Deepseek คืออะไร ทำไมกระทบกลุ่มเทคโนโลยีอย่างหนัก

DeepSeek คือบริษัทสตาร์ทอัปจากประเทศจีนที่เน้นการพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่เกี่ยวข้องกับการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของโมเดล AI ในตลาด บริษัทตั้งอยู่ในเมืองหางโจว และเริ่มก่อตั้งในปี 2023 DeepSeek AIได้รับความสนใจอย่างมากในระดับโลกหลังจากเปิดตัวโมเดล AI ที่มีชื่อว่า DeepSeek-V3 และ DeepSeek-R1 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในขณะที่ใช้ต้นทุนการพัฒนาที่ต่ำกว่าคู่แข่งในตลาด เช่น OpenAI

จุดเด่นของ DeepSeek คือ:

  1. ประสิทธิภาพสูง: โมเดลของ DeepSeek ถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีเทียบเท่าหรือเหนือกว่าคู่แข่งชั้นนำในตลาด เช่น ChatGPT และ Gemini จาก Alphabet
  2. ต้นทุนต่ำ: การพัฒนาของ DeepSeek ใช้ชิปที่มีต้นทุนต่ำ เช่น Nvidia H800 ซึ่งเป็นชิปที่ได้รับการปรับแต่งสำหรับจำหน่ายในจีน โมเดล R1 มีต้นทุนต่ำกว่า OpenAI o1 ถึง 20-50 เท่า
  3. ใช้งานในวงกว้าง: โมเดลของบริษัทเน้นการใช้งานบนอุปกรณ์ทั่วไป เช่น โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แทนที่จะพึ่งพาศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
  4. ได้รับการยอมรับในระดับสากล: แม้จะเป็นสตาร์ทอัปขนาดเล็ก แต่โมเดลของ DeepSeek ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญในซิลิคอนแวลลีย์ว่ามีคุณภาพและประสิทธิภาพเทียบเท่ากับบริษัทชั้นนำในอเมริกา

DeepSeek กลายเป็นหัวข้อที่น่าสนใจในวงการเทคโนโลยี เนื่องจากเป็นตัวอย่างของนวัตกรรม AI ที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในจีน และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและวงการ AI ในระดับโลก เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับการเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างหนัก เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้นทุนต่ำจากประเทศจีนที่อาจเข้ามาแข่งขันกับผู้นำตลาดอย่าง Nvidia เหตุการณ์นี้ส่งผลให้หุ้นของ Nvidia ลดลงถึง 17% และมูลค่าตลาดหายไปถึง 593,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการสูญเสียมูลค่าตลาดภายในวันเดียวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

บริษัทสตาร์ทอัปจากจีนชื่อ DeepSeek ได้เปิดตัวผู้ช่วย AI ที่สามารถใช้งานได้ฟรี โดยอ้างว่าใช้ฐานข้อมูลและต้นทุนที่ต่ำกว่าโมเดล AI อื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เมื่อวันที่ 27 มกราคม โมเดล AI ของ DeepSeek ได้มียอดดาวน์โหลดทาง App Store แซงหน้า ChatGPT จากสหรัฐอเมริกา

ผลกระทบจากความนิยมของ DeepSeek ทำให้ดัชนี Nasdaq ลดลง 3.1% ในวันเดียวกัน โดยนอกจากหุ้นของ Nvidia ที่ลดลงอย่างมากแล้ว หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เช่น Broadcom ลดลง 17%, Microsoft ผู้สนับสนุนหลักของ ChatGPT ลดลง 2.1% และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google ลดลง 4.2%

ไบรอัน เจค็อบสัน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Annex Wealth Management ในรัฐวิสคอนซิน กล่าวว่า “หาก DeepSeek เป็นนวัตกรรมที่ดีกว่า (better mousetrap) จริง ๆ มันอาจจะสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อเครื่องมือ AI ทั้งหมดที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา” เขายังเสริมว่า “มันอาจจะทำให้อุปสงค์ชิปลดลง ลดความต้องการสร้างแหล่งพลังงานขนาดใหญ่เพื่อมาใช้กับโมเดลเหล่านี้ และลดความจำเป็นในการสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ด้วย”

หลังจากที่ Baidu ได้เปิดตัวโมเดล AI จีนตัวแรกที่ถือเป็นคู่แข่งของ ChatGPT ก็มีความผิดหวังเกิดขึ้นในจีนเกี่ยวกับช่องว่างด้านศักยภาพ AI ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ยังห่างกันอยู่ อย่างไรก็ตาม คุณภาพและประสิทธิภาพต้นทุนของโมเดล AI จาก DeepSeek ได้เปลี่ยนมุมมองนี้ และได้รับการยอมรับจากผู้บริหารบริษัทชั้นนำในซิลิคอนแวลลีย์หลายคน

DeepSeek เป็นบริษัทสตาร์ทอัปขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในเมืองหางโจว ก่อตั้งขึ้นในปี 2023 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ Baidu เปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ตัวแรกของจีน แม้ว่าจะมีบริษัทเทคโนโลยีจีนจำนวนมากพัฒนาโมเดล AI ขึ้นเอง แต่ DeepSeek เป็นรายแรกที่ได้รับการยอมรับจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐฯ ว่ามีประสิทธิภาพทัดเทียมหรือแม้แต่เหนือกว่าโมเดลชั้นนำของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอเมริกัน

ปัจจุบัน ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DeepSeek คือ เหลียง เหวินเฟิง ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยงเชิงปริมาณ High-Flyer

ทีมนักวิจัยของ DeepSeek ระบุว่า โมเดล DeepSeek-V3 ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 มกราคม ใช้ชิป H800 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia “ลดสเปก” ลงเพื่อจำหน่ายให้จีนในการฝึกฝน AI และใช้ต้นทุนเพียงไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับโมเดล DeepSeek-R1 ที่ปล่อยออกสู่ตลาดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ใช้ต้นทุนต่ำกว่าโมเดล o1 ของ OpenAI ประมาณ 20-50 เท่า โดยขึ้นอยู่กับภารกิจที่ AI ได้รับมอบหมาย

มาร์ก อันเดรสเซน นักลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ ระบุในโพสต์บน X เมื่อวันที่ 26 มกราคม ว่า โมเดล R1 ของ DeepSeek เป็นเสมือน “ช่วงเวลาสปุตนิก” แห่งวงการ AI โดยอ้างถึงการปล่อยดาวเทียมของสหภาพโซเวียตซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันด้านอวกาศในช่วงปลายทศวรรษ 1950 เขากล่าวว่า “DeepSeek R1 เป็นการเปิดตัวสิ่งใหม่ที่น่าประทับใจที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่ผมเคยเห็นมา และด้วยความเป็นโอเพนซอร์ส ก็ถือเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมสำหรับทั่วโลกด้วย”

ด้าน แดเนียล มอร์แกน ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโออาวุโสจาก Synovus Trust Company ซึ่งถือหุ้นเกือบ 1 ล้านหุ้นใน Nvidia ชี้ว่าแรงเทขายในตลาดหุ้นเทคโนโลยีเมื่อวันที่ 27 มกราคม อาจเป็นการตอบสนองที่เกินจริง เขาตั้งข้อสังเกตว่าการที่โมเดล AI ของ DeepSeek ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ PC เป็นหลักมากกว่าศูนย์ข้อมูล ทำให้มันกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับ ChatGPT และ Gemini ของ Alphabet

การเปิดตัวโมเดล AI ของ DeepSeek ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเทคโนโลยี แต่ยังเป็นสัญญาณว่าประเทศจีนกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการ AI ระดับโลก ความสามารถในการพัฒนาโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำของ DeepSeek อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในอุตสาหกรรมนี้ ในอนาคต การแข่งขันในด้าน AI ระหว่างประเทศต่าง ๆ คาดว่าจะเข้มข้นขึ้น

อัพเดทล่าสุด เงินดิจิทัลเฟส 3 รัฐจ่ายเมื่อไหร่

มาตรการล่าสุดจากทางรัฐบาล กับโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 สำหรับคนทั่วไป รัฐจ่ายเงินวันไหน แล้วใครได้รับเงินบ้าง มีคำตอบ  และในส่วนของ เงินดิจิทัลเฟส 2 ซึ่งมีการโอนจ่ายไปแล้วในวันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา และ กลุ่มคนอายุ 16-60 ปี ให้รอดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะเสร็จทันแน่นอนในช่วงเดือน เมษายน 2568 จะมีการทยอยจ่าย สำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัล เป็นโครงการที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิสามารถตรวจสอบรายชื่อ ซึ่งจะขึ้นข้อความแสดงสถานะได้เงิน ผ่านทางแอปทางรัฐ สำหรับคนที่ไม่มีมือถือรัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียนได้เมื่อไหร่ มีคำตอบ สามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 กลุ่มคนอายุ 16-60 ปีได้เงินวันไหน

จากการเปิดเผยข้อมูลล่าสุด ทางด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเปิดเผยถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดึตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวบนเวทีหาเสียงผู้สมัคร นายก อบจ. ว่าการแจกเงิน ดิจิทัลเฟส 3 สำหรับกลุ่มคนอายุ 16-60 ปีนั้น จะมีการทำจ่ายผ่านทาง ดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะเสร็จประมาณเดือนมีนาคม – เมษายน 2568 โดยตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาระบบ

วิธีตรวจสอบ รายชื่อคนได้เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะรู้วันโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร เฟส 2 และ เฟส 3 ล่าสุด จะขึ้นข้อความแสดงสถานะ

  • เปิดแอปทางรัฐ และทำการเข้าสู่ระบบให้เรียบร้อย จากนั้นกดที่ปุ่มตรวจสอบสถานะ
  • ระบบจะขออนุญาตเข้าถึงข้อมูล และขอยืนยันเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนให้กดที่ปุ่มยืนยันข้อมูล
  • ทำการกรอกเบอร์โทรศัพท์ และ กดปุ่มรับรหัสทาง SMS (OTP)
  • กรอกรหัส OTP และ กดปุ่มยืนยันโทรศัพท์มือถือ
  • กดปุ่มอนุญาต ให้แอปพลิเคชั่นเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
  • ระบบจะทำการแสดงผลสถานะในการรับสิทธิตามโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ว่าอยู่ในขั้นตอนไหน

สถานะเงินดิจิทัล ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท

  • สถานะขึ้นตอนที่ 3 คือระบบอยู่ระหว่างการตรวจสอบสิทธิ
  • สถานะขึ้นตอนที่ 4 คือไม่ได้รับสิทธิ
  • สถานะขึ้นตอนที่ 5 คือได้รับสิทธิตามโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท

โปรโมชั่นสมัครบัตรเครดิต UOB ล่าสุดรับฟรี 2 ต่อ

สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะสมัครบัตรเครดิตอยู่ตอนนี้ ลองอัพเดทโปรโมชั่น สำหรับลูกค้าใหม่ที่ต้องการสมัครบัตรเครดิตดูก่อนเลย อย่างล่าสุดทาง UOB มีโปรโมชั่น สำหรับลูกค้าใหม่ที่ต้องการสมัครบัตรเครดิต ยูโอบี ได้รับสิทธิพิเศษถึง 2 ต่อด้วยกัน สามารถอัพเดทรายละเอียดสิทธิพิเศษได้ด้านล่าง

รับ 2 ต่อ Special Deal เมื่อสมัครบัตรเครดิต UOB และ ยูโอบี แคชพลัสผ่านทางออนไลน์

  • ต่อที่ 1 รับกระเป๋าเดินทาง  Snoopy Trolley Bag 4 ล้อขนาด 20 นิ้วมูลค่า 6,800 บาท
  • ต่อที่ 2 รับ Starbucks e-Voucher มูลค่า 300 บาท

โปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้าใหม่ที่สมัครบัตรเครดิต UOB ผ่านช่องทางออนไลน์ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารยูโอบีกำหนด สำหรับลูกค้าใหม่ที่สมัครผ่านทางออนไลน์ และ มียอดใช้จ่าย 1 ครั้งภายใน 30 วัน โดยบัตรเครดิตจะต้องได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 30 มีนาคม 2568

สมัครบัตร UOB World มีข้อดีอะไรบ้าง

  • รับคะแนนสะสมยูโอบี รีวอร์ด 5 เท่า ทุกการใช้จ่าย 25 บาท สำหรับการใช้จ่ายออนไลน์ และ e-wallet
  • รับคะแนนสะสมยูโอบี รีวอร์ด 5 เท่า ทุกการใช้จ่าย 25 บาท ในหมวดร้านอาหาร, หมวดท่องเที่ยว และ เงินสกุลต่างประเทศ
  • รับคะแนนสะสมยูโอบี รีวอร์ด 2 เท่า ทุกๆการใช้จ่าย 25 บาท สำหรับยอดการใช้จ่ายอื่นๆ หรือ การใช้จ่ายที่เกินจากที่กำหนด

 

สมัครบัตรเครดิต UOB รับสิทธิ์ 2 ต่อ ที่นี่เท่านั้น

 

27 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ 2568

เงื่อนไขการสมัคร:

  • สมัครทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล Cash Plus (บัตรเครดิตต้องได้รับการอนุมัติ)
  • บัตรเครดิตต้องได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 30 มีนาคม 2568
  • ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 1 ครั้งภายใน 30 วันหลังจากวันที่บัตรได้รับการอนุมัติ
  • ลูกค้าต้องไม่เคยถือบัตรเครดิต UOB / บัตรแบรนด์ Citi มาก่อน หรือปิดบัตรดังกล่าวเกิน 12 เดือนมาแล้ว

บัตรเครดิต ใช้เท่าที่จำเป็น และ ชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี บัตรยูโอบี แคสพลัส: กู้เท่าที่จำเป็น และ ชำระคือไหว อัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี

ความแตกต่างระหว่างบัตร Visa และ บัตร Mastercard

เมื่อพูดถึงบัตรเครดิต หลายคนอาจสงสัยว่า Visa และ Mastercard แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกบัตรแบบไหนที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับความแตกต่างระหว่างบัตรเครดิตทั้งสองประเภท พร้อมแนะนำวิธีเลือกบัตรที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างเหมาะสมที่สุด

Visa และ Mastercard คืออะไร?

ทั้ง Visa และ Mastercard เป็นเครือข่ายการชำระเงินระดับโลกที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างธนาคาร ผู้ออกบัตร และร้านค้าต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเครือข่ายนี้จะช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างผู้ถือบัตรและร้านค้าดำเนินไปอย่างราบรื่น

สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ Visa และ Mastercard ไม่ได้เป็นผู้ออกบัตรเครดิต แต่เป็นผู้ให้บริการเครือข่าย ธนาคารต่าง ๆ จะเป็นผู้ที่กำหนดเงื่อนไข เช่น อัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิต

ความคล้ายคลึงกันระหว่าง Visa และ Mastercard

ทั้ง Visa และ Mastercard มีจุดร่วมที่คล้ายกันหลายประการ เช่น:

  1. เครือข่ายการใช้งานที่ครอบคลุมทั่วโลก
    • Visa และ Mastercard สามารถใช้งานได้ในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก
    • รองรับร้านค้าหลายล้านแห่ง ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีก ร้านอาหาร หรือแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์
  2. บริการความปลอดภัย
    • ทั้งสองเครือข่ายมีระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น การเข้ารหัสข้อมูล และบริการป้องกันการทุจริต
    • ให้บริการตรวจสอบการใช้งานแบบเรียลไทม์เพื่อป้องกันการใช้บัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต
  3. การรองรับบัตรหลากหลายประเภท
    • ทั้ง Visa และ Mastercard มีบัตรหลายระดับ เช่น บัตรคลาสสิก บัตรแพลตินัม บัตรโกลด์ และบัตรระดับพรีเมียม
    • แต่ละระดับมอบสิทธิพิเศษแตกต่างกัน เช่น การสะสมคะแนน เงินคืน หรือประกันการเดินทาง

ความแตกต่างระหว่าง Visa และ Mastercard

แม้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ Visa และ Mastercard ก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันในบางด้าน:

  1. สิทธิประโยชน์พิเศษ
    • Visa: มักมุ่งเน้นสิทธิพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง เช่น ส่วนลดการจองโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน และประกันการเดินทาง
    • Mastercard: โดดเด่นด้านโปรโมชั่นในหมวดร้านอาหารและความบันเทิง เช่น ส่วนลดร้านอาหาร การจองกิจกรรมท่องเที่ยว หรือบริการดูหนัง
  2. จำนวนร้านค้าที่รับบัตร
    • Visa อาจมีร้านค้าที่รับบัตรมากกว่าในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา
    • Mastercard มีเครือข่ายการรับบัตรที่กว้างขวางในยุโรปและเอเชีย
  3. ระบบการสะสมคะแนนและแลกรางวัล
    • Visa และ Mastercard มีโปรแกรมสะสมคะแนนที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับธนาคารผู้ออกบัตร
    • บางครั้ง Mastercard อาจให้ข้อเสนอที่หลากหลายในหมวดสินค้าหรือบริการเฉพาะกลุ่ม
  4. โปรโมชั่นระดับท้องถิ่น
    • โปรโมชั่นของ Visa และ Mastercard มักแตกต่างกันขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับธนาคารและร้านค้าในพื้นที่นั้น ๆ

เลือกบัตร Visa หรือ Mastercard ดี?

การเลือกบัตรระหว่าง Visa และ Mastercard ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ เราได้รวบรวมคำแนะนำเบื้องต้นเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น:

  1. หากคุณชอบเดินทาง
    • บัตร Visa อาจตอบโจทย์คุณมากกว่า เพราะมีสิทธิพิเศษเกี่ยวกับการเดินทาง เช่น ประกันการเดินทาง ส่วนลดตั๋วเครื่องบิน และสิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรองสนามบิน
  2. หากคุณเน้นไลฟ์สไตล์ในเมือง
    • Mastercard มักมีโปรโมชั่นในหมวดร้านอาหารและกิจกรรมความบันเทิง เช่น ส่วนลดร้านอาหาร การจองบัตรคอนเสิร์ต หรือการดูหนังในราคาพิเศษ
  3. หากคุณช้อปออนไลน์บ่อย
    • ทั้ง Visa และ Mastercard รองรับการช้อปปิ้งออนไลน์อย่างครอบคลุม แต่คุณอาจพิจารณาเลือกบัตรที่ให้ส่วนลดหรือเงินคืนในแพลตฟอร์มที่คุณใช้งานบ่อย
  4. หากคุณต้องการสะสมคะแนนหรือไมล์
    • เลือกบัตรที่มีระบบสะสมคะแนนหรือไมล์ที่เหมาะสมกับการใช้จ่ายของคุณ โดยตรวจสอบว่าบัตรใดให้คะแนนสูงกว่าในหมวดที่คุณใช้จ่ายบ่อย

ข้อควรระวังในการเลือกบัตร

  • เปรียบเทียบเงื่อนไขธนาคาร: แม้จะเลือก Visa หรือ Mastercard คุณควรพิจารณาอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และสิทธิพิเศษที่ธนาคารแต่ละแห่งมอบให้
  • ตรวจสอบความพร้อมในการใช้งาน: หากคุณเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ให้ตรวจสอบว่าประเทศปลายทางรับบัตรของเครือข่ายใดมากกว่า
  • อ่านข้อกำหนดและเงื่อนไข: บางสิทธิพิเศษอาจมีเงื่อนไขซ่อนเร้น เช่น การใช้จ่ายขั้นต่ำ หรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

Visa กับ Mastercard อันไหนดีกว่า?

จริง ๆ แล้ว Visa และ Mastercard ไม่มีแบบใดดีกว่าแบบใดในภาพรวม เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนบุคคล หากคุณเน้นการใช้งานในหมวดที่เฉพาะเจาะจง เช่น การเดินทาง ร้านอาหาร หรือช้อปปิ้ง คุณควรเลือกบัตรที่มอบสิทธิพิเศษในหมวดนั้น ๆ

Visa และ Mastercard เป็นเครือข่ายการชำระเงินที่มีจุดเด่นและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกัน การเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะสมควรเริ่มจากการประเมินความต้องการของตัวเอง พร้อมเปรียบเทียบโปรโมชั่นและข้อเสนอจากธนาคารที่ออกบัตรเพื่อให้คุณได้บัตรที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการใช้จ่ายของคุณ

แนะนำบัตรเครดิต น่าสมัครที่สุดในปี 2025

ในปี 2025 ตลาดบัตรเครดิตในประเทศไทยเต็มไปด้วยตัวเลือกหลากหลายที่น่าสนใจ แต่การเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของคุณอาจเป็นเรื่องท้าทาย หากคุณกำลังมองหาบัตรเครดิตที่คุ้มค่า นี่คือคำแนะนำเพื่อช่วยให้คุณเลือกบัตรเครดิตที่ดีที่สุดในปีนี้

1. เข้าใจความต้องการของตัวเองก่อนเลือกบัตรเครดิต

ก่อนที่จะเลือกบัตรเครดิต สิ่งสำคัญที่สุดคือการประเมินว่าคุณต้องการใช้บัตรเครดิตเพื่ออะไร เช่น:

  • สำหรับสะสมคะแนน: หากคุณชอบสะสมแต้มเพื่อนำไปแลกสิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้มองหาบัตรเครดิตที่มีโปรแกรมสะสมคะแนนที่หลากหลาย
  • สำหรับการเดินทาง: เลือกบัตรที่มีสิทธิพิเศษสำหรับการเดินทาง เช่น สะสมไมล์บิน ประกันการเดินทาง หรือสิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรองสนามบิน
  • สำหรับคืนเงิน: หากคุณต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน บัตรเครดิตที่มีโปรโมชั่นคืนเงินสด (Cashback) อาจเป็นตัวเลือกที่ดี
  • สำหรับช้อปปิ้งออนไลน์: บัตรที่มอบส่วนลดหรือสิทธิพิเศษในการช้อปออนไลน์จะช่วยคุณประหยัดได้มากขึ้น

2. บัตรเครดิตแนะนำในปี 2025

เราได้รวบรวมบัตรเครดิตที่น่าสนใจในปี 2025 มาแนะนำ เพื่อให้คุณเลือกตามความต้องการของคุณ:

บัตรเครดิตสำหรับสะสมคะแนน
  • UOB Rewards Credit Card
    • สะสมคะแนนสูงถึง 5 เท่าเมื่อใช้จ่ายในหมวดร้านอาหาร ช้อปปิ้ง และเดินทาง
    • แลกคะแนนได้ง่ายในหมวดสินค้าและบริการยอดนิยม
    • เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบสะสมคะแนนและใช้สิทธิพิเศษจากคะแนนที่สะสมได้
  • KBank Credit Card X
    • รับคะแนนสะสม 2 เท่าเมื่อใช้จ่ายทุก ๆ 25 บาท
    • โปรโมชั่นแลกคะแนนเป็นส่วนลดร้านอาหารและโรงแรมที่ร่วมรายการ
    • ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีเมื่อใช้จ่ายครบตามเงื่อนไข
บัตรเครดิตสำหรับเดินทาง
  • SCB Planet Travel Card
    • ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปีในปีแรก
    • รับส่วนลดตั๋วเครื่องบินและโรงแรมที่ร่วมรายการ
    • ประกันการเดินทางฟรีมูลค่าสูงสุด 10 ล้านบาท
  • UOB Privimiles Credit Card
    • สะสมไมล์เร็วขึ้นด้วยคะแนนสะสมพิเศษ
    • สิทธิ์เข้าใช้เลานจ์สนามบินกว่า 1,200 แห่งทั่วโลก
    • รับเงินคืนเมื่อใช้จ่ายในต่างประเทศ
บัตรเครดิตคืนเงิน (Cashback)
  • Krungsri First Choice Visa Platinum
    • คืนเงินสูงสุด 5% เมื่อใช้จ่ายในหมวดร้านอาหาร น้ำมัน และช้อปปิ้ง
    • รับเงินคืนพิเศษทุกเดือนเมื่อใช้จ่ายถึงเกณฑ์ที่กำหนด
    • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคืนเงินสดเพื่อลดค่าใช้จ่าย
  • Bangkok Bank Cash Back Credit Card
    • รับคืนเงิน 1-2% ทุกครั้งที่ใช้จ่าย
    • โปรโมชั่นพิเศษคืนเงินในหมวดร้านอาหารและช้อปปิ้ง
    • ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี
บัตรเครดิตสำหรับช้อปปิ้งออนไลน์
  • TTB So Smart Credit Card
    • รับส่วนลดพิเศษในเว็บไซต์ชั้นนำ เช่น Lazada และ Shopee
    • คืนเงินสด 3% ในหมวดสินค้าออนไลน์
    • ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดชีพ
  • TrueMoney Credit Card
    • รับเงินคืนสูงสุด 5% เมื่อใช้จ่ายในหมวดช้อปปิ้งออนไลน์
    • ส่วนลดพิเศษสำหรับบริการ TrueMove H และ TrueOnline
    • โปรโมชั่นช้อปปิ้งรายเดือนที่ร่วมกับร้านค้าออนไลน์

3. สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนสมัครบัตรเครดิต

การเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะสมควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:

  1. อัตราดอกเบี้ย: ตรวจสอบว่าอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บเป็นเท่าไหร่ และเปรียบเทียบกับบัตรอื่น ๆ
  2. ค่าธรรมเนียมรายปี: บางบัตรอาจมีค่าธรรมเนียมรายปีที่สูง แต่หากมีโปรโมชั่นยกเว้นค่าธรรมเนียมเมื่อใช้จ่ายถึงเกณฑ์ อาจช่วยลดค่าใช้จ่ายได้
  3. สิทธิพิเศษและโปรโมชัน: เลือกบัตรที่มีโปรโมชั่นที่คุณสามารถใช้ได้จริง เช่น ส่วนลดหรือเงินคืนในหมวดที่คุณใช้จ่ายบ่อย
  4. ความง่ายในการสมัคร: ตรวจสอบว่าคุณสมบัติของคุณตรงตามเงื่อนไขหรือไม่ เช่น รายได้ขั้นต่ำ หรืออายุผู้สมัคร
  5. การบริการหลังการขาย: เลือกธนาคารที่มีการบริการลูกค้าดี เช่น การช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาเรื่องยอดใช้จ่าย หรือระบบแจ้งเตือนการใช้จ่ายผ่าน SMS

4. เคล็ดลับการใช้บัตรเครดิตให้คุ้มค่า

  • ชำระเงินเต็มจำนวน: หลีกเลี่ยงการจ่ายขั้นต่ำเพื่อลดดอกเบี้ยสะสม
  • ใช้บัตรตามโปรโมชั่น: ตรวจสอบโปรโมชั่นรายเดือนและใช้บัตรในหมวดที่มีสิทธิพิเศษ
  • ติดตามการใช้จ่าย: ตรวจสอบยอดใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารเพื่อไม่ให้เกินงบประมาณ
  • ระวังค่าธรรมเนียมซ่อนเร้น: อ่านรายละเอียดสัญญาก่อนสมัครบัตรเครดิต

ในปี 2025 บัตรเครดิตแต่ละใบมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน การเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายของคุณ หากคุณต้องการบัตรที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ อย่าลืมศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เปรียบเทียบสิทธิพิเศษ และเลือกบัตรที่ตอบโจทย์มากที่สุด

 

อัพเดทคุณสมบัติ ผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568

ในปี 2568 นี้ รัฐบาลไทยได้ประกาศโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ เพื่อสนับสนุนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ และผู้พิการ โดยมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และขั้นตอนการลงทะเบียนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน

การทบทวนหลักเกณฑ์และการป้องกันการสวมสิทธิ

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ดำเนินการตรวจสอบและทบทวนหลักเกณฑ์การรับสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐใหม่ทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่เข้าข่ายได้รับสิทธิเข้ามาสวมสิทธิ์ การตรวจสอบนี้ครอบคลุมถึงเกณฑ์รายได้ครัวเรือน การถือครองที่ดิน สินทรัพย์ การถือครองสลาก และพันธบัตร

กลุ่มผู้มีสิทธิ์และการลงทะเบียน

สำหรับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่แล้วจำนวน 14.5 ล้านคน ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใหม่ เนื่องจากรัฐบาลจะนำรายชื่อไปคัดกรองสิทธิ์ให้อัตโนมัติ ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิมาก่อน จะต้องลงทะเบียนใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ก่อนสิ้นเดือนมีนาคม 2568

ไทม์ไลน์การลงทะเบียน

  • เดือนมกราคม 2568: เปิดให้ลงทะเบียนสำหรับทั้งผู้ถือบัตรเก่าและผู้สนใจรายใหม่
  • เดือนมีนาคม 2568: ประกาศผลการลงทะเบียน และเปิดให้ยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ์
  • เดือนเมษายน 2568: เริ่มใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่

การลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”

เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน การลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 จะสามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งเป็น Super App ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ผู้ลงทะเบียนสามารถยืนยันตัวตนและรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชันนี้ได้อย่างง่ายดาย

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568

  • สัญชาติไทย
  • อายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
  • มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี หรือภายในครอบครัวมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี
  • ทรัพย์สินทางการเงิน เช่น เงินฝาก พันธบัตร ตราสารหนี้ต่างๆ ต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน
  • ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์หรือที่ดินเกินจากเกณฑ์ที่กำหนด
  • ไม่มีบัตรเครดิต
  • ไม่มีวงเงินกู้บ้านตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป
  • ไม่มีวงเงินกู้ซื้อรถตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป
  • ไม่เป็นภิกษุ สามเณร ผู้ต้องขัง บุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ ข้าราชการ พนักงานราชการ ผู้รับบำเหน็จรายเดือน ผู้รับบำนาญ ข้าราชการการเมือง รวมถึง ส.ส. และ ส.ว.
  • กรณีไม่มีครอบครัว ห้องชุดต้องไม่เกิน 35 ตารางเมตร และที่ดินที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรไม่เกิน 1 ไร่ และใช้ในการเกษตรไม่เกิน 10 ไร่

สิทธิประโยชน์ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568

  • วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 300 บาทต่อคนต่อเดือน
  • วงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ 750 บาทต่อคนต่อเดือน
  • วงเงินส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน

การปรับปรุงและขยายสิทธิประโยชน์ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเปราะบาง และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ผู้ที่สนใจควรติดตามข่าวสารจากกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่พลาดโอกาสในการรับสิทธิประโยชน์จากโครงการนี้

 

แนะนำรวมหนี้บัตรเครดิต 2568 ล่าสุด

ในยุคปัจจุบัน การใช้บัตรเครดิตกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของหลายคน แต่เมื่อการใช้จ่ายเกินความสามารถในการชำระหนี้ ปัญหาหนี้สินก็อาจเกิดขึ้นได้ การรวมหนี้บัตรเครดิตเป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถช่วยจัดการปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การรวมหนี้บัตรเครดิตคืออะไร?

การรวมหนี้บัตรเครดิตคือการนำหนี้จากบัตรเครดิตหลายใบมารวมเป็นหนี้ก้อนเดียว โดยการขอสินเชื่อส่วนบุคคลจากสถาบันการเงินเพื่อชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด แล้วผ่อนชำระหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลนั้นแทน วิธีนี้ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการหนี้ และอาจลดอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระได้

ข้อดีของการรวมหนี้บัตรเครดิต

  1. ลดภาระดอกเบี้ย: การรวมหนี้ช่วยลดอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระ จากเดิมที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงจากบัตรเครดิตหลายใบ มาเป็นดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าจากสินเชื่อส่วนบุคคล
  2. จัดการหนี้ได้ง่ายขึ้น: เมื่อรวมหนี้เป็นก้อนเดียว ทำให้การชำระหนี้เป็นระบบมากขึ้น ไม่ต้องกังวลกับการชำระหนี้หลายๆ บัญชี
  3. เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน: การรวมหนี้ช่วยลดจำนวนเงินที่ต้องชำระต่อเดือน ทำให้มีเงินเหลือใช้สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ

ข้อควรระวังในการรวมหนี้บัตรเครดิต

  1. อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม: ควรตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมของสินเชื่อส่วนบุคคลที่เลือกใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าคุ้มค่ากับการรวมหนี้
  2. วินัยในการใช้จ่าย: หลังจากรวมหนี้แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการสร้างหนี้ใหม่ และมีวินัยในการใช้จ่ายเพื่อป้องกันปัญหาหนี้สินในอนาคต

ขั้นตอนการรวมหนี้บัตรเครดิต

  1. ประเมินหนี้สินทั้งหมด: รวบรวมหนี้จากบัตรเครดิตทุกใบ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยและยอดค้างชำระ
  2. ค้นหาสินเชื่อส่วนบุคคลที่เหมาะสม: เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย เงื่อนไขการผ่อนชำระ และค่าธรรมเนียมจากสถาบันการเงินต่างๆ
  3. สมัครสินเชื่อและชำระหนี้บัตรเครดิต: เมื่อได้รับอนุมัติสินเชื่อ ใช้เงินที่ได้รับมาชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด
  4. ผ่อนชำระสินเชื่อตามกำหนด: ชำระค่างวดสินเชื่อส่วนบุคคลตามกำหนด เพื่อป้องกันการเกิดหนี้ใหม่

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สินเชื่อรวมหนี้จากสถาบันการเงินชั้นนำในประเทศไทย

ธนาคารกสิกรไทย (KBank)

  • ผลิตภัณฑ์: สินเชื่อเงินสด K-Personal Loan
  • จุดเด่น: อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอก
  • วงเงินอนุมัติสูงสุด 5 เท่าของรายได้
  • ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 60 เดือน
  • สมัครง่ายผ่านแอป K PLUS

ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Bank)

  • ผลิตภัณฑ์: กรุงไทย Smart Money
  • จุดเด่น: ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน
  • วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท
  • ดอกเบี้ยเริ่มต้น 15% ต่อปี
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรวมหนี้จากบัตรเครดิตหรือสินเชื่ออื่นๆ

ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)

  • ผลิตภัณฑ์: TTB Debt Consolidation Loan
  • จุดเด่น: รวมทุกหนี้ไว้ในที่เดียว ลดดอกเบี้ยสูงสุด
  • วงเงินอนุมัติสูงสุด 2 ล้านบาท
  • ดอกเบี้ยเริ่มต้น 13% ต่อปี
  • ลดภาระรายเดือนด้วยระยะเวลาผ่อนชำระนานถึง 72 เดือน

ธนาคารยูโอบี (UOB)

  • ผลิตภัณฑ์: UOB I-Cash
  • จุดเด่น: วงเงินสูงสุด 1.5 ล้านบาท
  • ผ่อนชำระได้นานถึง 60 เดือน
  • ดอกเบี้ยเริ่มต้น 15.99% ต่อปี
  • อนุมัติรวดเร็วใน 3 วันทำการ

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB Thai)

  • ผลิตภัณฑ์: สินเชื่อเพอร์ซันนัลแคช (Personal Cash Loan)
  • จุดเด่น: วงเงินสูงสุด 2 ล้านบาท
  • ดอกเบี้ยเริ่มต้น 12% ต่อปี
  • สมัครง่าย ไม่ต้องมีบัญชีเงินเดือนกับธนาคาร
  • เหมาะสำหรับการรวมหนี้บัตรเครดิต

ธนาคารออมสิน (Government Savings Bank)

  • ผลิตภัณฑ์: สินเชื่อเพื่อรวมหนี้ (Debt Consolidation Loan)
  • จุดเด่น: ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ
  • วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท
  • มีเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ยืดหยุ่น
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยหรือปานกลาง

ธนาคารธนชาต (Thanachart Bank)

  • ผลิตภัณฑ์: สินเชื่อเงินสดพร้อมใช้
  • จุดเด่น:วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท
  • ดอกเบี้ยคงที่
  • ผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน
  • อนุมัติง่าย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์

การเลือกผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับการรวมหนี้บัตรเครดิต ควรพิจารณาอัตราดอกเบี้ย เงื่อนไขการชำระเงิน และข้อกำหนดต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินของคุณ และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้ซ้ำในอนาคต ควรวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบและมีวินัยในการชำระหนี้ให้ตรงเวลาเสมอ

เลือกบัตรเครดิต TTB ใบไหนดี

ทีทีบีธนชาต (ttb) นำเสนอผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้า ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเดินทาง นักช้อปออนไลน์ หรือผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นทางการเงิน ทีทีบีมีบัตรเครดิตที่เหมาะสมสำหรับคุณ

บัตรเครดิต ttb absolute

สำหรับผู้ที่รักการเดินทางและช้อปปิ้งออนไลน์ บัตรเครดิต ttb absolute มอบสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ เช่น ค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินต่างประเทศเพียง 1% จากปกติ 2.5% นอกจากนี้ ยังได้รับคะแนนสะสม 2 เท่าเมื่อใช้จ่ายออนไลน์ทั่วโลก พร้อมสิทธิ์เข้าห้องรับรองพิเศษที่สนามบิน (LoungeKey) ฟรี 2 ครั้งต่อปีปฏิทิน และประกันอุบัติเหตุจากการเดินทางวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 16 ล้านบาท

บัตรเครดิต ttb so fast

หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการสะสมคะแนน บัตรเครดิต ttb so fast เป็นตัวเลือกที่ดี ทุกการใช้จ่าย 10 บาท รับ 1 คะแนนสะสม นอกจากนี้ ยังสามารถแลกคะแนนเพื่อรับเครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 12% และมีบริการแบ่งชำระรายเดือนพิเศษ 0% นาน 3 เดือน สำหรับยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อเซลล์สลิป ที่สำคัญ บัตรนี้ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี

บัตรเครดิต ttb so smart

สำหรับผู้ที่ต้องการรับเงินคืนจากการใช้จ่าย บัตรเครดิต ttb so smart มอบเงินคืน 1% ทุกครั้งที่ใช้จ่าย ไม่จำกัดร้านค้า นอกจากนี้ ยังมีบริการแบ่งจ่าย 0% นาน 3 เดือน สำหรับยอดใช้จ่ายที่มียอดถึง 1,000 บาทขึ้นไป บัตรนี้ยังฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี

บัตรเครดิต ttb so chill

หากคุณต้องการความยืดหยุ่นในการใช้จ่าย บัตรเครดิต ttb so chill ช่วยให้คุณกดเงินสดได้ทันทีด้วยค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสดเพียง 1.5% จากปกติ 3% พร้อมบริการแบ่งจ่าย 0% นาน 3 เดือน ทุกร้านค้า บัตรนี้ยังฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี

บัตรเครดิต ttb Global House

สำหรับคนรักบ้าน บัตรเครดิต ttb Global House มอบส่วนลดทันที 3% สำหรับการซื้อของแต่งบ้าน และส่วนลด 5% สำหรับค่าบริการ นอกจากนี้ ยังมีบริการผ่อน 0% ที่โกลบอลเฮ้าส์ทุกสาขา บัตรนี้ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี

บริการแบ่งจ่าย so goood

ไม่ว่าคุณจะใช้บัตรเครดิต ttb ใบใด คุณสามารถใช้บริการแบ่งจ่าย so goood ที่ให้คุณผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน ทุกร้านค้า หรือเลือกผ่อนนาน 6 หรือ 10 เดือน ด้วยดอกเบี้ยเพียง 0.69% ต่อเดือน สำหรับยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อเซลล์สลิป

ใหม่! บริการแตะจ่ายด้วย Google Pay

เพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ทีทีบีได้เปิดให้บริการผูกบัตรเครดิต ttb กับ Google Pay แล้ว ทำให้คุณสามารถแตะจ่ายได้ทันที สะดวกและปลอดภัย

สมัครบัตรเครดิตทีทีบีวันนี้

การสมัครบัตรเครดิตทีทีบีเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย คุณสามารถสมัครออนไลน์ได้ทันที เพียงกรอกข้อมูลส่วนตัวและอัปโหลดเอกสารที่จำเป็น หลังจากนั้น ธนาคารจะดำเนินการตรวจสอบและแจ้งผลการสมัครให้คุณทราบ

คุณสมบัติผู้สมัครบัตรเครดิตทีทีบี

  • อายุ 20-70 ปี
  • รายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน สำหรับบัตรเครดิตทั่วไป
  • มีอายุงานอย่างน้อย 4 เดือน สำหรับพนักงานประจำ
  • สำหรับเจ้าของกิจการ ต้องดำเนินธุรกิจมาอย่างน้อย 2 ปี

เอกสารประกอบการสมัคร

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สลิปเงินเดือนล่าสุด หรือหนังสือรับรองเงินเดือน
  • สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน
  • สำหรับเจ้าของกิจการ เพิ่มเติมสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น

ข้อควรระวังในการใช้บัตรเครดิต

การใช้บัตรเครดิตอย่างมีความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญ ควรใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระยอดค้างชำระเต็มจำนวนภายในกำหนดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยและค่าปรับ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบรายการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการทุจริตหรือการใช้จ่ายที่ไม่พึงประสงค์

ทีทีบีธนชาตมุ่งมั่นในการให้บริการบัตรเครดิตที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมมอบสิทธิประโยชน์และความคุ้มค่าที่เหนือกว่า หากคุณกำลังมองหา ร้านค้า หรือเลือกระยะเวลาผ่อนชำระได้สูงสุด 60 เดือนด้วยดอกเบี้ยพิเศษ นอกจากนี้ บริการนี้ยังช่วยให้คุณสามารถจัดการค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้นและยืดหยุ่นมากขึ้น เหมาะสำหรับการวางแผนการเงินที่ชาญฉลาด

จุดเด่นของบัตรเครดิต ttb

1. ค่าธรรมเนียมฟรี บัตรเครดิตของ ttb หลายใบมอบสิทธิ์ยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ถือบัตร

2. สิทธิพิเศษหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมคะแนน การรับเงินคืน หรือสิทธิประโยชน์สำหรับนักเดินทาง เช่น ห้องรับรองพิเศษและประกันการเดินทาง ttb ออกแบบบัตรเครดิตเพื่อให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน

3. บริการแบ่งจ่ายที่ยืดหยุ่น ttb ให้คุณสามารถแบ่งจ่ายได้ตามความต้องการ ทำให้คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น และสามารถเลือกแผนการจ่ายที่เหมาะกับงบประมาณของคุณ

4. การป้องกันและความปลอดภัย บัตรเครดิต ttb มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยสูงสุด ทั้งบริการ OTP สำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์และการแจ้งเตือนผ่าน SMS เพื่อป้องกันการใช้บัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต


วิธีสมัครบัตรเครดิต ttb

การสมัครบัตรเครดิต ttb สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยคุณสามารถเลือกสมัครผ่านช่องทางต่อไปนี้:

1. สมัครออนไลน์ เข้าเว็บไซต์ ttbbank.com และเลือกบัตรเครดิตที่คุณสนใจ กรอกแบบฟอร์มสมัครออนไลน์พร้อมแนบเอกสารที่เกี่ยวข้อง

2. สมัครที่สาขา คุณสามารถไปยังสาขา ttb ใกล้บ้าน เพื่อสมัครบัตรเครดิต โดยพนักงานจะช่วยแนะนำและให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรแต่ละประเภท

3. ติดต่อเจ้าหน้าที่ หากคุณมีคำถามเพิ่มเติม คุณสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ผ่านโทรศัพท์ที่หมายเลขศูนย์บริการลูกค้าของ ttb

เอกสารประกอบการสมัคร

สำหรับการสมัครบัตรเครดิต คุณจำเป็นต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้:

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • สลิปเงินเดือนหรือหนังสือรับรองรายได้
  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน

เคล็ดลับการใช้บัตรเครดิตให้คุ้มค่า

1. ใช้จ่ายอย่างมีสติ วางแผนการใช้บัตรเครดิตและควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สินที่เกินความสามารถในการชำระ

2. ใช้สิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ที่มากับบัตรเครดิตของคุณ เช่น คะแนนสะสมหรือส่วนลดพิเศษ

3. ชำระเต็มจำนวน พยายามชำระยอดเงินเต็มจำนวนในแต่ละเดือน เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยและเพิ่มคะแนนเครดิตของคุณ

4. ตรวจสอบใบแจ้งยอด ตรวจสอบรายการใช้จ่ายในใบแจ้งยอดบัตรเครดิตทุกเดือน เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดหรือการใช้บัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต

บัตรเครดิต ttb เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้จ่าย พร้อมสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าคุณจะต้องการสะสมคะแนน รับเงินคืน หรือเพลิดเพลินกับการเดินทาง บัตรเครดิต ttb มีตัวเลือกที่ครอบคลุมทุกความต้องการ นอกจากนี้ บริการแบ่งจ่าย so goood ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารการเงินส่วนบุคคล ทำให้คุณสามารถใช้จ่ายได้อย่างชาญฉลาด

ด้วยการสมัครที่ง่ายและสิทธิประโยชน์มากมาย บัตรเครดิต ttb จึงเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการจัดการทางการเงินในทุกโอกาส หากคุณกำลังมองหาบัตรเครดิตที่ตอบสนองความต้องการในทุกด้าน ttb พร้อมเป็นเพื่อนคู่ใจของคุณในทุกการใช้จ่าย

เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วน

มาตรการส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ถึง 31 มกราคม 2568 รัฐบาลได้อนุมัติให้ประชาชนสามารถใช้บริการรถไฟฟ้าและรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การดำเนินการนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณประมาณ 140 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากงบกลางของรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ระบุว่ามาตรการนี้คาดว่าจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะขึ้นอย่างน้อย 20-30% หากปัญหาฝุ่นละอองยังไม่ลดลง รัฐบาลอาจพิจารณาขยายระยะเวลามาตรการนี้เพิ่มเติม

การตรวจสอบและควบคุมยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษ

นอกจากการส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะแล้ว รัฐบาลยังได้จัดตั้งจุดตรวจสอบยานพาหนะที่ปล่อยควันดำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน 8 จุด ได้แก่

  • บริเวณหน้าห้างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
  • ท่าเรือคลองเตย
  • หน้าสวนจตุจักร ถนนพหลโยธิน
  • ถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 1
  • ถนนสุวินทวงศ์ บริเวณหน้าการประปามีนบุรี
  • ถนนพระราม 2 บริเวณหน้าแขวงการทางบางขุนเทียน
  • ถนนรังสิต-นครนายก กิโลเมตรที่ 10 บริเวณหน้าโลตัส
  • ถนนบรมราชชนนี ทั้งขาเข้าและขาออก

การตรวจสอบนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาฝุ่นละออง PM2.5

ความสำคัญของการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5

ฝุ่นละออง PM2.5 เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร การสัมผัสกับฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต ดังนั้น การดำเนินมาตรการเพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

การมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหา

นอกจากมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการแล้ว ประชาชนยังสามารถมีส่วนร่วมในการลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ได้ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้

  • ลดการใช้ยานพาหนะส่วนตัว: หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ การเดิน หรือการใช้จักรยาน เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ
  • ตรวจสอบและบำรุงรักษายานพาหนะ: ตรวจสอบสภาพรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบเครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน
  • หลีกเลี่ยงการเผาขยะหรือวัสดุอื่น ๆ: การเผาขยะหรือวัสดุทางการเกษตรเป็นแหล่งกำเนิดของฝุ่นละออง PM2.5 การหลีกเลี่ยงการเผาจะช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ
  • ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศ: ตรวจสอบค่าฝุ่นละออง PM2.5 จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และปฏิบัติตามคำแนะนำเมื่อค่าฝุ่นละอองอยู่ในระดับที่เป็นอันตราย

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน หรือประชาชนทั่วไป ภาครัฐควรดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ ขณะที่ภาคเอกชนควรปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งจะช่วยลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วน การส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ การตรวจสอบและควบคุมยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการลดมลพิษ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะ

เช็คค่าฝุ่นในประเทศไทย ล่าสุด

ปัญหามลพิษทางอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) กำลังเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การทราบข้อมูลค่าฝุ่นละอองในพื้นที่ต่างๆ จะช่วยให้เราสามารถเตรียมตัวรับมือและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาแนะนำวิธีเช็คค่าฝุ่นละอองในประเทศไทย รวมถึงความสำคัญของการตรวจสอบค่าฝุ่นและวิธีป้องกันตนเองจากมลพิษทางอากาศ


ความสำคัญของการตรวจสอบค่าฝุ่นละออง

ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นมลพิษทางอากาศที่สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและกระแสเลือดได้ง่าย ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ในบางกรณีอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้ การทราบค่าฝุ่นละอองในพื้นที่ต่างๆ จึงช่วยให้เราสามารถตัดสินใจหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่ค่าฝุ่นสูงได้


วิธีเช็คค่าฝุ่นในประเทศไทย

ปัจจุบันมีหลายช่องทางที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเช็คค่าฝุ่นได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมีดังนี้:

1. แอปพลิเคชัน AirVisual

AirVisual เป็นแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยให้ข้อมูลค่าฝุ่น PM2.5 ในรูปแบบเรียลไทม์ คุณสามารถเลือกดูค่าฝุ่นในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทยได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งฟีเจอร์ที่ช่วยเปรียบเทียบคุณภาพอากาศระหว่างเมืองต่างๆ และคำแนะนำในการป้องกันตนเองเมื่อค่าฝุ่นสูง

2. เว็บไซต์ Air4Thai

Air4Thai เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่พัฒนาโดยกรมควบคุมมลพิษของประเทศไทย ให้ข้อมูลค่าฝุ่นละอองในรูปแบบกราฟและแผนที่ พร้อมรายงานคุณภาพอากาศรายวันและรายชั่วโมง คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ฟรีผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน Air4Thai

3. เครื่องตรวจวัดฝุ่นส่วนตัว

สำหรับผู้ที่ต้องการทราบค่าฝุ่นในพื้นที่เฉพาะจุด เช่น ในบ้านหรือที่ทำงาน สามารถเลือกใช้เครื่องตรวจวัดฝุ่นส่วนตัว ซึ่งมีหลายรุ่นให้เลือกใช้ในตลาดไทย เครื่องเหล่านี้สามารถแสดงค่าฝุ่น PM2.5 ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

4. การตรวจสอบผ่านโซเชียลมีเดีย

หลายหน่วยงานและองค์กรในประเทศไทย เช่น กรมควบคุมมลพิษ และกรมอนามัย มักโพสต์ข้อมูลค่าฝุ่นละอองผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook และ Twitter ซึ่งช่วยให้คุณทราบข้อมูลได้ทันที


แหล่งที่มาของฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย

ค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในประเทศไทยมีแหล่งที่มาหลากหลาย เช่น:

  1. การเผาในที่โล่ง: การเผาป่าหรือเผาไร่อ้อยเป็นสาเหตุสำคัญของค่าฝุ่นสูงในภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง
  2. ควันจากยานพาหนะ: การจราจรที่หนาแน่นในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษหลัก
  3. โรงงานอุตสาหกรรม: โรงงานที่ไม่ได้มาตรฐานในการจัดการมลพิษมีส่วนทำให้ค่าฝุ่นเพิ่มขึ้น
  4. การก่อสร้าง: ฝุ่นละอองจากการก่อสร้างอาคารและถนนเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มาที่ไม่ควรมองข้าม

วิธีป้องกันตัวเองจากค่าฝุ่น PM2.5

เมื่อค่าฝุ่นละออง PM2.5 อยู่ในระดับที่อันตราย คุณสามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:

1. สวมหน้ากากกันฝุ่นที่มีประสิทธิภาพ

เลือกใช้หน้ากากกันฝุ่นชนิด N95 หรือหน้ากากที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เพื่อป้องกันการสูดดมฝุ่นละอองเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ

2. หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง

หากค่าฝุ่นอยู่ในระดับที่สูง ควรลดหรือหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือการเดินทางในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น

3. ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้าน

การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในบ้านหรือที่ทำงานช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองภายในอาคาร โดยเฉพาะในห้องนอนและพื้นที่ที่คุณใช้เวลาอยู่มากที่สุด

4. ติดตามข้อมูลค่าฝุ่นอย่างใกล้ชิด

การเช็คค่าฝุ่นละอองผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ช่วยให้คุณวางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย


ค่าฝุ่นละออง PM2.5 เป็นปัญหาที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ การตรวจสอบค่าฝุ่นในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทยช่วยให้เราสามารถป้องกันตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมใช้เครื่องมือที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันตนเองเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว หากทุกคนร่วมมือกันลดการก่อมลพิษ จะช่วยให้ประเทศไทยมีอากาศที่สะอาดและปลอดภัยมากขึ้นในอนาคต