เปิดลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่งวันที่ 1 ก.ค. 2568

ล่าสุดเปิดเผยข้อมูลออกมาแล้ว สำหรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง.com พร้อมเปิดให้ประชาชนทั่วไป สมัครลงชื่อในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เวลา 08.00 น. รัฐสนับสนุนสูงสุด 3,000 บาท ต่อคืน สามารถใช้สิทธิเที่ยวจริงวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ปัจจุบันมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวยื่นคำขอผ่าน partner.tat.or.th แล้วกว่า 34,005 ราย สามารถดูเงื่อนไข การใช้สิทธิได้ด้านล่าง

ข้อมูลล่าสุดเปิดเผยโดย รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินโครงการ เที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ในส่วนของการลงทะเบียนผู้ประกอบการ เที่ยไทยคนละครึ่ง ต้องกรอกหนังสือยินยอมให้ธนาคารกรุงไทยตรวจสอบข้อมูล เพื่อป้องกันการหลอกลวง และ แฝงตัวของสถานประกอบการที่ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วน โดยทางธนาคารจะใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 3 วัน ก่อนส่งข้อมูลให้กับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปเผยแพร่ลงบนเว็บไซต์ในวันที่ 30 มิถุนายน 2568

เปิดขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง

  • ต้องเป็นโรงแรม/ที่พัก, ร้านอาหาร, สถานที่ท่องเที่ยว, ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการ OTOP, ผู้ประกอบการธุรกิจสปา หรือ นวดเพื่อสุขภาพ, ผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งรถเช่า หรือ เรือเช่าเพื่อการท่องเที่ยว
  • ต้องแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการ และ มีคุณสมบัติครบถ้วนผ่านหลักเกณฑ์เงื่อนไข และ ความยินยอมที่ ททท. กำหนด
  • มีรายชื่อประกาศบนเว็บไซต์ www.เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com หรือ ผ่านแอปพลิเคชั่น Amazing Thailand

ลงทะเบียนรับสิทธิ สำหรับประชาชนทั่วไป เที่ยวไทยคนละครึ่ง

  • นักท่องเที่ยวสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
  • สามารถจองและชำระเงินค่าที่พักภายในเวลา 23.00 ของวันเดียวกัน
  • สามารถใช้สิทธิ์ได้หลังจากการจองและชำระเงินอย่างน้อย 3 วัน
  • วันสุดท้ายของการ check-out ของโครงการ คือวันที่ 31 ตุลาคม 2568

รายละเอียด และ เงื่อนไขการลงทะเบียน สำหรับประชาชน

  • มีหมายเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ที่ออกโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
  • มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ลงทะเบียน
  • เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
  • มีแอปพลิเคชั่น ThaID ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้ยืนตัวตน และ เก็บอัตลักษณ์ของผู้สมัครในฐานข้อมูล
  • ยินยอมให้ระบบทำการตรวจสอบสิทธิการเข้าร่วมโครงการ ตามเงื่อนไข ททท. ที่กำหนด

อัพเดทสิทธิประโยชน์ เที่ยวไทยคนละครึ่ง

สำหรับสิทธิประโยชน์ของโครงการ เที่ยวไทยคนละครึ่งนั้นทางรัฐบาลจัดสรรสิทธิ์ให้รวม 500,000 สิทธิ์ โดยประชาชน 1 คน สามารถใช้สิทธิได้สูงสุด 5 สิทธิ แบ่งเป็นเมืองหลัก 3 สิทธิ และ เมืองรอง 2 สิทธิ โดยมีวงเงินค่าที่พัก สูงสุด 3,000 บาทต่อคืนต่อห้อง แบ่งตามวันเดินทางตามรายละเอียดด้านล่าง

  • วันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) รัฐบาลสนับสนุนให้ 50% ของค่าที่พัก ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน
  • วันหยุด (เสาร์-อาทิตย์ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์) รัฐบาลสนับสนุน 40% ของค่าที่พัก ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน

นอกจากนี้ยังมีคูปองมูลค่า 500 บาทต่อ 1 สิทธิ เพื่อใช้จ่ายในร้านอาหาร หรือ ร้านค้าต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญของรัฐบาล ที่สร้างขึ้นผลักดันและกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในทุกภูมิภาค และช่วยให้คนไทยได้พักผ่อนในราคาสุดคุ้ม

 

 

กรมที่ดิน ชี้แจงการรับมรดกที่ดิน หรือไม่หากไม่ได้ทำเรื่องโอนมรดก

คำถามที่หลายๆคนกำลังหาคำตอบเกี่ยวกับอายุของมรดกที่ดิน ซึ่งทางกรมที่ดินได้ออกมาชี้แจงแล้วเกี่ยวกับการรับมรดกที่ดิน ว่ามีอายุหรือไม่ สำหรับโฉนดที่ดินที่มีชื่อแม่ หรือ ชื่อพ่อที่เสียชีวิตแล้ว แต่ลูกไม่ได้ไปทำเรื่องรับโอนมรดก

การรับมรดกมีอายุหรือไม่?

ตามหลักกฎหมายพาณิชย์ และ กฎหมายแพ่ง ที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาบังคับในเรื่องการรับมรดก อย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งทายาทสามารถยื่นคำร้อยขอเป็นผู้จัดการมรดกหรือขอรับโอนทรัพย์มรดกได้ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากยังไม่มีบุคคลอื่นเข้ามาโต้แย้งสิทธิ หรือ มีคดีพิพาท เรื่องมรดกเกิดขึ้นก่อน การไม่ไปดำเนินการรับมรดกให้ถูกต้อง อาจจะทำให้เกิดปัญหาพวกข้อจำกัดและปัญหาทางด้านกฎหมายตามมา โดยเฉพาะเมื่อทายาทต้องการทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินเช่น

  • ขาย
  • โอนให้บุคคลอื่น
  • จำนอง
  • ขอสินเชื่อโดยใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน

สำหรับที่ดินที่ที่ยังเป็นชื่อของผู้ตายเป็นเจ้าของ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ทางกฎหมาย จนกว่าจะมีการจดทะเบียนรับมรดก และ เปลี่ยนชื่อกรรมสิทธิ์ให้เป็นของทายาทโดยชอบก่อน

 

โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง เปิดวิธีลงทะเบียนแล้ววันนี้

โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศไทยของเรา ที่ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก กับโครงการที่ใช้ชื่อว่า เที่ยวไทยคนละครึ่ง วันนี้มีการเปิดรายละเอียดวิธีการลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง สำหรับผู้ประกอบการ และ ประชาชน สามารถเข้าสู่ระบบผ่านการโหลดแอปพลิเคชั่น Amazing Thailand ททท. จำกัด 5 แสนสิทธิ กดรับสิทธิได้ทันที โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งสามารถเริ่มเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2568

สำหรับรายละเอียด เช่น รายชื่อท่องเที่ยว เมืองหลัก เมืองรอง ได้รับเงินช่วยเหลือกี่บาท ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินเที่ยวแบบครบจบที่เดียวสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งได้ด้านล่าง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ได้เปิดให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ผ่านทางเว็บไซต์ เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com โดยประเภทผู้ประกอบการที่เปิดรับตามรายละเอียดด้านล่าง

  • ร้านอาหาร
  • ร้านขายของที่ระลึก
  • ร้านค้า OTOP
  • แหล่งท่องเที่ยว หรือ กิจกรรมท่องเทื่ยว
  • นวดเพื่อสุขภาพ
  • รถเช่า / เรือเช่า
  • โรงแรม และ ที่พัก

เอกสารที่ต้องใช้สำหรับผู้ประกอบการ

  • ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ. 20
  • ใบอนุญาตประกอบการของกระทรวงมหาดไทย
  • Rate Plan หรือ แผนราคาที่พัก
  • เอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ขั้นตอนในการลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่งผ่านเว็บไซต์

  • เข้าสู่ระบบหน้าเว็บไซต์หลัก เที่ยวไทยคนละครึ่ง
  • เลือกประเภทผู้ใช้งานเพื่อดำเนินการต่อ
  • สำหรับการเข้าใช้งานครั้งรแกเลือก ยังไม่มีบัญชีกด สมัครสมาชิก
  • กรอกข้อมูลสมัครสมาชิก อ่านและกดยอดรับ ข้อกำหนด และเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัวและกด สร้างบัญชี
  • กรอกรหัส OTP เพื่อยืนยันเบอร์โทรศัพท์แล้วกด ดำเนินการต่อ
  • กรอกข้อมูลผู้ประกอบการแล้วกด ถัดไป
  • กรอกข้อมูลกิจการแล้วกด ถัดไป
  • อ่านและกดยอมรับว่าได้ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดแล้วกดยืนยันและส่งข้อมูล
  • ระบบรับข้อมูลการลงทะเบียนของท่านเรียบร้อยแล้ว

ขั้นตอนการตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 สำหรับผู้ประกอบการ

  • เข้าเว็บไซต์ เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com แล้วกดผู้ประกอบการ
  • กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ แล้วกดเข้าสู่ระบบ
  • หลังจากลงทะเบียนสำเร็จระบบจะแสดงสถานะ กำลังตรวจสอบคุณสมบัติ โดยไม่ต้องดำเนินการใดๆ กรุณารอผลการพิจาณา

ช่องทางการโหลดแอป Amazing Thailand

  • ผู้ใช้มือถือระบบ iOS: Amazing Thailand
  • ผู้ใช้มือถือระบบ Android: Amazing Thailand

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย vs. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้/เงินฝาก

ในโลกของการเงิน อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่เพียงตัวเลขที่กำหนดโดยธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจประเทศผ่านการตัดสินใจของธนาคารกลาง โดยเฉพาะ “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ที่หลายคนอาจได้ยินผ่านข่าวเศรษฐกิจอยู่บ่อยครั้ง บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รวมถึงวิเคราะห์ความสัมพันธ์และกลไกที่เชื่อมโยงกันระหว่างอัตราทั้งสาม

อัตราดอกเบี้ยนโยบายคืออะไร?

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Interest Rate) เป็นเครื่องมือหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการกำหนดทิศทางของนโยบายการเงิน เป็นอัตราที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใช้เป็นเป้าหมายในการควบคุมภาวะเศรษฐกิจผ่านการควบคุมต้นทุนการกู้ยืมระหว่างธนาคาร

บทบาทของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระบบเศรษฐกิจ

  • ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
  • กระตุ้นหรือลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ
  • รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท

เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ธปท. อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืม ส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ขณะที่ในสถานการณ์เงินเฟ้อพุ่งสูง ธปท. อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดึงสภาพคล่องออกจากระบบ

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้คืออะไร?

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Loan Interest Rate) คืออัตราที่ธนาคารเรียกเก็บจากผู้กู้เงิน ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือธุรกิจ โดยอัตรานี้จะสะท้อนถึงต้นทุนของธนาคารที่รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ต้นทุนการดำเนินงาน และความเสี่ยงของผู้กู้

ความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

โดยทั่วไป เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวขึ้น ธนาคารพาณิชย์มักจะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นตาม เพราะต้นทุนของธนาคารก็สูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้การกู้เงินในระบบแพงขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง

ในทางตรงกันข้าม หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง ธนาคารอาจทยอยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตาม ทำให้ผู้ประกอบการหรือบุคคลทั่วไปสามารถขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างประเภทของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

  • MLR (Minimum Loan Rate): สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี
  • MOR (Minimum Overdraft Rate): สำหรับสินเชื่อเบิกเกินบัญชี
  • MRR (Minimum Retail Rate): สำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป

อัตราดอกเบี้ยเงินฝากคืออะไร?

อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit Interest Rate) คือผลตอบแทนที่ธนาคารจ่ายให้แก่ผู้ฝากเงิน เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ธนาคารใช้ในการบริหารสภาพคล่อง โดยอัตรานี้จะเปลี่ยนแปลงตามต้นทุนของธนาคารและการแข่งขันในตลาด

การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตามนโยบาย

เมื่อธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารก็จะมีแรงจูงใจในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อรักษาฐานเงินฝากเดิมและดึงดูดเงินฝากใหม่ แต่ในหลายกรณี ธนาคารอาจไม่ปรับขึ้นในทันที เพราะอาจต้องพิจารณาความคุ้มค่าด้านผลตอบแทนและต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย

กลไกการเชื่อมโยง: ดอกเบี้ยนโยบายส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร?

กลไกของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้จบแค่การตัดสินใจของ กนง. แต่จะถูกส่งผ่านไปยังตลาดการเงิน ผ่านอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร ก่อนจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในด้านเงินกู้และเงินฝาก ซึ่งในที่สุดจะส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค การลงทุนของภาคเอกชน และการบริโภคของครัวเรือน

ผลกระทบโดยรวมของการปรับดอกเบี้ย

  • การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย = การกู้ยืมแพงขึ้น → ลดการใช้จ่าย → ควบคุมเงินเฟ้อ
  • การลดดอกเบี้ยนโยบาย = การกู้ยืมถูกลง → กระตุ้นเศรษฐกิจ

ข้อสังเกต: อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

แม้ว่าจะมีความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่สิ่งเดียวที่กำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดเสมอไป ปัจจัยอื่น เช่น สภาพคล่องในตลาด การแข่งขันระหว่างธนาคาร ความเสี่ยงด้านเครดิต และนโยบายภาครัฐ ก็ล้วนมีบทบาทในการกำหนดระดับดอกเบี้ยเช่นกัน

เข้าใจเพื่อวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

การเข้าใจกลไกของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน เพราะช่วยให้สามารถวางแผนการใช้เงิน การกู้ยืม และการออมได้อย่างเหมาะสมในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน

ประกาศสภาพอากาศวันนี้จนถึงเย็นวันพรุ่งนี้ ฝนตก 70%

ตามประกาศจากกรมอุตุฯ ประเทศไทยที่ได้แจ้งก่อนหน้านี้ว่าประเทศไทยจะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ล่าสุดได้ออกมาแจ้งเกี่ยวกับพื้นที่เสี่ยงภัยฝนฟ้าคะนองสูงสุดในวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568 กรมอุตุฯ ได้ออกมาเตือนล่าสุดอีกว่าให้ระวังน้ำท่วมฉับพลัน, น้ำป่าไหลหลาก, ดินถล่ม ซึ่งฝนจะตกหนักถึง 70% ของพื้นที่ ประกาศรายชื่อล่าสุด 49 จังหวัดโดนพายุฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ โดนเต็มๆ

กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกมาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงช้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้ มีฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และ ดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ในส่วนของภาคเหนือ มีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และ ประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉี่ยงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน, ประเทศไทย และ อ่าวไทยที่มีกำลังปานกลาง

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย มีกำลังปานกลางโดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทย ตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 2 เมตร

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยเวลา 06.00 น. ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้

  • สภาพอากาศภาคเหนือ มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
  • สภาพอากาศภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
  • สภาพอากาศภาคกลางมีฝนตกร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
  • สภาพอากาศภาคตะวันออก มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
  • สภาพอากาศภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่ ส่วนมากที่จังหวัดระนอง พังงา ตรัง และ สตูล
  • สภาพอากาศกรุงเทพและปริมณฑล มีฝนตกร้อยละ 60% ของพื้นที่

 

สิทธิประกันสังคมล่าสุด เงินบำนาญชราภาพ 7,500 โอนแล้ว

ประกันสังคมแจงสิทธิประกันสังคมล่าสุด sso.go.th ส่งเงินสมทบกี่เดือนถึงจะได้รับสิทธิบำเหน็จ-บำนาญ สำหรับผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนแล้ว เงินบำนาญชราภาพ 3,000 – 7,500 บาท โอนล่าสุดของเดือนมิถุนายน 2568 โอนเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้ประกันตน เกษียณอายุ 55 ปีได้รับเงินสูงสุดตลอดชีวิต สำหรับข้อมูลที่ไม่ควรพลาดเกี่ยวกับเงื่อนไขการรับเงินบำนาญชราภาพ รวมไปถึงสูตรคำนวณเงินบำนาญที่จะได้รับสูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน

เงินเข้าวันไหน สำหรับเงินบำนาญชราภาพ มิถุนายน 2568

ผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพ สำนักงานประกันสังคม จะทำการโอนเงินเข้าบัญชีผู้รับเงินภายในวันที่ 25 ของทุกเดือน ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2568 นั้นได้ทำการโอนเงินเข้าบัญชีผู้ที่ได้รับสิทธิไปแล้วในวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ในส่วนของรายละเอียดหากวันที่ 25 ของเดือนนั้นๆ ตรงกับวันหยุดราชการ เสาร์-อาทิตย์ หรือ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ทาง สปส. จะเลื่อนการจ่ายเงินเป็นวันทำการก่อนวันหยุดแทน เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับเงินอย่างต่อเนื่อง สำหรับการยื่นสิทธิประกันสังคมเมื่อไหร่ นั้นสำหรับผู้ที่กำลังจะยื่นขอสิทธิเงินบำนาญชราภาพ หากจะยื่นขอรับสิทธิจะแนะนำให้ทำภายในวันที่ 7 ของเดือนจะได้รับสิทธิในงวดเดือนนั้นทันที หากยื่นหลังวันที่ 7 ของเดือน จะได้รับสิทธิในเดือนถัดไป รวมงวดเดือนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามหากเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ หรือที่เรียกว่าเงินก้อน จะได้รับภายใน 7-10 วันทำการ หลังจากได้รับการอนุมัติส่วนเงินบำนาญชราภาพ หลังจากได้รับการอนุมัติแล้วเงินจะโอนเข้าบัญชีภายในวันที่ 25 ของเดือนถัดไป

คุณสมบัติผู้ที่มีสิทธิรับเงินบำนาญชราภาพ 2568

  • ต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
  • สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 พนักงานบริษัท หรือมาตรา 39 ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ ต้องสิ้นสุดลง

การได้รับเงินบำเหน็จเงินก้อนหรือเงินบำนาญ รายเดือนตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการส่งเงินสมทบ

  • ส่งเงินสมทบน้อยกว่า 180 เดือน หรือ 15 ปี จะได้รับเงินบำเหน็จ เป็นเงินก้อนครั้งเดียว
  • ส่งเงินสมทบทั้งแต่ 180 เดือนขึ้นไป จะได้รับเงินบำนาญ เป็นรายเดือนตลอดชีวิต

สูตรคำนวญเงินบำนาญชราภาพ 2568 จ่ายสูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน

ประกันสังคมได้กำหนดสูตรการคำนวญเงินบำนาญชราภาพ โดยเงินบำนาญจะคำนวณจากร้อยละของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ก่อนเกษียณ ซึ่งอัตราเงินบำนาญจะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาการส่งเงินสมทบตามรายละเอียดด้านล่าง

  • ส่งเงินสมทบ 15-20 ปีจะได้รับประมาณ 3,000 – 4,125 บาทต่อเดือน
  • ส่งเงินสมทบ 21-25 ปีจะได้รับประมาณ 4,350 – 5,250 บาทต่อเดอน
  • ส่งเงินสมทบ 26-30 ปีจะได้รับประมาณ 5,475 – 6,375 บาทต่อเดือน
  • ส่งเงินสมทบ 31-35 ปีจะได้รับประมาณ 6,600 – 7,500 บาทต่อเดือน

สำหรับใครที่มีคำถามหรือสงสัยเกี่ยวกับรายละเอียด เงินบำนาญชราภาพ สามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1506 สายด่วน 24 ชั่วโมง

 

 

สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตน ใช้สิทธิรักษา ยุติการตั้งครรภ์ ไม่ผิดกฎหมาย

สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตน สามารถใช้สิทธิรักษา ยุติการตั้งครรภ์ ไม่ผิดกฎหมาย ที่สถานพยาบาลตามสิทธิ สำหรับสถานพยาบาลกับกรมอนามัย ทำแท้งได้ถูกกฎหมาย เปิดเผยข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม ได้รับทราบข้อมูล ว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ สำหรับการดูแลการให้บริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยในส่วนของงบประมาณส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคและงบประมาณบริการผู้ป่วยใน ซึ่งเป็นการจ่ายให้คนไทยทุกสิทธิการรักษา

ผู้ประกันตนที่มีสัญชาติไทย สามารถใช้สิทธิบริการยุติการตั้งครรภ์ได้ 2 ลักษณะ

  1. เข้ารับบริการที่สถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนกับกรมอนามัยสามารถใช้สิทธิได้เช่นเดียวกับผู้ที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
  2. การเข้ารับบริการที่สถานพยาบาลตามสิทธิ กรณีสถานพยาบาลตามสิทธิ ไม่สามารถให้การรักษาได้ ให้ทำการส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามที่กรมอนามัยกำหนด หรือ หากส่งต่อไปยังสถานพยาบาลศักยภาพสูง หรือ สถานพยาบาลอื่น ให้สถานพยาบาลตามสิทธิรับผิดชอบค่าบริการทางการแพทย์ให้กับผู้ประกันตน ส่วนผู้ประกันตนที่ไม่ใช่สัญชาติไทย ให้เข้ารับบริการพยาบาลตามสิทธิ

ในส่วนของกรณีสถานพยาบาลตามสิทธิ ไม่สามารถให้การรักษาได้ ให้ส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามที่กรมอนามัยกำหนด หรือ หากส่งต่อไปยังสถานพยาบาลศักยภาพสูง หรือ สถานพยาบาลอื่น โดยให้สถานพยาบาลตามสิทธิรับผิดชอบค่าบริการทางการแพทย์ให้กับผู้ประกันตน

 

อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 2568 ธนาคารไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุด?

ในยุคที่อัตราเงินเฟ้อและสภาพเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน การเลือกฝากเงินแบบประจำยังคงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมั่นคงสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บออมเงินโดยไม่เสี่ยง การฝากประจำไม่เพียงให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยที่แน่นอน แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการวางแผนการเงินในระยะกลางถึงยาว โดยในปี 2568 นี้ หลายธนาคารมีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ผู้ฝากควรติดตามข้อมูลอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ

อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำคืออะไร?

เงินฝากประจำ (Fixed Deposit) คือเงินฝากที่ผู้ฝากตกลงจะไม่ถอนออกก่อนครบกำหนดเวลาที่กำหนด โดยธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งมักจะสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป ระยะเวลาฝากมีตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ไปจนถึง 36 เดือนหรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับธนาคาร

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปี 2568

ปี 2568 เป็นอีกปีที่น่าจับตาในด้านการเงิน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยแบบระมัดระวังเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากจึงยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิด โดยเฉพาะเงินฝากประจำที่หลายธนาคารแข่งขันกันออกโปรโมชั่นดอกเบี้ยสูงเพื่อดึงดูดเงินฝาก

ธนาคารพาณิชย์ที่เสนออัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงในปี 2568

  • ธนาคารออมสิน: ฝากประจำ 24 เดือน ดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ 2.80% ต่อปี
  • ธนาคารกรุงไทย: ฝากประจำ 12 เดือน สำหรับลูกค้าดิจิทัล รับอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 2.55% ต่อปี
  • ธนาคารกสิกรไทย: มีโปรโมชั่นฝากประจำ 6 เดือน ที่ดอกเบี้ย 2.30% ต่อปี สำหรับลูกค้าบัญชีออนไลน์
  • ธนาคารกรุงเทพ: เสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.40% ต่อปี สำหรับเงินฝากประจำ 12 เดือน

วิธีเลือกเงินฝากประจำให้คุ้มค่า

การเลือกบัญชีเงินฝากประจำที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า ไม่ได้พิจารณาเพียงแค่อัตราดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความถี่ในการจ่ายดอกเบี้ย เงื่อนไขการถอนเงินก่อนกำหนด และภาษีหัก ณ ที่จ่ายอีกด้วย

ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา

  1. ระยะเวลาฝาก: ระยะเวลาฝากที่ยาวมักให้ดอกเบี้ยสูงกว่า แต่ควรมั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินในช่วงเวลาดังกล่าว
  2. ดอกเบี้ยทบต้น: บางธนาคารเสนอการทบต้นรายเดือน ทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้นในระยะยาว
  3. โปรโมชั่นพิเศษ: ธนาคารบางแห่งมีโปรฝากประจำที่จำกัดเวลา เช่น โปรช่วงเทศกาลหรือเปิดบัญชีผ่านแอป
  4. ภาษีดอกเบี้ย: ดอกเบี้ยที่ได้รับอาจถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ควรพิจารณาส่วนนี้ในการคำนวณผลตอบแทนสุทธิ

เปรียบเทียบผลตอบแทน: ฝากประจำเทียบกับเครื่องมือออมอื่น

แม้เงินฝากประจำจะมีผลตอบแทนที่แน่นอนและปลอดภัย แต่เมื่อเทียบกับเครื่องมือออมอื่น เช่น พันธบัตรรัฐบาล กองทุนตราสารหนี้ หรือแม้แต่กองทุนรวมตลาดเงิน บางกรณีอาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยเฉพาะหากผู้ลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้บ้าง ดังนั้น ควรพิจารณาเงินฝากประจำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการออม และกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นด้วย

เงินฝากประจำยังเหมาะกับใครในปี 2568?

เงินฝากประจำยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคง ไม่ชอบความเสี่ยง และมีเป้าหมายทางการเงินชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนออมเงินไว้ใช้ในอนาคต เช่น เก็บเงินแต่งงาน ซื้อบ้าน หรือเตรียมเกษียณ ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังค่อนข้างสูงในปี 2568 นี้ ถือเป็นจังหวะดีที่ควรใช้ประโยชน์จากโปรโมชั่นและเงื่อนไขที่ธนาคารเสนออย่างเต็มที่

ก่อนตัดสินใจเปิดบัญชีเงินฝากประจำ ควรศึกษารายละเอียดแต่ละธนาคาร เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย และเลือกช่วงเวลาฝากที่เหมาะกับแผนการเงินส่วนตัวให้มากที่สุด อย่าลืมพิจารณาความยืดหยุ่นในการถอนเงินล่วงหน้า และผลกระทบจากภาษีดอกเบี้ยด้วย

อยากลดภาระหนี้บัตรเครดิต ต้องเจรจากับธนาคาร ยังไงถึงได้ผล

การมีหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากอาจสร้างความกดดันทางการเงินและจิตใจได้ไม่น้อย แต่ข่าวดีคือ ผู้ถือบัตรสามารถ “เจรจากับธนาคาร” เพื่อหาทางออกที่ดีกว่าได้ หากทำด้วยวิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่ช่วยลดภาระรายเดือน แต่ยังอาจลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ด้วย

ทำไมต้องเจรจากับธนาคาร?

ธนาคารมีนโยบายให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาด้านการชำระหนี้ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ หรือการขอผ่อนผันชั่วคราว เพราะหากลูกค้าไม่สามารถชำระได้เลย จะกลายเป็นหนี้เสียที่ส่งผลเสียต่อทั้งสองฝ่าย การเจรจาจึงเป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์ทั้งผู้ถือบัตรและธนาคาร

เตรียมตัวอย่างไรก่อนเจรจา?

1. ประเมินหนี้และสถานการณ์ของตนเอง

  • รวมยอดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด
  • ประเมินรายได้ รายจ่ายต่อเดือน และกำหนดจำนวนเงินที่สามารถผ่อนชำระได้จริง
  • ตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของตนเองจากเครดิตบูโร เพื่อใช้ประกอบการเจรจา

2. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือจากธนาคาร

ปัจจุบันหลายธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น

  • ปรับลดอัตราดอกเบี้ย (จาก 18% เหลือ 10-12% ต่อปี)
  • ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ (สูงสุดถึง 60 เดือน)
  • เปลี่ยนหนี้บัตรเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลแบบผ่อนรายเดือน

3. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน

สิ่งที่ธนาคารมักขอ ได้แก่

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สลิปเงินเดือนหรือหลักฐานรายได้ล่าสุด
  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 3-6 เดือน
  • เอกสารแสดงภาระหนี้อื่นๆ (ถ้ามี)

วิธีเจรจาอย่างมืออาชีพ

1. ใช้ภาษาที่สุภาพและตรงประเด็น

การเจรจาไม่ใช่การต่อรองแบบเอาชนะ แต่คือการขอความช่วยเหลือ ควรใช้ภาษาที่แสดงความรับผิดชอบ เช่น “ขอเจรจาเพื่อขอลดดอกเบี้ยและผ่อนชำระตามความสามารถจริง”

2. อย่าใช้อารมณ์หรือต่อว่าเจ้าหน้าที่

เจ้าหน้าที่เป็นเพียงผู้ประสานงาน ไม่สามารถตัดสินใจขั้นสุดท้ายได้เอง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่ก้าวร้าว เช่น “จะไม่จ่ายแล้ว” หรือ “ธนาคารเอาเปรียบ”

3. เสนอแนวทางที่เป็นไปได้

เช่น “สามารถชำระได้เดือนละ 3,000 บาท หากลดดอกเบี้ยลงมาบ้าง จะสามารถรักษาวินัยการชำระได้ต่อเนื่อง” ซึ่งช่วยให้ธนาคารเห็นความตั้งใจ

ตัวเลือกที่ธนาคารอาจเสนอ

1. ปรับโครงสร้างหนี้

ธนาคารอาจรวมยอดหนี้ทั้งหมดของคุณแล้วเปลี่ยนเป็นสินเชื่อใหม่ที่มีดอกเบี้ยต่ำลง เช่น 10-12% และให้ผ่อนเป็นงวดรายเดือนตามระยะเวลา 36-60 เดือน

2. โครงการไกล่เกลี่ยหนี้ของ ธปท.

สำหรับผู้ที่มีหนี้หลายสถาบัน การเข้าร่วมโครงการของธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเป็นทางเลือกที่ดี โดยสามารถขอเจรจาผ่านช่องทางกลางที่มีความเป็นธรรม

3. รีไฟแนนซ์หนี้บัตร

บางธนาคารมีบริการรวมหนี้บัตรมาไว้ที่เดียว พร้อมเสนอเงื่อนไขดอกเบี้ยต่ำกว่า เช่น 8-10% ต่อปี หากคุณมีเครดิตดีและมีรายได้มั่นคง

ข้อควรระวังในการเจรจา

  • อย่ารับเงื่อนไขที่เกินความสามารถ แม้จะดูเหมือนเป็นข้อเสนอที่ดี
  • ขอรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ และตรวจสอบก่อนลงนาม
  • อย่าหยุดจ่ายหนี้โดยไม่ได้รับการยืนยันจากธนาคารก่อน เพราะจะกระทบเครดิตบูโร

การเจรจากับธนาคารไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากมีการเตรียมตัวที่ดีและสื่อสารอย่างมีวุฒิภาวะ ผู้ถือบัตรเครดิตที่มีภาระหนี้สูงสามารถขอความช่วยเหลือและลดภาระลงได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้อย่าลืมรักษาวินัยทางการเงินและไม่สร้างหนี้ใหม่ระหว่างที่อยู่ในกระบวนการเจรจา