เลือกสมัครบัตรเครดิต UOB แบบไหนดี สำหรับมือใหม่

สำหรับใครที่กำลังคิดจะเริ่มใช้ บัตรเครดิต UOB เป็นใบแรก หลายคนอาจจะสับสนว่าควรเริ่มจากใบไหนดี ใช้แบบไหนถึงจะคุ้ม หรือแม้แต่กลัวจะใช้ผิดวิธีจนเป็นหนี้ไม่รู้ตัว บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวทางการเลือกบัตรให้เหมาะกับตัวเอง และเริ่มต้นใช้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

ทำไมต้องเลือกบัตรเครดิตจาก UOB?

UOB ถือเป็นหนึ่งในธนาคารที่มีบัตรเครดิตให้เลือกหลากหลาย และตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนรุ่นใหม่ เช่น

  • บัตรที่เน้นการคืนเงินสด (Cashback)
  • บัตรสำหรับคนที่ชอบเดินทาง
  • บัตรที่เน้นสะสมคะแนน
  • บัตรระดับพรีเมียมที่มาพร้อมสิทธิพิเศษมากมาย

แต่ละใบก็มีจุดเด่นต่างกันออกไป ดังนั้นการเลือกให้เหมาะกับการใช้จ่ายของตัวเองจึงเป็นหัวใจสำคัญ

เริ่มต้นยังไงดี? สิ่งที่มือใหม่ควรรู้ก่อนสมัคร

1. ประเมินพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง

คุณใช้จ่ายส่วนใหญ่กับเรื่องอะไร? กินข้าวนอกบ้าน ช้อปออนไลน์ เดินทางต่างประเทศ หรือเติมน้ำมัน? การรู้ตัวเองช่วยให้เลือกบัตรที่ให้สิทธิประโยชน์ได้ตรงเป้าหมาย

2. ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร

แม้บัตรบางใบจะดูน่าสนใจ แต่ก็อาจมีรายได้ขั้นต่ำที่สูงเกินไป เช่น บัตรระดับ World หรือ Infinity ที่ต้องมีรายได้หลักแสนต่อเดือน สำหรับมือใหม่ รายได้ขั้นต่ำ 15,000 – 30,000 บาทต่อเดือนจะสมัครได้หลายใบแล้ว

3. เปรียบเทียบโปรโมชั่นแต่ละบัตร

บัตรเครดิต UOB มักมีโปรโมชั่นร่วมกับร้านอาหาร ร้านค้า หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee, Agoda หรือแม้แต่ค่าฟิตเนส ลองเทียบดูว่าโปรโมชั่นไหนเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณ

>> สมัครบัตรเครดิต UOB (บัตรหลัก)ได้ที่นี่ <<

บัตรเครดิต UOB ยอดนิยมสำหรับมือใหม่

1. UOB Lady’s Card

เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ชอบช้อปปิ้งและดูแลตัวเอง มีสิทธิประโยชน์เช่น:

  • เลือกหมวดรับเครดิตเงินคืนได้เอง เช่น แฟชั่น, ความงาม, ร้านอาหาร
  • ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับร้านค้าที่ร่วมรายการ

2. UOB Preferred Platinum

บัตรที่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้จ่ายออนไลน์และจ่ายผ่าน QR Code เป็นหลัก

  • รับคะแนนสะสม 10 เท่า เมื่อใช้จ่ายออนไลน์หรือสแกนจ่าย
  • ฟรีค่าธรรมเนียมปีแรก และปีถัดไปหากใช้จ่ายครบตามเงื่อนไข

3. UOB Yolo Platinum

สาย Cashback ต้องสนใจใบนี้ เพราะมีจุดเด่นคือ:

  • รับเครดิตเงินคืน 10% สำหรับการใช้จ่ายในหมวดที่ร่วมรายการ
  • ครอบคลุมหมวด Grab, BTS, MRT, ร้านอาหาร และช้อปออนไลน์

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน

อย่าจ่ายขั้นต่ำทุกเดือน

แม้การจ่ายขั้นต่ำจะดูเหมือนช่วยแบ่งเบาภาระรายเดือน แต่จะทำให้คุณเสียดอกเบี้ยสูง และกลายเป็นหนี้สะสมโดยไม่รู้ตัว ควรจ่ายเต็มจำนวนทุกเดือนเพื่อไม่ให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

อย่ากดเงินสดจากบัตรเครดิต

การกดเงินสดจะมีค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยทันทีต่างจากการรูดซื้อสินค้า ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

ตั้งเป้าการใช้บัตรเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ภาระ

อย่าลืมว่าบัตรเครดิตคือเครื่องมือที่ช่วยบริหารสภาพคล่องทางการเงิน หากใช้ถูกวิธีสามารถสะสมคะแนน แลกของรางวัล หรือรับเงินคืนได้อย่างคุ้มค่า

การเลือก บัตรเครดิต UOB สำหรับมือใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก หากเริ่มจากความเข้าใจในพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง และเลือกบัตรที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ ควบคู่กับการใช้บัตรอย่างมีวินัย บัตรเครดิตจะกลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของคุณในชีวิตประจำวัน แทนที่จะเป็นภาระทางการเงิน

ธนาคารกรุงไทย – กสิกรไทย ถอนเงินไม่ใช้บัตร ข้ามธนาคารได้แล้ว

เปิดเผยข้อมูลจากทางธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่าตอนนี้เปิดให้ลูกค้าของธนาคารสามารถถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารได้แล้วกว่า 16,000 ตู้ทั่วประเทศ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ประกาศจากทางธนาคาร กรุงไทย และ ธนาคาร กสิกรไทย แจ้งเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าของธนาคาร กับบริการใหม่ล่าสุด สามารถทำการถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT และ K Plus ได้ทั้งตู้ ATM/CDM ของธนาคารกรุงไทย และ ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 16,000 ตู้ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ลูกค้าของธนาคารกรุงไทยสามารถใช้บริการถอนเงินแบบไม่ใช้บัตร โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เมื่อทำรายการถอนเงินที่ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ ในส่วนของการใช้บริการถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรข้ามธนาคาร ลูกค้าธนาคารกรุงไทย สามารถทำรายการผ่าน Krungthai NEXT เพื่อสร้างรหัสถอนเงิน และนำไปใช้ถอนเงินได้ที่ตู้ ATM/CDM ของธนาคารกสิกรไทย และ ลูกค้าธนาคารกสิกรไทย สามารถทำรายการผ่านแอปพลิเคชั่น K Plus โดยสแกน QR Code ที่หน้าตู้ ATM/CDM ของธนาคารพรุงไทย ทั้งนี้การใช้บริการถอนเงินที่ไม่ใช้บัตรข้ามธนาคาร มีค่าธรรมเนียมตามแต่ละธนาคารกำหนด

 

รายละเอียดโทรอายัดบัญชี แต่ละธนาคาร

เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับการเงิน เช่น โดนโกงออนไลน์, โดนมิจฉาชีพหลอก, บัตรหาย หรือสงสัยว่าบัญชีถูกแฮก สิ่งที่ควรทำทันทีคือการ โทรอายัดบัญชีธนาคาร เพื่อหยุดการทำรายการ และป้องกันไม่ให้เงินสูญหายเพิ่มขึ้น ในบทความนี้เราจะรวบรวมเบอร์โทรฉุกเฉินของธนาคารต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับอายัดบัญชี รวมถึงคำแนะนำเบื้องต้นที่ควรรู้หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน

อายัดบัญชีคืออะไร และควรทำเมื่อไหร่?

การอายัดบัญชีคือการระงับการทำรายการทางการเงินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการถอน โอน หรือใช้งานบัตร ATM / เดบิต เพื่อป้องกันไม่ให้เงินในบัญชีถูกนำไปใช้โดยผู้ไม่หวังดี การอายัดควรทำทันทีเมื่อ:

  • บัญชีถูกแฮก
  • โอนเงินผิดบัญชี
  • ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
  • บัตร ATM / เดบิต / บัตรเครดิต สูญหายหรือถูกขโมย

เบอร์โทรอายัดบัญชีแต่ละธนาคาร

ด้านล่างนี้คือเบอร์โทรที่สามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมงของธนาคารชั้นนำในประเทศไทย

ธนาคารกรุงเทพ (BBL)

  • โทร. 1333 หรือ 02-645-5555 กด 3 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่อายัดบัญชีทันที

ธนาคารกสิกรไทย (KBank)

  • โทร. 02-888-8888 กด 001 จากมือถือในประเทศ

ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

  • โทร. 02-777-7777 กด 2 ตามด้วย 2 อีกครั้งเพื่ออายัดบัตรและบัญชี

ธนาคารกรุงไทย (KTB)

  • โทร. 02-111-1111 กด 108 และแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีว่าต้องการอายัดบัญชี

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)

  • โทร. 1572 กด 5 ตลอด 24 ชั่วโมง

ธนาคารทีทีบี (ttb)

  • โทร. 1428 กด 03 เพื่ออายัดบัตรหรือบัญชี

ธนาคารยูโอบี (UOB)

  • โทร. 02-285-1555 กด 1 เพื่อทำรายการอายัด

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB)

  • โทร. 02-626-7777 กด 0 แล้วแจ้งขออายัดบัญชี

ธนาคารธนชาต (Thanachart)

  • โทร. 1770 กด 0 ติดต่อเจ้าหน้าที่

สิ่งที่ควรเตรียมเมื่อโทรอายัดบัญชี

การเตรียมข้อมูลให้ครบจะช่วยให้การอายัดรวดเร็วและปลอดภัย:

  • ชื่อ-นามสกุล เจ้าของบัญชี
  • เลขที่บัญชี หรือหมายเลขบัตร
  • หมายเลขบัตรประชาชน (ถ้าจำได้)
  • เวลาที่พบความผิดปกติ หรือรายการต้องสงสัย

คำแนะนำเพิ่มเติมหลังอายัดบัญชี

หลังจากอายัดบัญชีเรียบร้อยแล้ว ควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. แจ้งความกับสถานีตำรวจในท้องที่ เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
  2. เก็บเอกสารและเลขบันทึกแจ้งความไว้ให้ครบ
  3. แจ้งธนาคารเพื่อดำเนินการขอคืนเงิน (ถ้ามีการสูญเสีย)
  4. เปลี่ยนรหัสผ่านทุกช่องทางที่เกี่ยวข้องกับบัญชี

การอายัดบัญชีเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสียหายทางการเงินจากเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรจดจำเบอร์โทรฉุกเฉินของธนาคารไว้ให้ดี และหากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ ควรติดต่อธนาคารโดยตรงทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของบัญชีของคุณ

สำนักงานระบายน้ำ กทม. เตรียมความพร้อมวางแผนระบายน้ำ

กรุงเทพมหานคร สำนักงานระบายน้ำ ได้ออกแจ้งถึงความพร้อมในการวางแผนระบายน้ำ และ สถานีระบายน้ำ สูบน้ำ เพื่อรับมือฝนตกหนักในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันน้ำท่วม 50 เขต

เปิดเผยข้อมูลจากผู้อำนวยการสำนักงานการระบายน้ำ กล่าวถึงการเตรียมตัวเพื่อร้องรับสถานการณ์ฝนตกตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเกี่ยวกับฝนตกหนัก และ ตกหนักมากบางแห่ง เนื่องจากประเทศไทยตอนนี้เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งทางสำนักการระบายน้ำ และ กทม. ได้ดำเนินการตามแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯร่วมกัน

กรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมด้านระบายน้ำและสถานีสูบน้ำ

  • อุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง
  • สถานีสูบน้ำ 200 แห่ง
  • ประตูระบายน้ำ 243 แห่ง
  • บ่อสูบน้ำที่ช่วยระบายน้ำในท่อ 349 แห่ง
  • ลดระดับน้ำในแก้มลิงให้อยู่ในระดับต่ำเพื่อรองรับน้ำฝน

การบริหารจัดการและเจ้าหน้าที่

  • จัดเจ้าหน้าที่ประจำอุโมงค์ระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ และ บ่อสูบน้ำตลอด 24 ชั่วโมง
  • จัดหน่วยปฎิบัติการเร่งด่วนเคลื่อนที่ BEST เข้าพื้นที่ทันทีเมื่อมีฝนตก
  • ตรวจสอบและเร่งระบายน้ำในพื้นที่เสี่ยง ณ จุดเฝ้าระวัง และ บริเวณอุโมงค์ทางลอดต่างๆ

การจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ

  • เก็บขยะ บริเวณหน้าสถานีสูบน้ำ
  • เก็บขยะหน้าตะแกรงรับน้ำฝน
  • เก็บวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำ เพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างรวดเร็ว

การสนับสนุนและช่วงเหลือ

  • ให้ความช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขัง
  • เตรียมเครื่องจักรและอุปกรณ์สำรอง เช่น เครื่องสูบน้ำเครื่องที่, เครื่องผลักดันน้ำ, เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองประจำสถานีสูบน้ำในกรณีไฟฟ้าขัดข้อง, รถเครน, และ รถบรรทุกติดตั้งเครนยกไฮดรอลิก

นอกจากนี้ยังได้มีการประสานงานร่วมกันสำนักงานเขตทั้ง 50 สำนักงานเขต เพื่อจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกัน และ แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ภายในสำนักงานเขต เพื่อเป็นศูนย์ให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบเหตุน้ำท่วมหรืออื่นๆ พร้อมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสนับสนุนปฎิบัติการ

 

ประกาศอัพเดต แอปฯทางรัฐ เพิ่มบริการรถไฟฟ้า 20 บาท

แอปฯทางรัฐ โดย DGA Thailand ได้ออกมาประกาศบริการสำคัญสำหรับประชาชน ทั้งการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่ลงทะเบียนใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย

แอปพลิเคชั่นทางรัฐ เตรียมตัวยกระดับการให้บริการครั้งสำคัญ พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่หลากหลายรายการ ที่จะช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการและบริการต่างๆ จากภาครัญได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และ โปร่งใส มากขึ้น สำหรับแอปทางรัฐ เป็นแอปที่ถูกพัฒนามาเพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถทำธุรกรรมภาครัฐได้อย่างครบถ้วนในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบสิทธิ, ตรวจสอบเงินช่วยเหลือ, หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐ

จากการประกาศล่าสุด ทีมพัฒนาได้เตรียมปล่อยบริการใหม่ ที่จะสามารถใช้งานได้เร็วๆนี้ เพื่อเป็นการขยายขอบเขตการให้บริการและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

บริการใหม่ที่เตรียมเปิดให้บริการผ่านแอปฯทางรัฐ

1. ลงทะเบียนบัตรสวัสดิาการแห่งรัฐรอบใหม่: สำหรับผู้ที่กำลังรอคอยการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่ 2568 มีการคาดการณ์ว่าเกณฑ์คุณสมบัติใหม่ที่จะประกาศออกมานั้น มีความเหมาะสมครอบคลุมผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริงมากยิ่งขึ้น

หลักเกณฑ์เบื้องต้น

  • ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทยอายุ 18 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป
  • มีรายได้ส่วนบุคคลไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี และมีรายได้เฉลี่ยต่อคนในครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
  • มีทรัพย์สินทางการเงินรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน และไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปีในระดับครอบครัว
  • ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือ ที่ดิน เกินจากเกณฑ์ที่กำหนด
  • ไม่มีบัตรเครดิต
  • ไม่มีวงเงินกู้บ้านตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป
  • ไม่มีวงเงินกู้ซื้อรถไม่เกิน 1 ล้านบาทขึ้นไป
  • ไม่เป็นผู้ที่ถูกตัดสิทธิตามเงื่อนไข เช่น พระภิกษุ, ผู้ต้องขัง, ข้าราชการบางประเภท

2. ลงทะเบียนใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย สำหรับประชาชนที่ต้องการรับสิทธิโครงการค่าโดยสารราคาพิเศษ

3. กองทุนหมู่บ้าน เข้าถึงบริการกองทุนหมู่บ้าน และ ชุมชนเมืองเพื่อสนับสนุนพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

4. กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ติดตามโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ส่งเสริมความเข้มแข็งของผู้หญิงในชุมชน

5. ระบบแจ้งเตือนข่าวสาร สิทธิสวัสดิการแบบ Real Time เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนจะไม่พลาดโอกาสสำคัญในการรับสิทธิจากภาครัฐ

การพัฒนาแอปฯทางรัฐ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาภาครัฐที่มุ่งนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลและบริการ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่อาจขาดโอกาสในการเดินทางหรือเข้าถึงช่องทางการรับบริการแบบดั้งเดิม

ประชาชนสามารถทำการดาวน์โหลดแอปฯทางรัฐได้ในระบบ iOS และ Android

 

ก่อนอายุ 30 เก็บเงินก้อนแรกยังไงให้ได้ 100,000 บาท

ก่อนอายุ 30 ปีหลายๆคนเคยคิดหรือไม่ว่าอยากจะออมเงินให้ได้เท่าไหร่ก่อนอายุ 30 เงินหนึ่งแสนบาทอาจดูเป็นเป้าหมายที่ใหญ่สำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน แต่ความจริงแล้ว การเก็บเงินก้อนแรกให้ได้ภายในอายุ 30 ปีไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน หากรู้จักวางแผนและลงมือทำอย่างจริงจัง บทความนี้จะช่วยแนะนำขั้นตอนง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำตามได้ เพื่อให้เป้าหมาย “เงินเก็บ 1 แสน” กลายเป็นจริง

ทำไมต้องเริ่มเก็บเงินตั้งแต่อายุน้อย?

หลายคนมักมองว่า “เดี๋ยวหาเงินได้มากกว่านี้ค่อยเก็บ” หรือ “รอมีรายได้มั่นคงก่อน” แต่ความจริงแล้วการเริ่มเก็บเงินตั้งแต่อายุน้อยจะช่วยสร้างวินัยทางการเงิน และมีเวลาให้เงินเติบโตผ่านการลงทุนหรือดอกเบี้ยทบต้นได้มากกว่า

ข้อดีของการมีเงินเก็บเร็ว

  • มีเงินสำรองยามฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วย ตกงาน หรืออุบัติเหตุ
  • สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เร็ว เช่น หุ้น กองทุน หรืออสังหาริมทรัพย์
  • ลดความเครียดด้านการเงินในอนาคต

ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน

ก่อนจะเริ่มเก็บเงิน ต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายคืออะไร ในที่นี้คือเงิน 100,000 บาทภายในอายุ 30 ปี สมมติว่าเริ่มต้นตอนอายุ 23 ปี จะมีเวลาเก็บประมาณ 7 ปี หรือ 84 เดือน

ตัวอย่างการแบ่งเป้าหมาย

  • เป้าหมาย: เก็บเงิน 100,000 บาท ภายใน 84 เดือน
  • 100,000 ÷ 84 = ต้องเก็บประมาณ 1,200 บาทต่อเดือน
  • หากมีเวลาแค่ 5 ปี: 100,000 ÷ 60 = เก็บเดือนละประมาณ 1,667 บาท

จะเห็นได้ว่า ยิ่งเริ่มเร็ว จำนวนเงินต่อเดือนที่ต้องเก็บจะยิ่งน้อยลง และไม่รู้สึกกดดัน

5 วิธีเริ่มเก็บเงินให้ถึง 100,000 บาท

1. แยกรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ

เริ่มต้นด้วยการจดบันทึกทุกบาทที่ใช้จ่าย เพื่อให้เห็นภาพว่ารายจ่ายส่วนไหนลดได้บ้าง ลองใช้แอปพลิเคชันช่วยบันทึก เช่น Piggipo, Spendee หรือ Excel Sheet ธรรมดาก็ได้

2. กำหนด “เงินออมก่อนใช้”

ทุกครั้งที่ได้เงินเดือน ให้แบ่งเงินออมทันที เช่น 10% หรือ 15% แล้วค่อยนำส่วนที่เหลือมาใช้จ่าย การออมก่อนใช้จะช่วยป้องกันการใช้จ่ายเกินตัว

3. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

  • งดชานมไข่มุก หรือกาแฟแบรนด์ทุกวัน
  • จำกัดการกินข้าวนอกบ้าน
  • เลิกซื้อของตามกระแสที่ไม่ได้ใช้จริง

4. หารายได้เสริม

หากเก็บจากเงินเดือนอย่างเดียวแล้วยังไม่พอ ลองหารายได้พิเศษ เช่น ขายของออนไลน์, เขียนบทความ, รับงานแปล หรือขับแกร็บในเวลาว่าง เพียงมีรายได้เพิ่มอีกเดือนละ 1,000 บาท ก็จะทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น

5. เปิดบัญชีแยกสำหรับเงินออม

อย่าเก็บเงินออมไว้ในบัญชีเดียวกับเงินใช้จ่าย ให้เปิดบัญชีใหม่แยกไว้โดยเฉพาะ และไม่พกบัตร ATM ของบัญชีนี้ เพื่อไม่ให้ถอนออกง่าย ๆ

การลงทุนเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มต้น

หากสามารถเก็บเงินได้ถึงระดับหนึ่ง เช่น 20,000-30,000 บาท การนำเงินไปลงทุนเพื่อให้เติบโตเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

ทางเลือกการลงทุน

  • กองทุนรวม: เหมาะสำหรับมือใหม่ มีผู้จัดการกองทุนดูแล
  • บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง: เช่น บัญชีดิจิทัลจากธนาคารต่าง ๆ
  • ตราสารหนี้: ความเสี่ยงต่ำ รายได้คงที่

สร้างแรงจูงใจในการเก็บเงิน

การมีเป้าหมายอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง

  • ตั้งรางวัลให้ตัวเองเมื่อเก็บได้ตามเป้า
  • หาเพื่อนร่วมเป้าหมาย มาช่วยกันเตือนและแบ่งปันไอเดีย
  • ติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ เช่น เช็กยอดทุกปลายเดือน

การเก็บเงิน 100,000 บาทก่อนอายุ 30 ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเริ่มต้นวางแผนเร็ว มีวินัย และมีความมุ่งมั่นในการลงมือทำ ความสำเร็จจะไม่ใช่เรื่องไกลตัว และเมื่อถึงเป้าหมายแรกแล้ว เป้าหมายถัดไปก็จะดูเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นในชีวิตการเงินระยะยาว

เปิดเผยข้อมูลจากกรมสรรพากร พิจารณาปรับแก้กฎกระทรวงเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศ

อัพเดทจากทางกรมสรรพากร พิจารณาปรับแก้กฎกระทรวงเก็บเงินภาษีเงินได้จากต่างประเทศ ที่นำเข้ามาในประเทศไทย เพื่อผ่อนคลายกฎเกณฑ์การเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศ ที่นำกลับเข้ามาในประเทศไทย หากเงินได้นั้นเกิดขึ้น และถูกนำกลับมาภายใน 2 ปีภาษีจะได้รับการยกเว้นโดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ทางกรมสรรพากรพบว่าคนไทยที่มีการลงทุนในต่างประเทศ มีตัวเลขสูงถึง 2 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทเช่น อสังหาริมทรัพย์, ประกัน, หุ้น, ตราสารหนี้ ซึ่งเงินทุนเหล่านี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบดอกเบี้ย, เงินปันผล, หรือ กำไรที่เกิดจากการขายสินทรัพย์ และ อื่นๆ จะได้ยอดราวๆหลักแสนล้านบาท การจูงใจให้เงินเหล่านี้ไหลกลับเข้าประเทศจะช่วยกระตุ้นตลาดในประเทศให้กลับมาคึกคักยิ่งขึ้น

หลักการในการจัดเก็บภษาีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทยนั้น อ้างอิงจากแหล่งเงินทุน นั่นก็คือเงินได้ที่เกิดขึ้นในไทย และ หลักถิ่นที่อยู่ สำหรับผู้ที่อาศัยในไทยรวมกันเกิน 180 วันในปีนั้น หากมีเงินได้จากต่างประเทศ เมื่อนำเข้ามาในไทยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามหลักของ World Wide Income รวมถึงคนไทยที่มีเงินได้จากต่างประเทศ โดยมีการปรับเกณฑ์ไปแล้วเมื่อ 1 มกราคม 2567 ที่กำหนดให้เงินได้จากต่างประเทศที่เกิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป หากนำเข้าไทยเมื่อไหร่ต้องเสียภาษีเมื่อนั้น เพื่อความเป็นธรรม เนื่องจากก่อนหน้านี้ หากนำเงินเข้ามาในปีถัดไปจะไม่ต้องเสียภาษี

ในส่วนของหลักเกณฑ์ใหม่ที่กำลังพิจารณาอยู่ในตอนนี้ ก็คือหากเงินได้จากต่างปะเทศ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี่ 2567 เป็นต้นไป ถูกนำกลับเข้าไทยภายใน 2 ปีภาษี นับจากปีที่เงินนั้นเกิดขึ้น มีโอกาสได้รับการยกเว้นภาษี แต่หากนำเกลับเข้ามาหลังจากนั้นต้องเสียภาษีตามปกติ ทั้งนี้ การเสียภาษีซ้ำซ้อน ทางกรมสรรพากรมีกลไก เครดิตภาษี ตามาตราฐานสากล กล่าวคือ หากเงินได้ต่างประเทศถูกหักภาษีในต่างประเทศไปแล้ว ผู้เสียภาษีสามารถนำภาษีที่เสียไปนั้นมาหักออกจากภาษีที่ต้องเสียในไทยได้ โดยจำนวนที่เครดิตได้ จะไม่เกินภาษีที่เสียไปในต่างประเทศ หรือไม่เกินภาษีที่ต้องเสียในประเทศไทย แต่จำนวนใดจะน้อยกว่า ซึ่งกำไลนี้อยู่ใต้อนุสัญญาภาษีซ้อนที่ไทยมีกับ 61 ประเทศทั่วโลก

3 แนวทางรีดรายได้เพิ่มจากกรมสรรพากร

นอกจากนี้กรมสรรพากร ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาการศึกษาเพื่อขยายฐานภาษีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกันที่กรมสรรพากรกำลังศึกษา

  1. การปรับปรุงเชิงนโยบาย จากกฎหมายที่มีอยู่แล้วซึ่งสามารถสั่งการได้ทันทีอยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาล ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มอัตราจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จากปัจจุบันที่มีนโยบายลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% จาก 10%
  2. การปรับปรุงเชิงบริหาร สำหรับภาษีบางรายการที่จัดเก็บได้ไม่มาก โดยสามารถออกกฎระเบียบเพิ่มเติมเพื่อให้การจัดเก็บรายได้มีประสิทธิภาพ เช่น การออกกฎกระทรวงเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้จากต่างประเทศ
  3. การปรับปรุงเชิงโครงสร้าง เช่นการศึกษาการยกร่างกฎหมายใหม่ ในการจัดเก็บภาษี เพื่อส่งเสริมในมิติรายได้รัฐ หรือ กรณีอื่นๆ เช่นภาษีที่เก็บจากคนที่เดินทางไปต่างประเทศ

 

 

เช็คด่วนใครได้เงิน 900 บาทจากประกันสังคมบ้าง?

ผู้ประกันตน มาตรา 33 และ มาตรา 39 รับเงินคืนจากประกันสังคม 900 บาท ในพื้นที่ 55 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วาตภัยและอุทกภัยนาน 6 เดือน

ประกาศจากสำนักงานประกันสังคม สปส. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้ประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วาตภัยและอุทกภัยนาน 6 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ไปจนถึงเดือน มีนาคม 2568 เฉพาะพื้นที่ 55 จังหวัด ด้วยการปรับลดเงินสมทบประกันสังคม ม.33 และ ม.39

  • ผู้ประกันตน ม.33 และ นายจ้าง ปรับจาก 5% เหลือ 3%
  • ผู้ประกันตน ม.39 จาก 432 บาทเหลือ 283 บาท

ล่าสุดประกันสังคมเริ่มทยอยโอนเงินส่วนต่างที่จ่ายเกินให้กับผู้ประกันตนตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไปเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานกาณ์ดังกล่าว ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ มาตรา 39 ที่จ่ายเงินสมทบเงิน จะได้จำนวนเงินที่ได้รับคืนสูงสุด 900 บาทต่อคน ขึ้นอยู่กับฐานเงินเดือน และ ยอดเงินที่จ่ายเกินจริงในช่วงเวลานั้น และ ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ต้องลงทะเบียนเพราะนายจ้างจะต้องเป็นผู้ยื่นเรื่องเท่านั้น โดยใครที่อยู่ในพื้นที่ 55 จังหวัด สามารถรอรับเงินคืนได้เลย

 

 

แนะนำวิธีการจัดการหนี้บัตรเครดิตแบบขั้นตอนใน 1 ปี

หนี้บัตรเครดิตอาจดูเหมือนกับดักที่ไม่มีทางออก โดยเฉพาะเมื่อยอดหนี้พอกพูนและดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกเดือน แต่ถ้าเริ่มต้นวางแผนให้ดี การปลดหนี้บัตรเครดิตภายใน 1 ปีเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง บทความนี้จะพาไปดูวิธีจัดการหนี้แบบ Step by Step พร้อมเทคนิคที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

ทำความเข้าใจปัญหา: หนี้บัตรเครดิตเกิดจากอะไร?

ก่อนจะวางแผนปลดหนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่าหนี้บัตรเครดิตมักเกิดจากการใช้จ่ายเกินตัว การจ่ายขั้นต่ำเป็นประจำ และดอกเบี้ยที่สูงมาก ซึ่งดอกเบี้ยบัตรเครดิตในไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 16–18% ต่อปี ทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหากไม่มีการจัดการ

ตัวอย่างปัญหาที่พบได้บ่อย

  • ใช้จ่ายเกินกว่ารายได้ต่อเดือน
  • จ่ายขั้นต่ำต่อเนื่องหลายเดือน
  • เปิดบัตรหลายใบเพื่อหมุนเงิน
  • ไม่จดบันทึกรายจ่าย

STEP 1: รวมยอดหนี้ทั้งหมดแล้ววางแผน

ขั้นแรกคือการลิสต์ยอดหนี้ของบัตรเครดิตแต่ละใบออกมา พร้อมข้อมูลดังนี้:

  • ยอดหนี้รวม
  • ดอกเบี้ยแต่ละใบ
  • วันครบกำหนดชำระ

จากนั้นรวมยอดทั้งหมดออกมาเป็นตัวเลขเดียว เพื่อรู้ว่าจริง ๆ แล้วหนี้ทั้งหมดอยู่ที่เท่าไหร่ และจะวางแผนจ่ายได้อย่างไรใน 12 เดือน

STEP 2: หยุดใช้บัตรเครดิตทันที

การหยุด ใช้บัตรเครดิตเป็นขั้นตอนสำคัญ หากยังใช้ต่อไป หนี้จะไม่ลดลงเลย ทางที่ดีควร:

  • หยุดรูดทันที
  • เก็บบัตรไว้ในที่ปลอดภัย หรือยกเลิกการใช้บัตรที่ไม่จำเป็น
  • ใช้เฉพาะเงินสดหรือบัตรเดบิตเท่านั้นในช่วงระยะเวลาชำระหนี้

STEP 3: จัดสรรรายได้รายเดือนสำหรับหนี้

แบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วนหลัก

  • ค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ
  • เงินออมฉุกเฉินเล็กน้อย
  • เงินสำหรับจ่ายหนี้บัตรเครดิต (อย่างน้อย 40–50% ของรายได้)

หากรายได้ไม่พอ ควรเริ่มหารายได้เสริม เช่น รับจ้างพิเศษ ขายของออนไลน์ หรือรับงานฟรีแลนซ์

STEP 4: ใช้เทคนิคการจ่ายหนี้ Snowball

เริ่มจากยอดหนี้น้อยที่สุด

เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแรงจูงใจ เพราะหนี้จะถูกเคลียร์ได้เร็ว

  1. จ่ายขั้นต่ำทุกใบ
  2. นำเงินที่เหลือไปโปะบัตรที่มีหนี้น้อยที่สุดก่อน
  3. เมื่อเคลียร์ใบแรกได้ ให้นำเงินไปโปะใบถัดไปต่อ

เริ่มจากบัตรที่ดอกเบี้ยสูงที่สุด

เหมาะสำหรับลดดอกเบี้ยรวมในระยะยาว

  1. จ่ายขั้นต่ำทุกใบ
  2. นำเงินที่เหลือไปจ่ายบัตรที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน

ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน สำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ และไม่ก่อหนี้ใหม่ระหว่างทาง

STEP 5: เจรจาปรับโครงสร้างหนี้

หากไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด หรือรายได้ลดลง สามารถติดต่อธนาคารเพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ เช่น

  • เปลี่ยนเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลดอกเบี้ยต่ำ
  • ขอผ่อนชำระระยะยาว
  • ขอลดอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว

หลายธนาคารมีแคมเปญช่วยเหลือลูกหนี้โดยเฉพาะ แนะนำให้พูดคุยตรง ๆ อย่าปล่อยให้ค้างชำระจนเข้าสู่ขั้นตอนฟ้องร้อง

STEP 6: ติดตามผลทุกเดือน

ทำตารางหรือใช้แอปบันทึกเพื่อดูความคืบหน้าของการปลดหนี้เดือนต่อเดือน เช่น

  • ยอดหนี้ที่ลดลง
  • ยอดที่จ่ายไปแล้ว
  • เป้าหมายที่เหลือ

สิ่งนี้จะช่วยให้เห็นภาพว่าความพยายามของคุณส่งผลจริง และช่วยสร้างกำลังใจในการเดินต่อ

ตัวอย่างแผนการปลดหนี้ภายใน 1 ปี

เดือน ยอดที่จ่าย (บาท) ยอดหนี้คงเหลือ (บาท)
มกราคม 8,500 91,500
กุมภาพันธ์ 8,500 83,000
มีนาคม 9,000 74,000
… (จนถึงเดือนธันวาคม) 0

การปลดหนี้บัตรเครดิตใน 1 ปีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ แต่หากรู้จักวางแผน แบ่งขั้นตอนให้ชัดเจน และมีวินัยทางการเงิน การจบหนี้ก้อนแรกของชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม หัวใจสำคัญคือความตั้งใจ ความสม่ำเสมอ และไม่ก่อหนี้ใหม่ซ้ำซ้อนอีก

กรมอุตุพยากรณ์อากาศวันนี้ ประกาศเตือนคนกรุงรับมือฝนตก

สภาพอากาศวันนี้ ทางกรมอุตุพยากรณ์อากาศวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 มีการแจ้งประกาศเตือนให้รับมือฝนตกหนัก ถึงหนักมากแจ้งว่าฝนตกหนักถึง 80% ของพื้นที่ สำหรับภาคเหนือ และ ภาคอีสาน จะมีฝนฟ้าคะนองครองคลุมทั้งภาค

พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพฯมหานคร และ ปริมณฑล ภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ขอให้ประชาชนในบริเวณประเทศไทย ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และ ฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน, น้ำป่าไหลหลาก และ ดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหล และ พื้นที่ลุ่ม ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และ เส้นทาง ที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะพื้นที่ต่ำ อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมขังระยะสั้นได้

สำหรับเกษตรกร แนะนำให้เตรียมตัวป้องกันด้วยการปรับปรุงระบบน้ำในแปลงเพาะปลูก เพื่อเป็นการลดผลกระทบ และ ความเสียหายที่อาจะเกิดขึ้นกับผลผลิตทางการเกษตร และ สัตว์เลี้ยง เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และ อ่าวไทยที่มีกำลังปานกลาง

ในส่วนของคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงปรมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตรขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทย และ ทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณฝนฟ้าคะนอง

พยากรณ์อากาศ ประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้

  • กรุงเทพและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
  • ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน, เชียงราย, เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, แพร่, น่าน, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, ตาก, กำแพงเพชร, พิษณุโลก, พิจิตร และ เพชรบูรณ์
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณจังหวัดเลย, หนองคาย, บึงกาฬ, มุกดาหาร, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, อำนาจเจริญ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี
  • ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80% ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, สิงห์บุรี, ลพบุรี, อ่างทอง, สระบุรี, สุพรรณบุรี, พระนครศรีอยุธยา, กาญจนบุรี, ราชบุรี, นครปฐม, สมุทรสงคราม และ สุมทรสาคร
  • ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก, สระแก้ว, ปราจีนบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี และ ตราด
  • ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที ่และ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเพชรบุรี, ประจอบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, พัทลุง และ สงขลา