รัฐบาลอัดแพ็กเกจเยียวยา ผลกระทบภาษีทรัมป์ คลังจ่อชงลดภาษี
แพ็กเกจเยียวยา ผลกระทบภาษีทรัมป์จากรัฐบาล
หลังจากที่ประเทศไทยได้มีการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา ทำให้ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าประเทศไทย จะถูกเก็บภาษีตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariff ที่อัตรา 19% ลดลงจากเดิมที่จะต้องจ่ายในอัตรา 36% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 โดยมีเงื่อนไขสำคัญในการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาในอัตรา 0% นับหมื่นรายการ รวมถึงมีการเปิดตลาดให้นำเข้าสินค้าเกษตร รวมถึงการเพิ่มโควต้าในการนำเข้าสินค้าเกษตรบางรายการที่มีความอ่อนไหวกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการหารือในรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนจะส่งลิสต์สินค้าที่ต้องแก้ไขภาษีศุลกากรให้กับที่ประชุมสภาฯเพื่อพิจารณา อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เปิดเผยข้อมูลว่ารัฐบาลมอบหมายให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาข้อสรุปแนวทางการเยียมยาผลกระทบจากภาษีทรัมป์ เพื่อกลับมาเป็นแนวทางที่เหมาะสม แต่ละธุรกิจได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันออกไปเช่นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, อาหารสำเร็จรูป และ เครื่องใช้ไฟฟ้า
3 มาตรการเยียวยาผลกระทบจากภาษีทรัมป์
สำหรับมาตรการที่ถูกออกมาเพื่อเยียวยาภาษีทรัมป์นั้น ออกมาเพื่อ 3 กลุ่มเป้าหมายหลักๆได้แก่ พี่น้องเกษตรกร, ผู้ส่งออก และ SME ในซัพพลายเชนการส่งออกตลาดสหรัฐ
- มาตรการทางภาษี สนับสนุนผู้ประกอบการปรับตัวช่วงเปลี่ยนผ่านภาษี 19% ด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล และ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือ การให้เครดิตภาษี
- มาตการ Soft Loan ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 200,000 ล้านบาท ประสานธนาคารพาณิชย์ร่วมให้ Soft Loan ระยะแรก และให้ Soft Loan กับผู้ประกอบการที่ขาดเงินสด พิจาณาใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออีก 24,000 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้คืน ธ.ก.ส., EXIM Bank เพื่อให้ปล่อยกู้ได้มากขึ้น
- เงินอุดหนุนจากภาครัฐ เบื้อต้นดำเนินการผ่าน 2 กองทุน กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขับของประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณเพิ่ม 10,000 ล้านบาท แนวทางการช่วยเหลือให้เงินลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรเป็ฯดิจิทัลมากขึ้น และ จัดทำ Business Matching ให้ผู้ประกอบการเช่น Supply Chain ของ EV นอกจากนี้ยังมีกองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิต และ ภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้ากองทุน FTA
ภาคเอกชนต้องการความช่วยเหลือที่แตกต่างกันออกไป
ข้อมูลจากทางด้าน รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แจ้งว่ามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่รัฐบาลได้เตรียมออกมาได้หารือกับผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง โดยดูเป็นรายกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มมีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป สำหรับกลุ่มผู้ส่งออกอัญมณี และ เครื่องประดับ มีการหารือภาระภาษีนำเข้าของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงแรกผู้นำเข้าอาจรับภาระจากภาษี 40% ของมูลค่าภาษีนำเข้าทั้งหมด และ 40% ขอให้รัฐช่วยแบ่งจ่าย ส่วนอีก 20% อาจส่งต่อให้ผู้บริโภคในสหรัฐหรือการขึ้นราคาสินค้ากับผู้นำเข้าสหรัฐทั้งนี้กลุ่มผู้ส่งออกอัญมณี และเครื่องประดับอาจขอเวลาปรับตัว 1-2 ปี โดยอาจจะขอเป็นมาตรการทางภาษี เช่น การขอลดหย่อนภาษี แทนการขอ Soft Loan และช่วยระหว่างนี้รัฐจะหากลไกอื่นในการเก็บภาษีคืนควบคู่กันไป
กลไกองทุนเพิ่มขีดความสามารถที่ผ่านมาได้รับการอนุมัติวงเงินไป 10,000 ล้านบาท เป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนภาคการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านภาษีครั้งนี้ ในส่วนของการเจรจาข้อตกลงร่วมค้าระหว่างไทย กับสหรัฐ หรือ Join Agreement ซึ่งตอนนี้ทีมไทยต้องไปเจรจาในรายละเอียดสินค้ากว่า 10,000 รายการที่ต้องเปิดตลาดให้กับสหรัฐ รวมถึงสินค้าเกษตรบางรายการที่มีกลไกในการดูแลเกษตรกรในประเทศก่อนเช่น ข้าวโพด จะรับซื้อผลผลิตในประเทศทั้งหมดก่อนที่จะพิจารณนำเข้า พร้อมประกาศราคารับซื้อผลิตในราคานำตลาดเพื่อการันตีว่าผลผลิตที่มีในประเทศจะได้รับการรับซื้อทั้งหมด