สภาพอากาศวันที่ 4 สิงหาคม 2568
กรมอุตุฯ รายงานสภาพอากาศวันที่ 4 สิงหาคม 2568 เปิดเผยว่าสภาพอากศวันนี้ มีมรสุมพัดปกคลุมทั่วไทย มีฝนตกบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกน เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉี่ยงใต้ กำลังอ่อนยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และ อ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำพัดปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ในส่วนของคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และ อ่าวไทยมีกำลังอ่อนโดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามัน และ อ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงกาเรดินเรือในบริเวณที่มีฝนตก
กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ สำหรับประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้
- กรุงเทพและปริมณฑล มีฝนตกร้อยละ 20 ของพื้นที่
- ภาคเหนือ มีฝนตกร้อยละ 20 ของพื้นที่
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกร้อยละ 20 ของพื้นที่
- ภาคกลางมีฝนตกร้อยละ 20 ของพื้นที่
- ภาคตะวันออก มีฝนตกร้อยละ 30 ของพื้นที่
- ภาคใต้ ฝั่งตะวันตก มีฝนตกร้อยละ 30 ของพื้นที่
บัตรเครดิตเงินคืน (Cashback) VS บัตรเครดิตสะสมแต้ม (Reward) เลือกแบบไหนคุ้มกว่ากัน?
ในยุคที่การใช้บัตรเครดิตกลายเป็นเรื่องปกติของการจับจ่าย หลายคนเริ่มมองหาบัตรที่ “ตอบโจทย์” ไลฟ์สไตล์ และให้ “ผลตอบแทน” ที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการคืนเงินหรือการสะสมแต้มเพื่อแลกของรางวัล แต่คำถามคือ แบบไหนดีกว่ากัน? ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกเปรียบเทียบบัตรเครดิตเงินคืน (Cashback) และบัตรเครดิตสะสมแต้ม (Reward) เพื่อช่วยให้คุณเลือกได้อย่างมั่นใจ
ทำความเข้าใจพื้นฐาน: Cashback กับ Reward คืออะไร?
บัตรเครดิตเงินคืน (Cashback)
คือบัตรที่ให้ผลตอบแทนเป็น “เงินสดคืน” จากยอดการใช้จ่าย เช่น ใช้จ่าย 100 บาท ได้เงินคืน 1-5 บาท (ขึ้นอยู่กับโปรโมชันของบัตร) เงินคืนจะถูกสะสมและคืนเข้าบัญชีในรอบบิลถัดไป หรือใช้ลดยอดค้างชำระ
บัตรเครดิตสะสมแต้ม (Reward)
คือบัตรที่ให้คะแนนสะสมตามยอดใช้จ่าย เช่น ใช้จ่ายทุก 25 บาท ได้ 1 คะแนน จากนั้นสามารถนำคะแนนไปแลกรับของรางวัล ไมล์สะสม เที่ยวบิน โรงแรม หรือเครดิตเงินคืนก็ได้ในบางกรณี
เปรียบเทียบชัด ๆ: เลือกแบบไหนดี?
เกณฑ์ | บัตรเครดิตเงินคืน (Cashback) | บัตรเครดิตสะสมแต้ม (Reward) |
---|---|---|
ประเภทผลตอบแทน | เงินสดคืนเข้าบัญชี | คะแนนสะสม แลกของรางวัล |
ความสะดวก | ง่าย ได้เงินคืนอัตโนมัติ | ต้องเข้าแอป/เว็บไซต์เพื่อแลกคะแนน |
เหมาะกับใคร | คนชอบความคุ้มค่าแบบทันที | คนที่ใช้จ่ายสูงหรือเดินทางบ่อย |
ระยะเวลาการได้รับผลตอบแทน | เร็ว – เดือนต่อเดือน | ช้ากว่า – ต้องสะสมแต้มก่อน |
ความซับซ้อน | ไม่ซับซ้อน | มีขั้นตอนแลกคะแนน อาจหมดอายุได้ |
ข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละประเภท
ข้อดีของบัตรเครดิตเงินคืน
- ได้ผลตอบแทนเป็นเงินสดทันทีเมื่อถึงเกณฑ์
- เหมาะกับการใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าไฟ
- ไม่มีความยุ่งยากเรื่องการแลกคะแนนหรือโปรโมชัน
ข้อจำกัดของบัตรเครดิตเงินคืน
- อัตราการคืนเงินมักถูกจำกัดตามหมวด เช่น บางบัตรให้คืนเฉพาะร้านอาหาร/ซูเปอร์มาร์เก็ต
- มีการจำกัดยอดคืนเงินสูงสุดต่อเดือน
ข้อดีของบัตรเครดิตสะสมแต้ม
- เหมาะกับการใช้จ่ายจำนวนมากหรือซื้อตั๋วเครื่องบิน
- มีของรางวัลหรือสิทธิพิเศษให้เลือกมาก เช่น ตั๋วหนัง, โรงแรม, ตั๋วเครื่องบิน
- บางบัตรสามารถโอนคะแนนไปยังโปรแกรมสะสมไมล์ของสายการบินได้
ข้อจำกัดของบัตรเครดิตสะสมแต้ม
- การใช้คะแนนมีข้อกำหนดและอาจมีวันหมดอายุ
- ต้องใช้แอปหรือเว็บไซต์ในการแลกคะแนน
- บางรางวัลต้องใช้คะแนนจำนวนมากถึงจะแลกได้
ตัวอย่างผู้ใช้งานจริง: ใครเหมาะกับแบบไหน?
ผู้ที่ใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าใช้จ่ายประจำบ้าน
- เหมาะกับบัตรเครดิตเงินคืน เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ตรงจุด เห็นผลทันทีทุกเดือน
ผู้ที่เดินทางบ่อยหรือใช้จ่ายสูงเป็นประจำ
- เหมาะกับบัตรเครดิตสะสมแต้ม โดยเฉพาะบัตรที่โอนคะแนนเป็นไมล์บินได้ เช่น บัตรเครดิตร่วมกับสายการบิน
สายช้อปออนไลน์หรือร้านค้าพันธมิตรเฉพาะ
- อาจเลือกใช้บัตรที่เน้นเงินคืนในหมวด e-commerce หรือบัตรร่วมกับร้านค้า เช่น Shopee, Lazada
แบบไหนคุ้มกว่ากัน?
คำตอบขึ้นอยู่กับ “พฤติกรรมการใช้จ่าย” ของแต่ละคน หากคุณเป็นคนที่ต้องการความเรียบง่ายและคุ้มค่าทันที บัตรเครดิตเงินคืนอาจตอบโจทย์ที่สุด แต่ถ้าคุณมองหาระยะยาวและยินดีสะสมเพื่อแลกของรางวัลพิเศษ บัตรเครดิตสะสมแต้มก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว
คำแนะนำในการเลือก
- ตรวจสอบโปรโมชันแต่ละบัตรก่อนสมัคร
- เปรียบเทียบอัตราผลตอบแทน (เช่น % เงินคืน หรือ อัตราการสะสมแต้ม)
- พิจารณาค่าธรรมเนียมรายปี หากไม่มีค่าธรรมเนียมถือเป็นข้อได้เปรียบ
ไม่ว่าจะเลือกบัตรเครดิตเงินคืนหรือบัตรเครดิตสะสมแต้ม การใช้อย่างมีวินัยและชำระเต็มจำนวนทุกเดือนคือหัวใจของการใช้บัตรอย่างคุ้มค่าและปลอดภัย อย่าลืมเปรียบเทียบให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง เพื่อให้บัตรเครดิตกลายเป็นผู้ช่วยทางการเงิน ไม่ใช่ภาระระยะยาว
รายงานหุ้นญี่ปุ่นร่วงลงแรง หลังจากได้ข้อมูลจ้างงานสหรัฐล่าสุด
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้รายงานเกี่ยวกับหุ้นญี่ปุ่นที่ร่วงตกลงมาค่อนข้างรุนแรงในวันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม 2568 หลังจากข้อมูลการจ้างงานล่าสุดของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาก่อให้เกิดความความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก หุ้นธนาคารและบริษัทส่งออก เช่น รถยนต์ ซึ่งมีตัวเลขปรับลดลง หลังจากเงินเยนแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และดัชนี Topic และ ดัชนี Nikkei 225 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นชั้นนำ ร่วงลงอย่างน้อย 2% ในการซื้อขายช่วงเช้า ซึ่งเป็นการลดลงระหว่างวันมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 เงินเยนแข็งค่าขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากพุ่งขึ้นมากกว่า 2% ในวันศุกร์
จากตัวเลขการรายงานการจ้างงานล่าสุดของสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นถึงการปรับลดอัตราการเติมโตของการจ้างงานที่ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่การเกิดโรคระบาดโคิด โดยตัวเลขปรับใหม่ของการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมลดลงเกือบ 260,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม และ มิถุนายน รวมกันดัชนี S&P 500 ร่วงลงมามากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 ในขนะที่เงินดอลลาร์สหรัฐสิ้นสุดการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 6 วัน การที่ตลาดเร่งคืนเงินกู้เยนในปีที่แล้ว มีส่วนที่ทำให้เกิดการเทขายในตลาด และ ความซับซ้อนจากมาตรการภาษีของประธานาฑิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้สถานการณ์ในครั้งนี้แตกต่างกันออกไป ตลาดแรงงานรัฐฯ ที่ชะงัก จะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาษี เศรษฐกิจถดถอย
ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงฤดูผลประกอบการ โดยมีการคาดการณ์ออกมาว่า จะมีการรายงานผลประกอบการของธนาคารใหญ่ที่สุดของประเทศอย่าง Mitsubishi UFJ Financial Group รวมถึง Sony Group และ บริษัทส่งออกรถยนต์อย่าง Toyota Motor การแข็งขาอันรวดเร็วของเงินเยน และ ข้อมูลของสหรัฐฯที่กำลังอ่อนแอ ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากในอนาคต สำหรับผู้ส่งออกหุ้นขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่าหุ้นขนาดเล็กที่มุ่งเน้นไปที่ภายในประเทศ จะได้รับประโยชน์จากสกุลเงินที่แข็งค่า
เปิดตัวบัตร Mangmoom EMV ใช้แตะจ่าย 20 บาทตลาดสาย
เปิดเผยข้อมูลจากทางผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ได้จัดทำบัตรที่ใช้ชื่อว่า Mangmoom EMV ภายใต้โครงการบัตรอิเล็กทรอนิกส์ร่วมธุรกิจ EMV Contactless ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับประชาชนในการชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า และ เพิ่มทางเลือกในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องตัว สำหรับบัตรใบนี้ สามารถใช้ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT ทุกสายที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ รฟม. ได้แก่
- รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน
- รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง
- รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลือง
- รถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู
นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับระบบขนส่งอื่นๆ และ ร้านค้าที่รองรับการชำระเงินผ่านระบบ EMV Contactless และยังสามารถใช้เพื่อลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ตามโครงการในอัตราคาโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายได้อีกด้วย เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และ เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชนได้ยอย่างเป็นรูปธรรม
บัตร Mangmoom EMV มีกี่แบบ
สำหรับบัตร Mangmoom EMV นั้นมีทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน ได้แก่ บัตรบุคคลทั่วไทย, บัตรผู้สูงอายุ และ บัตรนักเรียนนักศึกษา สำหรับผู้ที่ถือบัตรนี้ ยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มตเิมจากส่วนลดค่าโดยสารตามหลักเกณฑ์ที่ รฟม. กำหนด และ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ผู้ถือบัตร สามารถเติมเงินผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง หรือ ผ่านการสแกน QR Code ที่อยู่ด้านหลังบัตร รวมถึงยังสามารถดูประวัติรายการใช้จ่าย และ แจ้งระงับการใข้งาน ในกรณีบัตรสุญหาย ผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ได้ทุกที่ทุกเวลาอีกด้วย
ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ผู้โดยสารสามารถซื้อบัตร Mangmoom EMV ได้ที่ห้งออกบัตรโดยสารภายในสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ทั้ง 16 สถานี โดยมีราคาจำหน่ายในช่วงโปรโมชั่น ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2568 เพียงใบละ 150 บาท ค่าธรรมเนียมออกบัตร 50 บาท และ มูลค่าภายในบัตร 100 บาท จากราคาปกติ 250 บาท ค่าธรรมเนียมออกบัตร 150 บาท และ มูลค่าในบัตร 100 บาท ยังสามารถสมัครและออกบัตรได้ผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง โดยมีค่าธรรมเนียมรวม 92 บาท ค่าธรรมเนียมออกบัตร 50 บาท และ ค่าจัดส่งทางไปรษณีย์ 42 บาท สำหรับบัตรทุกประเภท ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี
แคมเปญ Mangmoom EMV
นอกจากนี้บัตร Mangmoom EMV ยังเปิดโอกาสให้ผู้ถือบัตรสามารถรับสิทธิพิเศษ จากแคมเปญ ติ๊ดได้ ไม่มีติด ของธนาคากรุงไทย และ สิทธิประโยชน์ จากพาร์ทเนอร์ชั้นนำ เช่น Shopee, Lazada, Grabfood, LINE MAN และ จากแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ใหม่ ที่เชื่อมต่อการเดินทาง และการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างไร้รอยต่อ
บัตร American Express คืออะไร?
ในโลกของบัตรเครดิต มีชื่อหนึ่งที่มักจะถูกพูดถึงในฐานะ “ไอคอนแห่งความพรีเมียม” นั่นคือ American Express หรือ AMEX หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อบัตรนี้ผ่านสื่อหรือจากการใช้งานของผู้มีรายได้สูง แต่ยังไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วบัตร AMEX คืออะไร แตกต่างจากบัตรเครดิตทั่วไปยังไง และเหมาะกับใคร บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรมีบัตรใบนี้หรือไม่
American Express คืออะไร?
American Express หรือ AMEX คือบริษัทด้านบริการการเงินและบัตรเครดิตระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1850 โดยเดิมทีเป็นบริษัทด้านขนส่งเอกสาร ก่อนจะขยายบริการเข้าสู่วงการบัตรเครดิตในช่วงกลางศตวรรษที่ 20
บัตร American Express มีทั้งในรูปแบบของบัตรเครดิต (Credit Card), บัตรชำระหนี้รายเดือน (Charge Card) และบัตรเติมเงิน (Prepaid Card) โดยเฉพาะกลุ่มบัตรเครดิตและชำระหนี้ที่โดดเด่นในเรื่องของสิทธิประโยชน์ ความหรูหรา และประสบการณ์ลูกค้า
บัตรเครดิตแบบ Charge Card คืออะไร?
Charge Card เป็นรูปแบบเฉพาะของ AMEX ซึ่งผู้ถือบัตรจะต้องชำระยอดทั้งหมดเต็มจำนวนในแต่ละเดือน ไม่มีการผ่อนขั้นต่ำ จุดเด่นคือไม่กำหนดวงเงินแน่นอน (No Pre-Set Spending Limit) ทำให้สามารถใช้วงเงินตามพฤติกรรมการใช้จ่ายและความน่าเชื่อถือของผู้ถือบัตร
สิทธิประโยชน์ของบัตร American Express
1. บริการแบบ Personalized
ลูกค้า AMEX จะได้รับบริการแบบเฉพาะบุคคล ทั้ง Call Center ระดับ Premium และผู้ช่วยส่วนตัว (Concierge) ที่ช่วยจองร้านอาหาร โรงแรม ตั๋วเครื่องบิน หรืองานอีเวนต์สำคัญทั่วโลก
2. คะแนนสะสมที่ยืดหยุ่น
โปรแกรม Membership Rewards ของ AMEX ให้คุณแลกคะแนนกับสายการบิน โรงแรม แบรนด์สินค้าหรู หรือแม้แต่ใช้คะแนนแทนเงินสดได้หลากหลายช่องทาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
3. การเข้าถึงห้องรับรองสนามบิน
บัตรระดับสูงของ AMEX เช่น Platinum Card หรือ Centurion Card จะให้สิทธิ์เข้าใช้ ห้องรับรองสนามบิน Centurion Lounge รวมถึงสิทธิ์ผ่าน Priority Pass และห้องรับรองของพันธมิตรสายการบินอีกมากมาย
4. ความคุ้มครองและประกันภัย
บัตร AMEX หลายรุ่นมีประกันเดินทาง ประกันของสูญหาย/ชำรุดระหว่างขนส่ง และความคุ้มครองการซื้อสินค้าออนไลน์ทั่วโลก
ข้อดี-ข้อจำกัดของบัตร American Express
ข้อดีที่โดดเด่น
- เหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางต่างประเทศบ่อย
- บริการลูกค้าเหนือระดับ
- สิทธิประโยชน์ระดับโลก
- ปลอดภัยและมีระบบ Fraud Alert ที่แม่นยำ
ข้อจำกัดที่ควรพิจารณา
- ร้านค้าในไทยยังรับ AMEX ไม่ครบทุกแห่ง
- ค่าธรรมเนียมรายปีของบัตรระดับสูงค่อนข้างสูง
- การแลกคะแนนอาจต้องใช้ยอดใช้จ่ายสูงจึงจะคุ้มค่า
American Express เหมาะกับใคร?
บัตร AMEX เหมาะสำหรับผู้ที่:
- เดินทางต่างประเทศเป็นประจำ และต้องการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ของสนามบิน
- ชื่นชอบการบริการแบบพรีเมียม มีผู้ช่วยส่วนตัว
- ใช้จ่ายจำนวนมาก และต้องการสะสมคะแนนเพื่อใช้แลกกับรางวัลระดับโลก
- ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยและประกันในการซื้อสินค้า
กลุ่มผู้ใช้หลักของ AMEX
ลูกค้าของ AMEX ส่วนใหญ่มักเป็นผู้มีรายได้สูง นักธุรกิจ เจ้าของกิจการ หรือกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางต่างประเทศเป็นประจำและต้องการบัตรที่ให้สิทธิพิเศษระดับ Global
ตัวอย่างบัตร American Express ที่ได้รับความนิยม
1. American Express Platinum Card
บัตรระดับพรีเมียมที่ให้สิทธิพิเศษรอบด้าน เช่น เข้าห้องรับรองสนามบินทั่วโลก, โรงแรมระดับห้าดาว, และบริการผู้ช่วยส่วนตัว 24/7
2. American Express Gold Card
เหมาะกับผู้ที่ต้องการสิทธิประโยชน์แบบสมดุลระหว่างรางวัลและค่าใช้จ่าย คุ้มค่าสำหรับผู้เริ่มใช้บัตรระดับสูง
3. American Express Blue Card
เหมาะกับคนรุ่นใหม่ เน้นการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ร้านอาหาร ช้อปปิ้ง และบริการดิจิทัล พร้อมโปรโมชั่นคืนเงินและคะแนนสะสม
AMEX เป็นมากกว่าบัตรเครดิตทั่วไป
American Express ไม่ใช่เพียงบัตรเครดิต แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่เปิดประตูสู่โลกแห่งสิทธิประโยชน์ระดับ Global ทั้งในแง่บริการ การเดินทาง และความมั่นใจด้านความปลอดภัยในการใช้จ่าย เหมาะกับผู้ที่ต้องการมากกว่าความสะดวกในการจ่ายเงิน แต่ต้องการประสบการณ์และเอกสิทธิ์เฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากบัตรอื่น ๆ
หนี้บัตรเครดิต อายุความกี่ปี?
ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง ป้องกันปัญหาในอนาคต
ในยุคปัจจุบัน การใช้บัตรเครดิตกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่สะดวกสบาย สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงเวลาสั้นๆ แต่หากบริหารจัดการไม่ดีพอ อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สินที่ยืดเยื้อได้ หลายคนจึงสงสัยว่าหนี้บัตรเครดิตมีอายุความกี่ปี วันนี้เรามาทำความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างละเอียดกัน
หนี้บัตรเครดิตคืออะไร?
หนี้บัตรเครดิตคือ ยอดเงินที่ผู้ถือบัตรเครดิตค้างชำระกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยเกิดจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแล้วไม่สามารถชำระคืนเต็มจำนวนหรือขั้นต่ำตามที่กำหนด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าปรับต่างๆ สะสมเพิ่มขึ้น
อายุความของหนี้บัตรเครดิตคืออะไร?
อายุความของหนี้บัตรเครดิต คือ ระยะเวลาที่เจ้าหนี้ (ธนาคารหรือสถาบันการเงิน) สามารถดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ได้ หากพ้นจากระยะเวลาที่กำหนดตามกฎหมายแล้ว เจ้าหนี้จะหมดสิทธิ์ในการฟ้องร้องเรียกชำระหนี้ทันที แต่ไม่ได้หมายความว่าหนี้จะหมดไปเองอัตโนมัติ
อายุความของหนี้บัตรเครดิตกี่ปี?
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย มาตรา 193/34 (9) ระบุว่า อายุความสำหรับหนี้บัตรเครดิตคือ 2 ปี นับจากวันที่ผิดนัดชำระหนี้ครั้งสุดท้าย หรือวันที่ลูกหนี้ได้ชำระเงินครั้งสุดท้ายก่อนที่จะผิดนัด
อย่างไรก็ตาม อายุความจะเริ่มต้นนับใหม่อีกครั้ง หากลูกหนี้ได้ทำการชำระหนี้บางส่วนหรือยอมรับหนี้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรต่อเจ้าหนี้ ดังนั้นการเข้าใจเงื่อนไขนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
กรณีใดที่อายุความของหนี้บัตรเครดิตหยุดลง?
- การชำระหนี้บางส่วน: หากลูกหนี้มีการชำระหนี้บางส่วน แม้เพียงจำนวนเล็กน้อย อายุความของหนี้จะถูกนับใหม่ทันที
- การลงลายมือชื่อยอมรับหนี้: ลูกหนี้เซ็นรับรองหรือยอมรับหนี้เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะผ่านช่องทางใดก็ตาม อายุความก็จะเริ่มนับใหม่เช่นกัน
เมื่อหนี้หมดอายุความแล้ว เจ้าหนี้ทำอะไรได้บ้าง?
เมื่อหนี้หมดอายุความ เจ้าหนี้จะไม่สามารถฟ้องร้องเรียกหนี้ทางกฎหมายได้อีก แต่ยังคงสามารถทวงถามหนี้จากลูกหนี้ได้ตามปกติ เพียงแต่ลูกหนี้มีสิทธิ์ที่จะไม่ชำระเงิน และสามารถปฏิเสธการชำระหนี้นั้นๆ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ควรทำอย่างไรเมื่อเจ้าหนี้ทวงถามหนี้ที่หมดอายุความ?
หากเจ้าหนี้ยังคงมีการทวงถามหนี้ที่หมดอายุความ ลูกหนี้สามารถแจ้งไปยังเจ้าหนี้โดยชัดเจนว่า หนี้ได้หมดอายุความตามกฎหมายแล้ว พร้อมทั้งเก็บหลักฐานการแจ้งเตือนไว้เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้บัตรเครดิต
การป้องกันปัญหาหนี้บัตรเครดิตในอนาคตเป็นเรื่องที่สำคัญและสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
1. วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ
วางแผนการเงินทุกเดือน โดยกำหนดวงเงินที่สามารถจ่ายคืนได้เต็มจำนวน หรืออย่างน้อยก็ต้องชำระขั้นต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
2. ลดการใช้บัตรเครดิตในเรื่องไม่จำเป็น
จำกัดการใช้บัตรเครดิตเฉพาะเรื่องที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น และควรใช้เงินสดสำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อลดภาระหนี้สิน
3. ติดตามยอดค้างชำระอย่างสม่ำเสมอ
ตรวจสอบยอดค้างชำระในแต่ละเดือน เพื่อป้องกันการลืมชำระ และหลีกเลี่ยงค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมจากการผิดนัดชำระ
4. ติดต่อธนาคารทันทีที่มีปัญหา
หากมีปัญหาการชำระหนี้ ควรติดต่อธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อเจรจาประนอมหนี้หรือขอปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องทางกฎหมาย
หนี้บัตรเครดิตมีอายุความตามกฎหมาย 2 ปี ซึ่งจะเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ผิดนัดชำระครั้งสุดท้าย หรือวันที่มีการชำระเงินครั้งสุดท้ายก่อนผิดนัด อย่างไรก็ตามหนี้ที่หมดอายุความไม่ได้หายไปโดยอัตโนมัติ แต่เพียงทำให้เจ้าหนี้หมดสิทธิ์ในการฟ้องร้องทางกฎหมายเท่านั้น การทำความเข้าใจเงื่อนไขของอายุความและปฏิบัติตามแนวทางการบริหารจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยป้องกันปัญหาการเงินในอนาคตได้เป็นอย่างดี
มีลุ้นภาษีทรัมป์ 19% หรือไม่ ตรวจก่อนส่งเสนอทรัมป์
ภาษีตอบโต้ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา ที่ใกล้ถึงเส้นตายในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นี้ได้มีการเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดจากภาครัฐ และ ภาคเอกชนไทย หลังจากที่ไทยได้มีการยื่นข้อเสนอสุดท้ายไปเมื่อสัปดาห์ก่อนและเหลือเพียงการปรับรายละเอียดปลีกย่อย ตอนนี้หลายประเทศในอาเซียนได้ข้อสรุปจากการเจรจาแล้ว โดยทาเงวียดนามได้อัตราภาษี 20%, อินโดนิเซีย 19% และ ฟิลิปปินส์ 19% ซึ่งหลายฝ่ายของประเทศไทยได้มีการออกมาประเมินว่าจะได้รับอัตราภาษีใกล้เคียงกับภูมิภาคอยู่ที่ 19-20%
ข้อมูลจากทางรัฐบาล ได้ออกมาเปิดเผยว่าไทยและกัมพูชา ทำข้อตกลงหยุดยิงกันตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้แสดงความพึงพอใจ และมีการสั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบของสหรัฐเดินหน้าเจรจาภาษีกับไทย และล่าสุดวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ทีมไทยได้หารือกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ หรือ USTR โดยสหรัฐได้ร่างเอกสารสุดท้าย หรือ Final Draft ซึ่งเป็นร่างเอกสารที่ส่งให้ประธานาธิบดีสหรัฐมาให้ฝ่ายไทยได้ทำการตรวจ และไทยได้ส่งกลับไปแล้ว ซึ่งขึ้นตอนนี้ถือว่าเป็นช่วงท้ายก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะประกาศอัตราภาษีอย่างเป็นทางการ
การคาดการณ์ภาษีทรัมป์ของไทย น่าจะใกล้เคียงกับภูมิภาค
การเจรจาเดินหน้าต่อเนื่องแม้กัมพูชาจะละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยการเจรจาไม่เกี่ยวข้องกับชายแดนหรืออธิปไตย แต่จะเป็นเรื่องของการค้าเท่านั้น ดังนั้นการเจรจาต่อรองก็ทำไปตามหลักการ แต่ไทยมีจุดยืนของไทย รวมถึงมองภาพรวมของประชาชนและเกษตรกรเป็นหลัก ทั้งนี้ไทยได้ยื่นข้อเสนอสุดท้ายให้กับสหรัฐแล้วหลังจากสหรัฐได้มีข้อเสนอเพิ่มให้ไทย แต่ยืนยันไม่เกี่ยวกับความมั่นคง โดยเป็นรายละเอียดการเจรจาปลีกย่อย ซึ่งมั่นใจว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปทันเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งตอนนี้ ยังคาดเดาไม่ได้ว่าไทยจะถูกเรียกเก็บอัตราภาษีเท่าไหร่ แต่สหรัฐจะมองเป็นภูมิภาค เลยเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะถูกเก็บภาษีในอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนข้อมูลเต็มที่
ภาษีทรัมป์ 19-20% มีโอกาสลุ้นไหม?
การเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา มีแนวโน้มดีตามที่รัฐบาลได้กล่าวเอาไว้ และคาดว่าน่าจะได้อัตราภาษีที่ใกล้เคียงกับภูมิภาคถือว่าเป็นสัญญาญที่ดี ภายหลังบทบาทสำคัญของประธานาธิบดีสหรัฐในการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยสถากนารณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งนี้จากการที่ไทยได้ปฎิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงทันทีเวลา 00.00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 แต่ทางด้านกัมพูชายังยิงต่อเนื่องจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น จำเชื่อว่าผู้นำสหรัฐเห็นถึงความตั้งใจของไทยในการปฎิบัติตามข้อตกลงซึ่งส่งผลดีต่อการเจรจาภาษีที่กำลังจะมาถึง
คาดว่าอัตราภาษีของไทยน่าจะอยู่ที่ 19-20% ซึ่งเท่ากับหรือใกล้เคียงประเทศคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค เช่นเดียวกับเวียดนามที่ได้อัตราภาษีอยู่ที่ 20%, อินโดนิเซีย 19%, ฟิลิปปินส์ 19% และ มาเลเซียที่ 25% แอบหวังว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะพิจารณาให้รางวัลพิเศษกับไทย ด้วยการลดอัตราภาษีให้ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
กระทรวงการคลังเตรียมรับมือและบรรเทาสถานการณ์ผ่านการดำเนินแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท เพื่อลดผลกระทบต่อภาคการส่งออกรวมถึงมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะ SMEs ในห่วงโซ่อุปทานการส่งออกไปสหรัฐผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ จากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระการเงิน
ค้าขายต้องยื่นภาษียังไง ขั้นตอนของพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องยื่นทุกปี
ในทุกๆปี สำหรับคนที่ค้าขาย จะเป็นจะต้องยื่นภาษี และส่วนใหญ่จะมายื่นเอาใกล้ๆวันหมดเขตบางคนยื่นทัน บางคนยื่นไม่ทัน ซึ่งก็จะโดนค่าปรับต่างๆ วันนี้เรามาดูกันว่าการยื่นภาษี ไม่ว่าจะเป็นจะเจ้าของธุรกิจ, พ่อค้า, แม่ค้า หรือ ทุกคนที่มีรายได้ ไม่ว่าจะมาจากการค้าขายออนไลน์ หรือ ออฟไลน์ ก็ตามแต่ในทุกๆปีจำเป็นจะต้องยื่นภาษีให้กับกรมสรรพากร การยื่นภาษีนั้น ถือว่าเป็นการช่วยให้ประเทศมีเงินพัฒนาไปต่อจากเงินภาษีของประชาชนนั่นเอง ทำให้คนไทยทุกคนที่มีรายได้บนแผนดินไทย มีหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษี
สำหรับมนุษย์เงินเดือน เราสามารถรวบรวมยอดที่ต้องจ่ายภาษีจากยอดรวมหัก ณ ที่ จ่ายหรือใบทวิ 50 ที่ได้รับในแต่ละปี สำหรับคนที่ค้าขาย มักจะมีคำถามว่าต้องยื่นภาษียังไง บทความด้านล้างนี้นอกจากจะให้ความรู้ความเข้าใจ แล้วยังบอกถึงขั้นตอนและ วิธีการยื่นภาษีที่ถูกต้องสำหรับคนที่ค้าขายอีกด้วย ทำให้เข้าใจถึงระบบภาษีวิธีการยื่นภาษี จะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับการต้องโดยเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง เหมือนกับข่าวล่าสุดที่เพิ่มออกมาว่า มีคนที่ค้าขายออนไลน์ ทำรายได้เยอะมากมาย แต่โดนภาษีย้อนหลังถึง 600 ล้านบาทเลยทีเดียว สำหรับอายุความนั้นสำหรับภาษีย้อนหลังนั้นยาวนานถึง 10 ปีเลยทีเดียว แนะนำให้ศึกษาให้ดีๆ ถ้าหากไม่อยากตกเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษีย้อนหลังนั่นเอง
ยื่นภาษีคืออะไร มีทั้งหมดกี่แบบ
การยื่นภาษี หรือที่เราเรียกว่า Tax ก็คือการแจ้งรายได้และค่าใช้จ่ายต่อกรมสรรพากร เพื่อให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีอากร สำหรับนำไปพัฒนาประเทศ บุคคลธรรมดา และ นิติบุคคลที่มีรายได้ตามกฎหมายกำหนด ที่มีหน้าที่ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีโดยประเภทของภาษีนั้นมีทั้งหมด 7 ประเภทด้วยกัน สามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยงานภาษีที่มีลักษณะพิเศษตามที่กฎหมายกำหนดและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยปกติจะจัดเก็บเป็นรายปี สำหรับเงินได้ที่ต้องเสียภาษีนี้เรียกว่า เงินได้พึงประเมิน
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นการจัดเก็บภาษีล่วงหน้าที่กำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษีจากเงินที่จ่ายให้กับผู้รับทุกครั้งที่จ่าย ซึ่งการหักภาษีนั้นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และ เงื่อนไขที่กำหนด หลังจากนั้นให้นำเงินสงกรมสรรพากร
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีจัดเก็บสำหรับผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคค ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล ที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่ง และ พาณิชย์ และ หมายความรวมถึงนิติบุคคลอื่นๆที่ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
- ภาษีธรุกิจเฉพาะ เป็นภาษีที่ออกมาตรมประมวลรัษฎากรประเภทหนึ่ง จัดเก็บจากการประกอบกิจการเฉพาะอย่างแทนภาษีการค้าที่ถูกยกเลิก ภาษีธุรกิจเฉพาะเริ่มบังคับใช้ในปี 2535
- อากรแสตมป์ อากรแสตมป์ เป็นภาษีตามประมวลรัษฎากรประเภทหนึ่ง ที่ถูกจัดเก็บจากการกระทำ ตราสาร 28 ลักษณะตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT เป็นการเก็บภาษีจากการขายสินค้า หรือ การให้บริการในแต่ละขั้นแต่ละตอนในการผลิต และ จำหน่ายสินค้าหรือบริการทั้งผลิตในประเทศ และ นำเข้าจากต่างประเทศ
- ภาษีการรับมรดก ภาษีการรับมรดก เป็นภาษีที่เก็บจากมูลค่ามรดกที่ทายาทแต่ละคนได้รับจากกองมรดกโดยผู้ที่รับมรดกเป็นผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษี
การค้ายื่นภาษีอย่างไร?
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ค้าขาย เป็นพ่อค้าหรือแม่ค้า จะต้องยื่นภาษีอะไร? สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่มีรายได้จากการขายสินค้า หรือ บริการ จะมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประเภทที่ 8 หรือ ม.40(8)โดยจะต้องยื่นภาษีภายในเดือนมกราคม ถึง มีนาคม ของปีถัดไป โดยเราสามารถคำนวณภาษีและยื่นภาษีด้วยตัวเองได้ตามขั้นตอนด้านล่าง
ขั้นตอนการยื่นภาษีสำหรับร้านค้า
เตรียมเอกสารสำหรับการยื่นภาษี
- เตรียมบัตรประชาชน
- เตรียมทะเบียนบ้าน
- เอกสารแสดงรายได้เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี
- เอกสารแสดงค่าใช้จ่าย ถ้ามี
- หลังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ถ้ามี
คำนวณภาษีที่จะต้องจ่าย และ ค่าลดหย่อนภาษี
- คำนวณภาษีที่จะต้องจ่าย โดยใช้โปรแกรมคำนวณผ่านทางเว็บไซต์ https://www.itax.in.th/vat
- นำราายได้ทั้งหมดจากการขายลบด้วยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับการขายหรือให้บริการ
- หักค่าลดหย่อนภาษีจากประกันชีวิต ประกันสุขภาพ กองทุน มูลนิธิ เป็นต้น
เลือกช่องทางการยื่นภาษี
การยื่นแบบภาษี สามารถทำได้ 2 แบบด้วยกันทั้งแบบออนไลน์ และ แบบ ออฟไลน์
ยื่นแบบกระดาษ (ยื่นแบบออฟไลน์)
- ต้องดาวน์โหลดแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90/91 จากเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
- กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
- เตรียมเอกสารที่เกี่วข้อง
- ยื่นแบบฟอร์ม และ เอกสารที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่
ยื่นแบบออนไลน์
- สมัครเป็นสมาชิกบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากรผ่านทางเว็บไซต์ https://efiling.rd.go.th/rd-cms
- Login เพื่อทำการลงทะเบียนเข้าระบบ
- เลือกเมนู ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- เลือกฟอร์ม ภ.ง.ด. 90/91
- กรอกข้อมูลให้ครบ และ ตรวจสอบรายละเอียด
- แบบเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ชำระภาษี และ เก็บหลักฐานการจ่ายภาษี
- กรณีมีภาษีที่ต้องชำระ สามารถทำการชำระผ่านช่องทางต่างๆ ของกรมสรรพากร เช่น ธนาคาร หรือเคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือ ออนไลน์ได้
- เก็บใบเสร็จรับเงินหรือ หลักฐานการชำระภาษีไว้เป็นหลักฐาน
การคำนวนภาษีสำหรับพ่อค้า และ แม่ค้าออนไลน์
สำหรับใครที่อยากจะทราบวิธีการคำนวณภาษีสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ในฐานะที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่มีรายได้จากขายสินค้า หรือ บริการ เราจำเป็นจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประเภทที่ 8 หรือ ม.40(8) และนำข้อมูลนั้นเข้าระบบภาษี ถ้าหากเราไม่เสีย อาจจะโดยค่าปรับภาษีได้ โดยมีวิธีการคำนวณภาษีตามรายละเอียดด้านล่าง
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
วิธีคำนวณที่ 1 คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ
- เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน – เงินบริจาค = เงินได้สุทธิ
- เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี ตามตารางอัตราภาษี = ภาษีที่คำนวณจากเงินได้สุทธิ
วิธีคำนวณที่ 2 คำนวณจากเงินได้สุทธิ
- เงินได้พึงประเมิน x 0.5 = ภาษีที่ต้องชำระ
***การตรวจสอบอัตราภาษีที่จะต้องจ่ายจากเงินสุทธิ รวมถึงหากคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2 ถ้าหากยอดไม่ถึง 5,000 บาท ให้จา่ยภาษีตามวิธีที่ 1
การยื่นภาษีนั้นเป็นหน้าที่ของทุกคน ซึ่งรัฐบาลจะนำเงินภาษีไปพัฒนาประเทศ เช่น การศึกษา, สาธารณสุข, โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ นอกจากนี้ยังช่วยให้เราไม่เกิดความเสี่ยงที่จะโดยภาษีย้อนหลังอย่างกับตัวอย่างที่แจ้งเอาไว้ด้านบนว่าปีนี้ มีคนโดยภาษีย้อนหลังถึง 600 ล้านบาทเลยทีเดียว สำหรับใครที่จ่ายภาษีเป็นครั้งแลก แนะนำให้เตรียมข้อมูล และ ทำการอ่านเรื่องภาษีให้เข้าใจก่อนจะได้ไม่ทำผิดพลาดในการยื่นภาษี ไม่ว่าจะเป็นยื่นแบบ ออนไลน์ หรือ ยื่นแบบออฟไลน์
เปิดยุทธศาสตร์ไทยรับภาษีทรัมป์ลดผลกระทบการส่งออก
หากไทยถูกสหรัฐปรับเพิ่มอัตราภาษีศุลกากร 36% มาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs โดยอ้างว่าเป็นประเทศที่ไม่สมดุลทางการค้ากับสหรัฐ นอกจากนี้อาจจะมีการพิจารณาใช้อัตราภาษีรายภูมิภาค หรือ Regional หรืออาจจะขยายระยะเวลาการระงับการเก็บภาษีในบางประเทศก็เป็นไปได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทางรัฐบาลสหรัฐ ไม่เพียงเท่านั้นสหรัฐได้ออกมาตรการทางภาษีรายสินค้า หรือ Product Specific Tariffs โดยใช้อำนาจทางกฎหมายตามมาตรา 232 เช่น เหล็ก และ อลูมิเนียมที่นำเข้าจากทุกประเทศ จะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นอีกในอัตรา 50% สินค้ารถยนต์ และ ชิ้นส่วนรถยนต์บางประเภท ที่นำเข้าจากทุกประเทศ จะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีกในอัตรา 25% สำหรับสินค้าอื่นที่ยังไม่ได้ออกมาตรการ เพราะอยู่ระหว่างไต่สวนได้แก่ ทองแดง, ไม้ และ ไม้แปลรูป, เซมิคอนดักเตอร์, ผลิตภัณฑ์ยา, แร่สำคัญ, รถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่, เครื่องบิน และ เครื่องยนต์ไอพ่น
ปัจจุบันหลายประเทศเข้าสู่กระบวนการยื่นข้อเสนอการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา แต่สถานการณ์ด้านภาษีในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูง และคาดเดาได้ยาก สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดทำวิเคราะห์ผลกระทบจากมาตรการด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อการส่งออกไทย 2568 ในส่วนการวิเคราะห์สินค้าส่งออกไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบ จากมาตรการด้านภาษีของสหรัฐพบว่า กลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐสูงสุด 12 อันดับแรก หรือมีระดับการพุ่งพาตลาดสหรัฐมากกว่า 28% ซึ่งส่วนใหญ่มีมูลค่าส่งออกระดับปานกลาง ซึ่งประเทศไทยไม่ได้ครองส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐในอันดับต้นๆ
การส่งออกสินค้าในกลุ่มเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า และ เครื่องจักรกล สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของสินค้า 2 กลุ่มนี้ หากได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษี จะทำให้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ชะลอลงทำให้ภาพรวมการส่งออกไปสหรัฐลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่สินค้าเกษตร และ อุตสาหกรรมการเกษตรที่พึ่งพาตลาดสหรัฐสูง เช่น ของปรุ่งแต่งทำจากพืชผักผลไม้ น้ำมะพร้าว ผลไม้แปลรูป สับปะรดกระป๋อง ที่พึ่งตลาดาสหรัฐถึง 29.8% มูลค่าสูงถึง 782.6 ล้านดอลลาร์
หากพิจารณาด้านการแข่งขันในตลาดสหรัฐพบว่ากลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐสูงของไทย ไม่ได้เป็นสินค้าที่ไทยครองส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐในอันดับต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วประเทศที่ครองส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐมากคือ จีน, เวียดนาม, กัมพูชา, แม็กซิโก และ แคนนาดา แนวทางการพิจารณาหาตลาดส่งออกทดแทนสหรัฐสำหรับสินค้าส่งออกสำคัญที่ไทยส่งออกไปสหรัฐ 15 กลุ่มแรก ซึ่งคิดเป็น 90.1% ของมูลค่าการส่งออกรวมไปสหรัฐในปี 2567 พบว่าไทยมีโอกาสขยายการส่งออกได้หลายกลุ่มสินค้าที่ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับต้นๆ หรือ เริ่มเข้าไปชิงส่วนแบ่งการตลาดในตลาดอื่นๆ
ตลาดทุนกำลังเจอกับ 4 สัญญาญฟองสบู่ที่น่าจับตา
สำนักข่าวรายงานความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นสหรัฐที่กำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง พร้อมกับการซื้อขายเก็งกำไรที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนักลงทุนอาจมองว่านี่เป็นสัญญาญก่อนที่ตลาดจะเกิด ฟองสบู่ และ ที่สำคัญเลยนักลงทุนกำลังจับตามอง 4 สัญญาญต่อไปนี้
หุ้นเก็งกำไรกำลังมาแรง
หลังจากความวุ่นวายในเรื่องภาษีในเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา หุ้นก็ดิ่งลงก่อนที่จะแห่ไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น คริปโตเคอร์เรนซี่ และ หุ้นของบริษัทเล็ก ราคาหุ้นหลายๆตัวฟื้นตัวอย่างโดนเด่น ทั้งราคาหุ้น Opendoor Technologies บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ออนไลน์พุ่งขึ้น 377% นอกจากนี้ยังมีหุ้น GoPro และ Krispy Kreme ที่ปรับตัวขึ้นมาได้อย่างโดดเด่นอีกด้วย การกลับมาของการเดิมพันแบบ You Only Live Once ทำให้นึกถึงช่วงที่ตลาดคึกคักสุดๆในปี 2021 ที่นักเทรดเดอร์ออนไลน์ ปั่นหุ้น Gamestop ร้านค้าปลีกในช่วงที่ห้างกำลังซบเซา ทำให้มีมูลค่าสูงถึง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในเวลาสั้นๆ ก่อนที่ตลาดกระทิงจะสิ้นสุดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น หุ้นกองทุน ARK Innovation ETF เป็นกองทุนรวมของบริษัทเก็งกำไรจำนวนมาก แต่ยังขาดทุนสุทธิ ปรับขึ้นกว่า 36% ตั้งแต่ต้นปี
คริปโตพรุ่งแรง หลายบริษัทแห่ถือ Bitcoin เก็งกำไร
ราคา Ethereum และ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนุบสนุนคริปโตเคอร์เรนซีของรัฐบาลทรัมป์ และการยอมรับที่เพิ่มขึ้นจากสถาบันการเงินกระแสหลักนอกจากนี้ยังมีนักลงทุนรายใหม่ที่เข้ามาดันราคาขึ้นไปอีก ได้แก่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่กักตุน Bitcoin เอาไว้ นั่นก็คือ Trump Media & Technology Group ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่าได้สะสม Bitcoin และ หลักทรัพย์เกี่ยวกับ Bitcoin ไว้ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามผู้เชียวชาญออกมาเตือนว่าการกระทำอาจจะเพิ่มความเสี่ยงในตลาดคริปโต และทำให้เกิดการเทขายที่รุนแรงขึ้น หากคำเตือนเหล่านั้นก็ไม่ได้ยับยั้งให้บริษัทประมาณ 60 แห่งจากการดำเนินกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกัน
ราคาหุ้นพุ่งแพงเกินไป
หลังจากที่หุ้นกลับมาอยู่ในระดับเดี่ยวกับเดือนเมษายน การฟื้นตัวของตลาดก็มีการกระจายตัวไปมากกว่าแค่หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven และ บริษัทใหญ่ๆ ด้านเทคโนโลยี ตอนนี้เริ่มมีหุ้นจากกลุ่มธุรกิจอื่นๆเข้ามามีบทบาทเช่น บริษัทการเงิน, อุตสาหกรรม และ บริษัทสื่อสาร ทำให้ดัชนี KBW Nasdaq Bank พุ่งขึ้นกว่า 7% ในเดือนที่ผ่านมา โดยทั่วไปแล้วนักวิเคราะห์มองว่า การฟื้นตัวของตลาดที่กระจายตัวเป็นสัญญาญที่ดีของตลาดกระทิงที่ยั่งยืน แต่อย่างไรก็ตามมูลค่าหุ้นตอนนี้ถือว่าสูงเกินไปมาก โดยค่าพรีเมียมความเสี่ยงของหุ้น หรือ Equity Risk Premium ซึ่งวัดจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนจากกำไรที่คาดการณ์ของ S&P 500 กับผลตอบแทนพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐอายุ 10 ปี เข้าใกล้ศูนย์ หมายความว่าผลตอบแทนพิเศษที่ควรได้จากการถือหุ้นเมื่อเทียบกับพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำกว่านั้นแทบจะหายไปแล้ว ซึ่งนักลงทุนมองว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อสุขภาพของตลาด
เศรษฐกิจสหรัฐ แข็งแกร่งทามกลางสัญญาญที่ต้องตรวจสอบ
ความกังวลในช่วงแรกว่ามีมาตรการภาษีอาจจะทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นและฉุดรั้งการเติมโตทางเศรษฐกิจแต่ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐคงแสดงความยืดหยุ่นและเดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ดี ท่ามกลางความแข็งแรงนี้ ยังมีสัญญาญบางอย่างที่ต้องจับตามองใกล้ชิด สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกังวัลมากที่สุดคือการชะลอตัวอย่างรุนแรงในตลาดแรงงาน ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นจริง หากตลาดแรงงานเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง อาจจะส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคหยุดชะงัก