สิทธิผู้สูงอายุเข้าระบบเดือนมีนาคม 2568

สิทธิผู้สูงอายุ เข้าระบบ sso.go.th เงินบำนาญชราภาพ สำนักงานประกันสังคมจ่ายเงินเดือน 3,000 – 7,500 บาทได้ตลอดชีพ ใครได้รับบ้าง สำหรับผู้ประกันตนเกษียณอายุ 55 ปี

สิทธิประกันสังคม 2568 เดือนมีนาคม 2568 ให้สิทธิผู้สูงอายุเข้าระบบ sso.go.th เงินบำนาญชราภาพ สำนักงานประกันสังคมจ่ายเงินเดือน 3,000 ถึง 7,500 บาท ได้ตลอดชีพใครได้รับบ้างเช็คเลย

สำนักงานประกันสังคม กำหนดจ่ายเงินเดือนบำนาญชราภาพ แต่ละเดือนเงินเข้าวันไหน?

กำหนดโอนเงินบำนาญชราภาพ 2568 ระยะเวลาการโอนเงินเข้าบัญชี สำนักงานประกันสังคม จากการจ่ายเงินเดือนผู้ที่ได้รับสิทธิให้กับผู้รับเงินบำนาญชราภาพในเดือนถัดไป เป็นการจ่ายเงินเดือนที่ได้รับสิทธิให้กับผู้รับบำนาญชราภาพในวันที่ 25 ของเดือนที่ได้รับสิทธิ โดยเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 หากผู้ที่มีสิทธิรับบำนาญชราภาพรายใหม่ ยื่นเรื่องหากมีการยื่นขอรับสิทธิภายในวันที่ 7 ของเดือน จะได้รับสิทธิในงวดเดือนนั้น หากมีการยื่นเรื่องวันที่ 7 ของเดือน จะได้รับสิทธิเดือนถัดไป รวมงวดเดือนปัจจุบัน

  • เงินบำนาญชราภาพ หลังจากได้รับอนุมัติแล้วเงินจะโอนเข้าบัญชีภายในวันที่ 25 ของเดือนถัดไป หากวันที่ 25 ตรงกับวันหยุดราชการ ทาง สปส. จะทำการโอนเงินก่อนวันหยุดราชการ
  • เงินบำนาญชราภาพ จะได้รับภายใน 7-10 วันทำการ ไม่นับวันหยุดราชการ หลังจากได้รับการอนุมัติ

การโอนจ่ายเงินบำนาญชราภาพหากวันที่ 25 ของเดือนตรงกับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ทางสำนักงานประกันสังคมจะทำการเลื่อนจ่าย โดยจะโอนให้ก่อนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ส่วนเวลาที่เงินจะโอนเข้าบัญชีผู้ประกันตน จะขึ้นอยู่กับรอบระยะเวลาประมวลผลของแต่ละธนาคาร ผู้ประกันตนจะไดรับเงินชราภาพภายในวันนั้น

เปิดเงื่อนไขผู้ประกันตนได้รับเงินตลอดชีวิต เงินบำนาญชราภาพ ประกันสังคม 3,000-7,500 บาท

  • ผู้ประกันตนมีอายุครบ 55 ปี บริบูรณ์
  • ต้องดำเนิน ขอคืนเงินชราภาพ ประกันสังคม ภายในระยะเวลา 1 ปีหลังจากสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 หรอื มาตรา 39
  • ความเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 39 สิ้นสุดลงตามเงื่อนไข

ผู้ประกันตนเลือกรับเงินได้ทั้งแบบ เงินบำเหน็จ หรือ เงินบำนาญ ต้องเข้าเกณฑ์ตามเงื่อนไขประกันสังคม

เงื่อนไขได้รับเงินบำเหน็จประกันสังคม

  • ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 180 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จ

เงื่อนไขได้รับเงินบำนาญประกันสังคม

  • ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 180 เดือน หรือ 15 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินบำนาญที่ประกันสังคมจ่ายให้เป็นรายเดือนตลอดชีวิต

ได้เงินเดือนกี่บาท เงินบำนาญชราภาพ ของสำนักงานประกันสังคม

เงินบำนาญชราภาพ 2568 ระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบสะสม 15-20 ปี

  • เงินบำนาญจะได้รับ คำนวณจากร้อยละของค่าจ้าย เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย 20%-27.50%
  • ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพ 3,000 – 4,125 บาทต่อเดือน

เงินบำนาญชราภาพ 2568 ระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบ 21-25 ปี

  • เงินบำนาญที่ได้รับคำนวณจากร้อยละของค่าจ้าง เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย 29%-35%
  • ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพ 4,350 – 5,250 บาทต่อเดือน

เงินบำนาญชราภาพ 2568 ระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบ 26-30 ปี

  • เงินบำนาญที่ได้รับ คำนวณจากร้อยละของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย 36.50 – 42.50%
  • ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพ 5,475 – 6,375 บาท ต่อเดือน

เงินบำนาญชราภาพ 2568 ระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบ 31-35 ปี

  • เงินบำนาญที่ได้รับ คำนวณจากร้อยละของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย 44 – 50%
  • ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพ 6,600 – 7,500 บาท ต่อเดือน

 

เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท เดือนมีนาคม โอนเข้าบัญชีแล้ว

อัพเดทจากทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้แจ้งว่ามีการโอนเงิน 600 บาทเข้าบัญชีผู้ที่ได้รับสิทธิเรียบร้อยแล้ว ในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568

กระทรวงการพัฒนาสังคม และ ความมั่นคงของมนุษย์ได้แจ้งว่ามีการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูบุตรแรกเกิด จำนวน 600 บาท ในเดือนมีนาคม 2568 แล้ววันนี้ สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนรอรับสิทธิ และได้รับสิทธิดังกล่าว สามารถตรวจสอบการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดผ่านช่องทางต่างๆได้ตามรายละเอียดด้านล่าง

  • เข้าไปที่เว็บไซต์ https://csgcheck.dcy.go.th
  • แอปพลิเคชั่น ทางรัฐ
  • แอปพลิเคชั่น เงินเด็ก

สำหรับผู้ปกครองท่านไหนที่ยังไม่ได้ทำการลงทะเบียนขอรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และ เด็กที่มีสัญชาติไทย สำหรับพ่อแม่ ผู้ปกครอง สามารถยื่นคำร้องในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดและผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง ไม่จำเป็นต้องเป็นที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน สามารถลงทะเบียนได้ตามที่อยู่ด้านล่าง

  • กรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเขต
  • ส่วนภูมิภาค สามารถลงทะเบียนได้ที่องค์การบริหารส่วนตำบล หรือ เทศบาล
  • เมืองพัทยา สามารถลงทะเบียนได้ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา

ในส่วนของการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น เงินเด็ก ทางผู้ปกครองจำเป็นจะต้องพิสูจน์ และ ยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชั่น Thai ID ของกรมการปกครองก่อน เมื่อมีการตรวจสอบสิทธิผ่านแล้วจะได้รับเงินมีผลตั้งแต่เดือนที่ลงทะเบียนรับเงิน สำหรับผู้ปกครองท่านไหนที่มีคำถาม สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ปฎิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด กรมกิจการเด็กและเยาวชน โทร 08-2091-7245, 082-037-9767, 083-431-3533 หรือโทรสายด่วน ศูนย์ช่วยเหลือสังคมที่เบอร์ 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

 

 

รีวิว Priority Pass 2025

Priority Pass 2025 ยังคงเป็นบัตรที่ได้รับความนิยมสำหรับนักเดินทางที่ต้องการเข้าถึง Airport Lounge ระดับพรีเมียมทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเดินทางสายธุรกิจหรือสายท่องเที่ยว การมี Priority Pass ติดตัวช่วยให้คุณสามารถพักผ่อนในเลานจ์สนามบินได้สะดวกสบายมากขึ้น

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจ ข้อดี-ข้อเสียของ Priority Pass 2025, วิธีใช้งาน, ราคาแพ็กเกจ, บัตรเครดิตที่ให้ Priority Pass ฟรี และเปรียบเทียบว่าคุ้มค่าหรือไม่

Priority Pass คืออะไร?

Priority Pass เป็นโปรแกรมสมาชิกที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าใช้ Airport Lounge กว่า 1,500 แห่งทั่วโลก โดยไม่ต้องมีตั๋วชั้นธุรกิจ (Business Class) หรือเป็นสมาชิกของสายการบินใดๆ

  • เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ต้องการ ความสะดวกสบายในสนามบิน
  • มี Lounge ใน สนามบินกว่า 600 เมือง 148 ประเทศ
  • รวมถึง ร้านอาหาร, บาร์, และสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ในบางสนามบิน

 แพ็กเกจสมาชิก Priority Pass 2025

Priority Pass มีแพ็กเกจให้เลือก 3 ระดับ โดยขึ้นอยู่กับความถี่ในการเดินทาง

แพ็กเกจ ค่าบริการต่อปี จำนวนครั้งเข้า Lounge ฟรี ค่าธรรมเนียมแขก
Standard $99 (~3,500 บาท) จ่ายเพิ่ม $35 ต่อครั้ง $35 ต่อคน
Standard Plus $329 (~11,500 บาท) เข้า Lounge ฟรี 10 ครั้ง $35 ต่อคน
Prestige $469 (~16,500 บาท) เข้า Lounge ไม่จำกัด $35 ต่อคน
  • Standard: สำหรับคนที่เดินทางนานๆ ครั้ง
  • Standard Plus: สำหรับคนที่เดินทาง 5-10 ครั้งต่อปี
  • Prestige: สำหรับคนที่เดินทางบ่อยเกิน 10 ครั้งต่อปี

รีวิวประสบการณ์เข้าใช้ Priority Pass Lounge

  • อาหารและเครื่องดื่มฟรี (บางแห่งมีแอลกอฮอล์)
  • Wi-Fi ความเร็วสูง
  • ที่นั่งพักผ่อนสบาย ๆ
  • พื้นที่ทำงานและปลั๊กชาร์จไฟ
  • ห้องอาบน้ำ (บาง Lounge มีให้บริการ)

Lounge ที่ดีที่สุดในปี 2025

  1. Plaza Premium Lounge – Hong Kong International Airport อาหารระดับภัตตาคาร
  2. The Club – London Gatwick Airport กาแฟระดับพรีเมียม
  3. Aspire Lounge – Amsterdam Schiphol Airport บรรยากาศเงียบสงบ
  4. Marhaba Lounge – Dubai International Airport ห้องอาบน้ำสุดหรู
  5. ANA Lounge – Tokyo Narita Airport เครื่องดื่มญี่ปุ่นระดับพรีเมียม

บัตรเครดิตที่ให้ Priority Pass ฟรี

หากคุณต้องการใช้ Priority Pass แบบไม่ต้องจ่ายค่าสมาชิก การสมัครบัตรเครดิตที่ให้สิทธิพิเศษนี้เป็นทางเลือกที่ดี

บัตรเครดิตที่ให้ Priority Pass ฟรี (อัปเดต 2025)

  • SCB Ultra Platinum – ฟรี 2 ครั้งต่อปี
  • KBank Wisdom Visa Infinite – ฟรีไม่จำกัด
  • Citi Prestige – ฟรีไม่จำกัด + Guest 1 คน
  • UOB Privilege Banking – ฟรี 4 ครั้งต่อปี
  • American Express Platinum – ฟรีไม่จำกัด + Guest 1 คน

หากเดินทางบ่อย การเลือกบัตรเครดิตที่ให้ Priority Pass ฟรี ช่วยให้คุณประหยัดได้เยอะ

Priority Pass คุ้มไหม? เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี ข้อเสีย
มี Lounge มากกว่า 1,500 แห่งทั่วโลก บาง Lounge มีข้อจำกัดช่วง Peak Hour
มีแพ็กเกจหลากหลายให้เลือก ไม่สามารถใช้กับสายการบิน Low-Cost ได้ทุกที่
เข้า Lounge ได้แม้บิน Economy Class ค่าธรรมเนียมแขก $35 ต่อครั้ง
  • ถ้าคุณเดินทาง มากกว่า 10 ครั้งต่อปี แนะนำให้สมัครแพ็กเกจ Prestige
  • ถ้าเดินทาง ปีละ 5-10 ครั้ง Standard Plus คุ้มที่สุด
  • ถ้าเดินทางน้อย ลองใช้บัตรเครดิตที่ให้ Priority Pass ฟรี

วิธีสมัครและใช้งาน Priority Pass

วิธีสมัคร

  1. สมัครผ่าน เว็บไซต์ Priority Pass
  2. เลือกแพ็กเกจและชำระเงิน
  3. ดาวน์โหลดแอป Priority Pass App
  4. รับบัตรสมาชิกดิจิทัลในแอป

วิธีใช้

  • เปิดแอป Priority Pass → ค้นหา Lounge ใกล้สนามบิน
  • แสดง QR Code หรือบัตร Priority Pass ให้พนักงานสแกน
  • ใช้งาน Lounge ได้สูงสุด 3-4 ชั่วโมง ต่อครั้ง

 

 สรุป: ใครควรใช้ Priority Pass?

  • นักเดินทางบ่อย – เหมาะสำหรับคนที่บินบ่อยและต้องการที่พักผ่อนในสนามบิน
  • คนที่บิน Economy แต่ต้องการ Lounge – ใช้ Lounge ได้แม้บินชั้นประหยัด
  • ผู้ที่ถือบัตรเครดิตที่ให้ Priority Pass ฟรี – ประหยัดค่าใช้จ่าย

คำแนะนำ: ก่อนสมัคร Priority Pass ควรเช็ก สนามบินที่คุณเดินทางบ่อยมี Lounge รองรับหรือไม่ เพื่อให้คุ้มค่าที่สุด

บัตรเครดิตระดับสูง: เลือกอย่างไรให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คุณ?

บัตรเครดิตระดับพรีเมียมกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการ สิทธิประโยชน์พิเศษ ไม่ว่าจะเป็น ห้องรับรองสนามบิน, คะแนนสะสม, หรือโปรโมชั่นพิเศษ ในการใช้จ่าย แต่คำถามสำคัญคือ American Express, Visa และ MasterCard ต่างกันอย่างไร? และบัตรใบไหนเหมาะกับคุณที่สุด? บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกความแตกต่างของแต่ละเครือข่ายบัตร เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

American Express (Amex) – บัตรเครดิตที่มอบเอกสิทธิ์ระดับสูง

จุดเด่นของ American Express

  • สิทธิพิเศษระดับไฮเอนด์ เช่น ห้องรับรองสนามบินชั้นนำทั่วโลก (Priority Pass, Centurion Lounge)
  • ระบบคะแนนสะสม (Membership Rewards) ที่มีมูลค่าสูง ใช้แลกตั๋วเครื่องบิน, โรงแรม หรือบัตรกำนัลได้
  • บริการ Concierge ส่วนตัว สำหรับช่วยจองร้านอาหาร, จัดทริปพิเศษ และหาตั๋วคอนเสิร์ตที่หายาก
  • โปรแกรมประกันภัยการเดินทาง ที่ครอบคลุมกว่าบัตรทั่วไป

จุดที่ควรพิจารณา

  • ค่าธรรมเนียมรายปีของบัตรระดับสูง เช่น The Platinum Card อาจสูงกว่าบัตรอื่น ๆ
  • ไม่ได้รับการยอมรับในร้านค้าบางแห่ง โดยเฉพาะร้านค้าท้องถิ่นที่รองรับเฉพาะ Visa หรือ MasterCard
  • อัตราดอกเบี้ยอาจสูงกว่าบัตรเครดิตทั่วไป

Visa – เครือข่ายบัตรเครดิตที่ครอบคลุมทั่วโลก

จุดเด่นของ Visa

  • เครือข่ายรองรับการใช้งานกว้างขวางที่สุด ร้านค้าทั่วโลกมากกว่า 200 ประเทศ
  • รองรับบัตรหลายระดับ ตั้งแต่ Visa Platinum, Visa Signature ไปจนถึง Visa Infinite
  • สิทธิพิเศษด้านการเดินทาง เช่น ห้องรับรองสนามบิน, บริการประกันการเดินทาง, และส่วนลดโรงแรมระดับ 5 ดาว
  • รองรับโปรโมชั่นจากธนาคารผู้ออกบัตร ช่วยให้มีตัวเลือกที่หลากหลายกว่า

จุดที่ควรพิจารณา

  • คะแนนสะสมและสิทธิพิเศษอาจน้อยกว่า Amex ในบางกรณี โดยเฉพาะบัตรระดับกลาง
  • สิทธิพิเศษแตกต่างกันไปตามธนาคารที่ออกบัตร ทำให้ต้องศึกษาเงื่อนไขก่อนสมัคร

MasterCard – บัตรเครดิตที่มาพร้อมสิทธิพิเศษด้านการใช้จ่าย

จุดเด่นของ MasterCard

  • เครือข่ายรองรับกว้างขวางเช่นเดียวกับ Visa ครอบคลุมร้านค้ากว่า 210 ประเทศ
  • สิทธิพิเศษด้านร้านอาหาร, โรงแรม, และการช้อปปิ้ง โดยเฉพาะบัตร World Elite MasterCard
  • โปรโมชั่นพิเศษจากร้านค้าพันธมิตร เช่น ส่วนลดร้านอาหาร หรือสิทธิพิเศษจาก e-Commerce
  • บริการประกันภัยสำหรับการเดินทางและการช้อปปิ้ง

จุดที่ควรพิจารณา

  • อาจไม่ได้รับ สิทธิพิเศษระดับสูง เท่ากับ American Express ในหมวดเดินทาง
  • โปรโมชั่นอาจแตกต่างกันไปตามประเทศและธนาคารผู้ออกบัตร

เปรียบเทียบ American Express vs Visa vs MasterCard

คุณสมบัติ American Express Visa MasterCard
การยอมรับทั่วโลก รองรับน้อยกว่าคู่แข่ง กว้างขวางที่สุด รองรับทั่วโลก
คะแนนสะสม สูงสุดและมีตัวเลือกหลากหลาย ปานกลาง ปานกลาง
สิทธิพิเศษในการเดินทาง ดีที่สุด (ห้องรับรอง, Concierge) ดีมาก ดีมาก
โปรโมชั่นร้านค้า น้อยกว่า หลากหลาย หลากหลาย
ค่าธรรมเนียมรายปี สูงกว่าบัตรอื่น ปานกลาง ปานกลาง
สิทธิพิเศษของบัตรระดับสูง ดีที่สุด (Platinum, Centurion) ดีมาก (Infinite) ดีมาก (World Elite)

เลือก American Express ถ้าคุณ…

  • เป็นนักเดินทางที่ต้องการ สิทธิพิเศษระดับสูง เช่น ห้องรับรองสนามบินและบริการ Concierge
  • ต้องการ คะแนนสะสมที่มีมูลค่าสูง และใช้แลกสิทธิพิเศษได้มาก
  • ไม่กังวลเรื่องค่าธรรมเนียมรายปีที่สูงขึ้น

เลือก Visa ถ้าคุณ…

  • ต้องการบัตรที่ใช้งานได้ทุกที่ทั่วโลก
  • มองหาสิทธิพิเศษที่ดีจาก ธนาคารผู้ออกบัตร และโปรโมชั่นมากมาย
  • ต้องการความสมดุลระหว่างค่าธรรมเนียมและสิทธิประโยชน์

เลือก MasterCard ถ้าคุณ…

  • ต้องการโปรโมชั่นด้านการช้อปปิ้งและร้านอาหารที่โดดเด่น
  • เดินทางบ่อยและต้องการ สิทธิพิเศษด้านโรงแรมและประกันการเดินทาง
  • ต้องการบัตรที่ใช้งานได้กว้างขวาง พร้อมเงื่อนไขที่ยืดหยุ่น

บัตรเครดิต American Express, Visa และ MasterCard มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป หากคุณต้องการ สิทธิพิเศษระดับสูงสุด Amex อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ถ้าคุณต้องการ การยอมรับที่กว้างขวาง Visa และ MasterCard ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

 

สมัครบัตร American Express Platinum

 

10 สิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตร AMEX ที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน

American Express หรือ AMEX เป็นหนึ่งในบัตรเครดิตที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดดเด่นด้วยสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าบัตรทั่วไป หลายคนอาจคุ้นเคยกับสิทธิพิเศษด้านการเดินทางหรือการสะสมคะแนน แต่จริงๆ แล้วยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้เราจะพาคุณมารู้จัก 10 สิทธิพิเศษของบัตร American Express ที่จะช่วยให้คุณใช้บัตรได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น!

1. เข้าใช้ห้องรับรองสนามบินสุดหรูทั่วโลก

หนึ่งในสิทธิพิเศษที่ผู้ถือบัตร AMEX ระดับสูง เช่น Platinum Card และ Centurion Card ชื่นชอบมากที่สุด คือการเข้าใช้ VIP Lounge ตามสนามบินชั้นนำทั่วโลกผ่าน The Centurion Lounge และ Priority Pass บริการนี้ช่วยให้คุณได้พักผ่อนในบรรยากาศหรูหราพร้อมอาหาร เครื่องดื่ม และ Wi-Fi ฟรีระหว่างรอเที่ยวบิน

2. เครดิตเงินคืนค่าธรรมเนียมสายการบิน

ผู้ถือบัตร AMEX Platinum สามารถรับเครดิตเงินคืนจากค่าธรรมเนียมของสายการบินที่ร่วมรายการ เช่น ค่าสัมภาระ ค่าธรรมเนียมที่นั่งพิเศษ หรือค่าใช้จ่ายบนเที่ยวบิน ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น

3. การสะสมคะแนนที่ไม่มีวันหมดอายุ

คะแนนสะสม Membership Rewards ของ AMEX ไม่มีวันหมดอายุ ต่างจากบัตรเครดิตอื่นที่มักมีข้อจำกัดด้านระยะเวลาในการใช้คะแนนสะสม คุณสามารถใช้คะแนนแลกของรางวัล จองโรงแรม แลกเป็นไมล์สะสม หรือใช้เป็นเครดิตเงินคืนได้ตามต้องการ

4. บริการ Concierge ส่วนตัว 24/7

AMEX มีบริการ Concierge Service สำหรับผู้ถือบัตร Platinum และ Centurion ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ เช่น จองร้านอาหารหรู จองตั๋วคอนเสิร์ต จองโรงแรมระดับ 5 ดาว หรือแม้แต่จัดการแผนการเดินทางทั่วโลก

5. สิทธิพิเศษในโรงแรมหรูระดับโลก

หากคุณเป็นนักเดินทางที่ชื่นชอบการเข้าพักโรงแรมหรู บัตร AMEX มอบสิทธิพิเศษเช่น อัปเกรดห้องพัก เช็คเอาต์ล่วงเวลา อาหารเช้าฟรี เครดิตค่าใช้จ่ายในโรงแรม ผ่านโปรแกรม Fine Hotels & Resorts และ The Hotel Collection

6. ประกันการเดินทางและการช้อปปิ้งที่ครอบคลุม

AMEX มีประกันภัยที่ครอบคลุมการเดินทาง เช่น ค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน ค่าชดเชยกรณีเที่ยวบินล่าช้า หรือกระเป๋าสูญหาย รวมถึง ประกันสินค้า ที่ช่วยคุ้มครองสินค้าราคาแพงที่ซื้อผ่านบัตร หากเกิดความเสียหายหรือถูกขโมย

7. สิทธิพิเศษด้านการช้อปปิ้งทั่วโลก

AMEX มีพาร์ทเนอร์มากมายกับร้านค้าชั้นนำระดับโลก ทำให้ผู้ถือบัตรได้รับ ส่วนลดพิเศษ เครดิตเงินคืน และข้อเสนอสุดพิเศษ จากห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง

8. โปรโมชั่นร้านอาหารระดับ Michelin Star

หากคุณเป็นสายกิน AMEX มีโปรแกรมพิเศษที่ให้คุณ จองร้านอาหารระดับ Michelin Star หรือร้านอาหารชื่อดังได้ก่อนใคร พร้อมรับสิทธิพิเศษ เช่น ส่วนลดพิเศษ เมนูพิเศษ หรือบริการเสิร์ฟก่อน

9. สิทธิพิเศษสำหรับการใช้บริการรถเช่าหรูหรา

AMEX Platinum และ Centurion มอบสิทธิพิเศษสำหรับบริการรถเช่าระดับหรูจากแบรนด์ดัง เช่น Hertz, Avis และ National ซึ่งรวมถึง อัปเกรดรถฟรี ส่วนลดค่าบริการ และสิทธิ์ขับรถโดยไม่ต้องรอคิว

10. บริการผ่อนชำระและดอกเบี้ยพิเศษ

นอกจากสิทธิพิเศษด้านไลฟ์สไตล์แล้ว AMEX ยังมีโปรแกรม ผ่อนชำระ 0% สำหรับสินค้าบางรายการ และ ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ สำหรับการใช้จ่ายในหมวดหมู่ที่ร่วมรายการ ช่วยให้คุณสามารถจัดการการเงินได้ง่ายขึ้น

American Express เป็นมากกว่าบัตรเครดิตทั่วไป ด้วยสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมการเดินทาง การใช้จ่าย และไลฟ์สไตล์สุดหรู สำหรับใครที่ต้องการประสบการณ์ที่เหนือระดับ AMEX อาจเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุด หากคุณกำลังมองหาบัตรเครดิตที่ให้สิทธิพิเศษที่คุ้มค่าและไม่เหมือนใคร บัตร AMEX อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ!

 

สมัครบัตร American Express Platinum

 

ถือบัตร American Express บัตรเดียวที่ให้คุณมากกว่าความคุ้มค่า

American Express (AMEX) เป็นหนึ่งในบัตรเครดิตระดับโลกที่ขึ้นชื่อเรื่องสิทธิพิเศษเหนือระดับและการบริการลูกค้าแบบพรีเมียม หลายคนอาจมองว่าบัตร AMEX มีค่าธรรมเนียมสูง แต่หากพิจารณาสิทธิประโยชน์ที่ได้รับแล้ว ถือว่าคุ้มค่าสำหรับผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์หรูหรา การเดินทาง และสิทธิพิเศษต่างๆ ในบทความนี้ เราจะรีวิวบัตร American Express อย่างละเอียด ตั้งแต่ประเภทบัตร สิทธิพิเศษ ไปจนถึงขั้นตอนการสมัคร

ประเภทของบัตร American Express

AMEX มีบัตรให้เลือกหลากหลายประเภท ซึ่งแบ่งตามไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้ถือบัตร ได้แก่:

1. American Express Platinum Card

  • บัตรระดับสูงสุดของ AMEX ที่มาพร้อมกับสิทธิพิเศษมากมาย เช่น การเข้าใช้บริการห้องรับรองในสนามบินทั่วโลก
  • โบนัสคะแนนสะสมที่สูงเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร
  • เครดิตคืนเงินสำหรับค่าธรรมเนียมโรงแรมและสายการบิน

2. American Express Gold Card

  • เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางและรับประทานอาหาร
  • ได้รับ Membership Rewards Points เพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายที่ร้านอาหารและการเดินทาง
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก

3. American Express Green Card

  • บัตรพื้นฐานที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นใช้งาน AMEX
  • ได้รับคะแนนสะสมจากการใช้จ่ายทุกหมวดหมู่
  • ค่าธรรมเนียมรายปีต่ำกว่าบัตร Platinum และ Gold

สิทธิพิเศษของบัตร American Express

AMEX มีชื่อเสียงในเรื่องสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าบัตรเครดิตทั่วไป ซึ่งครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่:

1. สิทธิพิเศษในการเดินทาง

  • เข้าใช้ Lounge สนามบิน: บัตร Platinum สามารถเข้าใช้ Priority Pass และ Centurion Lounge ได้ฟรี
  • เครดิตค่าใช้จ่ายสายการบิน: รับเงินคืนจากค่าธรรมเนียมสัมภาระและค่าใช้จ่ายในเที่ยวบินที่ร่วมรายการ
  • ประกันการเดินทาง: คุ้มครองอุบัติเหตุและความล่าช้าของเที่ยวบินเมื่อจองผ่านบัตร AMEX

2. คะแนนสะสม Membership Rewards

  • ใช้จ่ายทุก 25 บาท รับ 1 คะแนน (ขึ้นอยู่กับประเภทบัตร)
  • สามารถแลกเป็นไมล์สะสมของสายการบินหรือเครดิตเงินคืน
  • คะแนนไม่มีวันหมดอายุ

3. สิทธิพิเศษด้านการช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์

  • ส่วนลดร้านค้าและโรงแรมระดับพรีเมียม
  • Cashback และเครดิตเงินคืนจากการใช้จ่ายในร้านค้าพันธมิตร
  • โปรโมชั่นพิเศษกับร้านอาหารชั้นนำทั่วโลก

4. บริการ Concierge ส่วนตัว

  • ผู้ถือบัตร Platinum และ Gold จะได้รับบริการผู้ช่วยส่วนตัวสำหรับจองร้านอาหาร โรงแรม หรือวางแผนการเดินทาง

ค่าธรรมเนียมและอัตราดอกเบี้ย

  • ค่าธรรมเนียมรายปีแตกต่างกันไปตามประเภทของบัตร เช่น:
    • Platinum Card: ค่าธรรมเนียมรายปีประมาณ 20,000-30,000 บาท
    • Gold Card: ค่าธรรมเนียมรายปีประมาณ 5,000-10,000 บาท (ปีแรกอาจฟรี)
    • Green Card: ค่าธรรมเนียมรายปีเริ่มต้นที่ 3,000 บาท
  • อัตราดอกเบี้ยประมาณ 16-20% ต่อปี
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง และมีโปรแกรมผ่อนชำระ 0% สำหรับสินค้าที่ร่วมรายการ

ขั้นตอนการสมัครบัตร American Express

การสมัครบัตร AMEX มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก โดยสามารถทำได้ทั้งออนไลน์และผ่านธนาคารพาร์ทเนอร์

1. ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร

  • อายุ 20 ปีขึ้นไป
  • รายได้ขั้นต่ำที่กำหนด (ขึ้นอยู่กับประเภทบัตร)
  • มีประวัติเครดิตที่ดี

2. เตรียมเอกสารประกอบการสมัคร

  • สำเนาบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง
  • สลิปเงินเดือนหรือหนังสือรับรองเงินเดือน
  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน

3. ยื่นใบสมัคร

  • สมัครผ่านเว็บไซต์ของ American Express
  • สมัครผ่านธนาคารหรือสาขาที่ร่วมรายการ
  • กรอกข้อมูลและแนบเอกสารให้ครบถ้วน

4. รอการอนุมัติและรับบัตร

  • ระยะเวลาการอนุมัติ: ประมาณ 7-14 วันทำการ
  • หากอนุมัติ บัตรจะถูกส่งไปยังที่อยู่ที่ระบุไว้

บัตร American Express เป็นบัตรเครดิตที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสิทธิพิเศษเหนือระดับ โดยเฉพาะในด้านการเดินทาง การใช้จ่ายในร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม แม้ว่าจะมีค่าธรรมเนียมรายปีที่สูงกว่าบัตรทั่วไป แต่สิทธิประโยชน์ที่ได้รับก็คุ้มค่ากับการใช้งาน สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสมัครผ่านช่องทางออนไลน์หรือธนาคารพาร์ทเนอร์ได้ง่าย ๆ พร้อมรับบัตรภายใน 7-14 วันทำการ

สมัครบัตร American Express Platinum

 

เปิดบัตรกดเงินสดเอาไว้ แต่ไม่ใช้ควรทำอย่างไร?

บัตรกดเงินสดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงเงินสดได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน แต่หากคุณมีบัตรกดเงินสดแต่ไม่ได้ใช้งาน ควรรักษาไว้หรือยกเลิกไปเลยดี? ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกข้อดี-ข้อเสียของการถือบัตรกดเงินสดโดยไม่ได้ใช้งาน และวิธีบริหารจัดการบัตรเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของคุณ

การถือบัตรกดเงินสดโดยไม่ได้ใช้งานนั้น ไม่ทำให้เกิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การมีบัตรกดเงินสดหรือบัตรเครดิตที่ไม่ได้ใช้อาจส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อในอนาคต เนื่องจากสถาบันการเงินอาจมองว่าเป็นภาระหนี้ที่ยังไม่ได้ใช้

การจัดการบัตรกดเงินสดที่ไม่ได้ใช้งาน

  • ตรวจสอบเงื่อนไขการคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม: หากไม่มีการกดเงินสดออกมาใช้ จะไม่มีการคิดดอกเบี้ย แต่ควรตรวจสอบว่ามีค่าธรรมเนียมรายปีหรือไม่

  • พิจารณายกเลิกบัตรที่ไม่จำเป็น: หากมีบัตรกดเงินสดหลายใบ ควรพิจารณายกเลิกบัตรที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อลดภาระหนี้ที่สถาบันการเงินอาจพิจารณาในการขอสินเชื่อในอนาคต

ข้อควรระวังในการใช้บัตรกดเงินสด

  • วางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ: ควรใช้บัตรกดเงินสดเฉพาะในกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเท่านั้น

  • ชำระหนี้ตรงเวลา: การชำระหนี้ตรงเวลาช่วยป้องกันการเสียดอกเบี้ยและค่าปรับที่ไม่จำเป็น

  • หลีกเลี่ยงการก่อหนี้เกินความสามารถในการชำระ: ควรประเมินความสามารถในการชำระหนี้ก่อนการกดเงินสด เพื่อป้องกันปัญหาทางการเงินในอนาคต

การบริหารจัดการบัตรกดเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากบัตรได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของคุณในอนาคต

บัตรกดเงินสดคืออะไร?

บัตรกดเงินสด (Cash Card) เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกโดยธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดออกมาใช้ได้ทันทีตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ โดยไม่ต้องมีเงินฝากค้ำประกัน

ลักษณะสำคัญของบัตรกดเงินสด

  • ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
  • สามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อบุคคลแบบผ่อนชำระ
  • ไม่มีดอกเบี้ยหากไม่มีการกดเงินออกมาใช้

มีบัตรกดเงินสดแต่ไม่ได้ใช้ มีผลกระทบอะไรบ้าง?

แม้ว่าการมีบัตรกดเงินสดโดยไม่ได้ใช้จะไม่ได้ทำให้เกิดภาระหนี้ทันที แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของคุณในหลายด้าน เช่น

1. มีผลต่อเครดิตทางการเงิน

  • สถาบันการเงินอาจมองว่าคุณมี “วงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้ใช้” ซึ่งอาจทำให้ขอสินเชื่ออื่นยากขึ้น
  • หากคุณมีบัตรหลายใบ วงเงินสินเชื่อรวมอาจสูงจนธนาคารมองว่าคุณมีความเสี่ยงสูง

2. อาจมีค่าธรรมเนียมรายปี

  • บัตรกดเงินสดบางประเภทอาจมีค่าธรรมเนียมรายปี แม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้งานก็ตาม
  • หากไม่อยากเสียค่าธรรมเนียมโดยเปล่าประโยชน์ ควรตรวจสอบเงื่อนไขของบัตรให้ดี

3. มีโอกาสใช้เงินเกินตัว

  • การมีวงเงินกดเงินสดพร้อมใช้ อาจทำให้คุณกดเงินออกมาใช้โดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นหนี้ที่ไม่จำเป็น
  • หากไม่วางแผนการใช้จ่ายให้ดี อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมาก

ควรยกเลิกบัตรกดเงินสดหรือไม่?

หากคุณมีบัตรกดเงินสดที่ไม่ได้ใช้งาน ควรพิจารณาตามปัจจัยเหล่านี้ก่อนตัดสินใจยกเลิก

เมื่อควรยกเลิกบัตรกดเงินสด

  • คุณมีบัตรหลายใบและไม่ต้องการให้วงเงินสินเชื่อรวมสูงเกินไป
  • บัตรมีค่าธรรมเนียมรายปีที่ไม่จำเป็น
  • คุณมีแหล่งเงินสำรองอื่นที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า เช่น สินเชื่อบุคคลหรือเงินสำรองฉุกเฉิน

เมื่อควรเก็บบัตรกดเงินสดไว้

  • ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเครดิตของคุณ
  • ใช้เป็นทางเลือกในการกดเงินสดฉุกเฉินในกรณีจำเป็น
  • มีแผนใช้ในอนาคต เช่น ใช้ในยามฉุกเฉินที่ต้องการเงินสดเร่งด่วน

วิธีบริหารจัดการบัตรกดเงินสดให้เกิดประโยชน์สูงสุด

หากคุณตัดสินใจเก็บบัตรกดเงินสดไว้ ควรมีแนวทางบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ ดังนี้:

1. ตรวจสอบเงื่อนไขของบัตรเป็นประจำ

  • ตรวจสอบว่าบัตรมีค่าธรรมเนียมหรือเงื่อนไขที่อาจเปลี่ยนแปลงหรือไม่
  • เช็กอัตราดอกเบี้ย เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่อาจกระทบต่อการใช้บัตรในอนาคต

2. หลีกเลี่ยงการใช้เงินโดยไม่จำเป็น

  • ใช้บัตรกดเงินสดเฉพาะในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายเร่งด่วน
  • ไม่ใช้บัตรกดเงินสดแทนบัตรเครดิตในการซื้อสินค้าทั่วไป เพราะอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า

3. วางแผนการชำระคืนให้ดี

  • หากกดเงินสดออกมาใช้ ควรมีแผนชำระคืนให้เร็วที่สุดเพื่อลดภาระดอกเบี้ย
  • ไม่ควรจ่ายเพียงขั้นต่ำ เพราะจะทำให้ดอกเบี้ยสะสมมากขึ้น

4. พิจารณาวงเงินที่เหมาะสม

  • หากคุณไม่ต้องการให้วงเงินสินเชื่อสูงเกินไป สามารถขอลดวงเงินบัตรกดเงินสดกับธนาคารได้
  • วงเงินที่เหมาะสมควรสอดคล้องกับรายได้และภาระหนี้อื่น ๆ ของคุณ

 

เปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เริ่มปลายเดือน มีนาคม นี้

ข้อมูลล่าสุดจากทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการบริหารข้อมูลโครงการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กำลังมีนัดประชุมเร็วๆนี้เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องการเปิดให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ทางคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเศรษกิจฐานรากและสังคม คาดว่าจะได้ข้อสรุปทุกอย่าง และทำการส่งเข้าคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอน เบื้องต้นแจ้งว่าจะมีการเปิดให้ลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ภายในเดือนมีนาคม 2568

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 จะเปิดทันภายในเดือน มีนาคมหรือไม่?

ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาย้ำว่า การเปิดให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 จะได้ให้ลงทะเบียนทันภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2568 แน่นอน และ กระบวนการลงทะเบียนไม่ได้หมายความว่าจะต้องเสร็จสิ้นและปิดลงทะเบียนภายในเดือนนี้ หากเริ่มเปิดลงทะเบียนปลายเดือนหน้า หรือเดือนเมษายน 2568 ก็ยังคงอยู่ในกรอบที่กำหนด

สำหรับการปรับปรุงเกณฑ์ หรือ คุณสมบัติสวัสดิการแห่งรัฐ นั้นทางอนุกรรมการยังไม่ได้ข้อสรุปมาให้ทำการพิจารณา แต่มีการออกมาย้ำว่าจะทำให้รอบคอบที่สุด โดยเฉพาะเรื่องของเกณฑ์รายได้ และ ทรัพย์สินให้เหมาะสมที่สุด

คุณสมบัติในการสมัครบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568

  1. ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีบริบูรณ์
  2. มีรายได้คนละไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี
  3. ภายในครอบครัวมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี
  4. ทรัพย์ทสินทางการเงิน ได้แก้ เงินฝาก, พันธบัตร, ตราสารหนี้ต่างๆ ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคนต่อครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี
  5. ต้องไม่มีกรรสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือ ที่ดิน เกินจากเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด
  6. ต้องไม่มีบัตรเครดิต
  7. ต้องไม่มีวงเงินกู้บ้านตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป
  8. ต้องไม่มีวงเงินกู้ซื้อรถเกิน 1 ล้านบาท
  9. ต้องไม่เป็นภิกษุ สามเณร หรือ ผู้ต้องขัง หรือ บุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ ข้าราชการ พนักงานราชการ ผู้รับบำเหน็จรายเดือน ผู้รับบำนาญ ข้าราชการการเมือง รวมไปถึง ส.ส. และ ส.ว.

 

7 บัตรเครดิต น่าสมัคร 2025 เงินเดือน 15,000

หากคุณมีรายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือนและกำลังมองหาบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ นี่คือ 7 บัตรเครดิตที่น่าสนใจ:

  1. บัตรเครดิต KTC VISA PLATINUM
    บัตรเครดิตที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี พร้อมสิทธิประโยชน์ในการผ่อนชำระสินค้าและบริการด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.74% นานสูงสุด 10 เดือน นอกจากนี้ ยังมีประกันการเดินทางวงเงินคุ้มครองสูงสุด 8 ล้านบาท

  2. บัตรเครดิต KTC JCB PLATINUM
    เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางไปญี่ปุ่น รับคะแนน KTC FOREVER x2 เมื่อใช้จ่ายที่ญี่ปุ่น และสิทธิ์การใช้บริการห้องรับรองสนามบินในประเทศที่กำหนด พร้อมส่วนลดพิเศษที่ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

  3. บัตรเครดิต KTC UNIONPAY PLATINUM
    ตอบโจทย์ผู้ที่เดินทางไปฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน รับคะแนน KTC FOREVER x2 เมื่อใช้จ่ายในประเทศดังกล่าว และรับส่วนลดพิเศษจากร้านค้าที่ร่วมรายการ

  4. บัตรเครดิต กรุงศรี แพลทินัม
    มอบเครดิตเงินคืน 1% เมื่อใช้จ่ายที่สถานีบริการน้ำมันบางจากที่ร่วมรายการ และสามารถแบ่งจ่าย 0% ค่ารักษาพยาบาลนานสูงสุด 10 เดือน

  5. บัตรเครดิต KBank – Shopee Credit Card
    เหมาะสำหรับนักช้อปออนไลน์ รับสิทธิพิเศษและส่วนลดเมื่อใช้จ่ายผ่าน Shopee และร้านค้าที่ร่วมรายการ

  6. บัตรเครดิต KTC DIGITAL PLATINUM VISA
    ปลอดภัยในการช้อปออนไลน์ด้วย Dynamic CVV รหัสหลังบัตรที่เปลี่ยนทุกครั้งที่ขอ และไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี

  7. บัตรเครดิต UOB 
    บัตรเครดิตยูโอบีวัน คือบัตรเครดิตเงินคืนที่ถือว่าดีที่สุดจากทางธนาคาร UOB เป็นบัตรที่รับคืนได้ทุกวันจากทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ค่าธรรมเนียมสำหรับบัตรหลักในปีถัดไป 2,000 บาท + VAT 140 บาท

ก่อนตัดสินใจสมัคร ควรพิจารณาเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ของแต่ละบัตรให้ตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคุณ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้บัตรเครดิต

สิทธิเฟส 3 เข้าร่วมโรงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท

คืบหน้าโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เงินดิจิทัลวอลเล็ต ให้สิทธิเฟส 3 เข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทล่าสุด ที่มีอายุ 16-59 ปี โอนเข้าทางรัฐ สำรหับคนที่ลงทะเบียนทางรัฐ และ ยืนยันตัวตนเอาไว้แล้ว รอรับเงินได้เลย ทางรัฐบาลมีกำหนดจ่ายในไตรมาส 2 ของเดือน เมษายน – มิถุนายน 2568 สามารถเตรียมตัวซื้อของและสแกนจ่ายได้เลย สามารถเช็คเบื้องต้นเดียวกับเงิน 10,000 บาท ว่าจะเอาไปใช้จ่ายในส่วนไหนดี

ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เกี่ยวกับโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ได้ออกมาระบุว่า โครงการดิจิทัลวอลเล้ตเฟส 3 สำหรับเงิน 10,000 บาท ในครั้งนี้จะเป็นการจ่ายผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นระบบ Open Loop ซึ่งผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล เฟส 3 จะมีการพิจารณาผู้ที่ลงทะเบียน และ ยืนยันตัเข้าร่วมโครงการสำเร็จแล้ว ซึ่งอยู่ในอายุระหว่าง 16-59 ปี ผ่านแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิภายน 2567 ว่าผ่านเกณฑ์หรือไม่

  • เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
  • มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ก่อนวันที่ 16 กันยายน 2567
  • ไม่เป็นผู้ที่มีรายได้เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566
  • ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567
  • ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ
  • ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการ หรือ โครงการอื่นๆของรัฐ
  • ไม่เป็นผู้ที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ หรือ โครงการของรัฐ

ไม่เลื่อน เงินดิจิทัล 10,000 บาท รัฐจ่ายให้ไตรมาส 2 เดือนเมษายน – มิถุนายน 2568

สำหรับกลุ่มคนที่จะได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทเฟส 3 นั่นจะเป็นกลุ่มคนที่มีอายุ 16-60 ปี ที่ไม่ติดเงื่อนไข ทรัพส์สินและมีรายได้ตามเกณฑ์ ได้รับการยืนยันจากทางรัฐบาลแล้วว่าจะไม่มีการเลื่อนการจ่ายอีกต่อไป

เฟส 3 เตรียมซื้อของ สแกนจ่ายเงิน 10,000 บาท

  • สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ไข่ไก่, ข้าวสาร ฯลฯ
  • ยารักษาโรค เช่น ยาแก้ไข้, ยาแก้ไอ, ยาแก้ท้องเสีย ฯลฯ
  • ธูปเทียน, ชุดถวายสังฆทาน ฯลฯ
  • สินค้าเพื่อการศึกษา เครื่องแบบนักเรียน, สมุด, ปากกา, ดินสอ, เครื่องเขียน ฯลฯ
  • เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์, สบู่, ยาสีฟัน, ซอสปรุงรส, น้ำปลา ฯลฯ
  • วัตถุดิบเพื่อการเกษตร เช่น ยาปราบศัตรูพืช, เมล็ดพันธุ์พืช, ปุ๋ย ฯลฯ
  • สินค้าเกษตร และ ผลิตภัณฑ์ชุมชน อาหาร, ผักสด, ผลไม้สด ฯลฯ

เปิดช่องทางการยืนยันตัวตนเข้าใช้งานแอปทางรัฐ

  • แอป ThaiID
  • ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ
  • เคาน์เตอร์ไปรษณีย์ไทย
  • Big C