สภาพัฒน์เตือนการเปิดผ่อนค่าอาหาร ค่าน้ำมัน หวั่นทำหนี้ครัวเรือนเพิ่ม
เปิดผ่อนค่าอาหาร และ ค่าน้ำมัน ทำหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น
เปิดเผยข้อมูลจากทางด้านเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และ สังคมแห่งชาติ หรือ สศช. แถลเกี่ยวกับภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดยประเด็นของหนี้ครัวเรือน สำหรับแนวโน้มของหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับที่สูง และแก้ไขได้ยาก เนื่องจากการขยายตัวของหนี้เสียที่อยู่ในระดับสูงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินทำให้ลูกหนี้บางส่วนจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบที่สะดวก สามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่องโหว่ที่ทำให้ลูกหนี้อาจถูกเอาเปรียบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง และ ถูกทวงหนี้ด้วยวิธีที่ผิดกฎหมาย แถมยังมีความเสี่ยงที่อาจจะถูกเอาข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด
นอกจากนี้ยังมีประชาชนจำนวนมากใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือที่เรียกกันว่า BNPL ที่อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว เนื่องจากระบบการให้สินเชื่อ BNPL ไม่ได้เชื่อมโยงกับข้อมูลรายได้ หรือ ภาระหนี้อื่นๆ ของลูกหนี้ ทำให้การพิจาณาให้สินเชื่อจากพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านระบบ BNPL ส่งผลให้ผู้ใช้บางรายได้รับวงเงินสินเชื่อสูงเกินระดับรายได้ แถมยังสามารถนำเงินไปซื้อสินค้า และ บริการอื่นนอกเหนือจาก Platform เช่นการจ่ายค่าอาหารตามร้านอาหาร, การผ่านจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งปกติแล้วควรจะต้องจ่ายเต็มจำนวนมากกว่าการทยอยจ่าย เป็นการสร้างค่านิยมที่ผิด
หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยในไตรมาสที่ 1/2568 ตอนนี้อยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท หดตัวลง 0.1% ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 87.4% จาก 88.4% เมื่อไตรมาสที่ผ่านมา ด้านความสามาระในการชำระหนี้ครัวเรือน ยังคงมีปัญหา สินเชื่อบุคคลค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป หรือ NPLs หรือ หนี้เสียในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีมูลค่า 1.19 ล้านล้านบาท แม้สัดส่วนต่อสินเชื่อรวม 8.78% ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน และสัดส่วนหนี้ NPLs ต่อสินเชื่อรวมลดลงในเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และ สินเชื่อบัตรเครดิต แต่เป็นการลดลงจากการหดตัวของการให้สินเชื่อ ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน กลับมาสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ 4.25% จาก 4.17% ของไตรมาสที่ผ่านมา