รีวิวบัตรเครดิต UOB One Card: คืนสูงสุด 1% ทุกการใช้จ่ายจริงหรือ?

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มองหาบัตรเครดิตที่ช่วยให้คุณได้รับเครดิตเงินคืนทุกครั้งที่รูดจ่าย บัตรเครดิต UOB One Card อาจอยู่ในลิสต์ที่คุณกำลังพิจารณา ด้วยคำโปรยที่บอกว่า “รับเงินคืนสูงสุด 1% ทุกการใช้จ่าย” หลายคนอาจสงสัยว่าได้จริงหรือ? มีเงื่อนไขอะไรแอบแฝงหรือเปล่า? ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกแบบละเอียด เพื่อให้คุณเข้าใจและใช้บัตรใบนี้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

รู้จักกับ UOB One Card: บัตรเครดิตสายคืนเงิน

UOB One Card เป็นบัตรเครดิตประเภท “Cashback” จากธนาคาร UOB ที่ออกแบบมาเพื่อคนที่ใช้จ่ายเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าน้ำมัน, ค่าอาหาร, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ออนไลน์ช้อปปิ้ง หรือแม้แต่การจ่ายบิล

จุดเด่นของบัตร

  • เครดิตเงินคืนสูงสุด 1% สำหรับทุกยอดใช้จ่าย*
  • ไม่มีการจำกัดหมวดหมู่เฉพาะ — ใช้จ่ายอะไรก็ได้เงินคืน
  • ไม่มีการกำหนดยอดขั้นต่ำต่อรายการ แต่มีเงื่อนไขสะสมยอดรายเดือน
  • ร่วมโปรโมชันพิเศษกับร้านค้าและแอปชั้นนำทั่วไทย

*เงื่อนไขการคืน 1% ขึ้นอยู่กับยอดรวมที่ใช้จ่ายต่อรอบบัญชี

เครดิตเงินคืนทำงานอย่างไร?

ระบบการคืนเงินของ UOB One Card

บัตรใบนี้มีโครงสร้างการคืนเงินตามยอดใช้จ่ายรวมต่อรอบบัญชี ดังนี้:

ยอดใช้จ่ายต่อเดือน อัตราเครดิตเงินคืน ยอดเงินคืนสูงสุดต่อรอบบัญชี
0 – 4,999 บาท 0.2% ไม่เกิน 10 บาท
5,000 – 19,999 บาท 0.5% ไม่เกิน 100 บาท
20,000 บาทขึ้นไป 1% สูงสุด 500 บาท

สรุปง่าย ๆ คือ ถ้ายิ่งใช้จ่ายมากต่อเดือน ก็ยิ่งได้อัตราคืนเงินที่สูงขึ้น โดยไม่มีการแยกหมวดหมู่ให้ซับซ้อน

โปรโมชั่นเสริมและสิทธิพิเศษที่เกี่ยวข้อง

นอกจากการคืนเงินพื้นฐานแล้ว UOB One Card ยังมีโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าชั้นนำ เช่น

  • เครดิตเงินคืนเพิ่มเมื่อใช้จ่ายผ่าน Shopee, Lazada, Grab และ Robinhood
  • โปรร่วมกับปั๊มน้ำมัน Shell และ Caltex รับคืนเพิ่ม 5% เมื่อใช้จ่ายครบตามเงื่อนไข
  • สิทธิ์แบ่งจ่าย 0% นาน 3-6 เดือนกับร้านค้าและแพลตฟอร์มที่ร่วมรายการ

เทคนิคใช้บัตรให้คุ้มที่สุด

1. วางแผนยอดใช้จ่ายรายเดือน

เพื่อให้ได้เครดิตเงินคืน 1% แบบเต็มอัตรา แนะนำให้รวมยอดใช้จ่ายในเดือนนั้น ๆ ให้เกิน 20,000 บาท เช่น รวบรวมการช้อป, จ่ายบิล, เติมน้ำมัน และจ่ายค่าอาหารในบัตรใบเดียว

2. ใช้คู่กับโปรร้านค้า

ติดตามโปรโมชั่นจาก UOB ที่อัปเดตเป็นประจำ เช่น การใช้ร่วมกับแอป e-Wallet หรือร้านค้ารายใหญ่ ซึ่งอาจได้เครดิตเงินคืนเพิ่มเป็น 3-5%

3. อย่าลืมลงทะเบียนก่อนรับโปรพิเศษ

บางโปรโมชั่นจำเป็นต้องลงทะเบียนผ่านแอป UOB TMRW หรือเว็บไซต์ก่อน จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์

ข้อควรระวังและสิ่งที่หลายคนมองข้าม

1. มีเพดานเงินคืนต่อเดือน

แม้จะได้ 1% แต่เพดานสูงสุดต่อรอบบัญชีอยู่ที่ 500 บาท หมายความว่าใช้จ่ายเกิน 50,000 บาทก็ยังได้เงินคืนเท่าเดิม

2. เครดิตเงินคืนไม่ใช่เงินสด

เครดิตเงินคืนจะสะสมในบัญชีบัตรและหักจากยอดเรียกเก็บ ไม่สามารถแลกเป็นเงินสดหรือโอนเข้าบัญชีได้

3. รายการใช้จ่ายบางประเภทไม่ร่วมรายการ

เช่น การเบิกเงินสดล่วงหน้า, ดอกเบี้ย, ค่าธรรมเนียม, รายการแบ่งจ่ายบางประเภท ฯลฯ จะไม่คิดเครดิตเงินคืน

UOB One Card เหมาะกับใคร?

บัตร UOB One Card เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่:

  • ใช้จ่ายบัตรเครดิตประจำในหลายหมวดหมู่
  • ต้องการบัตรที่เข้าใจง่าย ไม่ต้องจำหมวดหมู่ซับซ้อน
  • เน้นรับเงินคืนเป็นหลัก ไม่เน้นคะแนนสะสม
  • สามารถบริหารยอดใช้จ่ายต่อเดือนได้เกิน 20,000 บาท

หากคุณเป็นหนึ่งในนั้น บัตรใบนี้อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดใบหนึ่งในตลาดตอนนี้

ข้อผิดพลาด สำหรับใครที่ใช้บัตรกดเงินสดชอบทำ

บัตรกดเงินสดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สะดวกและเข้าถึงง่าย ช่วยให้ผู้ถือบัตรสามารถเข้าถึงเงินสดได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้หลักประกัน แต่ความสะดวกนี้มักมาพร้อมกับภาระดอกเบี้ยและความเสี่ยงทางการเงิน หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง บทความนี้จะชวนคุณมาดู 10 ข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นจากการใช้บัตรกดเงินสด พร้อมแนะนำวิธีหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้คุณตกอยู่ในวังวนของหนี้สิน

1. ใช้บัตรโดยไม่เข้าใจอัตราดอกเบี้ย

  • หลายคนเข้าใจผิดว่าบัตรกดเงินสดมีเงื่อนไขเหมือนบัตรเครดิต จึงคิดว่ามีระยะปลอดดอกเบี้ย ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะดอกเบี้ยจะเริ่มคิดทันทีตั้งแต่เบิกเงิน
  • อ่านรายละเอียดอัตราดอกเบี้ยให้ชัดเจนก่อนใช้งาน และคำนวณความสามารถในการจ่ายคืนล่วงหน้า

2. เบิกเงินบ่อยโดยไม่จำเป็น

  • การเบิกเงินบ่อย ๆ อาจทำให้คุณมีหนี้สะสมโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังอาจส่งผลเสียต่อเครดิตสกอร์ในระยะยาว
  • ใช้บัตรกดเงินสดเฉพาะเมื่อจำเป็น และควรมีแผนการเงินเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า

3. จ่ายคืนแค่ยอดขั้นต่ำทุกเดือน

  • การจ่ายขั้นต่ำอาจดูเหมือนผ่อนคลายภาระในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะทำให้ดอกเบี้ยสะสมและใช้เวลานานกว่าจะปลดหนี้ได้หมด
  • พยายามชำระคืนมากกว่ายอดขั้นต่ำในแต่ละเดือน หากทำได้ควรโปะให้หมดโดยเร็ว

4. ไม่ตรวจสอบยอดคงเหลือก่อนใช้

  • หลายคนใช้บัตรอย่างต่อเนื่องโดยไม่เช็คยอดคงเหลือ ส่งผลให้เบิกเกินวงเงิน และอาจโดนค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยเพิ่มเติม
  • ตรวจสอบยอดเงินที่ยังเหลือในวงเงินสินเชื่อผ่านแอปหรือบริการออนไลน์ก่อนทุกครั้ง

5. ใช้บัตรผิดประเภทกับค่าใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม

  • เช่น ใช้บัตรกดเงินสดจ่ายค่าสินค้าราคาแพง หรือค่าใช้จ่ายที่สามารถผ่อน 0% ได้ผ่านบัตรเครดิต ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าด้านดอกเบี้ย
  • เลือกใช้บัตรตามวัตถุประสงค์ เช่น บัตรกดเงินสดสำหรับเงินสดฉุกเฉินเท่านั้น

6. ขาดการวางแผนก่อนเบิกใช้

  • เบิกเงินโดยไม่วางแผนว่าจะใช้คืนอย่างไร หรือไม่มีแหล่งเงินสำรองในการโปะหนี้
  • วางแผนรายรับ-รายจ่ายล่วงหน้า และคำนวณวงเงินที่สามารถชำระคืนได้ในแต่ละเดือน

7. ใช้หลายบัตรพร้อมกันโดยไม่ควบคุม

  • การมีบัตรกดเงินสดหลายใบอาจทำให้มีหนี้หลายก้อน และยากต่อการควบคุมหนี้สินรวม
  • เลือกถือเพียง 1-2 ใบที่จำเป็น และจัดการบริหารการใช้ให้ชัดเจน

8. ไม่อ่านเงื่อนไขหรือสัญญาอย่างละเอียด

  • บางคนสมัครโดยไม่ได้อ่านสัญญาให้ถี่ถ้วน ทำให้ไม่รู้ว่าเงื่อนไขมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
  • อ่านเอกสารทุกหน้าให้เข้าใจก่อนลงนาม และสอบถามหากมีข้อสงสัย

9. ลืมชำระคืนตรงเวลา

  • การชำระล่าช้าทำให้ถูกคิดค่าปรับและส่งผลเสียต่อเครดิตในระบบแบงก์ชาติ
  • ตั้งเตือนชำระหนี้ไว้ล่วงหน้าในมือถือ หรือสมัครบริการหักบัญชีอัตโนมัติ

10. สมัครบัตรโดยไม่พิจารณาความจำเป็นจริง ๆ

  • บางคนสมัครเพราะเห็นโปรโมชั่นหรือเพื่อนแนะนำ โดยที่ตัวเองไม่มีความจำเป็นจริง ๆ และยังไม่มีวินัยทางการเงินที่ดีพอ
  • ประเมินความจำเป็นในการใช้เงินสดอย่างรอบคอบ และมั่นใจว่าสามารถจัดการการชำระหนี้ได้ในระยะยาว

ใช้บัตรกดเงินสดอย่างไรให้ปลอดภัยและไม่เป็นหนี้

บัตรกดเงินสดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์มากหากใช้อย่างมีสติและวางแผนดีพอ การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั้ง 10 ข้อนี้จะช่วยให้คุณใช้บัตรได้อย่างปลอดภัย ไม่ตกอยู่ในกับดักหนี้ และรักษาสถานะทางการเงินให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเสมอ

บัตรกดเงินสดคืออะไร? เจาะลึกข้อดี-ข้อควรระวังที่ควรรู้ก่อนสมัคร

ในยุคที่ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ บัตรกดเงินสดกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการเงินที่คนไทยจำนวนไม่น้อยเลือกใช้ โดยเฉพาะในจังหวะที่ต้องการเงินด่วนแบบไม่ยุ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอม ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน บัตรใบนี้สามารถตอบโจทย์ได้อย่างยืดหยุ่น แต่ก่อนจะตัดสินใจสมัคร ลองมาเจาะลึกกันว่า บัตรกดเงินสดคืออะไร มีข้อดีอะไร และต้องระวังเรื่องใดบ้าง

บัตรกดเงินสดคืออะไร?

บัตรกดเงินสด (Cash Card) คือบัตรที่ผูกกับวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Credit) ที่ธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงินออกให้ลูกค้าเพื่อใช้ในการเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM หรือโอนเข้าบัญชีได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินค้ำประกันหรือหลักทรัพย์

ความแตกต่างระหว่างบัตรกดเงินสดกับบัตรเครดิต

  • รูปแบบการใช้: บัตรกดเงินสดเน้นเบิกถอนเป็นเงินสด ส่วนบัตรเครดิตใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการเป็นหลัก
  • ดอกเบี้ย: บัตรกดเงินสดเริ่มคิดดอกเบี้ยทันทีหลังเบิกถอน ส่วนบัตรเครดิตมีระยะปลอดดอกเบี้ย
  • การผ่อนชำระ: บัตรกดเงินสดมักมีขั้นต่ำรายเดือนต่ำกว่า แต่ดอกเบี้ยสูงกว่าบัตรเครดิต

ข้อดีของบัตรกดเงินสด

1. ได้เงินสดทันที ไม่ต้องรออนุมัตินาน

เมื่อได้รับบัตรแล้ว ผู้ถือบัตรสามารถเบิกเงินสดได้ทันทีผ่านตู้ ATM หรือแอปพลิเคชันของธนาคาร ช่วยให้จัดการปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันเวลา

2. ไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน

เหมาะสำหรับพนักงานประจำหรืออาชีพอิสระที่มีรายได้ประจำแต่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

3. ผ่อนจ่ายได้เป็นรายเดือน

สามารถผ่อนชำระคืนเป็นงวด ๆ ตามอัตราขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนด เช่น 3%-5% ของยอดที่ใช้ไป

4. สมัครง่าย เอกสารไม่เยอะ

ผู้สมัครส่วนใหญ่ใช้เพียงเอกสารแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือนหรือรายการเดินบัญชี

5. เหมาะกับเหตุฉุกเฉินหรือค่าใช้จ่ายไม่คาดฝัน

หากต้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายของครอบครัว บัตรกดเงินสดคือแหล่งเงินสำรองที่รวดเร็ว

ข้อควรระวังก่อนสมัครบัตรกดเงินสด

1. อัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง

แม้จะมีความสะดวก แต่บัตรกดเงินสดมักคิดดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 25%-28% ต่อปี ซึ่งหากใช้โดยไม่วางแผน อาจกลายเป็นภาระดอกเบี้ยระยะยาว

2. เสี่ยงเป็นหนี้สะสมหากจ่ายแค่ขั้นต่ำ

การจ่ายเฉพาะยอดขั้นต่ำในแต่ละเดือนอาจทำให้ยอดหนี้สะสมไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อใช้บ่อยโดยไม่ได้ตรวจสอบวงเงินคงเหลือ

3. เบิกเงินบ่อยเกินไปทำให้คะแนนเครดิตลด

การใช้บัตรกดเงินสดบ่อย ๆ อาจทำให้สถาบันการเงินประเมินว่าผู้ใช้มีความเสี่ยงในการชำระเงิน ซึ่งอาจมีผลต่อการสมัครสินเชื่อในอนาคต

4. ค่าธรรมเนียมในการเบิกเงิน

แม้บางบัตรจะไม่มีค่าธรรมเนียม แต่หลายค่ายยังมีการเก็บค่าธรรมเนียมจากการเบิกเงินสดจากตู้ ATM หรือโอนเงินเข้าบัญชี

ใครบ้างที่เหมาะกับบัตรกดเงินสด?

  • พนักงานประจำที่มีรายได้มั่นคง และสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้
  • ฟรีแลนซ์หรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการเงินหมุนระยะสั้น
  • ผู้ที่ไม่มีบัตรเครดิตแต่ต้องการแหล่งเงินสดในกรณีฉุกเฉิน

วิธีเลือกสมัครบัตรกดเงินสดให้เหมาะกับตัวเอง

1. ตรวจสอบอัตราดอกเบี้ย

เลือกบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด และเข้าใจเงื่อนไขการคำนวณดอกเบี้ยอย่างชัดเจน

2. เปรียบเทียบวงเงินและความยืดหยุ่น

เลือกบัตรที่ให้วงเงินเหมาะสมกับรายได้ และมีความยืดหยุ่นในการเบิกถอน

3. พิจารณาค่าธรรมเนียมอื่น ๆ

เช่น ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าธรรมเนียมเบิกถอน หรือค่าธรรมเนียมชำระล่าช้า

4. เลือกจากสถาบันการเงินที่เชื่อถือได้

ควรเลือกสมัครกับธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย และมีรีวิวจากผู้ใช้จริง

สมัครบัตรกดเงินสดอย่างไรให้ไม่เป็นหนี้

บัตรกดเงินสดเป็นตัวช่วยทางการเงินที่มีประโยชน์หากใช้อย่างมีวินัยและเข้าใจในเงื่อนไขต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ แต่หากใช้โดยไม่วางแผน อาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินในระยะยาว ดังนั้น ก่อนสมัคร ควรเปรียบเทียบข้อเสนอให้รอบด้าน และวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าให้ดี

ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 รักษาโรคไตได้ทุกระยะ

ข้อมูลจากทางเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคไตสาย เรื้อรัง ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ป่วย และ มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ทางด้านสำนักงานประกันสังคม พร้อมดูแลผู้ประกันตนมาตรา 33 และ ผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่เจ็บป่วยด้วยโรคไต ทุกระยะสามารถเข้ารับการรักษาได้ ณ สถานพยาบาลที่กำหนดสิทธิ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ในกรณีผู้ประกันตนที่เจ็บป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย สามารถรับสิทธิกรณี บำบัดทดแทนไตได้ ตามรายละเอียดด้านล่าง

  1. ฟอกเลือกด้วยเครื่องไตเทียม ในสิทธิอัตราไม่เกิน 1,500 บาทต่อครั้ง และ ไม่เกิน 4,500 บาทต่อสัปดาห์ เดือนละ 18,000 บาท จ่ายค่าเตรียมหลอดเลือด หรือ สายสวนหลอดเลือด สำหรับฟอสเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายตามรายการหัตถการ และ รายการเวชภัณฑ์ที่สำคัญ ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงตามอัตราที่กำหนด ไม่กำหนดกรอบระยะเวลา
  2. ผู้ประกันตนที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง ระยะสุดท้ายที่ติดเชื้อเอชไอวี จะจ่ายค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมให้กับสถานพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคม กำหนดในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 4,000 บาทต่อครั้ง และ ไม่เกิน 12,000 บาทต่อสัปดาห์
  3. การล่างช่องท้องด้วยน้ำยาอย่างถาวรให้สิทธิไม่เกินเดือนละ 20,000 บาท และจ่ายค่าวางท่อสำหรับรับส่งน้ำยาเข้าออกช่องท้องพร้อมอุปกรณ์ในอัตราไม่เกิน 20,000 บาทต่อราย ต่อระยะเวลา 2 ปี หากภายในระยะเวลา 2 ปี ผู้ประกันตนมีความจำเป็นต้องวางท่อส่งน้ำยาล้างช่องท้อง จ่ายเพิ่มอีกไม่เกิน 10,000 บาท
  4. การล้างช่องท้องด้วยเครื่องล้างไตอัตโนมัติ ให้สิทธิในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไมเ่กิน 32,700 บาท ต่อเดือนสำหรับผู้ประกันตนที่มีความพร้อมในการทำการล้างช่องท้องด้วยเครื่องล้างไต อัตโนมัติ
  5. การปลูกถ่ายไต จะได้รับสิทธิบริการทางการแพทย์ ก่อน, ระหว่าง และ หลังจากผ่าตัดปลูกถ่ายไต และ รับยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต สำหรับผู้ประกันตนที่มีความประสงค์จะใช้สิทธิบำบัดทดแทนไต จะต้องยื่นขอรับการอนุมัติก่อนที่สำนักงานประกันสังคมก่อน

กรณีผู้ประกันตนต่างชาติ ที่ทำงานในประเทศไทย ต้องมีสำเนาหนังสือเดินทาง Password หรือหนังสือสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และ ใบอนุญาตทำงานถูกต้องตามกฎหมาย

การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ผู้ประกันตนสามารถยื่นขอรับสิทธด้วยวิธีกา

 

รู้ทัน! สินเชื่อออนไลน์ปลอม มาในรูปแบบไหนบ้าง

ในปี 2568 แม้เทคโนโลยีจะช่วยให้คนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น แต่ก็เปิดช่องให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้ช่องทางออนไลน์ปลอมตัวเป็นผู้ให้สินเชื่อ เพื่อหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินหรือส่งข้อมูลส่วนตัวไปอย่างไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาไปรู้ทันกลลวงที่พบบ่อย พร้อมแนะนำวิธีตรวจสอบและป้องกันตัวอย่างเข้าใจง่าย

ประเภทของสินเชื่อออนไลน์ปลอมที่พบในปี 2568

1. แอปปลอมใน Google Play และเว็บไซต์เถื่อน

กลุ่มมิจฉาชีพสร้างแอปปลอมขึ้นมาโดยใช้ชื่อคล้ายกับแอปธนาคารหรือบริษัทไฟแนนซ์ชื่อดัง เมื่อเหยื่อติดตั้งแล้ว จะมีการขอเข้าถึงข้อมูลในเครื่อง เช่น รูปภาพ รายชื่อ และ SMS รวมถึงหลอกให้กรอกข้อมูลบัตรประชาชน และบัญชีธนาคาร

2. โฆษณาใน Facebook, TikTok, LINE OA

มีการยิงโฆษณาเชิญชวนให้กู้เงินได้ง่าย อนุมัติไว โดยแนบลิงก์ปลอมที่พาไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ เช่นใช้ชื่อบริษัทคล้ายของจริง พร้อมรีวิวปลอมเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ

3. การหลอกผ่านแชทส่วนตัว

มิจฉาชีพอาจทักแชทมาทาง Facebook หรือ LINE โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทสินเชื่อ มีโปรโมชันพิเศษ เช่น ดอกเบี้ยต่ำ วงเงินสูง และใช้คำพูดเร่งรัด เช่น “รีบสมัครก่อนปิดยอดวันนี้” เพื่อกดดันให้ผู้สนใจส่งเอกสารส่วนตัวอย่างเร่งด่วน

4. สินเชื่อหลอกให้โอนค่าธรรมเนียมก่อน

เป็นรูปแบบคลาสสิกที่ยังใช้งานอยู่ในปี 2568 โดยมิจฉาชีพจะขอให้ผู้สมัครโอนเงินล่วงหน้า เช่น ค่าดำเนินการ ค่าประกันวงเงิน หรือค่าธรรมเนียมอนุมัติ แล้วหลังจากนั้นจะตัดการติดต่อ

5. ปลอมเป็นบริษัทสินเชื่อถูกกฎหมาย

บางกรณี มิจฉาชีพสร้างเว็บไซต์ปลอมที่ใช้ชื่อบริษัทที่จดทะเบียนจริง พร้อมแสดงใบอนุญาตปลอมจาก ธปท. หรือ สคบ. ทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นของจริง โดยอาจปลอมโลโก้ เว็บไซต์ และเบอร์โทรติดต่อ

สัญญาณเตือนว่าเป็น “สินเชื่อปลอม”

  • ขอให้โอนเงินล่วงหน้าก่อนการอนุมัติ
  • ไม่มีการตรวจสอบเครดิตบูโรเลยแม้จะขอกู้วงเงินสูง
  • เสนอโปรโมชันเกินจริง เช่น ดอกเบี้ย 0% ตลอดสัญญา
  • ใช้ช่องทางติดต่อส่วนตัว เช่น แชท Facebook หรือ LINE ไม่ใช่เบอร์สำนักงาน
  • ไม่มีเว็บไซต์อย่างเป็นทางการหรือไม่สามารถตรวจสอบได้บนเว็บไซต์ของ ธปท.

วิธีตรวจสอบก่อนสมัครสินเชื่อ

1. ตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการในเว็บไซต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย

ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการเผยแพร่รายชื่อผู้ให้บริการทางการเงินที่ได้รับใบอนุญาต หากไม่มีรายชื่อนั้น ให้ระวังว่าอาจเป็นผู้ให้บริการปลอม

2. อย่าโอนเงินล่วงหน้าเด็ดขาด

ผู้ให้บริการสินเชื่อที่ถูกกฎหมายจะไม่ขอให้ผู้สมัครโอนค่าธรรมเนียมหรือเงินประกันล่วงหน้า หากมีการเรียกเก็บเงินก่อน ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นการหลอกลวง

3. เช็กเว็บไซต์และแอปพลิเคชันอย่างละเอียด

เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือควรมี HTTPS, มีข้อมูลติดต่อชัดเจน และไม่ใช้โดเมนแปลก ๆ เช่น .xyz หรือ .top รวมถึงควรโหลดแอปจาก Google Play หรือ App Store เท่านั้น

4. สังเกตพฤติกรรมเร่งรัดให้โอนหรือสมัครด่วน

กลุ่มมิจฉาชีพมักใช้จิตวิทยาเร่งรัดให้ผู้สมัครทำตาม เช่น บอกว่าต้องรีบอนุมัติก่อนหมดสิทธิ์ ใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการ หรือพูดจาคล้ายบอท

หากเผลอโอนเงินไปแล้วต้องทำอย่างไร?

หากตกเป็นเหยื่อของสินเชื่อปลอม ควรดำเนินการดังนี้

  • แจ้งความที่สถานีตำรวจทันที และเก็บหลักฐานทั้งหมด เช่น สลิปการโอน บทสนทนา
  • ติดต่อธนาคารเพื่ออายัดบัญชีปลายทาง
  • แจ้งความผ่าน ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ที่เว็บไซต์ thaipoliceonline.com
  • เตือนผู้อื่นผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อรายต่อไป

ตั้งสติ ก่อนสมัครสินเชื่อออนไลน์

แม้โลกออนไลน์จะทำให้เราสมัครสินเชื่อได้ง่ายขึ้น แต่ก็ต้องมีสติและตรวจสอบให้ดีทุกครั้ง เพราะมิจฉาชีพใช้ช่องทางเดิมซ้ำ ๆ ด้วยกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่ดูแนบเนียนมากขึ้น หากพิจารณาอย่างรอบคอบ จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรแบ่งปันข้อมูลนี้ให้คนใกล้ตัวรู้ทันไปพร้อมกัน

รู้จักกับบัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี

ในยุคที่การเงินต้องใช้ความยืดหยุ่นสูง การมี “บัตรกดเงินสด” ติดตัวไว้ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถจัดการสภาพคล่องได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี ที่สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายจุกจิกในระยะยาวได้ วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับบัตรประเภทนี้ให้ละเอียด พร้อมแนะนำข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจสมัครใช้งาน

บัตรกดเงินสดคืออะไร?

บัตรกดเงินสด (Cash Card) คือ บัตรทางการเงินที่ธนาคารหรือบริษัททางการเงินออกให้แก่ลูกค้า เพื่อให้สามารถเบิกเงินสดล่วงหน้าออกจากวงเงินที่อนุมัติไว้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านตู้ ATM หรือโอนเข้าบัญชีธนาคาร โดยจะมีดอกเบี้ยจากการใช้วงเงิน แต่ไม่มีการคิดดอกเบี้ยหากยังไม่มีการเบิกใช้

คุณสมบัติหลักของบัตรกดเงินสด

  • อนุมัติวงเงินล่วงหน้า
  • สามารถกดเงินสดผ่านตู้ ATM ได้ทันที
  • ไม่มีการใช้วงเงินจะไม่ถูกคิดดอกเบี้ย
  • บางบัตรสามารถใช้ผ่อนสินค้าได้

บัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี คืออะไร?

บัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี คือบัตรที่ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมประจำปี ไม่ว่าจะใช้งานหรือไม่ใช้งานก็ตาม ซึ่งต่างจากบางบัตรที่หากไม่มียอดใช้จ่ายตามเกณฑ์ จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปี

จุดเด่นของบัตรไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี

  • ไม่ต้องจ่ายค่ารายปีแม้ไม่ใช้งาน
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีวงเงินสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
  • ลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว

เปรียบเทียบ: บัตรกดเงินสดแบบมีค่าธรรมเนียมรายปี vs ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี

หัวข้อ มีค่าธรรมเนียมรายปี ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี
ค่าธรรมเนียมรายปี มีค่าใช้จ่ายทุกปี (บางกรณีมีเงื่อนไขฟรี) ไม่มีค่าใช้จ่าย
เหมาะสำหรับ ผู้ที่ใช้บัตรบ่อย ผู้ที่ต้องการสำรองวงเงินเฉย ๆ
ข้อควรระวัง ต้องเช็กเงื่อนไขเพื่อรับฟรีค่าธรรมเนียม มักมีดอกเบี้ยสูงกว่าหากใช้งานจริง

ข้อดีของบัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี

1. ลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

หลายคนสมัครบัตรไว้ใช้ในยามจำเป็น แต่กลับต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีทั้งที่แทบไม่เคยใช้งาน บัตรที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีจะช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเงินแบบเปล่าประโยชน์

2. เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการการเงิน

คุณสามารถเก็บบัตรไว้เป็นวงเงินสำรองได้ตลอดเวลา หากวันหนึ่งมีเหตุฉุกเฉินก็สามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารายปีสะสม

3. เหมาะกับคนที่มีหลายบัตร

หากคุณมีบัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสดหลายใบ การเลือกแบบที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีจะช่วยลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนในระยะยาว

ข้อควรระวังเมื่อใช้บัตรกดเงินสด

แม้ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี แต่บัตรกดเงินสดมักจะมีดอกเบี้ยที่สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ดังนั้นควรพิจารณาใช้อย่างรอบคอบ และมีแผนชำระเงินคืนที่ชัดเจน

ข้อควรรู้

  • ดอกเบี้ยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 18–28% ต่อปี
  • การชำระขั้นต่ำเพียงอย่างเดียวจะทำให้คุณใช้เวลานานในการปลดหนี้
  • ควรใช้เฉพาะในกรณีฉุกเฉินจริง ๆ

ตัวอย่างบัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีที่น่าสนใจ

  • บัตรกดเงินสด Xpress Cash จากธนาคารกสิกรไทย – ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี ใช้กดเงินสดและผ่อนสินค้าได้
  • บัตรกดเงินสด SCB Speedy Cash – ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี มีโปรโมชั่นผ่อนสินค้า 0% บางร้านค้า
  • บัตรกดเงินสด Krungsri First Choice – ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี และมีวงเงินสูงสุดถึง 500,000 บาท

บัตรกดเงินสดแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการวงเงินสำรองโดยไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายรายปี อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรใช้เกินความจำเป็น และต้องมีแผนการชำระเงินคืนที่ชัดเจนเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้สินในอนาคต ก่อนตัดสินใจสมัคร อย่าลืมเปรียบเทียบข้อเสนอจากสถาบันการเงินหลายแห่ง และตรวจสอบเงื่อนไขให้ครบถ้วน เพื่อให้ได้บัตรที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และความสามารถในการชำระของคุณมากที่สุด

กรมควบคุมโรคเผยยอดพุ่งตามฤดูกาล 3 โรคทางเดินหายใจ

กรมควบคุมโรคออกโรงเตือนประชาชน ให้เฝ้าระวัง 3 โรคระบบทางเดินหายใจ แถมออกมาย้ำว่าโควิด-19 เชื้อไม่ได้ก่อให้เกิดอาการรุนแรงขึ้น อัตราการป่วยตายร้อยละ 0.2 แตจ่จะเพิ่มยอดป่วยสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน

กรมควบคุมโรคเปิดเผย ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ช่วงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่เปิดเทอมใหม่ แถมยังเป็นช่วงหน้าฝน ทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ มีโอกาสติดกันได้สูงมากขึ้น โดยเฉพาะ โรคโควิด-19 ตรวจพบผู้ป่วยสะสมแล้ว 221,186 ราย เสียชีวิตแล้ว 52 ราย อัตราการป่วยตาย ร้อยละ 0.2 ทางกรมควบคุมโรคเลยออกมาย้ำเตือนประชาชให้ตระหนัก แต่ไม่ให้ตระหนก เพราะว่าโควิด-19 ถือว่าเป็นเชื้อประจำถิ่น ที่พบผู้ป่วยได้มากในช่วงฤดูฝน, ฤดุหนาว เหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ หรือโรค RSV

10 จังหวัดที่ตรวจพบผู้ป่วยสูงสุด

  1. ระยอง
  2. กรุงเทพฯ
  3. ชลบุรี
  4. ภูเก็ต
  5. นนทบุรี
  6. ปทุมธานี
  7. นครปฐม
  8. สมุทรปราการ
  9. ตราด
  10. ประจวบคีรีขันธ์

ในส่วนของอัตราการป่วยที่พบมากที่สุดจะพบในเด็กตั้งแต่ 0-4 ปี และเสียชีวิตมากในกลุ่มผู้สูงอายุ อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และสายพันธุ์โควิด-19 ที่ตรวจเจอมากที่สุด แต่ได้ JN.1 ตรวจพบร้อยละ 63.92 โดยพบสายพันธุ์ XEC ลดลง ซึ่งต้องติดตามเป็นระยะ

โรคไข้หวัดใหญ่

นอกจากนี้อีกหนึ่งโรคที่ถูกตรวจพบ และมีจำนวนผู้ป่วยสะสมเยอะถึง 343,721 รายเสียชีวิตสะสม 45 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.013 มีแนวโน้มว่าผู้ป่วยจะลดลง แต่ยังสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง พบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มอายุ 5-9 ปี และ เสียชีวิตมากในกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ สำหรับสายพันธุ์ที่ตรวบพบเยอะเป็นอันดับ 1 จะเป็น A/H1N1 พบร้อยละ 46.55

โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ

โรคติดเชื้อทางเดินทางใจอัพเสบเฉียบพลัน หรือ โรคปอดอักเสบ พบผู้ป่วยสะสม 189,424 ราย พบผู้เสียชีวิต 276 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.146 สถานการณ์ผู้ป่วยมีแนวโน้มลดลง แต่ยังสูงกว่าปี 2567 และสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลังพบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มอายุ 0-4 ปี และ ผู้เสียชีวิต เยอะสุดยังคงเป็นกลุ่มอายุ 60 ปี ขึ้นไป

ในส่วนของการป้องกัน และ ดูแลตัวเองจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ หากเป็นกลุ่มเสี่ยงก็ให้ลดการเข้าพื้นที่เสี่ยงเช่น ห้างสรรพสินค้า, คอนเสิร์ต, สถานที่ที่ มีการรวมคนจำนวนมาก แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยป้องกัน และขอให้กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนป้องกันโรค

 

เลือกสมัครบัตรเครดิต UOB แบบไหนดี สำหรับมือใหม่

สำหรับใครที่กำลังคิดจะเริ่มใช้ บัตรเครดิต UOB เป็นใบแรก หลายคนอาจจะสับสนว่าควรเริ่มจากใบไหนดี ใช้แบบไหนถึงจะคุ้ม หรือแม้แต่กลัวจะใช้ผิดวิธีจนเป็นหนี้ไม่รู้ตัว บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวทางการเลือกบัตรให้เหมาะกับตัวเอง และเริ่มต้นใช้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

ทำไมต้องเลือกบัตรเครดิตจาก UOB?

UOB ถือเป็นหนึ่งในธนาคารที่มีบัตรเครดิตให้เลือกหลากหลาย และตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนรุ่นใหม่ เช่น

  • บัตรที่เน้นการคืนเงินสด (Cashback)
  • บัตรสำหรับคนที่ชอบเดินทาง
  • บัตรที่เน้นสะสมคะแนน
  • บัตรระดับพรีเมียมที่มาพร้อมสิทธิพิเศษมากมาย

แต่ละใบก็มีจุดเด่นต่างกันออกไป ดังนั้นการเลือกให้เหมาะกับการใช้จ่ายของตัวเองจึงเป็นหัวใจสำคัญ

เริ่มต้นยังไงดี? สิ่งที่มือใหม่ควรรู้ก่อนสมัคร

1. ประเมินพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง

คุณใช้จ่ายส่วนใหญ่กับเรื่องอะไร? กินข้าวนอกบ้าน ช้อปออนไลน์ เดินทางต่างประเทศ หรือเติมน้ำมัน? การรู้ตัวเองช่วยให้เลือกบัตรที่ให้สิทธิประโยชน์ได้ตรงเป้าหมาย

2. ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร

แม้บัตรบางใบจะดูน่าสนใจ แต่ก็อาจมีรายได้ขั้นต่ำที่สูงเกินไป เช่น บัตรระดับ World หรือ Infinity ที่ต้องมีรายได้หลักแสนต่อเดือน สำหรับมือใหม่ รายได้ขั้นต่ำ 15,000 – 30,000 บาทต่อเดือนจะสมัครได้หลายใบแล้ว

3. เปรียบเทียบโปรโมชั่นแต่ละบัตร

บัตรเครดิต UOB มักมีโปรโมชั่นร่วมกับร้านอาหาร ร้านค้า หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee, Agoda หรือแม้แต่ค่าฟิตเนส ลองเทียบดูว่าโปรโมชั่นไหนเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณ

>> สมัครบัตรเครดิต UOB (บัตรหลัก)ได้ที่นี่ <<

บัตรเครดิต UOB ยอดนิยมสำหรับมือใหม่

1. UOB Lady’s Card

เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ชอบช้อปปิ้งและดูแลตัวเอง มีสิทธิประโยชน์เช่น:

  • เลือกหมวดรับเครดิตเงินคืนได้เอง เช่น แฟชั่น, ความงาม, ร้านอาหาร
  • ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับร้านค้าที่ร่วมรายการ

2. UOB Preferred Platinum

บัตรที่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้จ่ายออนไลน์และจ่ายผ่าน QR Code เป็นหลัก

  • รับคะแนนสะสม 10 เท่า เมื่อใช้จ่ายออนไลน์หรือสแกนจ่าย
  • ฟรีค่าธรรมเนียมปีแรก และปีถัดไปหากใช้จ่ายครบตามเงื่อนไข

3. UOB Yolo Platinum

สาย Cashback ต้องสนใจใบนี้ เพราะมีจุดเด่นคือ:

  • รับเครดิตเงินคืน 10% สำหรับการใช้จ่ายในหมวดที่ร่วมรายการ
  • ครอบคลุมหมวด Grab, BTS, MRT, ร้านอาหาร และช้อปออนไลน์

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน

อย่าจ่ายขั้นต่ำทุกเดือน

แม้การจ่ายขั้นต่ำจะดูเหมือนช่วยแบ่งเบาภาระรายเดือน แต่จะทำให้คุณเสียดอกเบี้ยสูง และกลายเป็นหนี้สะสมโดยไม่รู้ตัว ควรจ่ายเต็มจำนวนทุกเดือนเพื่อไม่ให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

อย่ากดเงินสดจากบัตรเครดิต

การกดเงินสดจะมีค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยทันทีต่างจากการรูดซื้อสินค้า ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

ตั้งเป้าการใช้บัตรเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ภาระ

อย่าลืมว่าบัตรเครดิตคือเครื่องมือที่ช่วยบริหารสภาพคล่องทางการเงิน หากใช้ถูกวิธีสามารถสะสมคะแนน แลกของรางวัล หรือรับเงินคืนได้อย่างคุ้มค่า

การเลือก บัตรเครดิต UOB สำหรับมือใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก หากเริ่มจากความเข้าใจในพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง และเลือกบัตรที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ ควบคู่กับการใช้บัตรอย่างมีวินัย บัตรเครดิตจะกลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของคุณในชีวิตประจำวัน แทนที่จะเป็นภาระทางการเงิน

ธนาคารกรุงไทย – กสิกรไทย ถอนเงินไม่ใช้บัตร ข้ามธนาคารได้แล้ว

เปิดเผยข้อมูลจากทางธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่าตอนนี้เปิดให้ลูกค้าของธนาคารสามารถถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารได้แล้วกว่า 16,000 ตู้ทั่วประเทศ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ประกาศจากทางธนาคาร กรุงไทย และ ธนาคาร กสิกรไทย แจ้งเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าของธนาคาร กับบริการใหม่ล่าสุด สามารถทำการถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT และ K Plus ได้ทั้งตู้ ATM/CDM ของธนาคารกรุงไทย และ ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 16,000 ตู้ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ลูกค้าของธนาคารกรุงไทยสามารถใช้บริการถอนเงินแบบไม่ใช้บัตร โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เมื่อทำรายการถอนเงินที่ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ ในส่วนของการใช้บริการถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรข้ามธนาคาร ลูกค้าธนาคารกรุงไทย สามารถทำรายการผ่าน Krungthai NEXT เพื่อสร้างรหัสถอนเงิน และนำไปใช้ถอนเงินได้ที่ตู้ ATM/CDM ของธนาคารกสิกรไทย และ ลูกค้าธนาคารกสิกรไทย สามารถทำรายการผ่านแอปพลิเคชั่น K Plus โดยสแกน QR Code ที่หน้าตู้ ATM/CDM ของธนาคารพรุงไทย ทั้งนี้การใช้บริการถอนเงินที่ไม่ใช้บัตรข้ามธนาคาร มีค่าธรรมเนียมตามแต่ละธนาคารกำหนด

 

รายละเอียดโทรอายัดบัญชี แต่ละธนาคาร

เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับการเงิน เช่น โดนโกงออนไลน์, โดนมิจฉาชีพหลอก, บัตรหาย หรือสงสัยว่าบัญชีถูกแฮก สิ่งที่ควรทำทันทีคือการ โทรอายัดบัญชีธนาคาร เพื่อหยุดการทำรายการ และป้องกันไม่ให้เงินสูญหายเพิ่มขึ้น ในบทความนี้เราจะรวบรวมเบอร์โทรฉุกเฉินของธนาคารต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับอายัดบัญชี รวมถึงคำแนะนำเบื้องต้นที่ควรรู้หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน

อายัดบัญชีคืออะไร และควรทำเมื่อไหร่?

การอายัดบัญชีคือการระงับการทำรายการทางการเงินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการถอน โอน หรือใช้งานบัตร ATM / เดบิต เพื่อป้องกันไม่ให้เงินในบัญชีถูกนำไปใช้โดยผู้ไม่หวังดี การอายัดควรทำทันทีเมื่อ:

  • บัญชีถูกแฮก
  • โอนเงินผิดบัญชี
  • ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
  • บัตร ATM / เดบิต / บัตรเครดิต สูญหายหรือถูกขโมย

เบอร์โทรอายัดบัญชีแต่ละธนาคาร

ด้านล่างนี้คือเบอร์โทรที่สามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมงของธนาคารชั้นนำในประเทศไทย

ธนาคารกรุงเทพ (BBL)

  • โทร. 1333 หรือ 02-645-5555 กด 3 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่อายัดบัญชีทันที

ธนาคารกสิกรไทย (KBank)

  • โทร. 02-888-8888 กด 001 จากมือถือในประเทศ

ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

  • โทร. 02-777-7777 กด 2 ตามด้วย 2 อีกครั้งเพื่ออายัดบัตรและบัญชี

ธนาคารกรุงไทย (KTB)

  • โทร. 02-111-1111 กด 108 และแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีว่าต้องการอายัดบัญชี

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)

  • โทร. 1572 กด 5 ตลอด 24 ชั่วโมง

ธนาคารทีทีบี (ttb)

  • โทร. 1428 กด 03 เพื่ออายัดบัตรหรือบัญชี

ธนาคารยูโอบี (UOB)

  • โทร. 02-285-1555 กด 1 เพื่อทำรายการอายัด

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB)

  • โทร. 02-626-7777 กด 0 แล้วแจ้งขออายัดบัญชี

ธนาคารธนชาต (Thanachart)

  • โทร. 1770 กด 0 ติดต่อเจ้าหน้าที่

สิ่งที่ควรเตรียมเมื่อโทรอายัดบัญชี

การเตรียมข้อมูลให้ครบจะช่วยให้การอายัดรวดเร็วและปลอดภัย:

  • ชื่อ-นามสกุล เจ้าของบัญชี
  • เลขที่บัญชี หรือหมายเลขบัตร
  • หมายเลขบัตรประชาชน (ถ้าจำได้)
  • เวลาที่พบความผิดปกติ หรือรายการต้องสงสัย

คำแนะนำเพิ่มเติมหลังอายัดบัญชี

หลังจากอายัดบัญชีเรียบร้อยแล้ว ควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. แจ้งความกับสถานีตำรวจในท้องที่ เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
  2. เก็บเอกสารและเลขบันทึกแจ้งความไว้ให้ครบ
  3. แจ้งธนาคารเพื่อดำเนินการขอคืนเงิน (ถ้ามีการสูญเสีย)
  4. เปลี่ยนรหัสผ่านทุกช่องทางที่เกี่ยวข้องกับบัญชี

การอายัดบัญชีเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสียหายทางการเงินจากเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรจดจำเบอร์โทรฉุกเฉินของธนาคารไว้ให้ดี และหากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ ควรติดต่อธนาคารโดยตรงทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของบัญชีของคุณ