Minimum Payment คืออะไร? จ่ายขั้นต่ำมีผลอย่างไรต่อดอกเบี้ย

 In บทความ

Minimum Payment คืออะไร?

ผู้ใช้บัตรเครดิตหลายคนอาจเคยเห็นยอดที่ระบุว่า “ยอดชำระขั้นต่ำ” หรือ Minimum Payment ในใบแจ้งยอดรายเดือน และเข้าใจว่าเพียงแค่จ่ายยอดนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง Minimum Payment มีผลอย่างมากต่อภาระดอกเบี้ยในอนาคต หากไม่เข้าใจให้ถ่องแท้ อาจทำให้คุณเป็นหนี้เพิ่มโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจ Minimum Payment อย่างละเอียด พร้อมอธิบายผลกระทบของการจ่ายขั้นต่ำที่มีต่อดอกเบี้ยและการจัดการหนี้

Minimum Payment คืออะไร?

Minimum Payment หรือยอดชำระขั้นต่ำ คือจำนวนเงินที่ผู้ถือบัตรเครดิตจำเป็นต้องชำระต่อเดือนอย่างน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระ โดยปกติจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดคงค้างในแต่ละรอบบัญชี เช่น 5% หรือ 10% ของยอดรวมทั้งหมด หรืออาจมีการกำหนดยอดขั้นต่ำตายตัว เช่น 500 บาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร

ตัวอย่างการคิด Minimum Payment

  • หากมียอดคงค้างในเดือนนั้น 20,000 บาท
  • ธนาคารกำหนดจ่ายขั้นต่ำ 10%
  • คุณจะต้องจ่ายอย่างน้อย 2,000 บาทในรอบบัญชีนั้น

ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นภาระที่เบา แต่จริง ๆ แล้ว การเลือกจ่ายขั้นต่ำอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในระยะยาว

จ่ายขั้นต่ำมีผลอย่างไรต่อดอกเบี้ย?

หลายคนเข้าใจว่าการจ่ายขั้นต่ำคือการ “ประวิงเวลา” ในการจ่ายหนี้ ซึ่งก็ถูกในแง่หนึ่ง แต่คุณต้องรู้ว่าทุกยอดที่ยังไม่ได้ชำระเต็มจำนวนจะถูกคิดดอกเบี้ยทันที และดอกเบี้ยเหล่านี้สามารถทบต้นทบดอกได้หากปล่อยไว้นาน

ดอกเบี้ยบัตรเครดิตคิดอย่างไร?

ธนาคารส่วนใหญ่คิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตแบบรายวัน (Daily Interest) และคิดตั้งแต่วันที่ทำรายการ ไม่ใช่จากวันที่ครบกำหนดชำระ หากคุณไม่ชำระยอดเต็มจำนวน ระบบจะคิดดอกเบี้ยทั้งยอดเดิมและยอดใหม่ทันทีที่คุณมีรายการใช้เพิ่มเติม

ผลกระทบของการจ่ายขั้นต่ำ

  1. ดอกเบี้ยพอกพูน: เมื่อจ่ายขั้นต่ำ ยอดหนี้ที่เหลือจะถูกคิดดอกเบี้ยต่อเนื่อง หากไม่จ่ายเต็มภายใน 2-3 เดือน ดอกเบี้ยอาจสูงกว่าค่าของที่คุณซื้อเสียอีก
  2. หนี้บัตรเครดิตหมุนเวียน: การจ่ายขั้นต่ำเรื่อย ๆ ทำให้เกิด “หนี้วน” ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็นปีในการปิดยอดหนี้
  3. กระทบเครดิตบูโร: แม้การจ่ายขั้นต่ำจะไม่ถือเป็นผิดนัด แต่หากยอดหนี้พอกพูนจนเกินวงเงินหรือจ่ายล่าช้า อาจกระทบประวัติเครดิตได้
  4. จำกัดวงเงินใช้จ่าย: ยอดที่ยังไม่จ่ายจะไปเบียดวงเงินคงเหลือ ทำให้คุณไม่สามารถใช้วงเงินบัตรได้เต็มจำนวน

ข้อดีของ Minimum Payment (ในบางกรณี)

แม้จะฟังดูแย่ แต่ Minimum Payment ก็มีข้อดีอยู่บ้าง หากคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ “เงินขาดมือ” เช่น ช่วงปลายเดือนหรือต้องการรักษาสภาพคล่องทางการเงิน

เหตุผลที่อาจจำเป็นต้องจ่ายขั้นต่ำ

  • รักษาสถานะไม่ให้เป็นหนี้เสียในเครดิตบูโร
  • มีเวลาเพิ่มในการหมุนเงินหรือรอเงินเดือนเข้า
  • ยังสามารถใช้วงเงินบางส่วนที่เหลือได้ (แม้ไม่เต็ม)

แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องกลับมาชำระเต็มจำนวนให้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายดอกเบี้ยจำนวนมาก

เปรียบเทียบผลระหว่าง “จ่ายขั้นต่ำ” กับ “จ่ายเต็ม”

รายการ จ่ายขั้นต่ำ จ่ายเต็มจำนวน
ดอกเบี้ยที่เกิด เกิดทันทีและสะสมต่อเนื่อง ไม่เกิดดอกเบี้ย
ภาระหนี้ในอนาคต สูงขึ้นเรื่อย ๆ หมดภาระทันที
วงเงินที่สามารถใช้ได้ ลดลงตามยอดคงค้าง ได้คืนเต็มวงเงิน
เครดิตบูโร อาจเสี่ยงเสียหากจ่ายล่าช้า ประวัติดี ไม่มีผลเสีย

คำแนะนำในการใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย

1. หลีกเลี่ยงการจ่ายขั้นต่ำบ่อยครั้ง

หากไม่จำเป็นจริง ๆ ควรตั้งเป้าจ่ายยอดเต็มทุกเดือน แม้จะรู้สึกว่าเงินตึงมือในบางช่วง แต่การยืดการชำระอาจนำไปสู่ภาระหนี้ระยะยาว

2. วางแผนการใช้บัตรล่วงหน้า

อย่าใช้เกิน 30-40% ของวงเงินที่ได้รับต่อเดือน เพราะจะช่วยให้สามารถจ่ายคืนได้เต็มจำนวนและไม่กระทบสภาพคล่อง

3. ตรวจสอบยอดใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ

โหลดแอปธนาคารหรือแอปบัตรเครดิตมาเช็กยอดประจำ เพื่อไม่ให้ใช้เกินตัวโดยไม่รู้ตัว

4. หากมีหนี้หลายใบ ให้จัดลำดับการจ่าย

เลือกชำระบัตรที่ดอกเบี้ยสูงสุดก่อน และค่อยทยอยปิดบัตรอื่น ๆ โดยยังคงจ่ายขั้นต่ำเพื่อรักษาเครดิต

Minimum Payment ควรใช้ “เมื่อจำเป็น” ไม่ใช่ “ทางเลือกหลัก”

การจ่ายขั้นต่ำไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องเข้าใจว่าคุณกำลังแลกกับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและภาระหนี้ที่ยาวนาน การจ่ายเต็มจำนวนทุกเดือนคือวิธีใช้บัตรเครดิตอย่างฉลาด และเป็นการรักษาสุขภาพการเงินของคุณในระยะยาว หากไม่สามารถจ่ายเต็มได้จริง ควรมีแผนลดหนี้ และหลีกเลี่ยงการใช้บัตรใหม่เพื่อหมุนหนี้เก่า

หนี้บัตรเครดิตสามารถจัดการได้ หากคุณเข้าใจระบบและมีวินัยในการใช้

Recent Posts

Start typing and press Enter to search