต้มให้คุ้มในจังหวะดี

ไม่ใช่ทุกช่วงเวลาจะเก็บแต้มได้คุ้มเท่ากัน ธนาคารมักมีโปรโมชั่นเพิ่มแต้มหรือ cashback เมื่อใช้จ่ายในช่วงแคมเปญพิเศษ เช่น

  • ช่วงเทศกาล: ปีใหม่ ตรุษจีน 11.11, 12.12
  • วันเงินเดือนออก: หลายบัตรมีแคมเปญแจกแต้ม 2 เท่าในวันสิ้นเดือน
  • การใช้จ่ายร่วมกับแอปพาร์ตเนอร์: เช่น TrueMoney, Rabbit LINE Pay

แลกแต้มอย่างมีกลยุทธ์

เมื่อสะสมแต้มได้แล้ว คำถามต่อมาคือ “จะใช้แต้มยังไงให้คุ้มที่สุด?” คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับว่าแต้มของบัตรนั้นมีค่าเท่าไรเมื่อแลกเป็นรางวัลต่างๆ

เทียบ “มูลค่าต่อแต้ม” (Value Per Point: VPP)

รูปแบบการแลก ค่าประมาณต่อแต้ม (VPP) ความคุ้มค่า
แลกเป็นเงินคืน 0.20 – 0.40 บาท ปานกลาง
แลกเป็นไมล์สะสม 0.40 – 1.50 บาท (ขึ้นอยู่กับสายการบิน) ค่อนข้างคุ้ม
แลกของกำนัล 0.10 – 0.30 บาท คุ้มน้อย
แลกเป็นส่วนลดสินค้า/ร้านค้า 0.25 – 0.60 บาท คุ้มปานกลาง

ดังนั้น หากต้องการ “เก็บแต้มเพื่อใช้” ไม่ใช่แค่เพื่อสะสม ควรเลือกการแลกที่ให้ VPP สูงสุด เช่นแลกไมล์เมื่อวางแผนเดินทาง หรือลดราคาแทนเงินสดเวลาช้อปปิ้งออนไลน์

ติดตามโปรแกรมบัตร – ไม่ใช่สมัครทิ้งไว้เฉยๆ

หลายคนสมัครบัตรเครดิตไว้หลายใบ แต่ใช้จริงเพียง 1-2 ใบ แล้วปล่อยอีกหลายใบทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้โปรโมชัน หากต้องการเก็บแต้มให้เต็มประสิทธิภาพ ควร:

  • ติดตามแอปพลิเคชันของธนาคารเพื่ออัปเดตโปรโมชัน
  • ตั้งเตือนวันหมดอายุของแต้ม
  • วางแผนใช้แต้มล่วงหน้า เช่น ก่อนหมดอายุ 1 เดือน

ข้อควรระวัง: อย่าให้การเก็บแต้มพาไปเป็นหนี้

การสะสมแต้มด้วยการใช้จ่ายเกินกำลังสามารถพาไปสู่ดอกเบี้ยที่สูง และเสียประโยชน์จากแต้มที่ได้มาในทันที

แนวทางหลีกเลี่ยงหนี้

  • จ่ายเต็มยอดทุกเดือน เพื่อไม่เสียดอกเบี้ย
  • หลีกเลี่ยงการกดเงินสดจากบัตรเครดิต
  • เปรียบเทียบผลตอบแทนจากแต้ม กับภาระที่เกิดขึ้นจากการใช้จ่าย

บัตรเครดิตคือ “เครื่องมือ” ไม่ใช่ภาระ

ในปี 2025 ที่ค่าครองชีพยังคงสูงต่อเนื่อง การใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้เรายังสามารถใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์สำคัญคือ “รู้จักเลือก รู้จักใช้ รู้จักแลก” เลือกบัตรที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ รู้ว่าช่วงเวลาไหนใช้บัตรแล้วได้แต้มเยอะ และรู้ว่าแต้มที่สะสมควรเอาไปใช้ทำอะไร เพื่อให้ทุกแต้มมีค่าและกลับมาช่วยเราในชีวิตประจำวันได้จริง

เดือนกรกฎาคม 2568 เปิดวันหยุดยาวรวด 4 วัน

ปี 2568 ถือว่าเป็นอีกปีนึงที่โหดมากๆ แต่ละเดือนจะมีทั้งหมด 5 อาทิตย์เป็นซะส่วนใหญ่ ทำให้มนุษย์เงินเดือนหลายๆท่านต่างบ่นว่าเหนื่อยกันเป็นแถบๆ เนื่องจากต้องบริหารการเงินให้ดีๆ เพราะว่า วันในแต่ละเดือนเยอะกว่าปีก่อนๆ เนื่องจากมีถึง 5 อาทิตย์ด้วยกัน สำหรับใครที่กำลังรอวันหยุดยาวๆ ในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่แล้วหละก็ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเดียวกับ วันหยุดยาวเดือนกรกฎาคม 2568, วันจ่ายเงินเดือนข้าราชการ, เงินบำนาญ, วันจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ, วันจ่ายเงินอุดหนุนบุตร และ วันหวยออก

เดือนกรกฎาคม 2568

ในเดือนกรกฎาคม 2568 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเดือนที่มีทั้งหมด 5 อาทิตย์ เหนื่อยเลยทีเดียว สำหรับมนุษย์เงินเดือนแต่ก็ยังโชคดีที่เดือนกรกฎาคม นั้นมีวันหยุดยาวไว้ให้เราๆ ได้เติมพลังงานจากการทำงานตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เดือนนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเดือนสำหรับสายเที่ยว ที่ห้ามพลาดแนะนำให้เช็คราคาตั๋ว และ โรงแรมเอาไว้ก่อนเลย ไม่แนะนำให้ไปจองเอาใกล้ๆ เนื่องจากราคาจะแรงมาก ในเดือนนี้ มีวันหยุดราชการ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่สามารถเลือกลา เพื่อให้เป็นวันหยุดยาวๆได้แบบ 3 วันติดไปเลย สำหรับบริษัทเอกชน หรือจะวางแผนลาพักร้อนเพิ่มให้ได้หยุดยาวถึง 4 วันรวดเลยก็ทำได้

วันหยุดราชการ กรกฎาคม 2568

  • วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2568 วันอาสาฬหบูชา
  • วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568 วันเข้าพรรษา เป็นวันหยุดราชการ ส่วนธนาคาร และ เอกชนไม่หยุด สามารถลาเพิ่มเพื่อให้ได้วันหยุดยาวติดต่อกัน 4 วันได้
  • วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2568 วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

วันหยุดธนาคาร และ วันหยุดเอกชน กรกฎาคม 2568

  • วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2568 วันอาสาฬหบูชา
  • วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2568 วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ได้หยุดยาวรวดเดียว 3 วัน ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568

วันจ่ายเงินเดือนข้าราชการ และ ลูกจ้างประจำ กรกฎาคม 2568

  • รอบ 1 จ่ายวันที่ 16 กรกฎาคม 2568
  • รอบ 2 จ่ายวันที่ 25 กรกฎาคม 2568

วันเงินบำนาญรายเดือน ของผู้รับบำนาญ กรกฎาคม 2538

  • วันที่ 23 กรกฎาคม 2568

วันจ่ายเงินเดือนทหารกองประจำการ กรกฎาคม 2568

  • กำหนดจ่ายวันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม 2568

จ่ายเงินอุดหนุนเลี้ยงดูบุตร กรกฎาคม 2568

  • วันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568

วันจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ และ เบี้ยผู้พิการ กรกฎาคม 2568

  • วันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568

วันหวยออก กรกฎาคม 2568

  • วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม 2568
  • วันพุธที่ 16 กรกฎาคม 2568

 

รีไฟแนนซ์ดีไหม? ไขข้อข้องใจสินเชื่อ ตัวช่วยลดภาระหนี้ระยะยาว

การมีภาระหนี้สิน เช่น สินเชื่อบ้านหรือสินเชื่อรถยนต์ เป็นเรื่องปกติของหลายครัวเรือนในปัจจุบัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราอาจพบว่าดอกเบี้ยที่จ่ายอยู่สูงเกินไป หรือภาระผ่อนรายเดือนเริ่มกระทบต่อค่าใช้จ่ายประจำวัน นั่นคือจังหวะที่คำว่า “รีไฟแนนซ์” เริ่มเข้ามาในความคิดของหลายคน แต่รีไฟแนนซ์คืออะไร และเหมาะกับใคร? คุ้มค่าจริงไหม? บทความนี้จะพาไปหาคำตอบ

รีไฟแนนซ์คืออะไร?

รีไฟแนนซ์ (Refinance) คือ การเปลี่ยนเจ้าหนี้ หรือเปลี่ยนเงื่อนไขของสินเชื่อเดิมที่เรามีอยู่ เช่น การกู้บ้านกับธนาคาร A แล้วนำไปย้ายไปธนาคาร B ที่เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า หรือเปลี่ยนสัญญาใหม่กับเจ้าหนี้เดิมแต่ลดอัตราดอกเบี้ยและขยายระยะเวลาผ่อนให้ยาวขึ้น

ประเภทของรีไฟแนนซ์ที่นิยม

1. รีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน

เป็นการเปลี่ยนสัญญาสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง โดยเฉพาะเมื่อครบระยะโปรโมชั่นดอกเบี้ยพิเศษใน 3 ปีแรก

2. รีไฟแนนซ์สินเชื่อรถยนต์

เหมาะกับคนที่ต้องการลดค่างวดรายเดือน หรือเปลี่ยนเจ้าหนี้เพื่อผ่อนต่อในเงื่อนไขที่สบายกว่าเดิม

ข้อดีของการรีไฟแนนซ์

  • ลดภาระดอกเบี้ย: สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้มากถึง 1-2% ต่อปี ซึ่งในระยะยาวสามารถประหยัดได้หลักแสน
  • ลดค่างวดต่อเดือน: ทำให้บริหารสภาพคล่องได้ดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอน
  • ขยายระยะเวลาผ่อน: ช่วยให้ภาระผ่อนต่อเดือนเบาลง
  • เปลี่ยนเจ้าหนี้: หากไม่พอใจการบริการหรือมีตัวเลือกที่ดีกว่า

ข้อควรระวังในการรีไฟแนนซ์

  • ค่าธรรมเนียม: เช่น ค่าประเมินหลักประกัน ค่าจดจำนอง ค่าอากรแสตมป์ ฯลฯ
  • ค่าปรับปิดสัญญา: บางกรณีธนาคารเดิมอาจเรียกเก็บค่าปรับหากยังไม่พ้นระยะเวลาผ่อนขั้นต่ำ
  • ดอกเบี้ยแปรผัน: หากเลือกอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงในอนาคต

รีไฟแนนซ์เมื่อไหร่ถึงจะเหมาะ?

ครบโปรโมชันดอกเบี้ย

โดยทั่วไป ธนาคารจะให้ดอกเบี้ยพิเศษในช่วง 3 ปีแรก หลังจากนั้นจะปรับขึ้นอย่างชัดเจน การรีไฟแนนซ์ทันทีหลังครบ 3 ปีจึงเหมาะสมที่สุด

เมื่อดอกเบี้ยในตลาดต่ำลง

เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์มีโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำกว่าที่คุณใช้อยู่

เมื่อประวัติสินเชื่อดีขึ้น

ผู้ที่ผ่อนตรงเวลาไม่มีประวัติค้างชำระ จะสามารถต่อรองอัตราดอกเบี้ยได้ดีกว่าเดิม

เปรียบเทียบก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์

รายการเปรียบเทียบ ก่อนรีไฟแนนซ์ หลังรีไฟแนนซ์
อัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี 3.0% ต่อปี (3 ปีแรก)
ยอดชำระต่อเดือน 18,000 บาท 14,500 บาท
ระยะเวลาผ่อน 20 ปี 25 ปี
ค่าธรรมเนียม ประมาณ 20,000 บาท

รีไฟแนนซ์ยังไงให้คุ้ม?

1. คำนวณต้นทุนทั้งหมด

เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายกับดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ หากประหยัดมากกว่าก็ถือว่าคุ้ม

2. เลือกธนาคารที่มีโปรฯ ดอกเบี้ยคงที่

โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีแรก เพื่อป้องกันความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย

3. ตรวจสอบเครดิตบูโร

หากคะแนนเครดิตดี จะต่อรองหรือสมัครผ่านง่ายขึ้น

รีไฟแนนซ์ดีไหม?

คำตอบขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละคน หากคุณผ่อนบ้านหรือรถอยู่ในอัตราดอกเบี้ยสูง และมีประวัติการชำระดี การรีไฟแนนซ์อาจช่วยให้คุณประหยัดเงินได้มากในระยะยาว แต่ต้องคำนวณต้นทุนและเงื่อนไขให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ เพื่อให้การรีไฟแนนซ์เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดภาระ ไม่ใช่เพิ่มภาระโดยไม่จำเป็น

สินเชื่อ ติดลบหนักสุดในรอบ 16 ปี หนี้เสียพุ่งติดเพดาน

ปัจจุบันถึงแม้ธนาคารในประเทศไทยยังมีความต้องการที่จะปล่อยสินเชื่อเพิ่ม แต่เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่เปราะบาง แถมยังต้องเพิ่มความระมัดระวังจากฝั่งธนาคารต่างๆ ส่งผลให้ตลาดสินเชื่อ ยังมีสัญญาญอ่อนแรงต่อเนื่อง ยังมีสัญญาญอ่อนแรงต่อเนื่อง ไม่เพียงเท่านั้น ความต้องการของสินเชื่อยังเป็นแรงกดดัน มากขึ้นจากฝั่งผู้กู้ ที่เริ่มชะลอขอสินเชื่อ จากความไม่เชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น ปัจจุบันส่งผลให้ผู้กู้ เริ่มชะลอการขอสินเชื่อ เนื่องจากเกิดความไม่เชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น

สถานการณ์นี้ทำให้เห็นภาพรวมของการคืนหนี้ มากกว่าการขอสินเชื่อ ไม่เพียงเท่านั้น ประเด็นปัญหาเรื่องหนี้เสีย กลับมาเป็นประเด็นของประเทศไทยที่น่ากังวล เนื่องจากมีหลากหลายปัจจัยที่กระทบ และ กดดันทั้งภาคครัวเรือ, ธุรกิจ รวมไปถึงสถาบันการเงิน ซึ่งหลังจากนี้ จะเห็นได้ชัดเลยว่าภาคเอกชนมีความอ่อนแอต่อเนื่อง แถมความต้องการสินเชื่อก็ชะลอตัวลง มีการคืนหนี้มากขึ้น จากที่เห็นตอนนี้ ภาคสถาบันการเงิน อยากจะปล่อยกู้ แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจ ที่มีความเสี่ยงระดับสูง บวกกว่ามาตรฐานการปล่อยกู้ของแต่ละแบงก์ก็เข้มงวด นอกจากนี้ยังมีความอ่อนแอของการระดมทุน ในตลาดสินเชื่อ ที่ไม่ได้เกิดจากฝั่งเดียว แถมผู้กู้เองตอนนี้ก็มีความระมัดระวังที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มภาคธุรกิจที่ยังไม่เห็นความแน่นอนของการฟื้นตัว ขณะที่ฝั่งครัวเรือนยังต้องแบกรับภาระหนี้เดิม

สินเชื่อทั้งระบบ ติดลบมากที่สุดในรอบ 16 ปี

อยากที่กูรูหลายๆท่านบอกมาว่า ปีก่อนเผาหลอกปี 2568 เผาจริง อาจจะเป็นจริงอย่างที่กูรูหลายๆท่านว่า มาตอนนี้เราเห็นได้ชัดเลยเศรษฐกิจชลอตัว ภาคเอกชน ลดการจ้างงานลงอย่างเห็นได้ชัดนอกจากนี้ สินเชื่อ ทั้งระบบลงโดยคาดการณ์เดิมที่คาดเอาไว้สินเชื่อทั้งระบบ ขยายตัว 0.6% ในปี 2568 กลับมาพลิกเป็นติดลบ ที่ 0.6% สะท้อนเศรษฐกิจซบเซา มากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก โดยเฉพาะไตรมาส 1 ยอดสินเชื่อใหม่ต่ำกว่าประเมินเกือบทุกหมวด

สำหรับสถานการณ์หนี้ด้อยคุณภาพ หรือ NPL มีการคาดการณ์ออกมาว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.7% ในปีที่แล้วมาอยู่ใกล้ๆ 3% ของสินเชื่อรวม โดยเป็นผลพวงมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หากดูข้อมูลจากเครดิตบูโร พบว่าปัจจุบันสัดส่วนของลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในทุกกลุ่มธรุกิจ แต่สิ่งที่ต้องดูดีๆเลยก็คือหากมีการปรับโครงสร้างไปแล้ว เริ่มวนกลับมาเป็นหนี้เสีย อีกรอบซึ่งเป็นสัญญาญเตือนถึงระดับความเปราะบางของลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง

ประเทศไทยอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในครึ่งปีหลัง

สาเหตุหลักๆเกิดจากกำแพงภาษีของทรัมป์ ที่ล่าสุดศษลอุทธรณ์ของสหรัฐได้นอุญาตให้ประธานาธิบดีทรัมป์เดินหน้าการขึ้นภาษีได้เป็นการชั่วคราวซึ่งการกระทำดังกล่าว ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนกับเศรษฐกิจทั่วโลก และ เศรษฐกิจในประเทศไทยด้วย ผลกระทบกับมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์ จะกระทบหลังจาก 9 กรกฎาคม 2568 หรือ 90 วันของนโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ จะทำให้เกิด 2 กรณีใหญ่ๆด้วยกัน

  1. อัตราภาษีตอบโต้กลับมาที่เดิม 36%
  2. อัตราภาษี 10%

ซึ่งเราก็ต้องลุ้นกันว่าจะออกหัวหรือออกก้อย หากเป็นกรณีแรกไทยโดนภาษีเก็บเต็มที่ 36% ซึ่งคาดว่าการส่งออกจากติดลบอยู่ที่ 0.5% ปีนี้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้เติบโตลดลงเหลือ 1.4% และในกรณีที่เก็บภาษี 10% อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตขึ้น 0.5% อย่างไรก็ตามจาก 2 กรณีดังกล่าว คาดว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะแย่กว่าครึ่งปีแรกเยอะมาก

อีกหนึ่งตัวฉุดที่เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่วิกฤตนั่นก็คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง บวกการการบริโภคชะลอตัว แถมภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับต้ำและยังมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกด้วย ธนาคารคาดการณ์เอาไว้ว่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เราจะยังไม่เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเท่าจุดสูงสุดก่อนช่วงโควิดระบาด