10 สิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตร AMEX ที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน
American Express หรือ AMEX เป็นหนึ่งในบัตรเครดิตที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดดเด่นด้วยสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าบัตรทั่วไป หลายคนอาจคุ้นเคยกับสิทธิพิเศษด้านการเดินทางหรือการสะสมคะแนน แต่จริงๆ แล้วยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้เราจะพาคุณมารู้จัก 10 สิทธิพิเศษของบัตร American Express ที่จะช่วยให้คุณใช้บัตรได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น!
1. เข้าใช้ห้องรับรองสนามบินสุดหรูทั่วโลก
หนึ่งในสิทธิพิเศษที่ผู้ถือบัตร AMEX ระดับสูง เช่น Platinum Card และ Centurion Card ชื่นชอบมากที่สุด คือการเข้าใช้ VIP Lounge ตามสนามบินชั้นนำทั่วโลกผ่าน The Centurion Lounge และ Priority Pass บริการนี้ช่วยให้คุณได้พักผ่อนในบรรยากาศหรูหราพร้อมอาหาร เครื่องดื่ม และ Wi-Fi ฟรีระหว่างรอเที่ยวบิน
2. เครดิตเงินคืนค่าธรรมเนียมสายการบิน
ผู้ถือบัตร AMEX Platinum สามารถรับเครดิตเงินคืนจากค่าธรรมเนียมของสายการบินที่ร่วมรายการ เช่น ค่าสัมภาระ ค่าธรรมเนียมที่นั่งพิเศษ หรือค่าใช้จ่ายบนเที่ยวบิน ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น
3. การสะสมคะแนนที่ไม่มีวันหมดอายุ
คะแนนสะสม Membership Rewards ของ AMEX ไม่มีวันหมดอายุ ต่างจากบัตรเครดิตอื่นที่มักมีข้อจำกัดด้านระยะเวลาในการใช้คะแนนสะสม คุณสามารถใช้คะแนนแลกของรางวัล จองโรงแรม แลกเป็นไมล์สะสม หรือใช้เป็นเครดิตเงินคืนได้ตามต้องการ
4. บริการ Concierge ส่วนตัว 24/7
AMEX มีบริการ Concierge Service สำหรับผู้ถือบัตร Platinum และ Centurion ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ เช่น จองร้านอาหารหรู จองตั๋วคอนเสิร์ต จองโรงแรมระดับ 5 ดาว หรือแม้แต่จัดการแผนการเดินทางทั่วโลก
5. สิทธิพิเศษในโรงแรมหรูระดับโลก
หากคุณเป็นนักเดินทางที่ชื่นชอบการเข้าพักโรงแรมหรู บัตร AMEX มอบสิทธิพิเศษเช่น อัปเกรดห้องพัก เช็คเอาต์ล่วงเวลา อาหารเช้าฟรี เครดิตค่าใช้จ่ายในโรงแรม ผ่านโปรแกรม Fine Hotels & Resorts และ The Hotel Collection
6. ประกันการเดินทางและการช้อปปิ้งที่ครอบคลุม
AMEX มีประกันภัยที่ครอบคลุมการเดินทาง เช่น ค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน ค่าชดเชยกรณีเที่ยวบินล่าช้า หรือกระเป๋าสูญหาย รวมถึง ประกันสินค้า ที่ช่วยคุ้มครองสินค้าราคาแพงที่ซื้อผ่านบัตร หากเกิดความเสียหายหรือถูกขโมย
7. สิทธิพิเศษด้านการช้อปปิ้งทั่วโลก
AMEX มีพาร์ทเนอร์มากมายกับร้านค้าชั้นนำระดับโลก ทำให้ผู้ถือบัตรได้รับ ส่วนลดพิเศษ เครดิตเงินคืน และข้อเสนอสุดพิเศษ จากห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง
8. โปรโมชั่นร้านอาหารระดับ Michelin Star
หากคุณเป็นสายกิน AMEX มีโปรแกรมพิเศษที่ให้คุณ จองร้านอาหารระดับ Michelin Star หรือร้านอาหารชื่อดังได้ก่อนใคร พร้อมรับสิทธิพิเศษ เช่น ส่วนลดพิเศษ เมนูพิเศษ หรือบริการเสิร์ฟก่อน
9. สิทธิพิเศษสำหรับการใช้บริการรถเช่าหรูหรา
AMEX Platinum และ Centurion มอบสิทธิพิเศษสำหรับบริการรถเช่าระดับหรูจากแบรนด์ดัง เช่น Hertz, Avis และ National ซึ่งรวมถึง อัปเกรดรถฟรี ส่วนลดค่าบริการ และสิทธิ์ขับรถโดยไม่ต้องรอคิว
10. บริการผ่อนชำระและดอกเบี้ยพิเศษ
นอกจากสิทธิพิเศษด้านไลฟ์สไตล์แล้ว AMEX ยังมีโปรแกรม ผ่อนชำระ 0% สำหรับสินค้าบางรายการ และ ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ สำหรับการใช้จ่ายในหมวดหมู่ที่ร่วมรายการ ช่วยให้คุณสามารถจัดการการเงินได้ง่ายขึ้น
American Express เป็นมากกว่าบัตรเครดิตทั่วไป ด้วยสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมการเดินทาง การใช้จ่าย และไลฟ์สไตล์สุดหรู สำหรับใครที่ต้องการประสบการณ์ที่เหนือระดับ AMEX อาจเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุด หากคุณกำลังมองหาบัตรเครดิตที่ให้สิทธิพิเศษที่คุ้มค่าและไม่เหมือนใคร บัตร AMEX อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ!
สมัครบัตร American Express Platinum
ถือบัตร American Express บัตรเดียวที่ให้คุณมากกว่าความคุ้มค่า
American Express (AMEX) เป็นหนึ่งในบัตรเครดิตระดับโลกที่ขึ้นชื่อเรื่องสิทธิพิเศษเหนือระดับและการบริการลูกค้าแบบพรีเมียม หลายคนอาจมองว่าบัตร AMEX มีค่าธรรมเนียมสูง แต่หากพิจารณาสิทธิประโยชน์ที่ได้รับแล้ว ถือว่าคุ้มค่าสำหรับผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์หรูหรา การเดินทาง และสิทธิพิเศษต่างๆ ในบทความนี้ เราจะรีวิวบัตร American Express อย่างละเอียด ตั้งแต่ประเภทบัตร สิทธิพิเศษ ไปจนถึงขั้นตอนการสมัคร
ประเภทของบัตร American Express
AMEX มีบัตรให้เลือกหลากหลายประเภท ซึ่งแบ่งตามไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้ถือบัตร ได้แก่:
1. American Express Platinum Card
- บัตรระดับสูงสุดของ AMEX ที่มาพร้อมกับสิทธิพิเศษมากมาย เช่น การเข้าใช้บริการห้องรับรองในสนามบินทั่วโลก
- โบนัสคะแนนสะสมที่สูงเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร
- เครดิตคืนเงินสำหรับค่าธรรมเนียมโรงแรมและสายการบิน
2. American Express Gold Card
- เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางและรับประทานอาหาร
- ได้รับ Membership Rewards Points เพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายที่ร้านอาหารและการเดินทาง
- ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก
3. American Express Green Card
- บัตรพื้นฐานที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นใช้งาน AMEX
- ได้รับคะแนนสะสมจากการใช้จ่ายทุกหมวดหมู่
- ค่าธรรมเนียมรายปีต่ำกว่าบัตร Platinum และ Gold
สิทธิพิเศษของบัตร American Express
AMEX มีชื่อเสียงในเรื่องสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าบัตรเครดิตทั่วไป ซึ่งครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่:
1. สิทธิพิเศษในการเดินทาง
- เข้าใช้ Lounge สนามบิน: บัตร Platinum สามารถเข้าใช้ Priority Pass และ Centurion Lounge ได้ฟรี
- เครดิตค่าใช้จ่ายสายการบิน: รับเงินคืนจากค่าธรรมเนียมสัมภาระและค่าใช้จ่ายในเที่ยวบินที่ร่วมรายการ
- ประกันการเดินทาง: คุ้มครองอุบัติเหตุและความล่าช้าของเที่ยวบินเมื่อจองผ่านบัตร AMEX
2. คะแนนสะสม Membership Rewards
- ใช้จ่ายทุก 25 บาท รับ 1 คะแนน (ขึ้นอยู่กับประเภทบัตร)
- สามารถแลกเป็นไมล์สะสมของสายการบินหรือเครดิตเงินคืน
- คะแนนไม่มีวันหมดอายุ
3. สิทธิพิเศษด้านการช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์
- ส่วนลดร้านค้าและโรงแรมระดับพรีเมียม
- Cashback และเครดิตเงินคืนจากการใช้จ่ายในร้านค้าพันธมิตร
- โปรโมชั่นพิเศษกับร้านอาหารชั้นนำทั่วโลก
4. บริการ Concierge ส่วนตัว
- ผู้ถือบัตร Platinum และ Gold จะได้รับบริการผู้ช่วยส่วนตัวสำหรับจองร้านอาหาร โรงแรม หรือวางแผนการเดินทาง
ค่าธรรมเนียมและอัตราดอกเบี้ย
- ค่าธรรมเนียมรายปีแตกต่างกันไปตามประเภทของบัตร เช่น:
- Platinum Card: ค่าธรรมเนียมรายปีประมาณ 20,000-30,000 บาท
- Gold Card: ค่าธรรมเนียมรายปีประมาณ 5,000-10,000 บาท (ปีแรกอาจฟรี)
- Green Card: ค่าธรรมเนียมรายปีเริ่มต้นที่ 3,000 บาท
- อัตราดอกเบี้ยประมาณ 16-20% ต่อปี
- ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง และมีโปรแกรมผ่อนชำระ 0% สำหรับสินค้าที่ร่วมรายการ
ขั้นตอนการสมัครบัตร American Express
การสมัครบัตร AMEX มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก โดยสามารถทำได้ทั้งออนไลน์และผ่านธนาคารพาร์ทเนอร์
1. ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร
- อายุ 20 ปีขึ้นไป
- รายได้ขั้นต่ำที่กำหนด (ขึ้นอยู่กับประเภทบัตร)
- มีประวัติเครดิตที่ดี
2. เตรียมเอกสารประกอบการสมัคร
- สำเนาบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง
- สลิปเงินเดือนหรือหนังสือรับรองเงินเดือน
- รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
3. ยื่นใบสมัคร
- สมัครผ่านเว็บไซต์ของ American Express
- สมัครผ่านธนาคารหรือสาขาที่ร่วมรายการ
- กรอกข้อมูลและแนบเอกสารให้ครบถ้วน
4. รอการอนุมัติและรับบัตร
- ระยะเวลาการอนุมัติ: ประมาณ 7-14 วันทำการ
- หากอนุมัติ บัตรจะถูกส่งไปยังที่อยู่ที่ระบุไว้
บัตร American Express เป็นบัตรเครดิตที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสิทธิพิเศษเหนือระดับ โดยเฉพาะในด้านการเดินทาง การใช้จ่ายในร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม แม้ว่าจะมีค่าธรรมเนียมรายปีที่สูงกว่าบัตรทั่วไป แต่สิทธิประโยชน์ที่ได้รับก็คุ้มค่ากับการใช้งาน สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสมัครผ่านช่องทางออนไลน์หรือธนาคารพาร์ทเนอร์ได้ง่าย ๆ พร้อมรับบัตรภายใน 7-14 วันทำการ
สมัครบัตร American Express Platinum
เปิดบัตรกดเงินสดเอาไว้ แต่ไม่ใช้ควรทำอย่างไร?
บัตรกดเงินสดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงเงินสดได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน แต่หากคุณมีบัตรกดเงินสดแต่ไม่ได้ใช้งาน ควรรักษาไว้หรือยกเลิกไปเลยดี? ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกข้อดี-ข้อเสียของการถือบัตรกดเงินสดโดยไม่ได้ใช้งาน และวิธีบริหารจัดการบัตรเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของคุณ
การถือบัตรกดเงินสดโดยไม่ได้ใช้งานนั้น ไม่ทำให้เกิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การมีบัตรกดเงินสดหรือบัตรเครดิตที่ไม่ได้ใช้อาจส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อในอนาคต เนื่องจากสถาบันการเงินอาจมองว่าเป็นภาระหนี้ที่ยังไม่ได้ใช้
การจัดการบัตรกดเงินสดที่ไม่ได้ใช้งาน
-
ตรวจสอบเงื่อนไขการคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม: หากไม่มีการกดเงินสดออกมาใช้ จะไม่มีการคิดดอกเบี้ย แต่ควรตรวจสอบว่ามีค่าธรรมเนียมรายปีหรือไม่
-
พิจารณายกเลิกบัตรที่ไม่จำเป็น: หากมีบัตรกดเงินสดหลายใบ ควรพิจารณายกเลิกบัตรที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อลดภาระหนี้ที่สถาบันการเงินอาจพิจารณาในการขอสินเชื่อในอนาคต
ข้อควรระวังในการใช้บัตรกดเงินสด
-
วางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ: ควรใช้บัตรกดเงินสดเฉพาะในกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเท่านั้น
-
ชำระหนี้ตรงเวลา: การชำระหนี้ตรงเวลาช่วยป้องกันการเสียดอกเบี้ยและค่าปรับที่ไม่จำเป็น
-
หลีกเลี่ยงการก่อหนี้เกินความสามารถในการชำระ: ควรประเมินความสามารถในการชำระหนี้ก่อนการกดเงินสด เพื่อป้องกันปัญหาทางการเงินในอนาคต
การบริหารจัดการบัตรกดเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากบัตรได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของคุณในอนาคต
บัตรกดเงินสดคืออะไร?
บัตรกดเงินสด (Cash Card) เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกโดยธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดออกมาใช้ได้ทันทีตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ โดยไม่ต้องมีเงินฝากค้ำประกัน
ลักษณะสำคัญของบัตรกดเงินสด
- ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
- สามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อบุคคลแบบผ่อนชำระ
- ไม่มีดอกเบี้ยหากไม่มีการกดเงินออกมาใช้
มีบัตรกดเงินสดแต่ไม่ได้ใช้ มีผลกระทบอะไรบ้าง?
แม้ว่าการมีบัตรกดเงินสดโดยไม่ได้ใช้จะไม่ได้ทำให้เกิดภาระหนี้ทันที แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของคุณในหลายด้าน เช่น
1. มีผลต่อเครดิตทางการเงิน
- สถาบันการเงินอาจมองว่าคุณมี “วงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้ใช้” ซึ่งอาจทำให้ขอสินเชื่ออื่นยากขึ้น
- หากคุณมีบัตรหลายใบ วงเงินสินเชื่อรวมอาจสูงจนธนาคารมองว่าคุณมีความเสี่ยงสูง
2. อาจมีค่าธรรมเนียมรายปี
- บัตรกดเงินสดบางประเภทอาจมีค่าธรรมเนียมรายปี แม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้งานก็ตาม
- หากไม่อยากเสียค่าธรรมเนียมโดยเปล่าประโยชน์ ควรตรวจสอบเงื่อนไขของบัตรให้ดี
3. มีโอกาสใช้เงินเกินตัว
- การมีวงเงินกดเงินสดพร้อมใช้ อาจทำให้คุณกดเงินออกมาใช้โดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นหนี้ที่ไม่จำเป็น
- หากไม่วางแผนการใช้จ่ายให้ดี อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมาก
ควรยกเลิกบัตรกดเงินสดหรือไม่?
หากคุณมีบัตรกดเงินสดที่ไม่ได้ใช้งาน ควรพิจารณาตามปัจจัยเหล่านี้ก่อนตัดสินใจยกเลิก
เมื่อควรยกเลิกบัตรกดเงินสด
- คุณมีบัตรหลายใบและไม่ต้องการให้วงเงินสินเชื่อรวมสูงเกินไป
- บัตรมีค่าธรรมเนียมรายปีที่ไม่จำเป็น
- คุณมีแหล่งเงินสำรองอื่นที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า เช่น สินเชื่อบุคคลหรือเงินสำรองฉุกเฉิน
เมื่อควรเก็บบัตรกดเงินสดไว้
- ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเครดิตของคุณ
- ใช้เป็นทางเลือกในการกดเงินสดฉุกเฉินในกรณีจำเป็น
- มีแผนใช้ในอนาคต เช่น ใช้ในยามฉุกเฉินที่ต้องการเงินสดเร่งด่วน
วิธีบริหารจัดการบัตรกดเงินสดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
หากคุณตัดสินใจเก็บบัตรกดเงินสดไว้ ควรมีแนวทางบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ ดังนี้:
1. ตรวจสอบเงื่อนไขของบัตรเป็นประจำ
- ตรวจสอบว่าบัตรมีค่าธรรมเนียมหรือเงื่อนไขที่อาจเปลี่ยนแปลงหรือไม่
- เช็กอัตราดอกเบี้ย เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่อาจกระทบต่อการใช้บัตรในอนาคต
2. หลีกเลี่ยงการใช้เงินโดยไม่จำเป็น
- ใช้บัตรกดเงินสดเฉพาะในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายเร่งด่วน
- ไม่ใช้บัตรกดเงินสดแทนบัตรเครดิตในการซื้อสินค้าทั่วไป เพราะอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า
3. วางแผนการชำระคืนให้ดี
- หากกดเงินสดออกมาใช้ ควรมีแผนชำระคืนให้เร็วที่สุดเพื่อลดภาระดอกเบี้ย
- ไม่ควรจ่ายเพียงขั้นต่ำ เพราะจะทำให้ดอกเบี้ยสะสมมากขึ้น
4. พิจารณาวงเงินที่เหมาะสม
- หากคุณไม่ต้องการให้วงเงินสินเชื่อสูงเกินไป สามารถขอลดวงเงินบัตรกดเงินสดกับธนาคารได้
- วงเงินที่เหมาะสมควรสอดคล้องกับรายได้และภาระหนี้อื่น ๆ ของคุณ
เปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เริ่มปลายเดือน มีนาคม นี้
ข้อมูลล่าสุดจากทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการบริหารข้อมูลโครงการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กำลังมีนัดประชุมเร็วๆนี้เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องการเปิดให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ทางคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเศรษกิจฐานรากและสังคม คาดว่าจะได้ข้อสรุปทุกอย่าง และทำการส่งเข้าคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอน เบื้องต้นแจ้งว่าจะมีการเปิดให้ลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ภายในเดือนมีนาคม 2568
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 จะเปิดทันภายในเดือน มีนาคมหรือไม่?
ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาย้ำว่า การเปิดให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 จะได้ให้ลงทะเบียนทันภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2568 แน่นอน และ กระบวนการลงทะเบียนไม่ได้หมายความว่าจะต้องเสร็จสิ้นและปิดลงทะเบียนภายในเดือนนี้ หากเริ่มเปิดลงทะเบียนปลายเดือนหน้า หรือเดือนเมษายน 2568 ก็ยังคงอยู่ในกรอบที่กำหนด
สำหรับการปรับปรุงเกณฑ์ หรือ คุณสมบัติสวัสดิการแห่งรัฐ นั้นทางอนุกรรมการยังไม่ได้ข้อสรุปมาให้ทำการพิจารณา แต่มีการออกมาย้ำว่าจะทำให้รอบคอบที่สุด โดยเฉพาะเรื่องของเกณฑ์รายได้ และ ทรัพย์สินให้เหมาะสมที่สุด
คุณสมบัติในการสมัครบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568
- ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีบริบูรณ์
- มีรายได้คนละไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี
- ภายในครอบครัวมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี
- ทรัพย์ทสินทางการเงิน ได้แก้ เงินฝาก, พันธบัตร, ตราสารหนี้ต่างๆ ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคนต่อครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี
- ต้องไม่มีกรรสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือ ที่ดิน เกินจากเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด
- ต้องไม่มีบัตรเครดิต
- ต้องไม่มีวงเงินกู้บ้านตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป
- ต้องไม่มีวงเงินกู้ซื้อรถเกิน 1 ล้านบาท
- ต้องไม่เป็นภิกษุ สามเณร หรือ ผู้ต้องขัง หรือ บุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ ข้าราชการ พนักงานราชการ ผู้รับบำเหน็จรายเดือน ผู้รับบำนาญ ข้าราชการการเมือง รวมไปถึง ส.ส. และ ส.ว.
7 บัตรเครดิต น่าสมัคร 2025 เงินเดือน 15,000
หากคุณมีรายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือนและกำลังมองหาบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ นี่คือ 7 บัตรเครดิตที่น่าสนใจ:
-
บัตรเครดิต KTC VISA PLATINUM
บัตรเครดิตที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี พร้อมสิทธิประโยชน์ในการผ่อนชำระสินค้าและบริการด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.74% นานสูงสุด 10 เดือน นอกจากนี้ ยังมีประกันการเดินทางวงเงินคุ้มครองสูงสุด 8 ล้านบาท -
บัตรเครดิต KTC JCB PLATINUM
เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางไปญี่ปุ่น รับคะแนน KTC FOREVER x2 เมื่อใช้จ่ายที่ญี่ปุ่น และสิทธิ์การใช้บริการห้องรับรองสนามบินในประเทศที่กำหนด พร้อมส่วนลดพิเศษที่ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น -
บัตรเครดิต KTC UNIONPAY PLATINUM
ตอบโจทย์ผู้ที่เดินทางไปฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน รับคะแนน KTC FOREVER x2 เมื่อใช้จ่ายในประเทศดังกล่าว และรับส่วนลดพิเศษจากร้านค้าที่ร่วมรายการ -
บัตรเครดิต กรุงศรี แพลทินัม
มอบเครดิตเงินคืน 1% เมื่อใช้จ่ายที่สถานีบริการน้ำมันบางจากที่ร่วมรายการ และสามารถแบ่งจ่าย 0% ค่ารักษาพยาบาลนานสูงสุด 10 เดือน -
บัตรเครดิต KBank – Shopee Credit Card
เหมาะสำหรับนักช้อปออนไลน์ รับสิทธิพิเศษและส่วนลดเมื่อใช้จ่ายผ่าน Shopee และร้านค้าที่ร่วมรายการ -
บัตรเครดิต KTC DIGITAL PLATINUM VISA
ปลอดภัยในการช้อปออนไลน์ด้วย Dynamic CVV รหัสหลังบัตรที่เปลี่ยนทุกครั้งที่ขอ และไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี -
บัตรเครดิต UOB
บัตรเครดิตยูโอบีวัน คือบัตรเครดิตเงินคืนที่ถือว่าดีที่สุดจากทางธนาคาร UOB เป็นบัตรที่รับคืนได้ทุกวันจากทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ค่าธรรมเนียมสำหรับบัตรหลักในปีถัดไป 2,000 บาท + VAT 140 บาท
ก่อนตัดสินใจสมัคร ควรพิจารณาเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ของแต่ละบัตรให้ตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคุณ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้บัตรเครดิต
สิทธิเฟส 3 เข้าร่วมโรงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท
คืบหน้าโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เงินดิจิทัลวอลเล็ต ให้สิทธิเฟส 3 เข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทล่าสุด ที่มีอายุ 16-59 ปี โอนเข้าทางรัฐ สำรหับคนที่ลงทะเบียนทางรัฐ และ ยืนยันตัวตนเอาไว้แล้ว รอรับเงินได้เลย ทางรัฐบาลมีกำหนดจ่ายในไตรมาส 2 ของเดือน เมษายน – มิถุนายน 2568 สามารถเตรียมตัวซื้อของและสแกนจ่ายได้เลย สามารถเช็คเบื้องต้นเดียวกับเงิน 10,000 บาท ว่าจะเอาไปใช้จ่ายในส่วนไหนดี
ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เกี่ยวกับโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ได้ออกมาระบุว่า โครงการดิจิทัลวอลเล้ตเฟส 3 สำหรับเงิน 10,000 บาท ในครั้งนี้จะเป็นการจ่ายผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นระบบ Open Loop ซึ่งผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล เฟส 3 จะมีการพิจารณาผู้ที่ลงทะเบียน และ ยืนยันตัเข้าร่วมโครงการสำเร็จแล้ว ซึ่งอยู่ในอายุระหว่าง 16-59 ปี ผ่านแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิภายน 2567 ว่าผ่านเกณฑ์หรือไม่
- เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ก่อนวันที่ 16 กันยายน 2567
- ไม่เป็นผู้ที่มีรายได้เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566
- ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567
- ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ
- ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการ หรือ โครงการอื่นๆของรัฐ
- ไม่เป็นผู้ที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ หรือ โครงการของรัฐ
ไม่เลื่อน เงินดิจิทัล 10,000 บาท รัฐจ่ายให้ไตรมาส 2 เดือนเมษายน – มิถุนายน 2568
สำหรับกลุ่มคนที่จะได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทเฟส 3 นั่นจะเป็นกลุ่มคนที่มีอายุ 16-60 ปี ที่ไม่ติดเงื่อนไข ทรัพส์สินและมีรายได้ตามเกณฑ์ ได้รับการยืนยันจากทางรัฐบาลแล้วว่าจะไม่มีการเลื่อนการจ่ายอีกต่อไป
เฟส 3 เตรียมซื้อของ สแกนจ่ายเงิน 10,000 บาท
- สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ไข่ไก่, ข้าวสาร ฯลฯ
- ยารักษาโรค เช่น ยาแก้ไข้, ยาแก้ไอ, ยาแก้ท้องเสีย ฯลฯ
- ธูปเทียน, ชุดถวายสังฆทาน ฯลฯ
- สินค้าเพื่อการศึกษา เครื่องแบบนักเรียน, สมุด, ปากกา, ดินสอ, เครื่องเขียน ฯลฯ
- เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์, สบู่, ยาสีฟัน, ซอสปรุงรส, น้ำปลา ฯลฯ
- วัตถุดิบเพื่อการเกษตร เช่น ยาปราบศัตรูพืช, เมล็ดพันธุ์พืช, ปุ๋ย ฯลฯ
- สินค้าเกษตร และ ผลิตภัณฑ์ชุมชน อาหาร, ผักสด, ผลไม้สด ฯลฯ
เปิดช่องทางการยืนยันตัวตนเข้าใช้งานแอปทางรัฐ
- แอป ThaiID
- ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ
- เคาน์เตอร์ไปรษณีย์ไทย
- Big C
มาตรการใมห่ล่าสุด ไทยเที่ยวไทย โลว์ซีซัน รัฐจ่ายคนละครึ่ง
มาตรการใหม่ล่าสุดที่คนไทยกำลังตั้งหน้าตั้งตารอ สำหรับโครงการ ไทยเที่ยวไทย โลว์ซีซัน รัฐจ่ายให้คนละครึ่ง เอาไปเลยค่าที่พัก ค่าอาหาร และ ค่าเครื่องบิน มีส่วนลดให้ 50% สำหรับคนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ อาจจะมีคำถามว่า ใครได้รับสิทธิ์ในการลงทะเบียนครั้งนี้บ้าง สำหรับเฟสแรก เริ่มลงทะเบียนเมื่อไหร่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ด้านล่าง
มาตรการใหม่ ไทยเที่ยวไทยโลว์ซีซัน รัฐบาลจ่ายให้คนละครึ่ง ค่าที่พัก ค่าอาหาร และ ค่าตั๋วเครื่องบิน มีส่วนลดให้ 50% สำหรับคนที่ได้รับสิทธิ์ สามารถลงทะเบียนขอรับสิทธิ์เฟสแรกได้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกันยายน 2568 สำหรับโครงการนี้ รัฐจ่ายคนละครึ่งใช้งบกลางถึง 3.5 พันล้านบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว และ กีฬา ได้ออกมาเปิดเผยว่ากระทรวงการท่องเที่ยว ได้เตรียมชงของบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ งบประมาณประจำปี 2568 เพื่อจัดทำโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ
รายละเอียด ไทยเที่ยวไทย รัฐจ่าย คนละครึ่ง ให้ส่วนลด 50% ใครได้รับสิทธิ์บ้างดูเพิ่มเติมด้านล่าง
- ไทยเที่ยวไทย ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 50%
- นักท่องเที่ยวไทยจ่ายเองอีก 50% หรือเรียกง่ายๆว่า “จ่ายคนละครึ่ง”
- รัฐบาลไทย หากมีการเปิดให้จองสิทธิ์โครงการนี้ จะมีคนเข้ามาใช้สิทธิ์หมดอย่างรวดเร็ว
ไทยเที่ยวไทย จ่ายคนละครึ่งมีอะไรบ้าง
- ค่าโรงแรม 50%
- ค่าอาหาร 50%
ในส่วนของตั๋วเครื่องบิน อาจจะต้องรออนุมัติ ก่อนเพราะว่ายังไม่ได้ข้อสรุปเบื้องต้น ในส่วนของแพลตฟอร์มกลางที่เป็นเกตเวย์ดึง OTA หรือ บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ที่พร้อมให้ความร่วมมือการจองสินค้าท่องเที่ยว รวมถึงแต่ละโรงแรม สามารถเข้าร่วมเพื่อการจองที่พักได้โดยตรงเหมือนเดิม
เปิดผลกระทบ และ วิธีจัดการเมื่อจ่ายค่าบัตรเครดิตช้า
การชำระค่าบัตรเครดิตตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาประวัติทางการเงินที่ดี อย่างไรก็ตาม หากเกิดการชำระล่าช้า ไม่ว่าจะเป็นเพียง 1 วันหรือมากกว่านั้น อาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของคุณได้ บทความนี้จะอธิบายถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและวิธีจัดการเมื่อชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า
ผลกระทบจากการชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า
1. ดอกเบี้ยและค่าปรับ
เมื่อคุณชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะคิดดอกเบี้ยและค่าปรับตามที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยทั่วไป:
- ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ: คิดจากยอดเงินที่ค้างชำระตั้งแต่วันที่ครบกำหนดจนถึงวันที่ชำระจริง
- ค่าปรับล่าช้า: เป็นค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมที่ธนาคารเรียกเก็บเมื่อชำระล่าช้า
2. ค่าติดตามทวงถามหนี้
หากคุณชำระล่าช้า ธนาคารอาจเรียกเก็บค่าติดตามทวงถามหนี้เพิ่มเติม ซึ่งอาจเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับคุณ
3. ผลกระทบต่อประวัติเครดิต
การชำระล่าช้าอาจส่งผลให้ประวัติเครดิตของคุณเสียหาย ซึ่งอาจทำให้การขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตในอนาคตยากขึ้น
4. การถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
หากคุณค้างชำระเป็นเวลานาน ธนาคารอาจดำเนินการฟ้องร้องเพื่อเรียกเก็บหนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้คุณต้องเผชิญกับกระบวนการทางกฎหมาย
วิธีจัดการเมื่อชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า
1. ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ทันที
หากคุณชำระล่าช้า ควรรีบชำระยอดค้างให้เร็วที่สุดเพื่อลดดอกเบี้ยและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น
2. ติดต่อธนาคารหรือสถาบันการเงิน
หากคุณทราบว่าจะชำระล่าช้า ควรติดต่อธนาคารเพื่อแจ้งสถานการณ์และขอคำแนะนำ บางครั้งธนาคารอาจมีมาตรการช่วยเหลือหรือผ่อนผันให้
3. ตั้งการแจ้งเตือนการชำระเงิน
เพื่อป้องกันการลืมชำระ ควรตั้งการแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือหรือแอปพลิเคชันธนาคาร เพื่อเตือนให้คุณชำระเงินตรงเวลา
4. พิจารณาการหักบัญชีอัตโนมัติ
การตั้งค่าหักบัญชีอัตโนมัติสำหรับการชำระค่าบัตรเครดิตจะช่วยให้คุณไม่พลาดการชำระและป้องกันการล่าช้า
5. วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ
การจัดการการเงินอย่างมีระบบจะช่วยให้คุณมีเงินเพียงพอสำหรับการชำระค่าบัตรเครดิตตรงเวลา ควรจัดทำงบประมาณและติดตามการใช้จ่ายอย่างใกล้ชิด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า
ชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า 1 วันจะเป็นอะไรไหม?
บางธนาคารอาจอนุโลมให้ชำระล่าช้าได้ 1-3 วันโดยไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าปรับ แต่การชำระล่าช้าบ่อยครั้งอาจส่งผลเสียต่อประวัติเครดิตของคุณ ควรตรวจสอบเงื่อนไขกับธนาคารของคุณโดยตรง
ชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า 7 วันจะส่งผลอย่างไร?
การชำระล่าช้า 7 วันอาจทำให้ธนาคารเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าปรับ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลเสียต่อประวัติเครดิตของคุณ ทำให้การขอสินเชื่อในอนาคตยากขึ้น
ชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้าเกิน 90 วันจะเกิดอะไรขึ้น?
หากคุณค้างชำระเกิน 90 วัน ธนาคารจะถือว่าคุณเป็นหนี้เสีย และข้อมูลนี้จะถูกส่งไปยังเครดิตบูโร ซึ่งจะส่งผลเสียต่อประวัติเครดิตของคุณอย่างมาก
การชำระค่าบัตรเครดิตตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาประวัติทางการเงินที่ดี หากเกิดการชำระล่าช้า ควรรีบดำเนินการชำระและติดต่อธนาคารเพื่อขอคำแนะนำ การวางแผนการเงินและการตั้งค่าการแจ้งเตือนจะช่วยป้องกันปัญหาการชำระล่าช้าในอนาคต
แยกประกันสังคมออกจากราชการ เริ่มแล้ว
ประกาศจากทางสำนักงานประกันสังคม เกี่ยวกับการประชุมบอร์ดประกันสังคม ซึ่งเรื่องการแยกราชการออกจากประกันสังคม มีการประชุมกันมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในช่วงเดือนมีนาคม 2568 เพื่อให้อนุกรรมการที่เกี่ยวข้องประกันสังคม ซึ่งจะอิสระมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ. เป็นสิ่งที่เกินอำนาจบอร์ด เลยต้องมีแรงสนับสนุนจากภาคประชาชน สำหรับ สส. ที่มีความคิดเห็นตรงกัน, สภาผู้แทนราษฎร, วุฒิสภา ที่มีความต้องการไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้การบริหารจัดการของประกันสังคมเป็นอิสระมากขึ้น ไม่ตกอยู่ภายใต้ระบบราชการ และจะทำให้เกิดการผลักดันสิทธิประโยชน์ล่าช้า
การรักษาพยาบาลระบบเดียว
หากถามถึงกองทุนประกันสังคมอย่างเดียวที่ไม่ได้ไปรวมกับกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐอื่น รายละเอียดของตัวนี้ไม่ได้ไปรวมกับกองทุนอื่น แต่เรื่องค่ารักษาพยาบาลเป็นเรื่องที่ต้องลงรายละเอียดกันในอนาคต การรักษาพยาบาลจะนำสิทธิประกันสังคมไปรวมกับ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือไม่ หรือบัตรทอง 30 บาท หรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีข้อเสนอนี้ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประกันสังคมไม่มีความชำนาญในการจัดบริการ การรักษาพยาบาลเท่าที่ควร ในขณะที่กองทุนด้านสุขภาพของประกันสังคมจะทะลุ 1 แสนล้านบาทในเวลาไม่ถึง 5 ปี โดยที่สิทธิประโยชน์แทบจะไม่ได้รับเพิ่ม เพราะอำนาจต่อรองไม่สามารถต่อรองกับโรงพยาลเอกชน
ผู้ประกันตนจะต้องได้รับสิทธิท็อปอัป
หากนำเงินสมทบส่วนสิทธิประโยชน์รักษาพยาบาลผู้ประกันตนไปให้ สปสช. ดูแลจะต้องเป็นส่วนสิทธิประโยชน์ที่ได้ท็อปอัปขึ้นจากสิทธิบัตรทอง 30 บาท ยกตัวอย่างกรณีประเทศเยอรมนี ประกันสังคมดูแลเรื่องการแพทย์ที่เพิ่มเติมเพิ่มมากขึ้น เช่นค่าใช้จ่ายในการพักฟื้น ทางประกันสังคมยังจ่ายเงินส่วนนี้ได้ ถ้าหากมีกลไกรักษาพยาบาลที่ สปสช. เข้ามาช่วยประกันสังคม ก็จะสามารถท็อปอัพได้หลายส่วนและทำให้ผู้ป่วยได้รับการพยาบาลที่ดีขึ้น
ขั้นตอน ยกเลิกสัญญาประกันภัยที่ติดมากับบัตรเครดิต
การยกเลิกสัญญาประกันภัยอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงความต้องการ ความไม่พึงพอใจในบริการ หรือเหตุผลทางการเงิน บทความนี้จะนำเสนอขั้นตอนและข้อควรรู้ในการยกเลิกสัญญาประกันภัยอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการยกเลิกสัญญาประกันภัย
1. ติดต่อบริษัทประกันภัย
เริ่มต้นโดยการติดต่อบริษัทประกันภัยที่คุณทำสัญญาไว้ ผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนด เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือการเข้าพบด้วยตนเอง แจ้งความประสงค์ในการยกเลิกสัญญา พร้อมระบุรายละเอียดที่จำเป็น เช่น ชื่อผู้เอาประกันภัย หมายเลขกรมธรรม์ และสาเหตุของการยกเลิก
2. จัดเตรียมเอกสารที่จำเป็น
การยกเลิกสัญญาประกันภัยต้องมีการจัดเตรียมเอกสารดังนี้:
- กรมธรรม์ประกันภัยฉบับจริง: เพื่อเป็นหลักฐานในการยกเลิก
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย: ยืนยันตัวตน
- สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร: สำหรับการรับเงินคืน (ถ้ามี)
3. ส่งเอกสารและยืนยันการยกเลิก
หลังจากเตรียมเอกสารครบถ้วน ส่งไปยังบริษัทประกันภัยตามที่อยู่หรือช่องทางที่กำหนด แนะนำให้ส่งผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนเพื่อมีหลักฐานการส่ง เมื่อบริษัทได้รับเอกสาร จะดำเนินการตรวจสอบและยืนยันการยกเลิกสัญญา
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาประกันภัย
ระยะเวลาการยกเลิกและการคืนเงิน
- ยังไม่ได้รับกรมธรรม์: สามารถยกเลิกได้ทันที โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- ได้รับกรมธรรม์แล้ว: สามารถยกเลิกภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับกรมธรรม์ บริษัทจะคืนเงินเบี้ยประกันที่ชำระไปเต็มจำนวนภายใน 30 วันหลังจากได้รับคำขอยกเลิก
การยกเลิกหลังระยะเวลาที่กำหนด
หากต้องการยกเลิกหลังจาก 30 วัน บริษัทประกันภัยอาจคืนเงินเบี้ยประกันตามสัดส่วนของระยะเวลาที่คุ้มครองไปแล้ว โดยอาจมีการหักค่าใช้จ่ายบางส่วน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท
การยกเลิกประกันภัยที่ทำผ่านโทรศัพท์
หากคุณทำประกันภัยผ่านการติดต่อทางโทรศัพท์ และต้องการยกเลิก:
- ยังไม่ได้รับกรมธรรม์: สามารถยกเลิกได้ทันที
- ได้รับกรมธรรม์แล้ว: สามารถยกเลิกภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับกรมธรรม์ โดยส่งจดหมายบอกเลิกสัญญาพร้อมแนบกรมธรรม์ประกันชีวิต ส่งเป็นไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงบริษัทที่รับประกันภัย
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ตรวจสอบเงื่อนไขสัญญา: ก่อนตัดสินใจยกเลิก ควรอ่านและเข้าใจเงื่อนไขการยกเลิกในสัญญาอย่างละเอียด
- รักษาหลักฐานการยกเลิก: เก็บสำเนาเอกสารและหลักฐานการส่งเอกสารยกเลิกไว้เสมอ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สายด่วน 1186
การยกเลิกสัญญาประกันภัยอาจดูซับซ้อน แต่หากปฏิบัติตามขั้นตอนและคำแนะนำข้างต้น จะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ