เปิดรายละเอียดถอนเงินไม่ใช่บัตรธนาคารกสิกรไทย ผ่านตู้ ATM เสียค่าธรรมเนียมไหม

รายละเอียดสำหรับลูกค้าธนาคารกสิกรไทย ที่ต้องการถอนเงินผ่านตู้ ATM ธนาคารกสิกรไทย อยากทราบว่าจะมีค่าธรรมเนียมเท่าไหร่บ้าง ซึ่งปัจจุบันลูกค้าสามารถถอนเงินไม่ใช้บัตร โดยสามารถตั้งรายการถอนเงินบน K PLUS และ รับเงินสดที่ตู้ ATM ของธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศได้ทันที โดยไม่ต้องใช้บัตร

ช่องทางถอนเงินผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ

  • SCB Easy ธนาคารไทยพาณิชย์
  • KTB Next ธนาคารกรุงไทย
  • Bangkok Bank ธนาคารกรุงเทพ
  • MyMo ธนาคารออมสิน
  • KKP Mobile ธนาคารเกียรตินาคินภัทร
  • LHB You ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
  • AEON THAI Mobile
  • Umay+ Application

ถอนเงินไม่ใช้บัตรมีค่าธรรมเนียมหรือไม่?

การถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรผ่าน K PLUS ด้วยช่องทางต่างๆ จะมีค่าธรรมเนียมตามรายละเอียดด้านล่าง

  • ATM ธนาคารกสิกรไทย ฟรีค่าธรรมเนียม
  • ตู้ ATM ต่างธนาคาร ค่าธรรมเนียม 10 บาท
  • สาขาธนาคารกสิกรไทย ค่าธรรมเนียมร้อยละ 0.10 ของจำนวนเงินที่ถอน ต่ำสุด 10 บาท และ ค่าบริการ 20 บาทต่อรายการ
  • เคแบงก์เซอร์วิส ค่าธรรมเนียม 15-45 บาท ต่อรายการ ขึ้นอยู่กับตัวแทนผู้ให้บริการ

เราสามารถถอนเงินไม่ใช้บัตรได้เท่าไหร่ต่อครั้ง และ สูงสุดเท่าไหร่ต่อวัน?

  • สำหรับเด็กทุกสัญชาติ อายุต่ำกว่า 15 ปี สามารถถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรได้สูงสุด 20,000 บาทต่อวัน ไม่รวมวงเงินทำรายการผ่าน K PLUS

สำหรับบุคคลธรรมดาทุกสัญชาติ ผู้ที่มีอสยุ 15 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป

  • สามารถถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรได้สูงสุด 20,000 บาท ต่อวันไม่รวมวงเงินทำรายการผ่าน K PLUS สำหรับบัตรเครดิต วงเงินสูงสุดที่ถอนได้ต่อขึ้นขึ้นอยู่กับประเภทบัตร

 

 

สถานการณ์เรียกเก็บภาษี Reciprocal Tariffs ไทยยอม 0%

กลายเป็นแรงกดดันและจุดเปลี่ยนทั้งประเทศ หากการเจรจาภาษีระหว่างประเทศไทย และ สหรัฐอเมริกาไม่ลงตัว หรือ ไม่สำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แถมตอนนี้เพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย และ เวียดนาม นำหน้าเราไปแล้วผ่านมาตรการ ลดภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ 0% ตอนนี้กลายเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างมากกับภาคเอกชนของประเทศไทย โดยเฉพาะสภากลุ่มอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลัวว่าไทยจะถูกดันให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันแม้ไทยจะมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูงถึง 45,000 ล้านดาลลาร์ในปีที่ผ่านมา เป็นตัวเลขที่มากกว่าอินโดนีเซียถึง 2.5 เท่า แถมยังมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาที่ 18% เมื่อเทียบกับเวียดนาม ที่มากกว่า 30%

จากแรงกดดันทางภาษีดังกล่าวทาง ส.อ.ท. ได้ออกมาประกาศจุดยืนที่ชัดเจนแทนภาคเอกชนไทย โดยระบุว่าประเทศไทยสามารถยอมรับการลดภาษีนำเข้าให้เหลือ 0% ให้กับสหรัฐอเมริกาได้ เพียงบางรายการสินค้าเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ยา ที่สหรัฐมีความสามารถในการผลิตยาคุณภาพสูง แต่ไม่เห็นด้วยหากจะลดภาษีเป็น 0% สำหรับกลุ่มเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนสูง และ ยังอยูในช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ โจทย์ที่ท้าทายยิ่งกว่าสำหรับทีมเจรจาของไทย ที่จะต้องใช้ความรู้ ความสามารถ และ ทักษะอีกเพียบในการรับมือ เพื่อรักษาสมดุล และ ประโยชน์ของประเทศ

เรื่องภาษีนำเข้าก็เรื่องนึงแต่ยังมีอีกเรื่องที่ประเทศไทยต้องเจอนั่นก็คือ การตรวจสอบและควบคุมการใช้ Local Content หรือวัตถุดิบในประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อเป็นการป้องกันการสวมสิทธิ สินค้าสำหรับสินค้าที่จะส่งออกไปยังอเมริกานั่นเอง มาตรการนี้ถูกมองว่าเป็นการควบคุมและสกัดกั้นปัญหาสินค้าที่ถูกสวมสิทธิ หรือ Transshipment ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีประมาณ 10-15 กลุ่มอุตสหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีการใช้วัตถุดิบในประเทศน้อยกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ  การป้องกันการฉวยโอกาส และเสริมความได้เปรียบของสินค้า Made in Thailand กลายเป็นความท้าทายที่สำคัญที่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมืออย่างเข้มงวดจากทุกกระทรวง ทบวง ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • กระทรวงพาณิชย์
  • กระทรวงการคลัง
  • กระทรวงอุตสาหกรรม
  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ

กระทรวงเหล่านี้มีอำนาจในการออกใบอนุญาต และ สามารถส่งเสริมการลงทุนรวมไปถึงการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า เป็ฯอีกหนึ่งความท้าทางที่ประเทศไทยกำลังเจอยู่ตอนนี้ ทำให้ไม่ใช่แค่เพียงเจรจาเรื่องภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่ยังต้องทำให้ครอบคลุมถึงการสร้างความแข็งแกร่งและโปร่งใสให้กับห่วงโซ่อุปทานการผลิตของไทยเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าไทยยังได้รับการยอมรับในตลาดโลก และ ช่วยให้ไทยสามารถรักษาสมดุลทางการค้ากับทุกกลุ่มประเทศที่ประเทศไทยทำการค้าด้วย โดยไม่เอียงไปประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการนำพาประเทศให้สามารถก้าวผ่านสถานการณ์การค้าโลกที่ผันผวนได้

 

 

 

ค่าแรงงานสายเทคราคาพุ่ง Google แจ้งจ่ายวิศวกรแตะ 12 ล้านบาทต่อปี

กระแส AI กำลังเป็นที่ร้อนแรงขึ้นทุกวัน บริษัทเทคโนโลยี ก็ยิ่งทุ่มทุนหนักเข้าไปอีก เพื่อชิงตัวคนเก่งๆ โดยเฉพาะการให้ค่าตอบแทน เป็นเครื่องหลักในการดึงคนเก่งๆเข้ามา และ Google เป็นอีกหนึ่งบริษัทระดับโลก ที่ยังคงเดินหน้าทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อดูดแรงงานสายเทคที่มีทักษะสูงๆ โดยเฉพาะสายงานวิศวกรรมซอฟต์แวร์ วิจัย และ วิเคราะห์ข้อมูล

ข้อมูลจากแบบฟอร์มขอวีซ่าทำงานของแรงงานต่างชาติที่บริษัทต้องยื่นต่อกระทรวงแรงงานสหรัฐในรายงานเปิดเผยว่าพนักงานในตำแหน่งวิศวกรซอฟตฺแวร์ของ Google มีรายได้สูงถึง 340,000 ดอลลาร์ต่อปี ฟังไม่ผิดถ้าคิดเป็นเงินบาทจะตกราวๆ 12.4 ล้านบาทเลยทีเดียว รายได้นี้ยังไม่ได้รวมโบนัส และ หุ้นบริษัทที่จะเป็นส่วนหนึ่งของค่าตอบแทน ถึงแม้ค่าตอบแทนเหล่านี้จะดูว่าเป็นจำนวนที่สูง แต่เสี่ยงสะท้อนจากพนักงาน Google หลายๆท่านในเอกสารในปี 2023 ระบุว่า พวกเข้ายังคงรู้สึกว่าค่าตอบแทนไม่เป็นธรรม แม้ว่าจะมีรายได้สูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมก็ตาม ทำให้พนักงานจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่า รายได้ยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับแรงกดดันและเป้าหมายที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี

การแข่งขัน AI ที่ถูกเดิมพันด้วยทุน

การแข่งขันระหว่างยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเพื่อแย่งชิงบุคลากรเอไอ ไม่ได้เป็นเพียงปรากฎการณ์ที่สะท้อนความต้องการด้านทักษะเฉพาะทาง ถ้าหากยังเป็นสัญญาญของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจการผลิต บุคลากรที่มีความสามารถในการพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ เขียนโค้ดขั้นสูง หรือออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึม กลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลในสายตาของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สามารถผลิตซอฟต์แวร์และนวัตกรรมใหม่ๆที่ไม่เพียงแค่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังอาจจะกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม และภูมิรัฐศาสตร์เทคโนโลยี

Google ได้มีการเปลี่ยนเกณฑ์การประเมินพนักงานในรูปแบบใหม่ โดยระบุไว้ชัดเจนเลยว่า ผลงานที่สูง คือปัจจัยหลักในการเลื่อนขั้น และได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ซึ่งสะท้อนแนวโน้มเดียวกันกับ Meta และ Microsoft ที่ทยอยปลดพนักงานที่ไม่สามารถทำผลงานตามเป้าได้ ทำให้สามารถพูดได้เลยว่า ระบบการประเมินผลกลายเป็นกลไกควบคุม ในยุคที่บริษํทที่ไม่ต้องการเพียงแค่แรงงานที่เก่ง แต่ต้องการแรงงานที่แข่งขันเพื่อพิสูจย์ตัวเอง

รายได้โดยประมาณต่อปีของ Google เห็นแล้วว้าวมา

สายวิศวกรรม

  • วิศวกรซอฟต์แวร์ (Software Engineer) 4.0 ถึง 12.5 ล้านบาท
  • วิศวกรอาวุโส (Senior Software Engineer) 6.9 ถึง 9.4 ล้านบาท
  • วิศวกรวิจัย (Research Engineer) 5.6 ถึง 9.8 ล้านบาท
  • วิศวกรความปลอดภัย (Security Engineer) 3.6 ถึง 8.6 ล้านบาท
  • ผู้ออกแบบวงจรชิป (Silicon Engineer) 5.4 ถึง 9.3 ล้านบาท

สายข้อมูลและเอไอ

  • นักวิทยาศาสตร์ ข้อมูล (Data Scientist) 4.9 ถึง 9.6 ล้านบาท
  • นักวิจัยเอไอ (Research Scientist) 5.7 ถึง 11.2 ล้านบาท

สายบริหารจัดหาร

  • ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ (Product Manager) 5.0 ถึง 10.3 ล้านบาท
  • ผู้จัดการโครงการเทคนิค (Technical Program Manager) 4.2 ถึง 10 ล้านบาท

สายที่ปรึกษาและออกแบบ

  • ที่ปรึกษาด้านโซลูชัน (Solution Consultant) 3.7 ถึง 10.4 ล้านบาท
  • นักออกแบบ UX (UX Designer) 4.6 ถึง 8.5 ล้านบาท

 

ปรับเพิ่มเงินทดแทนว่างงาน ผู้ประกันตน ม.33 รับสูงสุด 9000 บาท

ข่าวดีสำหรับผู้ประกันตน ม.33 ปรับเพิ่มเงินทดแทนว่างงานเป็นร้อนละ 60 ไม่เกิน 180 วันรับเงินชดเชยสูงสุด 9,000 บาทต่อเดือนเผยเงื่อนไขมีอะไรบ้าง สามารถลงทะเบียนได้ผ่านช่องทางไหนเช็คได้เลย

ข้อมูลล่าสุดเปิดเผยจากทางด้านรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งข่าวดีเกี่ยวกับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ถูกเลิกจ้างหรือว่างงาน หลังราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศกฎกระทรวงแรงงานฉบับใหม่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว กฎกระทรวงฉบับนี้ ได้ปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนให้สูงขึ้น เพื่อบรรเทาภาระของผู้ประกันตน และเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศราฐกิจ และ สังคมในปัจจุบันซึ่งเป็นสาระสำคัญของกฎกระทรวงแรงงานฉบับใหม่นี้คือให้ลูกจ้างประกันสังคมได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากการเลิกจ้างเพิ่มขึ้นเป็นอัตราร้อยละ 60 จากเติมร้อยละ 50

จากการประกาศดังใช้ดังกล่าวทำให้ผู้ประกันตน ได้รับประโยชน์ทดแทนสูงสุดไม่เกินเดือนละ 9,000 บาทจากเดิมสูงสุดเดือนละ 7,500 บาท โดยระยะเวลา 180 วัน หรือ 6 เดือนจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้สูงสุด 54,000 บาทจากเดิมที่จะได้รับสูงสุดอยู่ที่ 45,000 บาท

วิธีลงทะเบียนว่างงาน-เลิกจ้าง รับเงินชดเชย

สำหรับวิธีลงทะเบียนว่างงาน เลิกจ้างเพื่อรับเงินชดเชยจากประกันสังคม ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ลาออก หรือ ถูกเลิกจ้าง สามารถลงทะเบียนผู้ว่างงานผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th ภายใน 30 วันนับจากวันที่สิ้นสุดการจ้างงาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณีตามรายละเอียดด้านล่าง

  1. กรณีถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 60% ของเงินเดือนเฉลี่ยอย่างเช่น ถ้าเคยได้เงินเดือน 10,000 บาท ก็จะได้เดือนละ 6,000 บาท โดยจะจ่ายให้ไม่เกิน 6 เดือนใน 1 ปี รวมกันไม่เกิน 180 วัน
  2. กรณีลาออกเอง หรือ หมดสัญญาจ้างจะได้ 30% ของเงินเดือนเฉลี่ยเช่น ถ้าเคยได้เงินเดือน 10,000 บาทจะได้เดือนละ 3,000 บาท และจะจ่ายให้ไม่เกิน 3 เดือนใน 1 ปี รวมกันไม่เกิน 90 วัน
  3. ในส่วนของคนที่ว่างงานหลายครั้งในปีเดียวกัน เช่นถูกเลิกจ้าง 1 รอบ แล้วต่อมาก็ถูกเลิกจ้างอีก หรือ ลาออกอีกครั้ง สามารถขอรับสิทธิได้ทุกรอบ แต่เงินรวมที่ได้รับในปีนั้นจะได้ไม่เกิน 180 วันสำหรับกรณีเลิกจ้าง และ ไม่เกิน 90 วันสำหรับกรณีลาออก

สำหรับเงื่อนไขการขอรับสิทธิ มีรายละเอียดตามด้านล่าง

  1. ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในช่วง 15 เดือนก่อนว่างงาน
  2. ว่างงานต่อเนื่อง อย่างน้อย 8 วัน
  3. ต้องลงทะเบียนผู้ว่างงานผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th ภายใน 30 วันหลังออกจากงาน
  4. รายงานตัวผ่านระบบออนไลน์เดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าจะมีงานทำ
  5. พร้อมทำงาน และ ไม่ปฎิเสธการฝึกอาชีพที่จัดหาให้
  6. ไม่ถูกเลิกจ้าง เพราะความผิดร้ายแรงเช่น ทุจริต หรือ ละทิ้งหน้าที่
  7. ไม่ได้รับสิทธิซ้ำในกรณีชราภาพ

เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอรับสิทธิ ประกอบไปด้วย

  • แบบคำขอ สปส. 2-01/7
  • หนังสือรับรองออกจากงาน หรือ สปส.6-09 ถ้าไม่มีสามารถขึ้นทะเบียนได้
  • สำเนาสมุดบุญชีธนาคาร เฉพาะธนาคารที่กำหนด
  • หนังสือคำสั่งเลิกจ้าง ถ้ามี

หลักประกันสำหรับผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้าง และสูญเสียรายได้ เพื่อให้ผู้ประกันตนมีรายได้เพียงพบกับภาระค่าใช้จ่าย โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีสิทธิ สามารถยื่นขอรับเงินผ่านระบบออนไลน์ และ สามารถทำการขึ้นทะเบียนและรายงานตัวผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th หรือสามารถยื่นแบบฟอร์มที่สำนักงานประกันสังคมประจำจังหวัดได้ทั้วประเทศ ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข กรณีเงินทดแทนว่างงาน ไม่สามารถขอย้อนหลังได้ ต้องยื่นขึ้นทะเบียนภายใน 30 วันหลังลาออก หรือ ถูกเลิกจ้าง หากลาออก หรือ ถูกเลิกจ้างหลายครั้งในปีเดียวกัน จะรับรวมวันรับเงินสูงสุดไม่เกินที่กำหนด 90 วันสำหรับลาออก และ 180 วันสำหรับเลิกจ้าง

 

บริการผ่อนชำระ UOB PayLater/i-Plan: เปลี่ยนยอดใหญ่เป็นยอดเล็ก

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้บัตรเครดิต UOB แล้วรู้สึกว่าบางเดือนมียอดใช้จ่ายสูงเกินงบ การแปลงยอดใช้จ่ายเหล่านั้นให้เป็นยอดผ่อนรายเดือนด้วยบริการ UOB PayLater หรือ i-Plan อาจเป็นตัวช่วยที่ทำให้การเงินคุณคล่องตัวขึ้น บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับบริการทั้งสอง พร้อมรีวิว เงื่อนไข และข้อควรระวัง เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น

UOB PayLater และ i-Plan คืออะไร?

UOB PayLater: ผ่อนแบบรายเดือนอัตโนมัติทันทีหลังรูด

UOB PayLater คือบริการผ่อนชำระอัตโนมัติของธนาคารยูโอบีที่ช่วยให้คุณสามารถแบ่งจ่ายรายการซื้อสินค้าหรือบริการตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไปเป็นงวดรายเดือน โดยไม่ต้องยื่นคำขอในภายหลัง ระบบจะเปลี่ยนยอดใช้จ่ายให้เป็นยอดผ่อนชำระทันที โดยมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษและระยะเวลาผ่อน 3, 6, หรือ 10 เดือนตามที่ธนาคารกำหนดไว้ล่วงหน้า

UOB i-Plan: เปลี่ยนยอดที่รูดไปแล้วให้ผ่อนในภายหลัง

ต่างจาก PayLater ตรงที่ i-Plan เป็นบริการที่เปิดโอกาสให้คุณ เลือกเปลี่ยนยอดใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแล้ว ให้กลายเป็นยอดผ่อนรายเดือน โดยต้องทำเรื่องผ่านแอป UOB TMRW หรือ Call Center ของธนาคาร เหมาะกับผู้ที่อยากบริหารยอดที่รูดไปแล้วให้เบาลงในแต่ละเดือน

จุดเด่นของบริการ UOB PayLater/i-Plan

1. ผ่อนสบายในอัตราดอกเบี้ยต่ำ

ทั้ง PayLater และ i-Plan ให้คุณผ่อนยอดบัตรเครดิตในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าการจ่ายขั้นต่ำตามรอบปกติของบัตรเครดิตมาก โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 0.8%-1.2% ต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าการคิดดอกเบี้ยแบบปกติที่อาจสูงถึง 16-18% ต่อปี

2. ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง

บริการผ่อนของ UOB ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอผ่อนเพิ่ม ทำให้ผู้ใช้สามารถวางแผนการเงินได้ง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือค่าธรรมเนียมแรกเข้า

3. ผ่อนผ่านแอปได้ตลอด 24 ชั่วโมง

โดยเฉพาะบริการ i-Plan คุณสามารถจัดการยอดบัตรเครดิตและยื่นขอผ่อนชำระได้เองผ่านแอป UOB TMRW ไม่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ให้ยุ่งยาก

สมัครบัตรเครดิต UOB ได้ที่นี่

เปรียบเทียบบริการ UOB PayLater กับ i-Plan

คุณสมบัติ UOB PayLater UOB i-Plan
ช่วงเวลาการขอ ก่อนรูดซื้อสินค้า หลังรูดซื้อสินค้า
ขั้นต่ำยอดซื้อ 5,000 บาทขึ้นไป 1,000 บาทขึ้นไป
วิธีขอใช้บริการ สมัครครั้งเดียว ใช้อัตโนมัติ ขอผ่อนผ่านแอป UOB TMRW
ระยะเวลาผ่อน 3, 6, 10 เดือน 3 – 36 เดือน
อัตราดอกเบี้ย เริ่มต้น 0.88% ต่อเดือน ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินและระยะเวลาผ่อน

ข้อควรรู้ก่อนใช้บริการผ่อนชำระ UOB

อย่าลืมวางแผนล่วงหน้า

แม้การผ่อนจะทำให้ยอดเล็กลง แต่หากผ่อนหลายรายการพร้อมกัน ยอดรวมก็อาจสูงกว่าที่คิด ดังนั้นควรวางแผนก่อนเลือกผ่อน เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้สินเกินตัว

ติดตามยอดผ่อนอย่างสม่ำเสมอ

ใช้แอป UOB TMRW เช็กยอดผ่อนคงค้าง และรายการที่อยู่ระหว่างผ่อนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณรู้ภาพรวมการเงินได้ชัดเจนขึ้น

หากปิดยอดก่อนกำหนด

สามารถติดต่อธนาคารเพื่อขอปิดยอดผ่อนก่อนกำหนดได้ แต่ควรสอบถามว่ามีค่าธรรมเนียม หรือค่าปรับใดๆ เพิ่มเติมหรือไม่

บริการที่เหมาะกับผู้ใช้บัตรเครดิต UOB ทุกรูปแบบ

ทั้ง UOB PayLater และ i-Plan ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ถือบัตรเครดิตสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องใช้เงินก้อนโต หรือมีค่าใช้จ่ายเร่งด่วน การเลือกบริการผ่อนแบบเหมาะสมกับสถานการณ์ สามารถช่วยประหยัดดอกเบี้ย และเพิ่มสภาพคล่องให้กับชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปรับใหม่เงินช่วยเหลือชาวนาจาก 1000 บาท ลดเหลือไร่ละ 500 บาท

ชาวนาไทยผู้ปลูกข้าว เช็คเงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1000 บาท รับสูงสุด 10 ไร่ ซึ่งล่าสุดมีการปรับตัวเลขออกมาเหลือเพียง 500 บาท ต่อไร่ ครอบคลุมค่าปุ๋ยเคมี, ปุ๋ยอินทรีย์, สารชีวภัณฑ์ สำหรับเงินเยียวยาเกษตรกร 68/69 สามารถดูเงื่อนไข และ ถ้าหากเปลี่ยนใจปลูกพืชอื่น รัฐบาลจ่ายให้ 1500 บาทต่อไร่

เปิดรายละเอียดที่ประชุมคณะกรรมการนโยบาย และ บริหารข้าวแห่งชาติ หรือ นบข. มีมติสำคัญอนุมัติโครงการ เงินช่วยเหลือชานา ไร่ละ 1000 บาท ปีการผลิต 2568/69 ด้วยวงเงิน 3.9 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี เตรียมรับเงินสนับสนุนรวม 1,000 บาท ต่อไร่ รับสูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ นอกจากนี้ยังมีเงินพิเศษ สำหรับผู้ปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูก ผู้ที่สนใจ สามารถลงทะเทียนผ่านแอปพลิเคชั่น BAAC Mobile ได้เลย และเมื่อเร็วๆนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ได้มีการลงมติเห็นชอบ4 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69

รัฐจ่ายให้ชาวนาไทย รับเงินเยียวยาค่าปัจจัยการผลิตสูงสุด 1000 บาทต่อไร่

โครงการเงินช่วยเหลือชาวนา มีเป้าหมายเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย และ ค่าปัจจัยการผลิตให้กับเกตรกร โดยมีรายละเอียดสนับสนุนที่ชัดเจน

  • สนับสนุนอัตรา 500 บาท ต่อไร่ เป็นค่าปัจจัยการผลิตโดยจำกัดพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่ หากชาวนามีทั้งหมด 10 ไร่ จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท
  • สนับสนุนปัจจัยการผลิตผ่านกลไกกระเป๋าเงิน ธ.ก.ส. อีก 500 บาทต่อไร่ สำหรับพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่เช่นเดียวกัน

เงื่อนไขหากเปลี่ยนใจปลูกพืชอื่น รัฐบาลช่วยเหลือ 1,500 ต่อไร่

นอกจากนี้เกษตรกรที่มีความประสงค์จะปรับเปลี่ยนการผลิต สำหรับพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าว รัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุนพิเศษ โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือในอัตราสูงถึง 1500 บาทต่อไร่ โดยโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรรวม 1 ล้านไร่  และจำดำเนินการต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3-5 ปี เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรหันไปเพาะปลูกพืชที่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ ที่มากขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และลดความเสี่ยงจากการเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม

ลงทะเบียนผ่าน BAAC Mobile ทำได้ง่ายๆ

เพื่อความสะดวกแก่พี่น้องเกษตรกร ภาครัฐได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตร และ สหรกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. เป็นผู้รับผิดชอบ โดยมีช่องทางการลงทะเบียนที่สะดวกสบายผ่าน BAAC Mobile ของธนาคาร เพื่อการเกษตร และ สหกรณ์การเกษตร ซึ่งจะเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเงินช่วยเหลือ

เปิดเงื่อนไขสำคัญที่ต้องรู้ เพื่อรับสิทธิ์เต็มจำนวน

การสนับสนุนค่าปัจจัยการผลิตไร่ละ 500 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ จะครอบคลุมถึงปุ๋ยเคมี, ปุ๋ยอินทรีย์ และ สารชีวภัณฑ์ แต่ก็ยังมีเงื่อนไขที่สำคัญๆที่เกษตรกรต้องปฎิบัติตาม เพื่อให้ได้รับสิทธิ์อย่างครบถ้วนดูรายละเอียดได้ด้านล่าง

  • ต้องทำการลงทะเบียนกับทางกรมส่งเสริมการเกษตร หรือลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น Farmbook เพื่อให้ข้อมูลการเพาะปลูกเป็นปัจจุบัน
  • ต้องมีหลักฐานแสดงสิทธิ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการถือครองที่ดิน และ การปลูกข้าวที่ถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบที่กำหนด
  • มาตรการช่วยเหลือครั้งนี้ ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับพี่น้องชาวนาไทย ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเพื่อเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องเกษตรกรในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมต่อไป

 

 

 

 

 

สมัครบัตรเครดิต UOB Grab รับสิทธิพิเศษสุดคุ้มทุกการเดินทาง

รู้จักบัตรเครดิต UOB Grab คืออะไร?

บัตรเครดิต UOB Grab คือบัตรที่ออกแบบมาเพื่อไลฟ์สไตล์ยุคใหม่โดยเฉพาะ สำหรับผู้ใช้งาน Grab เป็นประจำ ไม่ว่าจะเรียกรถ สั่งอาหาร หรือส่งพัสดุ บัตรนี้เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมือระหว่าง ธนาคารยูโอบี (UOB) และ แอปพลิเคชัน Grab ที่มอบสิทธิประโยชน์มากมายเมื่อใช้บริการในเครือ Grab

จุดเด่นของบัตรเครดิต UOB Grab

  • รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อใช้จ่ายผ่าน Grab
  • สะสม GrabRewards Points ได้ไวขึ้น
  • แลกคะแนนเป็นส่วนลดค่าโดยสารหรือค่าอาหารได้โดยตรง
  • รับสิทธิ Priority Booking และส่วนลด GrabUnlimited (ในบางช่วง)
  • รับคะแนนสะสม UOB Rewards 10 เท่า
  • รับคะแนนสะสมยูโอบร รีวอร์ด 3 เท่า ทุกการใช้จ่าย 25 บาท ในหมวดร้านอาหาร, ร้านค้าออนไลน์, แฟชั่น, ห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล และ ศูนย์การรักษา
  • รับคะแนนสะสมยูโอบี รีวอร์ด 20 เท่า ทุกการใช้จ่าย 25 บาท บนบริการ Grab ในเดือนเกิด

โปรโมชั่นสุดคุ้ม 3 ต่อ สำหรับคนสมัครบัตรเครดิต UOB Grab

  • ต่อที่ 1 รับเครดิตเงินคืนมูลค่า 1,500 บาท
  • ต่อที่ 2 รับส่วนลด Grab มูลค่า 2,400 บาท
  • ต่อที่ 3 ฟรีอัปเกรดสู่สมาชิก GrabUnlimited นาน 1 ปี

สมัครบัตรเครดิต UOB ได้ที่นี่

สิทธิประโยชน์เด่นที่ผู้ใช้ Grab ห้ามพลาด

บัตรเครดิต UOB Grab อัดแน่นด้วยสิทธิพิเศษที่สอดรับกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตในเมือง โดยเฉพาะคนที่ต้องใช้บริการ Grab เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น:

1. รับเครดิตเงินคืน (Cashback) สูงสุด 15%

เมื่อใช้บัตรเครดิต UOB Grab ชำระค่า GrabCar, GrabFood หรือ GrabMart ผ่านแอป Grab จะได้รับเครดิตเงินคืนทุกเดือน โดยจำกัดตามยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ เช่น 500 บาทขึ้นไปต่อรอบบิล

2. สะสม GrabRewards เร็วกว่า

ทุก 25 บาทที่ใช้จ่ายผ่าน Grab ด้วยบัตรนี้จะได้คะแนน GrabRewards เพิ่มขึ้น ทำให้แลกของรางวัลต่าง ๆ หรือส่วนลดได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องสะสมคะแนนนาน

3. สิทธิการใช้งาน GrabUnlimited

สมาชิกบางระดับของบัตรอาจได้รับสิทธิ์สมัคร GrabUnlimited ฟรีในช่วงระยะเวลาที่กำหนด ช่วยประหยัดค่าส่งอาหารและของอีกต่อหนึ่ง

วิธีสมัครบัตรเครดิต UOB Grab

หากคุณสนใจสมัครบัตรเครดิต UOB Grab ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก สามารถทำได้ทั้งทางออนไลน์และสาขาของธนาคาร UOB

1. คุณสมบัติผู้สมัคร

  • อายุ 20 ปีขึ้นไป
  • รายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน (สำหรับพนักงานประจำ)
  • มีเอกสารแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน หรือ Statement 3-6 เดือนล่าสุด

2. เอกสารที่ใช้ประกอบการสมัคร

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน
  • สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 3-6 เดือน

3. ช่องทางการสมัคร

สามารถสมัครได้ทาง:

  • เว็บไซต์ธนาคาร UOB Thailand
  • แอป UOB TMRW
  • ที่สาขาของ UOB ทั่วประเทศ
  • ผ่านแคมเปญร่วมกับ Grab ในแอป

ข้อควรรู้ก่อนสมัคร

แม้บัตร UOB Grab จะดูเหมาะสำหรับผู้ใช้ Grab อย่างมาก แต่ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจสมัคร เช่น:

1. เงื่อนไขรับเครดิตเงินคืน

เครดิตเงินคืนมีเพดานสูงสุดต่อเดือน และบางเดือนอาจต้องใช้รหัสโปรโมชันเพิ่มเติม

2. อัตราดอกเบี้ย

ดอกเบี้ยของบัตรอยู่ในช่วง 16–18% ต่อปี หากมีการชำระล่าช้าหรือผ่อนชำระเป็นงวด ควรตรวจสอบรายละเอียดจากธนาคารก่อนใช้จริง

3. ค่าธรรมเนียมรายปี

ค่าธรรมเนียมรายปีอาจได้รับการยกเว้นหากใช้จ่ายถึงขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนดในแต่ละปี

ใครบ้างที่เหมาะกับบัตรนี้?

บัตรเครดิต UOB Grab เหมาะกับผู้ที่:

  • ใช้ GrabCar หรือ GrabFood เป็นประจำ
  • ต้องการสะสม GrabRewards อย่างรวดเร็ว
  • มองหาบัตรเครดิตที่ให้ผลตอบแทนคืนสูงจากการใช้จ่ายไลฟ์สไตล์

บัตรเครดิต UOB Grab คุ้มไหม?

ถ้าคุณเป็นคนเมืองที่ใช้บริการ Grab แทบทุกวัน บัตรเครดิต UOB Grab ถือเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องการประหยัดและการสะสมสิทธิพิเศษ โดยเฉพาะถ้าคุณสามารถใช้จ่ายผ่าน Grab เป็นประจำและไม่ลืมจ่ายเต็มจำนวนทุกเดือน เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ย

ไทยลุ้นหนัก ภาษีสหรัฐจะปรับลดกว่า 36% หรือไม่

หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ออกจดหมายเตือนแจ้งจะเก็บภาษี 36% โดยจะเริ่มวันที่ 1 สิงหาคม 2568 จากการประกาศดังกล่าว ได้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างกับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจไทย ที่มีการคาดการณ์ออกมาว่าจะกระทบและเสียหายในหลากหลายมิติ

เปิดเผยข้อมูลจากทางด้านรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าจดหมายที่สหรัฐส่งออกมานั้นตามเวลาสหรัฐในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ตรงกับวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 สวนทางกับข้อเสนอใหม่ที่ไทยส่งไปเพิ่ม โดยไทยได้เสนอลดภาษีส่วนใหญ่ให้สินค้าสหรัฐ 90% ของรายการนำเข้า ส่วนอีก 10% ต้องสงวนไว้ เพื่อดูแลผู้ประกอบการในประเทศไทย ภาษีส่วนใหญ่จะดูจากที่ไทยทำเขตเสรีทางการค้า FTA กับประเทศต่างๆ โดยมีอัตราภาษีที่ 0% อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าจะเป็น 0% ทั้งหมด โดยจะดูผลกระทบกับคู่ค้าอื่นด้วย

เดดไลน์สำหรับการเจรจา

จากการที่สหรัฐอเมริกาส่งจดหมายออกมา เนื่องจากใกล้กับเดดไลน์วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 แต่สหรัฐยังเจรจากับประเทศต่างๆไม่หมด สหรัฐเลยได้มีการส่งจดหมายต่างๆ และ เลื่อนการจัดเก็บภาษีเป็นวันที่ 1 สิงหาคม 2568 สำหรับแนวทางต่างๆ ของประเทศไทย เมื่อคืนวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ได้มีการมอบหมายเจ้าหน้าที่ไทยประจำสหรัฐ ติดตามความคืบหน้าข้อเสนอใหม่ที่ไทยได้ส่งไป ตอนนี้อยู่ในมือสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐเรียบร้อยแล้ว

เตรียมแผนการล้วงหน้าเอาไว้รึยัง?

มีคำถามออกมา ว่าถ้าสหรัฐสุดท้ายแล้วจัดเก็บภาษีในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ได้ข้อสรุปว่าจะจัดเก็บภาษาี 36% หรือ ต่ำกว่า 36% ทางรัฐบาลได้ออกมาแจ้งว่ามีแผนสำรองเอาไว้แล้ว ปัจจุบันการค้าบนโลกมีการปรับปรุงตลอดเวลา ในส่วนของการเยียวยาผู้ประกอบการ ก็มีเตรียมเอาไว้อยู่แล้ว สำหรับงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ 40,000 ล้านบาท จะนำมาใช้รองรับผลกระทบด้วยหรือไม่นั้น ทางรองนายกระบุว่า ต้องพิจารณาความจำเป็นก่อน

ทางรัฐบาลได้ออกมายืนยันว่า มีความมั่นใจว่าข้อเสนอที่ยื่นไปล่าสุดนั้นได้อธิบายและสามารถวัดผลได้ ดูแล้วสามารถปฎิบัติได้ ทางด้านปลัดกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยว่า ข้อเสนอที่ 2 แตกต่างจากข้อเสนอแรก โดยเฉพาะเรื่องจำนวนรายการสินค้าที่ลดภาษีให้เป็น 0% ซึ่งมีจำนวนหลายพันรายการ แต่ยังไม่มี feedback กลับมา แต่เชื่อว่าจะมีผลในทิศทางบวก การแถลงการณ์จากสหรัฐแจ้งมาอย่างชัดเจนว่า ถ้ายังไม่หาข้อยุติภายใน 1 สิงหาคม 2568 ไทยจะต้องถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ซึ่งระหว่างนี้ยังสามารถเจรจากันได้ เชื่อว่าอัตราภาษีสดท้ายที่ไทยจะได้รับไม่น่าถึง 36% เมื่อพิจารณาข้อเสนอของเราถือว่าดีมาก ซึ่งภาษีน่าจะต่ำกว่าเดิมแน่นอน

คาดการณ์มูลค่าส่งออกเสียหาย 9 แสนล้านบาท

ด้านประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ออกแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการตัดสินใจของสหรัฐเบื้องต้น ที่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีสหรัฐเป็นคู่ค้าหลัก ยกตัวอย่างเช่น อาหารแปรรูป, สินค้าเกษตร, ยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, สิ่งทอ, อัญมณี, เหล็ก และ อลูมิเนียม คาดว่ามูค่าความเสียหายต่อการส่งออกทไยอาจจะอยู่ที่ 9 แสนล้านบาท

 

เตรียมเพิ่มสิทธิประกันสังคมทำฟัน แยกผ่าฟันคุด สูงสุด 2,500 บาท

เปิดเผยข้อมูลจากคณะกรรมการการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม มีมติเห็นชอบแยกค่าผ่าฟันคุดออกจากสิทธิทันตกรรม จ่ายให้สูงสุด 2,500 บาท พร้อมเพิ่มสิทธิค่ารักษาทันตกรรมจากเดิม 900 บาท ตามจ่ายจริง ซึ่งรอชงเข้าบอร์ด สปส. ให้อนุมตัิอีกครั้ง

คณะกรรมการการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม บอร์ดแพทย์ สปส. ประชุมพิจารณาสิทธิการรักษาทันตกรรมมีมติเห็นชอบหลักๆตามรายละเอียดด้านล่าง

  • แยกค่าผ่าฟันคุด ออกจากสิทธิทำฟัน 900 บาท
  • ผ่าฟันคุดแบบง่ายจ่ายตามอัตรากรมบัญชีกลาง 1,500 บาท
  • ผ่าฟันคุดแบบยากจ่าย 2,500 บาท

ปรับเพิ่มค่ารักษาทันตกรรมจากเดิม 900 บาท จ่ายตามจริง

  • ครอบคลุมการอุดฟัน, ขูดหินปูน และ ถอนฟัน
  • เงื่อนไขต้องรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ หากใช้บริการเอกชนยังคงจ่ายไม่เกิน 900 บาท

เพิ่มสิทธิค่าตรวจสุขภาพช่องปาก

  • หน่วยบริการต้องจัดทำข้อมูลสุขภาพช่องปากผู้ประกันตน เพื่อลดการเบิกซ้ำซ้อน

มาตรการดังกล่าวจะทำการเสนอให้กับคณะกรรมการประกันสังคมพิจารณาอีกครั้ง คาดว่าจะมีการประกาศใช้ได้ภายในเดือนสิงหาคม 2568 นี้

 

 

ลาออกจากงานเปลี่ยนสิทธิประกันสังคมเป็นบัตรทองยังไง?

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. ได้เปิดขั้นตอนสำหรับคนที่ลาออกจากงานเปลี่ยนสิทธิประกันสังคมเป็นบัตรทอง สามารถทำได้ง่ายๆด้วยตัวเอง สำหรับใครที่ลาออกจากงาน หรือว่างงานไม่ต้องกังวลสิทธิขาด สามารถเปลี่ยนสิทธิประกันสังคมเป็นบัตรทองได้ง่ายๆ หลังสิทธิประกันสังคมหมด 6 เดือนหลังจากลาออก สามารถลงทะเบียนบัตรทองได้ด้วยตัวเองตามรายละเอียดด้านล่าง

เปิดช่องทางการเปลี่ยนสิทธิประกันสังคม 2 ช่องทาง

  • ช่องทางที่ 1 เปลี่ยนผ่านแอป สปสช. ผ่าน Android และ iOS เลือกเมนูเปลี่ยนหน่อยบริการด้วยตัวเอง
  • ช่องทางที่ 2 Line OA สปสช. ผ่าน @nhso เลือกเมนูเปลี่ยนหน่วยบริการด้วยตัวเอง

ลงทะเบียนด้วยตัวเอง

สามารถลงทะเบียนได้ด้วยตัวเองผ่านพื้นที่ต่างๆ เช่น พื้นที่กรุงเทพมหานคร และ พื้นที่ต่างจังหวัด

พื้นที่กรุงเทพมหานคร

  • ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพ สปสช. ชั้น 2 อาคาร B ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ วันและเวลาราชการ
  • โทรสายด่วน สปสช. 1330 ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการให้

พื้นที่ต่างจังหวัด

  • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รพ.สต. / โรงพยาบาลรัฐใกล้บ้าน ในวันและเวลาราชการ

หากต้องการเปลี่ยนหน่วยบริการ สามารถเปลี่ยนหน่วยบริการประจำได้เอง 4 ครั้งต่อ 1 ปี โดยอย่าลืมเช็กสิทธิของตัวเองเพื่อรับการคุ้มครองด้านสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง