สินเชื่อ ติดลบหนักมากในรอบ 16 ปี หนี้เสียพุ่งสูง ฉุดเศรษฐกิจ
สินเชื่อ ติดลบหนักสุดในรอบ 16 ปี หนี้เสียพุ่งติดเพดาน
ปัจจุบันถึงแม้ธนาคารในประเทศไทยยังมีความต้องการที่จะปล่อยสินเชื่อเพิ่ม แต่เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่เปราะบาง แถมยังต้องเพิ่มความระมัดระวังจากฝั่งธนาคารต่างๆ ส่งผลให้ตลาดสินเชื่อ ยังมีสัญญาญอ่อนแรงต่อเนื่อง ยังมีสัญญาญอ่อนแรงต่อเนื่อง ไม่เพียงเท่านั้น ความต้องการของสินเชื่อยังเป็นแรงกดดัน มากขึ้นจากฝั่งผู้กู้ ที่เริ่มชะลอขอสินเชื่อ จากความไม่เชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น ปัจจุบันส่งผลให้ผู้กู้ เริ่มชะลอการขอสินเชื่อ เนื่องจากเกิดความไม่เชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น
สถานการณ์นี้ทำให้เห็นภาพรวมของการคืนหนี้ มากกว่าการขอสินเชื่อ ไม่เพียงเท่านั้น ประเด็นปัญหาเรื่องหนี้เสีย กลับมาเป็นประเด็นของประเทศไทยที่น่ากังวล เนื่องจากมีหลากหลายปัจจัยที่กระทบ และ กดดันทั้งภาคครัวเรือ, ธุรกิจ รวมไปถึงสถาบันการเงิน ซึ่งหลังจากนี้ จะเห็นได้ชัดเลยว่าภาคเอกชนมีความอ่อนแอต่อเนื่อง แถมความต้องการสินเชื่อก็ชะลอตัวลง มีการคืนหนี้มากขึ้น จากที่เห็นตอนนี้ ภาคสถาบันการเงิน อยากจะปล่อยกู้ แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจ ที่มีความเสี่ยงระดับสูง บวกกว่ามาตรฐานการปล่อยกู้ของแต่ละแบงก์ก็เข้มงวด นอกจากนี้ยังมีความอ่อนแอของการระดมทุน ในตลาดสินเชื่อ ที่ไม่ได้เกิดจากฝั่งเดียว แถมผู้กู้เองตอนนี้ก็มีความระมัดระวังที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มภาคธุรกิจที่ยังไม่เห็นความแน่นอนของการฟื้นตัว ขณะที่ฝั่งครัวเรือนยังต้องแบกรับภาระหนี้เดิม
สินเชื่อทั้งระบบ ติดลบมากที่สุดในรอบ 16 ปี
อยากที่กูรูหลายๆท่านบอกมาว่า ปีก่อนเผาหลอกปี 2568 เผาจริง อาจจะเป็นจริงอย่างที่กูรูหลายๆท่านว่า มาตอนนี้เราเห็นได้ชัดเลยเศรษฐกิจชลอตัว ภาคเอกชน ลดการจ้างงานลงอย่างเห็นได้ชัดนอกจากนี้ สินเชื่อ ทั้งระบบลงโดยคาดการณ์เดิมที่คาดเอาไว้สินเชื่อทั้งระบบ ขยายตัว 0.6% ในปี 2568 กลับมาพลิกเป็นติดลบ ที่ 0.6% สะท้อนเศรษฐกิจซบเซา มากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก โดยเฉพาะไตรมาส 1 ยอดสินเชื่อใหม่ต่ำกว่าประเมินเกือบทุกหมวด
สำหรับสถานการณ์หนี้ด้อยคุณภาพ หรือ NPL มีการคาดการณ์ออกมาว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.7% ในปีที่แล้วมาอยู่ใกล้ๆ 3% ของสินเชื่อรวม โดยเป็นผลพวงมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หากดูข้อมูลจากเครดิตบูโร พบว่าปัจจุบันสัดส่วนของลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในทุกกลุ่มธรุกิจ แต่สิ่งที่ต้องดูดีๆเลยก็คือหากมีการปรับโครงสร้างไปแล้ว เริ่มวนกลับมาเป็นหนี้เสีย อีกรอบซึ่งเป็นสัญญาญเตือนถึงระดับความเปราะบางของลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง
ประเทศไทยอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในครึ่งปีหลัง
สาเหตุหลักๆเกิดจากกำแพงภาษีของทรัมป์ ที่ล่าสุดศษลอุทธรณ์ของสหรัฐได้นอุญาตให้ประธานาธิบดีทรัมป์เดินหน้าการขึ้นภาษีได้เป็นการชั่วคราวซึ่งการกระทำดังกล่าว ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนกับเศรษฐกิจทั่วโลก และ เศรษฐกิจในประเทศไทยด้วย ผลกระทบกับมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์ จะกระทบหลังจาก 9 กรกฎาคม 2568 หรือ 90 วันของนโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ จะทำให้เกิด 2 กรณีใหญ่ๆด้วยกัน
- อัตราภาษีตอบโต้กลับมาที่เดิม 36%
- อัตราภาษี 10%
ซึ่งเราก็ต้องลุ้นกันว่าจะออกหัวหรือออกก้อย หากเป็นกรณีแรกไทยโดนภาษีเก็บเต็มที่ 36% ซึ่งคาดว่าการส่งออกจากติดลบอยู่ที่ 0.5% ปีนี้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้เติบโตลดลงเหลือ 1.4% และในกรณีที่เก็บภาษี 10% อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตขึ้น 0.5% อย่างไรก็ตามจาก 2 กรณีดังกล่าว คาดว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะแย่กว่าครึ่งปีแรกเยอะมาก
อีกหนึ่งตัวฉุดที่เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่วิกฤตนั่นก็คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง บวกการการบริโภคชะลอตัว แถมภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับต้ำและยังมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกด้วย ธนาคารคาดการณ์เอาไว้ว่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เราจะยังไม่เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเท่าจุดสูงสุดก่อนช่วงโควิดระบาด