แยกประกันสังคมออกจากราชการ เริ่มแล้ว
ประกาศจากทางสำนักงานประกันสังคม เกี่ยวกับการประชุมบอร์ดประกันสังคม ซึ่งเรื่องการแยกราชการออกจากประกันสังคม มีการประชุมกันมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในช่วงเดือนมีนาคม 2568 เพื่อให้อนุกรรมการที่เกี่ยวข้องประกันสังคม ซึ่งจะอิสระมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ. เป็นสิ่งที่เกินอำนาจบอร์ด เลยต้องมีแรงสนับสนุนจากภาคประชาชน สำหรับ สส. ที่มีความคิดเห็นตรงกัน, สภาผู้แทนราษฎร, วุฒิสภา ที่มีความต้องการไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้การบริหารจัดการของประกันสังคมเป็นอิสระมากขึ้น ไม่ตกอยู่ภายใต้ระบบราชการ และจะทำให้เกิดการผลักดันสิทธิประโยชน์ล่าช้า
การรักษาพยาบาลระบบเดียว
หากถามถึงกองทุนประกันสังคมอย่างเดียวที่ไม่ได้ไปรวมกับกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐอื่น รายละเอียดของตัวนี้ไม่ได้ไปรวมกับกองทุนอื่น แต่เรื่องค่ารักษาพยาบาลเป็นเรื่องที่ต้องลงรายละเอียดกันในอนาคต การรักษาพยาบาลจะนำสิทธิประกันสังคมไปรวมกับ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือไม่ หรือบัตรทอง 30 บาท หรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีข้อเสนอนี้ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประกันสังคมไม่มีความชำนาญในการจัดบริการ การรักษาพยาบาลเท่าที่ควร ในขณะที่กองทุนด้านสุขภาพของประกันสังคมจะทะลุ 1 แสนล้านบาทในเวลาไม่ถึง 5 ปี โดยที่สิทธิประโยชน์แทบจะไม่ได้รับเพิ่ม เพราะอำนาจต่อรองไม่สามารถต่อรองกับโรงพยาลเอกชน
ผู้ประกันตนจะต้องได้รับสิทธิท็อปอัป
หากนำเงินสมทบส่วนสิทธิประโยชน์รักษาพยาบาลผู้ประกันตนไปให้ สปสช. ดูแลจะต้องเป็นส่วนสิทธิประโยชน์ที่ได้ท็อปอัปขึ้นจากสิทธิบัตรทอง 30 บาท ยกตัวอย่างกรณีประเทศเยอรมนี ประกันสังคมดูแลเรื่องการแพทย์ที่เพิ่มเติมเพิ่มมากขึ้น เช่นค่าใช้จ่ายในการพักฟื้น ทางประกันสังคมยังจ่ายเงินส่วนนี้ได้ ถ้าหากมีกลไกรักษาพยาบาลที่ สปสช. เข้ามาช่วยประกันสังคม ก็จะสามารถท็อปอัพได้หลายส่วนและทำให้ผู้ป่วยได้รับการพยาบาลที่ดีขึ้น
ขั้นตอน ยกเลิกสัญญาประกันภัยที่ติดมากับบัตรเครดิต
การยกเลิกสัญญาประกันภัยอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงความต้องการ ความไม่พึงพอใจในบริการ หรือเหตุผลทางการเงิน บทความนี้จะนำเสนอขั้นตอนและข้อควรรู้ในการยกเลิกสัญญาประกันภัยอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการยกเลิกสัญญาประกันภัย
1. ติดต่อบริษัทประกันภัย
เริ่มต้นโดยการติดต่อบริษัทประกันภัยที่คุณทำสัญญาไว้ ผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนด เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือการเข้าพบด้วยตนเอง แจ้งความประสงค์ในการยกเลิกสัญญา พร้อมระบุรายละเอียดที่จำเป็น เช่น ชื่อผู้เอาประกันภัย หมายเลขกรมธรรม์ และสาเหตุของการยกเลิก
2. จัดเตรียมเอกสารที่จำเป็น
การยกเลิกสัญญาประกันภัยต้องมีการจัดเตรียมเอกสารดังนี้:
- กรมธรรม์ประกันภัยฉบับจริง: เพื่อเป็นหลักฐานในการยกเลิก
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย: ยืนยันตัวตน
- สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร: สำหรับการรับเงินคืน (ถ้ามี)
3. ส่งเอกสารและยืนยันการยกเลิก
หลังจากเตรียมเอกสารครบถ้วน ส่งไปยังบริษัทประกันภัยตามที่อยู่หรือช่องทางที่กำหนด แนะนำให้ส่งผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนเพื่อมีหลักฐานการส่ง เมื่อบริษัทได้รับเอกสาร จะดำเนินการตรวจสอบและยืนยันการยกเลิกสัญญา
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาประกันภัย
ระยะเวลาการยกเลิกและการคืนเงิน
- ยังไม่ได้รับกรมธรรม์: สามารถยกเลิกได้ทันที โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- ได้รับกรมธรรม์แล้ว: สามารถยกเลิกภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับกรมธรรม์ บริษัทจะคืนเงินเบี้ยประกันที่ชำระไปเต็มจำนวนภายใน 30 วันหลังจากได้รับคำขอยกเลิก
การยกเลิกหลังระยะเวลาที่กำหนด
หากต้องการยกเลิกหลังจาก 30 วัน บริษัทประกันภัยอาจคืนเงินเบี้ยประกันตามสัดส่วนของระยะเวลาที่คุ้มครองไปแล้ว โดยอาจมีการหักค่าใช้จ่ายบางส่วน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท
การยกเลิกประกันภัยที่ทำผ่านโทรศัพท์
หากคุณทำประกันภัยผ่านการติดต่อทางโทรศัพท์ และต้องการยกเลิก:
- ยังไม่ได้รับกรมธรรม์: สามารถยกเลิกได้ทันที
- ได้รับกรมธรรม์แล้ว: สามารถยกเลิกภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับกรมธรรม์ โดยส่งจดหมายบอกเลิกสัญญาพร้อมแนบกรมธรรม์ประกันชีวิต ส่งเป็นไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงบริษัทที่รับประกันภัย
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ตรวจสอบเงื่อนไขสัญญา: ก่อนตัดสินใจยกเลิก ควรอ่านและเข้าใจเงื่อนไขการยกเลิกในสัญญาอย่างละเอียด
- รักษาหลักฐานการยกเลิก: เก็บสำเนาเอกสารและหลักฐานการส่งเอกสารยกเลิกไว้เสมอ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สายด่วน 1186
การยกเลิกสัญญาประกันภัยอาจดูซับซ้อน แต่หากปฏิบัติตามขั้นตอนและคำแนะนำข้างต้น จะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
รวมเบอร์ติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร และ บัตรเครดิต
การติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ใช้บริการทุกท่าน เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา บทความนี้ได้รวบรวมเบอร์ติดต่อของธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ที่อัปเดตล่าสุด เพื่อความสะดวกในการติดต่อ
เบอร์ติดต่อธนาคารและสถาบันการเงิน
ธนาคารกรุงเทพ
- บัวหลวงโฟน: โทร 1333 (ในประเทศ) หรือ (66) 2645 5555 (ต่างประเทศ) ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ธนาคารไทยพาณิชย์
-
SCB Call Center: โทร 02-777-7777 สำหรับบริการทุกประเภท
-
การเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว: หากต้องการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลอื่นๆ นำสมุดบัญชีและบัตรประชาชนไปที่สาขาใกล้บ้าน
ธนาคารกสิกรไทย
- K-Contact Center: โทร 02-888-8888 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารกรุงไทย
- Krungthai Contact Center: โทร 02-111-1111 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- Krungsri Call Center: โทร 1572 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)
- TTB Contact Center: โทร 1428 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารออมสิน
- GSB Contact Center: โทร 1115 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
- BAAC Call Center: โทร 02-555-0555 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
- CIMB Thai Care Center: โทร 02-626-7777 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารยูโอบี
- UOB Call Center: โทร 02-285-1555 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
- Standard Chartered Call Center: โทร 1595 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์
- LH Bank Contact Center: โทร 1327 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารไอซีบีซี (ไทย)
- ICBC (Thai) Call Center: โทร 02-629-5588 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารทิสโก้
- TISCO Contact Center: โทร 02-633-6000 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร
- KKP Contact Center: โทร 02-165-5555 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารซิตี้แบงก์
- Citibank Call Center: โทร 1588 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น (HSBC)
- HSBC Call Center: โทร 02-614-4000 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารเมกะสากลพาณิชย์
- Mega ICBC Call Center: โทร 02-626-7800 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย
- Thai Credit Retail Bank Call Center: โทร 02-697-5454 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ (ไทย)
- SMTB Call Center: โทร 02-163-5555 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารมิซูโฮ
- Mizuho Bank Call Center: โทร 02-163-2999 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย)
- Bank of China Call Center: โทร 02-286-8989 สำหรับบริการทุกประเภท
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
- iBank Call Center: โทร 1302 สำหรับบริการทุกประเภท
ข้อแนะนำในการติดต่อธนาคาร
-
เตรียมข้อมูลส่วนตัว: เช่น หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขบัญชี หรือหมายเลขบัตรเครดิต เพื่อความรวดเร็วในการให้บริการ
-
ระวังมิจฉาชีพ: หากได้รับสายที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ควรตรวจสอบและติดต่อผ่านเบอร์โทรศัพท์ที่ธนาคารระบุไว้เท่านั้น
-
บริการออนไลน์: หลายธนาคารมีแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องโทรติดต่อ
การมีข้อมูลเบอร์ติดต่อของธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการธุรกรรมทางการเงินได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
การมีบัตรเครดิตและการจัดการธุรกรรมทางการเงิน
ในยุคที่เทคโนโลยีทางการเงินพัฒนาอย่างรวดเร็ว การใช้บัตรเครดิตและบริการธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันของหลายๆ คน บัตรเครดิตและบัตรเดบิตช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้จ่าย และสามารถใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านระบบของธนาคาร อย่างไรก็ตาม ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยง ดังนั้น การมีเบอร์ติดต่อธนาคารและบัตรเครดิตจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจัดการปัญหาหรือข้อสงสัยที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ความจำเป็นของเบอร์ติดต่อธนาคารและบัตรเครดิต
ป้องกันการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ
ปัจจุบัน มีมิจฉาชีพใช้กลโกงโทรแจ้งหนี้ปลอมเพื่อให้ผู้ถือบัตรเครดิตโอนเงินหรือให้ข้อมูลสำคัญ หลายกรณีที่ผู้เสียหายไม่ได้มีบัตรเครดิตกับธนาคารที่ถูกกล่าวอ้าง แต่ยังถูกหลอกให้ทำตามคำสั่งของมิจฉาชีพ หากคุณมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกต้องของธนาคาร คุณสามารถโทรตรวจสอบข้อมูลได้ทันที และหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ
การขอความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน
ในบางกรณี เช่น บัตรเครดิตหาย บัตรถูกขโมย หรือมีการใช้จ่ายที่ผิดปกติ คุณสามารถโทรหา Call Center ของธนาคารเพื่อขอระงับบัตรหรือดำเนินการตรวจสอบยอดค่าใช้จ่ายได้ทันที นอกจากนี้ หากพบปัญหาเกี่ยวกับการทำธุรกรรมออนไลน์ หรือบัตรไม่สามารถใช้งานได้ เบอร์ติดต่อธนาคารจะเป็นช่องทางที่สะดวกและรวดเร็วในการขอความช่วยเหลือ
บริการของ Call Center ธนาคารและบัตรเครดิต
ประเภทของการให้บริการผ่าน Call Center
- บริการเชิงรับ (Inbound Service): บริการที่ช่วยตอบคำถามและแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า เช่น การสอบถามยอดค้างชำระ การเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว และการแจ้งเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับบัตรเครดิต
- บริการเชิงรุก (Outbound Service): เป็นบริการที่ธนาคารติดต่อออกไปหาลูกค้า เช่น การเสนอขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน โปรโมชั่น หรือสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า
การใช้ Call Center อย่างปลอดภัย
- ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้าว่ามาจากธนาคารจริงหรือไม่ หากไม่แน่ใจ ให้โทรกลับหมายเลขที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ธนาคาร
- หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสบัตรเครดิต หรือ OTP ทางโทรศัพท์ หากได้รับสายที่น่าสงสัย
- หากได้รับแจ้งยอดค้างชำระที่ไม่ถูกต้อง ควรติดต่อธนาคารโดยตรงเพื่อขอตรวจสอบ
ข้อควรระวังในการรับสายจาก Call Center
- มิจฉาชีพอาจปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารและใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่ดูคล้ายกับธนาคารจริง
- หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัวหรือโอนเงินโดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัด
- หากได้รับข้อความแจ้งให้คลิกลิงก์ที่แนบมา ควรตรวจสอบว่ามาจากธนาคารจริงหรือไม่ โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ธนาคารเองแทนการคลิกลิงก์
ประโยชน์ของการมีเบอร์ติดต่อธนาคารและบัตรเครดิต
- ช่วยในการตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน: หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับรายการใช้จ่าย คุณสามารถโทรสอบถามได้โดยตรงจากธนาคาร
- สามารถแจ้งอายัดบัตรได้ทันที: กรณีบัตรหายหรือถูกขโมย การแจ้งอายัดบัตรอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
- สะดวกในการขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับสินเชื่อหรือข้อเสนอพิเศษ: ธนาคารมักมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ถือบัตร ซึ่งสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผ่าน Call Center
- ลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวง: การตรวจสอบข้อมูลกับธนาคารโดยตรงช่วยให้มั่นใจได้ว่าคุณจะไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
วิธีการติดต่อธนาคารอย่างมีประสิทธิภาพ
- เตรียมข้อมูลให้พร้อม: ก่อนโทรติดต่อธนาคาร ควรเตรียมข้อมูลสำคัญ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชี หรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ
- เลือกเวลาที่เหมาะสม: หากต้องการติดต่อ Call Center ควรหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีสายเข้ามาจำนวนมาก เช่น ช่วงต้นเดือนหรือปลายเดือน
- ใช้ช่องทางออนไลน์ควบคู่ไปด้วย: ธนาคารหลายแห่งมีบริการผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องโทรติดต่อ
เบอร์ติดต่อธนาคารและบัตรเครดิตเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถจัดการปัญหาทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การมีหมายเลขโทรศัพท์ของธนาคารในกรณีฉุกเฉินสามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงและช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ควรเก็บหมายเลขสำคัญเหล่านี้ไว้ในโทรศัพท์ของคุณเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้เมื่อต้องการ
Monster Hunter Wilds เกมแห่งยุคที่ต้องเตรียมคอมให้พร้อม
Monster Hunter Wilds คือเกมใหม่ล่าสุดจาก Capcom ที่กำลังได้รับความสนใจจากเหล่าเกมเมอร์ทั่วโลก ภาคนี้มาพร้อมกับกราฟิกที่สวยงามขึ้น รายละเอียดแผนที่ที่กว้างใหญ่ และการเล่นที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องการ คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ได้ภาพที่ลื่นไหลและการเล่นที่เต็มอรรถรส ดังนั้นบทความนี้จะช่วยแนะนำ สเปกคอมที่เหมาะสม สำหรับเล่น Monster Hunter Wilds และบัตรเครดิตที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับการผ่อนคอมเครื่องใหม่!
สเปกคอมที่เหมาะสำหรับเล่น Monster Hunter Wilds
เนื่องจาก Monster Hunter Wilds เป็นเกมที่มีกราฟิกอลังการ คอมพิวเตอร์ที่ใช้เล่นควรมีสเปกดังต่อไปนี้:
สเปกขั้นต่ำ (คาดการณ์)
- CPU: Intel Core i5-9600K / AMD Ryzen 5 3600
- RAM: 16GB DDR4
- GPU: NVIDIA GeForce GTX 1660 Ti / AMD Radeon RX 5600 XT
- Storage: SSD 50GB (ควรเป็น NVMe เพื่อความเร็วที่ดีขึ้น)
- OS: Windows 10 / 11 (64-bit)
สเปกแนะนำ
- CPU: Intel Core i7-12700K / AMD Ryzen 7 5800X
- RAM: 32GB DDR4 หรือ DDR5
- GPU: NVIDIA GeForce RTX 3070 / AMD Radeon RX 6800 XT
- Storage: SSD NVMe 1TB
- OS: Windows 11 (64-bit)
สเปกระดับสูง (สำหรับเล่น 4K / 60FPS ขึ้นไป)
- CPU: Intel Core i9-13900K / AMD Ryzen 9 7950X
- RAM: 32GB – 64GB DDR5
- GPU: NVIDIA GeForce RTX 4090 / AMD Radeon RX 7900 XTX
- Storage: SSD NVMe 2TB
- OS: Windows 11 (64-bit)
หากคุณต้องการ ประสบการณ์เล่นที่ดีที่สุด โดยเฉพาะการเล่นที่ 1440p หรือ 4K Ultra Settings ควรลงทุนกับ การ์ดจอที่มี VRAM 12GB ขึ้นไป เช่น RTX 4080 หรือ RTX 4090
วิธีเลือกบัตรเครดิตสำหรับผ่อนคอมเครื่องใหม่ให้คุ้มที่สุด
หากคุณต้องการซื้อคอมเครื่องใหม่สำหรับเล่น Monster Hunter Wilds แต่ไม่อยากจ่ายเงินก้อนใหญ่ทันที การใช้บัตรเครดิตเพื่อผ่อน 0% หรือรับเครดิตเงินคืน เป็นทางเลือกที่ช่วยให้คุณจัดการค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น นี่คือ บัตรเครดิตที่เหมาะกับการผ่อนคอม:
1. บัตรเครดิต KBank Shopee Card
✅ ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน สำหรับการซื้อสินค้าผ่าน Shopee ✅ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 10% ✅ รับโค้ดส่วนลดเพิ่ม เมื่อซื้อผ่าน Shopee
เหมาะสำหรับ: สั่งซื้อคอมพิวเตอร์จากร้านค้าใน Shopee เช่น JIB, Advice, IT City
2. บัตรเครดิต UOB Lazada
✅ ผ่อน 0% นาน 10 เดือน สำหรับการซื้อใน Lazada การใชับัตรเครดิต UOB ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีมากเนื่องจาก ✅ รับเครดิตเงินคืน 10% ✅ มีโปรโมชั่นโค้ดลดพิเศษทุกเดือน
เหมาะสำหรับ: คนที่ซื้อคอมผ่าน Lazada โดยเฉพาะช่วงโปรลดราคา
3. บัตรเครดิต First Choice (สำหรับการซื้อผ่านร้านค้า IT โดยตรง)
✅ ผ่อน 0% นานสูงสุด 36 เดือน ✅ ใช้ได้กับร้านค้าไอทีชั้นนำ เช่น JIB, Banana IT, IT City ✅ มีโปรโมชั่นลดเพิ่ม หรือรับเครดิตเงินคืนเป็นระยะ
เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการผ่อนยาว ลดภาระค่าผ่อนรายเดือน
4. บัตรเครดิต SCB M LIVE
✅ ผ่อน 0% นาน 10 เดือน ✅ รับ M Point เพื่อแลกส่วนลดสินค้าไอที ✅ มีโปรโมชั่นร่วมกับ Power Buy และ Banana IT
เหมาะสำหรับ: คนที่ซื้อจาก Power Buy หรือ Banana IT
5. บัตรเครดิต UOB Preferred
✅ ผ่อน 0% นาน 10 เดือน ✅ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% ✅ มีโปรโมชั่นส่วนลดพิเศษร่วมกับร้านค้าไอที
เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการสิทธิพิเศษเพิ่มเติมในการผ่อนคอม
เตรียมคอมให้พร้อมแล้วไปล่าใน Monster Hunter Wilds!
Monster Hunter Wilds เป็นเกมที่ต้องการสเปกเครื่องสูง หากคุณอยากเล่นแบบลื่นไหล ไม่สะดุด การลงทุนใน CPU และ GPU ที่แรงพอ เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การใช้บัตรเครดิตที่ให้ ผ่อน 0% หรือคืนเงินสูงสุด จะช่วยให้การซื้อคอมเครื่องใหม่ไม่เป็นภาระมากเกินไป
คำแนะนำเพิ่มเติม
- เลือกซื้อในช่วงโปรโมชั่น เช่น 3.3 เพื่อรับส่วนลดพิเศษ
- เปรียบเทียบราคาจากหลายร้านค้า ก่อนตัดสินใจซื้อ
- เลือกบัตรที่มีเครดิตเงินคืน เพื่อให้ได้ราคาสุทธิที่ถูกลง
โอนเงินจากบัตรเครดิต เข้าบัญชีธนาคาร มีขั้นตอนอะไรบ้าง
การโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคารเป็นวิธีที่หลายคนใช้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินในยามฉุกเฉินหรือเมื่อมีความต้องการใช้เงินสดอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้มีข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
ข้อดีของการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
-
เข้าถึงเงินสดได้อย่างรวดเร็ว: เมื่อคุณต้องการเงินสดทันที การโอนเงินจากบัตรเครดิตไปยังบัญชีธนาคารสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
-
สะดวกสบาย: กระบวนการโอนเงินสามารถทำผ่านแอปพลิเคชันธนาคารหรือเว็บไซต์ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังสาขา
-
โปรโมชั่นพิเศษ: บางธนาคารมีโปรโมชั่นสำหรับการโอนเงินจากบัตรเครดิต เช่น ดอกเบี้ยพิเศษหรือระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย
ข้อเสียของการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
-
ดอกเบี้ยสูง: การเบิกเงินสดจากบัตรเครดิตมักมีดอกเบี้ยสูงกว่าการใช้บัตรเครดิตในการซื้อสินค้า
-
ค่าธรรมเนียม: นอกจากดอกเบี้ยแล้ว ยังมีค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสดที่ต้องชำระ
-
ความเสี่ยงในการเป็นหนี้: หากไม่มีการวางแผนการชำระเงินที่ดี การโอนเงินจากบัตรเครดิตอาจทำให้คุณตกอยู่ในวงจรหนี้
วิธีการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
-
ตรวจสอบเงื่อนไขของบัตรเครดิต: ก่อนทำการโอนเงิน ควรตรวจสอบเงื่อนไข ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
-
ติดต่อธนาคาร: บางธนาคารอนุญาตให้โอนเงินผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ แต่บางกรณีอาจต้องติดต่อผ่านศูนย์บริการลูกค้า
-
กรอกข้อมูลการโอนเงิน: ระบุจำนวนเงินที่ต้องการโอนและข้อมูลบัญชีธนาคารปลายทาง
-
ยืนยันการทำรายการ: ตรวจสอบข้อมูลและยืนยันการโอนเงิน
ข้อควรระวัง
-
วางแผนการชำระเงิน: ควรวางแผนการชำระเงินคืนให้ตรงเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยและค่าปรับ
-
ไม่ควรใช้บ่อยครั้ง: การโอนเงินจากบัตรเครดิตควรใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เพื่อป้องกันการสะสมหนี้
-
เปรียบเทียบกับวิธีอื่น: พิจารณาวิธีการอื่น ๆ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล ที่อาจมีดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่ดีกว่า
การโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคารเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในบางสถานการณ์ แต่ควรใช้อย่างระมัดระวังและมีการวางแผนการชำระเงินที่ดีเพื่อป้องกันปัญหาทางการเงินในอนาคต
รีวิวการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร: ตัวเลือกที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
การโอนเงินจากบัตรเครดิตไปยังบัญชีธนาคารกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่ต้องการเงินสดด่วนโดยไม่ต้องขอสินเชื่อส่วนบุคคลหรือใช้เงินกู้รายวัน อย่างไรก็ตาม มีหลายปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจใช้วิธีนี้ เรามาดูรายละเอียดกันว่าข้อดี ข้อเสีย และขั้นตอนมีอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
ข้อดีของการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
✅ 1. ได้เงินสดทันที
หนึ่งในข้อได้เปรียบหลักของการโอนเงินจากบัตรเครดิตคือความรวดเร็ว คุณสามารถทำรายการได้ในไม่กี่นาทีผ่านแอปธนาคารหรือเว็บไซต์ของผู้ให้บริการบัตรเครดิต ซึ่งสะดวกกว่าการขอสินเชื่อที่อาจต้องใช้เวลาพิจารณาหลายวัน
✅ 2. ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
หากคุณต้องการเงินสดจากธนาคารโดยทั่วไปอาจต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันหรือเอกสารยืนยันรายได้ แต่การโอนเงินจากบัตรเครดิตไปยังบัญชีธนาคารช่วยให้คุณได้รับเงินสดโดยไม่ต้องยุ่งยากกับขั้นตอนเหล่านั้น
✅ 3. มีโปรโมชั่นพิเศษ
บางบัตรเครดิตมีข้อเสนอพิเศษสำหรับการโอนเงิน เช่น ดอกเบี้ย 0% ในช่วงเวลาโปรโมชั่น หรือสามารถผ่อนชำระได้ในอัตราที่ต่ำกว่าการเบิกเงินสดผ่านตู้ ATM
ข้อเสียของการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
❌ 1. ดอกเบี้ยสูง
การโอนเงินจากบัตรเครดิตมักมาพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่สูง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 18%-28% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลทั่วไป หากไม่ได้ชำระเงินคืนภายในระยะเวลาที่กำหนด คุณอาจต้องเสียค่าดอกเบี้ยจำนวนมาก
❌ 2. มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
ธนาคารหรือสถาบันการเงินบางแห่งคิดค่าธรรมเนียมการโอนเงิน ซึ่งอาจอยู่ที่ประมาณ 2%-5% ของยอดเงินที่โอน ทำให้ต้นทุนรวมของการใช้เงินสดสูงขึ้น
❌ 3. ความเสี่ยงของการเป็นหนี้สะสม
หากคุณไม่มีแผนการชำระเงินที่ดี การโอนเงินจากบัตรเครดิตอาจนำไปสู่หนี้สะสมที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้การเงินของคุณตึงเครียดในระยะยาว
วิธีโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
หากคุณพิจารณาแล้วว่าต้องการใช้วิธีนี้ นี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้อย่างง่ายดาย:
1. ตรวจสอบเงื่อนไขของบัตรเครดิต
- ตรวจสอบว่าบัตรเครดิตของคุณอนุญาตให้โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารหรือไม่
- ตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
2. เลือกช่องทางการโอนเงิน
คุณสามารถทำรายการผ่าน:
- แอปพลิเคชันธนาคาร
- เว็บไซต์ของผู้ออกบัตรเครดิต
- ติดต่อศูนย์บริการลูกค้า
3. กรอกข้อมูลและยืนยันการโอนเงิน
- ป้อนหมายเลขบัญชีปลายทาง
- ระบุจำนวนเงินที่ต้องการโอน
- ตรวจสอบค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยก่อนกดยืนยัน
4. วางแผนการชำระคืน
- หากต้องการลดภาระดอกเบี้ย ให้ชำระยอดเต็มภายในรอบบิล
- ตรวจสอบว่าคุณสามารถแบ่งชำระขั้นต่ำได้หรือไม่ และคำนวณว่าคุณจะต้องเสียดอกเบี้ยเท่าไหร่
ข้อควรระวังในการโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าสู่บัญชีธนาคาร
- ใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น – ไม่ควรใช้วิธีนี้บ่อยครั้ง เพราะจะทำให้คุณเป็นหนี้สะสมได้ง่าย
- เปรียบเทียบตัวเลือกอื่น ๆ – พิจารณาทางเลือกอื่น เช่น สินเชื่อเงินสดหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่อาจมีดอกเบี้ยต่ำกว่า
- ตรวจสอบโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษ – บางธนาคารอาจมีโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% ในช่วงเวลาโปรโมชั่น ทำให้คุณสามารถใช้วิธีนี้ได้คุ้มค่าขึ้น
บัตรเครดิต Cashback รับเงินคืนตอนไหน?
บัตรเครดิตแบบ Cashback หรือบัตรเครดิตที่มีระบบคืนเงิน เป็นเครื่องมือทางการเงินที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนจากการใช้จ่ายประจำวัน โดยบัตรเหล่านี้จะคืนเงินเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดการใช้จ่ายตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ การคืนเงินอัตโนมัติและการสะสมแต้มเพื่อแลกเงินคืน
การคืนเงินอัตโนมัติ คือระบบที่ธนาคารจะคำนวณยอดเงินคืนและหักออกจากยอดใช้จ่ายในรอบบัญชีถัดไปโดยอัตโนมัติ ส่วนการสะสมแต้มเพื่อแลกเงินคืน ผู้ใช้จะต้องสะสมยอดการใช้จ่ายให้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดก่อนจึงจะสามารถแลกเป็นเงินคืนได้
สำหรับการรับเงินคืนจากบัตรเครดิต Cashback นั้น โดยทั่วไปธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีบัตรเครดิตของผู้ใช้ภายใน 30 ถึง 60 วันหลังจากวันที่ทำรายการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร การรับเงินคืนจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้
- ซื้อสินค้า หรือบริการที่ร่วมรายการโปรโมชั่นตามที่ธนาคารกำหนด
- มียอดการใช้จ่ายถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารระบุ
- ทำการแลกเครดิตเงินคืนผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร (ในกรณีที่เป็นระบบสะสมแต้ม)
ตัวอย่างการรับเงินคืน:
หากคุณมียอดใช้จ่าย 10,000 บาท และบัตรเครดิตของคุณมีโปรโมชั่นคืนเงิน 5% คุณจะได้รับเครดิตเงินคืน 500 บาท ซึ่งจะถูกหักออกจากยอดใช้จ่ายในรอบบัญชีถัดไป ดังนั้น หากในรอบบัญชีถัดไปคุณมียอดใช้จ่าย 10,000 บาทเช่นกัน ยอดที่ต้องชำระจริงจะเหลือ 9,500 บาท
เคล็ดลับการใช้บัตรเครดิต Cashback ให้คุ้มค่า:
-
เลือกบัตรที่ตรงกับไลฟ์สไตล์: ปัจจุบันมีบัตรเครดิต Cashback หลากหลายรูปแบบ บางบัตรเน้นการคืนเงินจากการใช้จ่ายทั่วไป ขณะที่บางบัตรเน้นหมวดหมู่เฉพาะ เช่น ร้านอาหาร การเติมน้ำมัน หรือการช้อปปิ้งออนไลน์ การเลือกบัตรที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณจะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
-
ตรวจสอบเงื่อนไขการรับ Cashback: บางบัตรกำหนดยอดใช้จ่ายขั้นต่ำหรือมีการจำกัดวงเงินคืนสูงสุด การทราบเงื่อนไขเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
ตรวจสอบค่าธรรมเนียม: ก่อนสมัครบัตรเครดิต Cashback ควรตรวจสอบว่ามีค่าธรรมเนียมรายปีหรือไม่ หากมี ควรพิจารณาว่าสามารถขอยกเว้นได้หรือไม่ หรือมีเงื่อนไขการใช้จ่ายขั้นต่ำเพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าว
-
ชำระยอดค้างชำระเต็มจำนวน: การชำระยอดค้างชำระเต็มจำนวนทุกเดือนจะช่วยหลีกเลี่ยงดอกเบี้ย และรักษาประวัติทางการเงินที่ดี
-
ติดตามโปรโมชั่นพิเศษ: ธนาคารมักมีโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าต่าง ๆ ที่มอบเครดิตเงินคืนพิเศษ การติดตามข่าวสารเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการใช้บัตรเครดิต
บัตรเครดิต Cashback ที่น่าสนใจในปี 2025:
-
บัตรเครดิตยูโอบี ซิมเพิล: ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดชีพ ค่าธรรมเนียมการกดเงินสดเพียง 1% และรับ e-Coupon มูลค่า 200 บาททุกเดือนเมื่อมียอดใช้จ่ายตามเงื่อนไข
-
บัตรเครดิต Titanium กสิกรไทย: คืนเงินในทุกการใช้จ่าย ทั้งกิน ช้อป เที่ยว เติมน้ำมัน หรือแบ่งจ่าย 0% 3 เดือนก็ได้ ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี
-
บัตรเครดิตยูโอบี เวิลด์: รับคะแนนสะสมยูโอบี รีวอร์ด 5 เท่าทุกการใช้จ่ายออนไลน์ และ e-wallet รวมถึงหมวดร้านอาหาร ท่องเที่ยว และการใช้จ่ายในสกุลเงินต่างประเทศ
การเลือกใช้บัตรเครดิต Cashback ที่เหมาะสมและการวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้จ่าย แถมยังช่วยให้ทุกๆการจ่ายเงินของคุณคุ้มกว่าการใช้บัตรเครดิตอื่นๆ ที่มักจะได้รับสิทธิประโยชน์กลับมาเป็นคะแนน หรือของรางวัลต่างๆ การใช้บัตร Cashback อาจจะทำให้สินค้า หรือบริการของคุณราคาถูกลงไปอีกเมื่อได้รับ Cashback กลับมานั่นเอง ปัจจุบันมีหลายธนาคารที่ให้บริการบัตรเครดิตในรูปแบบ Cashback ลองสมัครและหามาใช้ดูได้เลย
เตรียมประกาศ เคาะขั้นตอนจ่ายเงินเยียวยา เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย
รอครม. เคาะ เกี่ยวกับขั้นตอนการจ่ายเงินเยียวยา เงินชดเชยช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ที่เข้าร่วมแนวทางไม่เผาอ้อยเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5
ข้อมูลล่าสุดจากทางที่ปรึกษากองบัญชาการป้องกัน และ บรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจ่ายเงินชดเชยให้กับพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยที่ปฎิบัติตามแนวทางไม่เผา ได้ออกมาระบุว่ากระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการเตรียมเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้อยู่ระหว่างพิจาณาของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ในการรณรงค์ให้หยุดเผาอ้อย โดยใช้วิธีการเคาะประตูบ้านนั้นมีความคืบหน้าไปแล้วจำนวน 1,207 ชุมชน ครอบคุลม 23,522 ครัวเรือน ซึ่งคาดว่าการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป จะสามารถดำเนินการได้ภายในสัปดาห์หน้านี้
จนถึงตอนนี้สถานการณ์ไฟป่า ทางกรมป้าไม้ไม่ได้มีการรายงานเพิ่มเติม และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยจำนวนจุดความร้อนลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
มาตรการใหม่ล่าสุด ไทยเที่ยวไทย รัฐจ่ายครึ่งนึง
สายเที่ยวต้องไม่พลาดกับโครงการใหม่ล่าสุดจากทางรัฐบาลที่ออกมาเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทย กับโครงการ ไทยเที่ยวไทย โลว์ซีซัน รัฐบาลจ่ายให้คนละครึ่ง ค่าที่พัก ค่าอาหาร และ ค่าตั๋วเครื่องบิน มีส่วนลดให้ถึง 50% ใครที่ได้รับสิทธิ์บ้าง แล้วเฟสแรกเปิดให้ลงทะเบียนเมื่อไหร่ สามารถไปเช็คเพิ่มเติมได้ด้านล่างเลย
เปิดมาตรการใหม่ล่าสุด ไทยเที่ยวไทย รัฐจ่ายคนละครึ่ง
อีกหนึ่งมาตรการที่ถือว่าเป็นกระแสมากในช่วงนี้ เป็นมาตรการที่ออกมาเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทยของเรา ซึ่งมาตรการนี้ใช้งบกลางจำนวน 3.5 พันล้านบาท ทางด้านรัฐมาตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ออกมาเปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยว เตรียมชงของบกลาง และ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือ จำเป็นประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อเป็นการจัดทำโครงการเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทย ยังรอสรุปชื่อโครงการอย่างเป็นทางการอยู่
ลงทะเบียนมาตรการ ไทยเที่ยวไทยโลว์ซีซัน เปิดให้ลงทะเบียนและใช้สิทธิ์วันไหน?
โครงการไทยเที่ยวไทย โลว์ซีซัน เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ไปจนถึงเดือนกันยายน 2568
ใครได้รับสิทธิ์บ้างโครงการ ไทยเที่ยวไทย รัฐจ่าย “คนละครึ่ง”
- ไทยเที่ยวไทย ภาครัฐจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวเพิ่มขึ้่นเป็นสัดส่วน 50%
- นักท่องเที่ยวไทยจ่ายเองอีก 50% หรือเรียกว่าจ่ายคนละครึ่ง
- รัฐบาลไทย เชื่อว่าเมื่อเปิดให้จองสิทธิ์โครงการนี้ จะมีคนเข้ามาใช้สิทธิ์หมดอย่างรวดเร็วแน่นอน
ปัจจุบันโครงการนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอโครงการกับทาง กระทรวงการคลัง เพื่อหารือข้อสรุป แต่ที่แน่ๆคือถ้าโครงการนี้ผ่าน สามารถใช้สิทธิ์จ่ายคนละครึ่งกับค่าใช้จ่ายตามลิสด้านล่าง
- ค่าโรงแรมคนละครึ่ง
- ค่าร้านอาหารคนละครึ่ง
ส่วนค่าตั๋วเครื่องบินนั้นยังไม่ได้ข้อสรุป ต้องรอผลการประชุมอีกที นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางให้เป็นเกตเวย์ดึง OTA หรือบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ ที่พร้อมให้ความร่วมมือในการจองสินค้าท่องเที่ยว รวมถึงโรงแรมสามารถเข้าร่วมเพื่อรองรับการจองห้องพักโดยตรงได้
เปิดรายละเอียดวิธีใช้สิทธิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน หากต้องการใช้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ต จะต้องจ่ายยังไง ยกตัวอย่างจากทาง CJ More ที่มีการประกาศแจ้งเปลี่ยนวิธีใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน 2568 ผ่านการรูดบัตร สามารถใช้ซื้อของได้แล้วตั้งแต่วันนี้ เฉพาะสาขาที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น ให้ประชาชนที่ถือบัตรแสดงบัตรประชาชน และทำการกดรหัสคู่บัตร หรือ PIN 6 หลัก และทำการสแกนหน้า สำหรับผู้ถือบัตรท่านไหนตรวจพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการใช้งานบัตร สามารถเช็ครายละเอียดและขั้นตอนในการแก้ไขได้ด้านล่างเลย
3 ขั้นตอนในการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ร้าน CJ More
- แสดงบัตรประจำตัวประชาชน
- กดรหัสคู่บัตร หรือ PIN 6 หลัก
- สแกนใบหน้า ให้ถอดแว่น ถอดหมวก และ หน้ากากอนามัย
กรณีพบปัญหาในงานใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรมีปัญหา
- จำรหัสไม่ได้
- รหัสถูกล็อก
- ต้องการเปลี่ยนรหัส หรือ PIN
- ไม่สามารถแสดงใบหน้าได้
- ไม่พบการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของเลขบัตรประชาชน
ถ้าหากเจอปัญหาด้านบนให้ทำการติดต่อธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา หรือติดต่อที่ Welfare Call Center 02-109-2345 ในวันเวลาทำการ ตั้งแต่วันจันทร์ ถึงวันศุกร์เวลา 08.30 – 17.30 น.
วิธีจ่ายบัตรเครดิต UOB ง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวคุณเอง
การชำระค่าบัตรเครดิต UOB เป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำทุกเดือนเพื่อป้องกันค่าปรับและดอกเบี้ยที่ไม่จำเป็น หลายคนอาจสงสัยว่าสามารถจ่ายเงินผ่านช่องทางใดได้บ้าง ในบทความนี้เราจะมารีวิววิธีการจ่ายบัตรเครดิต UOB ที่สะดวกและปลอดภัยที่สุด
วิธีการชำระบัตรเครดิต UOB
การชำระค่าบัตรเครดิต UOB สามารถทำได้หลายช่องทาง ซึ่งแต่ละช่องทางมีข้อดีแตกต่างกันไป เรามาดูกันว่าสามารถจ่ายได้ผ่านทางไหนบ้าง
1. จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน UOB TMRW
หนึ่งในวิธีที่สะดวกที่สุดคือการใช้แอปพลิเคชัน UOB TMRW โดยสามารถทำได้ดังนี้:
- ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน UOB TMRW
- ล็อกอินเข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน
- เลือกเมนู “Bill Payment”
- เลือกบัญชีที่ต้องการชำระเงินและจำนวนเงิน
- กดยืนยันการชำระเงิน
2. จ่ายผ่านเว็บไซต์ UOB Internet Banking
หากไม่สะดวกใช้แอปพลิเคชัน สามารถจ่ายผ่านเว็บไซต์ของ UOB ได้ง่ายๆ ด้วยวิธีดังนี้:
- เข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.uob.co.th
- ล็อกอินเข้าสู่ระบบด้วยรหัสผ่าน
- เลือกเมนู “Bill Payment” หรือ “ชำระเงิน”
- กรอกรายละเอียดบัตรเครดิตที่ต้องการชำระ
- ตรวจสอบข้อมูลและกดยืนยัน
3. ชำระผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร UOB
สำหรับผู้ที่สะดวกชำระด้วยเงินสดหรือเช็ค สามารถไปที่สาขาธนาคาร UOB และดำเนินการที่เคาน์เตอร์ โดยต้องแจ้งรายละเอียดดังนี้:
- หมายเลขบัตรเครดิต
- จำนวนเงินที่ต้องการชำระ
- เอกสารยืนยันตัวตน (เช่น บัตรประชาชน หรือสมุดบัญชีธนาคาร)
4. โอนเงินผ่าน Mobile Banking ของธนาคารอื่น
หากใช้บัญชีธนาคารอื่นก็สามารถโอนเงินไปยังบัญชีของ UOB เพื่อชำระบัตรเครดิตได้ โดยใช้รายละเอียดบัญชีของ UOB และระบุหมายเลขบัตรเครดิตในช่องหมายเหตุ
5. ชำระผ่าน ATM
สำหรับคนที่ไม่สะดวกใช้แอปพลิเคชันหรืออินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง สามารถชำระผ่านตู้ ATM ได้โดย:
- ใส่บัตร ATM และเลือก “ชำระบัตรเครดิต”
- เลือกธนาคาร UOB และกรอกหมายเลขบัตรเครดิต
- ระบุจำนวนเงินที่ต้องการชำระ
- กดยืนยันและรับสลิปเป็นหลักฐาน
6. หักบัญชีอัตโนมัติ (Auto Debit)
สำหรับคนที่ไม่อยากลืมจ่ายเงิน สามารถสมัครบริการ Auto Debit ให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีโดยอัตโนมัติทุกเดือน ซึ่งช่วยให้ไม่พลาดกำหนดชำระและไม่เสียค่าปรับ
คำแนะนำเพิ่มเติมในการจ่ายบัตรเครดิต UOB
✅ จ่ายเต็มจำนวนดีที่สุด
การจ่ายขั้นต่ำอาจทำให้คุณต้องเสียดอกเบี้ยที่สูง ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรจ่ายเต็มจำนวนเพื่อป้องกันดอกเบี้ยสะสม
✅ ชำระก่อนกำหนดเพื่อป้องกันค่าปรับ
หากต้องการเลี่ยงค่าปรับ ควรชำระเงินก่อนวันครบกำหนดอย่างน้อย 2-3 วัน เผื่อเวลาสำหรับการดำเนินการของธนาคาร
✅ ตรวจสอบยอดคงเหลือก่อนชำระ
ควรเช็คยอดคงเหลือและรายละเอียดการใช้จ่ายของบัตรก่อนชำระ เพื่อให้แน่ใจว่าจ่ายยอดที่ถูกต้อง
✅ เก็บหลักฐานการชำระเงิน
ไม่ว่าจะชำระผ่านช่องทางใด ควรเก็บหลักฐานการชำระเงินไว้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงในกรณีที่มีปัญหา
การชำระบัตรเครดิต UOB สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น ผ่านแอปพลิเคชัน UOB TMRW, เว็บไซต์ Internet Banking, เคาน์เตอร์ธนาคาร, Mobile Banking ของธนาคารอื่น, ATM หรือบริการหักบัญชีอัตโนมัติ ควรเลือกช่องทางที่สะดวกและเหมาะสมกับคุณที่สุด
นอกจากนี้ ควร ชำระเงินตรงเวลาและจ่ายเต็มจำนวน เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและดอกเบี้ยที่ไม่จำเป็น หากต้องการให้การเงินของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น การจัดการหนี้บัตรเครดิตให้ดีจะช่วยให้คุณบริหารเงินได้ดียิ่งขึ้น
รายละเอียดการสมัครบัตรเครดิต UOB แต่ละประเภท