เตรียมปรับภาษีน้ำมัน เพิ่มรายได้รับวิกฤติเศรษฐกิจโลก

เปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ได้แจ้งเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ได้แก่น้ำมันเบนซิน และ น้ำมันดีเซล ตามที่กระทรวงการคลังได้เสนอภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบว่ามีการประกาศกฎกระทรวงเรื่องกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ในราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลใช้ทันที

ทางกระทรวงการคลังได้ให้เหตุผลในการปรับขึ้นภาษีน้ำมันครั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งเห็นควรว่าควรจะเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าน้ำมัน และ ผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทน้ำมันเบนซิน และ น้ำมันดีเซลเพื่อให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะตอนนี้อยู่ในช่วงไม่แน่นอน

กรมสรรพสามิตได้ออกมารายงานว่า การปรับขึ้นอัตราภาษีครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณเดือนละ 2,900 ล้านบาท หรือ ประมาณ 34,800 ล้านบาทต่อปี การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต และ ภาษีท้องถิ่นครั้งนี้ จะไม่กระทบกับราคาขายปลีกน้ำมันเนื่องจากจะให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดการเก็บเงินส่งกองทุนน้ำมันลง เพื่อเป็นการชดเชกับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่รัฐบาลจัดเก็บเพิ่มเติม โดยจะมีการรักษาระดับราคานี้จนถึงปีงบประมาณ 2568 จากนั้นจะมีการทบทวนแนวทางการดำเนินการอีกครั้ง

รายละเอียดการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต และ ภาษีส่วนท้องถิ่นของน้ำมันประเภทต่างๆ

  • น้ำมันเบนซิน 95 จากเดินเก็บภาษีสรรพสามิต 6.50 บาทต่อลิตร ปรับอัตราใหม่เป็น 7.50 บาทต่อลิตรเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดินเก็บ 0.650 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.750 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร
  • น้ำมันแก็สโซฮอล์ 95 (E10) จากเดิมเก็บภาษีสรรพาสามิต 5.85 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.75 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.90 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.585 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.675 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.090 บาทต่อลิตร
  • น้ำมันแก็สโซฮอล์ 95 (E20) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.20 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.00 บาท ต่อลิตรเพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.520 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.600 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.080 บาทต่อลิตร
  • น้ำมันแก็สโซฮอล์ 95 (E85) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 0.975 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 1.125 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.15 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.0975 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.1125 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.080 บาทต่อลิตร
  • น้ำมันดีเซล (H-Diesel) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.99 บาทต่อลิตร อัตราใหม่6.92 บาทต่อลิตรเพิ่มขึ้น 0.93 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.599 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.6920 บาทต่อลิตรเพิ่มขึ้น 0.093 บาทต่อลิตร

 

สินเชื่อเปิดเทอมวงเงิน 10,000 บาท ธนาคารออมสิน

ธนาคารออมสินออกสินเชื่อเพื่อผู้ปกครอง วงเงิน 10,000 บาทต่อราย ดอกเบี้ยต่ำ ช่วงเปิดเทอมหลายๆครอบครัวก็กำลังเริ่มวางแผนงบประมาณสำหรับเปิดเทอมอยู่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่าชุดนักเรียน, อุปกรณ์การเรียน, หนังสือ, ค่ารถรับส่ง รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆในช่วงเปิดเทอม ที่จะต้องใช้เงินเยอะมาก ที่ตอนแรกๆอาจจะดูเหมือนว่าใช้เงินไม่เยอะเท่าไหร่ แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว ลมแทบจับ ใช้เงินเยอะมาก

แถมปัจจุบันเคราะซ้ำกรรมซัด ค่าครองชีพสูงเข้าไปอีก ทำให้ปัจจุบันข้าวของ อาหารการกินแพงแบบขั้นสุด เมื่อก่อนข้าวจานละ 20 บาท ปัจจุบัน 80 บาท เข้าไปแล้ว ทำให้ผู้ปกครองหลายๆท่าน ต้องบริหารการเงิน และ แหล่งเงินสำรองเอาไว้ให้ดีๆ เพื่อเอาไว้ใช้จ่ายเฉพาะหน้า เผื่อว่ามีเหตุฉุกเฉินที่จะต้องใช้เงินนั่นเอง

ล่าสุดธนาคารออมสิน ออกสินเชื่อแบบเฉพาะกิจที่มีชื่อว่า “สินเชื่อธนาคารประชาชนต้อนรับเปิดเทอม” ซึ่งเป็นสินเชื่อขนาดเล็ก ที่มีจุดเด่นก็คือดอกเบี้ยต่ำ ไม่ต้องใช้หลักประกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครอง ในช่วงเปิดเทอม

ทางผู้อำนวยการของธนาคารออมสิน ได้ออกมาเปิดเผย ตามที่รัฐบาลมอบหมายให้สถาบันการเงินเข้าช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ที่จะต้องใช้เงินเยอะมาก และเพื่อเป็นการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบ เพื่อเสริมภาพคล่องทางการเงิน และ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และยังช่วยให้ส่งเสริมให้เด็กไทย สามารถเข้าถึง การศึกษาได้อย่างต่ำเนื่อง ทางธนาคารออมสินได้เดินหน้าในภารกิจเชิงสังคม เพื่อสนับสนุน รายละเอียดสินเชื่อดังกล่าว สามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

นวัตกรรมการเงินเพื่อสังคม ผ่อนเกณฑ์อนุมัติให้เข้าถงง่าย ช่วยเหลือผู้ปกครอง (สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดเครื่องแบบนักเรียน หรือ ค่าหนังสือ อุปกรณ์การเรียน)

  • วงเงินสูงสุด 10,000 บาท
  • ดอกเบี้ยหมื่นละ 60 บาทต่อเดือน
  • ผ่อนชำระสูงสุด 12 เดือน
  • ไม่มีหลักประกัน

สามารถขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 หรือครบวงเงินโครงการ หรือ อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก Effective Rate ร้อยละ 12.96 ต่อปี

สำหรับผู้ปกครองท่านไหนที่สนใจสินเชื่อเพื่อผู้ปกครอง สามารถสมัครได้ผ่านแอป MyMo หรือ ที่สาขาของธนาคารออมสินทั่วประเทศ

ประเทศไทยเฝ้าระวังน้ำท่วม ดินถล่ม 18 จังหวัด รับมือฤดูฝน

ปี 2568 ในเดือนพฤษภาคม 2568 ประเทศไทยก็ได้เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ บางพื้นที่มีโดนฝนไปบ้างแล้ว ตอนนี้ทางการได้ออกมาแจ้งเตือนฝนตกหนัก และ บางแห่งอาจมีดินถล่ม ให้ประชาชนเฝ้าระวัง ทั้งหมด 18 จังหวัด ประกาศรายชื่อพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อรับมือฤดูฝน นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่าอ่างเก็บน้ำตอนนี้เก็บน้ำอยู่ที่ 56%

อ่างเก็บน้ำที่มีความจุอยู่ที่ 56% ของความจุยังถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่บริหารจัดการได้ แต่ปริมาณน้ำที่ใช้การอยู่ที่ 36% อาจจะต้องพิจารณาถึงการวางแผนการใช้น้ำในระยะยาว โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงในอนาคต

ปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมงสูงสุดในแต่ละภูมิภาค

  • ภาคเหนือ จังหวัดลำพูด สะสม 43 มม.
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุดรธานี 62 มม.
  • ภาคตะวันตก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 80 มม.
  • ภาคกลาง จังหวัดสมุทรปราการ 50 มม.
  • ภาคตะวันออก จังหวัดจันทบุรี 106 มม.
  • ภาคใต้ จังหวัดพังงา 132 มม.

จับตาสภาพอากาศวันนี้ มีแนวโน้มฝนที่จะเพิ่มขึ้น

จากการรายงาน วันนี้ลมใต้และลมตะวันตกเฉี่ยงใต้ ยังคงพัดนำความชื้นเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้หลายพื้นที่มีฝนตก ภาคใต้ยังคงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักบางพื้นที่ เนื่องจากอิทธิพลของลมตะวันตก และ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และ อ่าวไทย

คาดการณ์ 9-12 พฤษภาคม 2568

จากการคาดการณ์ ระหว่างวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2568 มีการคาดการเกี่ยวกับความกดอากาศสูง กำลังปานกลางจากประเทศจีน จะลงมาปกคลุมประเทศเวียดนามและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้ประเทศไทยตอนบน มีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น และ อาจจะมีฝนตกหนักบางแห่ง ปัจจุบันภาคใต้มีฝนมากขึ้นอยู่แล้วเนื่องจากลมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน มีกำลังแรงขึ้น

พื้นที่เฝ้าระวังน้ำหลาก และ ดินโคลนถล่ม

สทนช. ออกมาแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากและดินโคลนถล่มจากฝนตกหนัก และ ปริมาณฝนสะสม ช่วงวันที่ 7-11 พฤษภาคม 2568 ในบางส่วนของพื้นที่ตามรายการด้านล่าง

  • ภาคเหนือ บริเวณจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, น่าน และ พะเยา
  • ภาคตะวันออก บริเวณจังหวัดชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี และ ตราด
  • ภาคใต้ บริเวณจังหวัดชุมพร, ระนอง, พังงาน, ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, พัทลุง, กระบี่, ตรัง และ สตูล

 

อัพเดทเงินอุดหนุนบุตร เดือนพฤษภาคม 2568 นี้

งบ 1,400 ล้านบาท สำหรับใช้แจกเงินอุดหนุนบุตร 600 บาท ต่อราย ซึ่งจะเงินจะเข้าบัญชีที่ลงทะเบียนวันพฤหัสนี้ จำนวน 2.2 ล้านราย สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถตรวจสอบได้ด้านล่าง

พม.เผย งบ 1,400 ล้านบาทแจกเงิน 600 บาท สำหรับเงินอุดหนุนบุตร พฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม 2568 นี้จำนวน 2.2 ล้านคน รอรับได้เลย สำหรับใครที่ต้องการตรวจสอบการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูบุตรแรกเกิดผ่านช่องทางต่างๆ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

  • เว็บไซต์กรมกิจการเด็กและเยาวชน
  • แอปพลิเคชั่น เงินเด็ก
  • แอปพลิเคชั่น ทางรัฐ

สำหรับผู้ปกครองที่ยังไม่ได้ทำการลงทะเบียน ขอรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และเด็กที่มีสัญชาติไทย พ่อ, แม่ หรือ ผู้ปกครองสามารถยื่นคำร้องในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดและผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน

  • กรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเขต
  • เมื่อพัทยา ลงทะเบียนได้ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา
  • ส่วนภูมิภาค ลงทะเบียนได้ที่องค์การบริหารส่วนตำบล หรือ เทศบาล

ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นเงินเด็ก ทั้งนี้ผู้ปกครองจะต้องพิสูจน์และยื่นยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชั่น ThaiD ของกรมการปกครองก่อน

 

อัพเดทข้อมูลแจกเงินเยียวยา 9,000 บาทวันนี้

เงินเยียวยาช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยแจกเงินเยียวยาวันนี้ 9,000 บาท หากใครยังไม่ได้รับมีวิธีแนะนำง่ายๆสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมด้านล่าง

ผู้ประสบอุทกภัย ที่ไม่ได้รับเงินเยียวยา 9,000 บาท ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 สามารถติดต่อกับทางอำเภอ เทศบาล หรือ ธนาคารให้เสร็จก่อนวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หรือติดต่อ 074-611-652 หรือ 074-617-046

ผู้ประสบภัยทุกท่าน ที่ได้รับเงินเยียวยา 9,000 บาท ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 สำหรับผู้ประสบอุทกภัยที่ไม่ได้รับเงินเยียวยาวันนี้ ให้ท่านไปติดต่อกับอำเภอ เทศบาล หรือ ธนาคารให้เสร็จก่อนวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ในส่วนของรายละเอียดที่ไม่ได้รับเงินเยียวยาสามารถดูได้ด้านล่าง

  • ผูกพร้อมเพย์ไม่ตรงกับธนาคารหรือไม่ถูกต้อง
  • กรณีเสียชีวิตให้มอบอำนาจให้ถูกต้อง
  • กรณีอื่นๆ

 

บัตรเครดิตสำหรับฟรีแลนซ์ สมัครใบไหนดี

ในยุคที่อาชีพฟรีแลนซ์ได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสายครีเอทีฟ สายไอที หรือแม้แต่นักแปลออนไลน์ คำถามที่มักถูกถามเสมอคือ “ฟรีแลนซ์สมัครบัตรเครดิตได้ไหม?” และ “ต้องเตรียมเอกสารอะไร?” เพราะที่ผ่านมา ฟรีแลนซ์มักถูกมองว่าไม่มีรายได้ประจำจึงอาจไม่เข้าเกณฑ์ในการอนุมัติบัตรเครดิต แต่ในปี 2025 นี้ สถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มเปิดรับฟรีแลนซ์มากขึ้น พร้อมออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคนทำงานอิสระ

ฟรีแลนซ์สมัครบัตรเครดิตได้ไหม?

คำตอบคือ “ได้” แต่อาจต้องมีการเตรียมตัวมากกว่าผู้มีเงินเดือนประจำเล็กน้อย เนื่องจากสถาบันการเงินต้องการหลักฐานความสามารถในการชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ต่างจากการพิจารณาสินเชื่อทั่วไป

สิ่งที่ธนาคารพิจารณาสำหรับฟรีแลนซ์

  • รายได้เฉลี่ยต่อเดือนย้อนหลัง 6-12 เดือน
  • รายการเดินบัญชี (Bank Statement)
  • หลักฐานงาน เช่น ใบแจ้งหนี้ สัญญาจ้าง หรือรายรับจากแพลตฟอร์มออนไลน์
  • เครดิตบูโรและประวัติการชำระหนี้

บัตรเครดิตสำหรับฟรีแลนซ์: ยากแต่ไม่เกินเอื้อม

แม้ว่าโอกาสในการสมัครจะไม่ง่ายเท่าพนักงานประจำ แต่หากฟรีแลนซ์สามารถแสดงรายได้ที่มั่นคงและมีวินัยทางการเงิน ก็มีโอกาสสูงที่จะได้รับอนุมัติ โดยเฉพาะหากใช้บริการของธนาคารเดิมที่มีประวัติการใช้บัญชีอย่างสม่ำเสมอ

เคล็ดลับเพิ่มโอกาสผ่านการสมัคร

  • เลือกสมัครบัตรที่ตรงกับรายได้และความสามารถในการใช้จ่าย
  • ใช้บัญชีธนาคารเดียวกันกับที่สมัคร เพื่อให้ตรวจสอบประวัติง่ายขึ้น
  • สมัครผ่านเจ้าหน้าที่ธนาคารโดยตรง เพื่อให้มีการช่วยตรวจสอบเอกสารก่อนยื่นจริง
  • ไม่มีหนี้เสีย ไม่มีบัตรเครดิตค้างจ่าย

บัตรเครดิตแนะนำสำหรับฟรีแลนซ์ในปี 2025

ในปีนี้ หลายธนาคารเริ่มให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้อิสระมากขึ้น โดยมีการเปิดผลิตภัณฑ์ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของฟรีแลนซ์โดยเฉพาะ

1. KTC Cash Back Forever

จุดเด่น: ได้เงินคืนทุกยอดใช้จ่าย 0.8% ไม่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า เหมาะกับฟรีแลนซ์ที่มีรายจ่ายกระจายหลายช่องทาง เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร หรือค่าสื่อโฆษณาออนไลน์

2. SCB UP2ME

จุดเด่น: ปรับสิทธิประโยชน์เองได้ตามไลฟ์สไตล์ เลือกหมวด Cashback เช่น ร้านอาหาร หรือการช้อปปิ้งออนไลน์ได้ เหมาะกับฟรีแลนซ์สายคอนเทนต์หรือสายไอทีที่ใช้จ่ายหลากหลาย

3. Krungsri Now

จุดเด่น: สมัครง่ายผ่านแอป Krungsri Mobile ใช้เพียง Bank Statement และมีรายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาทขึ้นไป เหมาะกับฟรีแลนซ์ที่ไม่มีสลิปเงินเดือน

4. UOB Lady’s Solitaire (ผู้หญิงที่มีรายได้ดี)

จุดเด่น: สิทธิพิเศษด้านความงาม ประกัน และร้านอาหาร เหมาะกับฟรีแลนซ์สายบิวตี้หรืออินฟลูเอนเซอร์ ที่มีไลฟ์สไตล์ชัดเจน

ข้อควรระวังของฟรีแลนซ์ในการใช้บัตรเครดิต

แม้บัตรเครดิตจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การใช้จ่ายคล่องตัว แต่สำหรับฟรีแลนซ์ที่รายได้ไม่แน่นอน ควรใช้อย่างระมัดระวัง

1. หลีกเลี่ยงการจ่ายขั้นต่ำต่อเนื่อง

การจ่ายขั้นต่ำเป็นทางเลือกที่สบายในช่วงเงินขาดมือ แต่หากทำต่อเนื่องจะเจอดอกเบี้ยสูงจนอาจกลายเป็นหนี้สะสม

2. วางแผนรายจ่ายล่วงหน้า

เนื่องจากรายได้อาจไม่สม่ำเสมอ ควรมีงบสำรองไว้ทุกเดือนเพื่อกันฉุกเฉิน และไม่ควรใช้บัตรรูดเกินรายได้เฉลี่ยที่รับมา

3. แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจ

แม้จะเป็นฟรีแลนซ์คนเดียว แต่ควรมีการแยกบัญชีสำหรับรายรับธุรกิจกับรายจ่ายส่วนตัวเพื่อให้บริหารได้ง่ายขึ้น และเตรียมตัวสำหรับการยื่นภาษี

บัตรเครดิตสำหรับฟรีแลนซ์ในปี 2025 ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากเกินเอื้อมอีกต่อไป เพียงแค่ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม มีวินัยทางการเงิน และเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับลักษณะงานและรายได้ของตนเอง การมีบัตรเครดิตไม่เพียงเพิ่มความคล่องตัวในการใช้จ่าย แต่ยังช่วยสร้างเครดิตทางการเงินที่ดีในระยะยาวอีกด้วย

หากคุณเป็นฟรีแลนซ์ที่ต้องการมีบัตรเครดิตเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์การทำงานอิสระ เริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูลและเตรียมเอกสารให้พร้อม รับรองว่าคุณจะมีโอกาสได้รับอนุมัติไม่แพ้พนักงานประจำแน่นอน

บัตรเครดิต AI กำลังมา? แนวโน้มอนาคตการใช้จ่ายแบบอัจฉริยะ

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกด้าน ตั้งแต่การใช้งานมือถือ ไปจนถึงระบบการแพทย์ “บัตรเครดิต AI” จึงกลายเป็นคำที่หลายคนเริ่มได้ยินมากขึ้นในปี 2025 นี้ คำถามคือ บัตรเครดิต AI คืออะไร? แล้วจะมีบทบาทอย่างไรต่อการใช้จ่ายในอนาคต?

บัตรเครดิต AI คืออะไร?

บัตรเครดิต AI คือบัตรเครดิตที่มีการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย คาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้ และแนะนำสิทธิประโยชน์หรือดีลที่ตรงกับไลฟ์สไตล์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่บัตรที่ “รูดได้” แต่เป็นบัตรที่ “คิดได้”

ตัวอย่างการทำงานของบัตรเครดิต AI

  • แนะนำร้านอาหารใกล้คุณที่มีโปรโมชันร่วมกับบัตร
  • เตือนเมื่อใช้จ่ายเกินงบที่ตั้งไว้
  • ปรับวงเงินอัตโนมัติตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
  • แนะนำให้ผ่อน 0% อัตโนมัติเมื่อซื้อของชิ้นใหญ่

เบื้องหลังเทคโนโลยี: AI ในโลกการเงิน

AI ที่นำมาใช้ในบัตรเครดิตนั้นพัฒนามาจากระบบ Machine Learning และ Data Analytics ซึ่งสามารถเรียนรู้จากข้อมูลการใช้จ่ายของผู้ถือบัตร ประวัติการชำระหนี้ รายได้ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อสร้างระบบการแนะนำ (Recommendation System) ที่แม่นยำ

Banking Intelligence: จากระบบแบงก์สู่ผู้บริโภค

ธนาคารและบริษัทบัตรเครดิตเริ่มผสาน AI กับระบบ CRM เพื่อสร้างบริการที่ตอบโจทย์รายบุคคล เช่น การส่งโปรโมชันที่ตรงจังหวะเวลาหรือการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการใช้จ่ายที่ผิดปกติ

ประโยชน์ของบัตรเครดิต AI ต่อผู้ใช้

การผสมผสาน AI เข้าไปในบัตรเครดิตทำให้ผู้ถือบัตรได้รับประโยชน์มากกว่าที่เคย โดยเฉพาะในด้านการจัดการการเงินส่วนบุคคล

1. ช่วยควบคุมงบประมาณ

ระบบ AI สามารถตั้งงบประมาณรายเดือน วิเคราะห์การใช้จ่าย และส่งสัญญาณเตือนเมื่อผู้ใช้ใกล้จะใช้จ่ายเกินเป้า

2. ลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกง

ด้วยระบบ AI Fraud Detection ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สามารถตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น รูดบัตรจากต่างประเทศโดยที่เจ้าของบัตรยังอยู่ในประเทศ

3. สิทธิประโยชน์ตรงความต้องการ

AI สามารถเลือกโปรโมชันจากร้านค้าพันธมิตรตามที่ผู้ใช้ไปบ่อย เช่น แนะนำคูปอง Starbucks ถ้าเป็นคนชอบกาแฟ หรือส่วนลด Netflix ถ้าเป็นสายดูหนัง

บัตรเครดิต AI ที่เริ่มเปิดตัวในปี 2025

แม้จะยังไม่แพร่หลายในไทย แต่ธนาคารชั้นนำหลายแห่งในต่างประเทศเริ่มออกผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต AI แล้ว เช่น

  • J.P. Morgan AI SmartCard – บัตรที่ปรับวงเงินและแนะนำ Rewards อัตโนมัติ
  • Amex AI Rewards – ใช้ AI คำนวณคะแนนสะสมที่ดีที่สุดในแต่ละเดือน
  • Revolut AI Spend Tracker – วิเคราะห์การใช้จ่ายและแนะนำการออม

ในไทยเอง ธนาคารใหญ่ๆ เช่น KBank และ SCB ก็เริ่มทดสอบฟีเจอร์ AI บน Mobile Banking และวางแผนออกบัตร AI แบบเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้

ความเสี่ยงและข้อควรระวัง

แม้บัตรเครดิต AI จะให้ความสะดวกและฉลาดมากขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่ควรรู้:

  • ความเป็นส่วนตัว: ข้อมูลการใช้จ่ายจำนวนมากจะถูกนำมาวิเคราะห์โดยระบบ AI ผู้ใช้ต้องแน่ใจว่าผู้ให้บริการมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง
  • การพึ่งพาระบบมากเกินไป: หากเกิดข้อผิดพลาดจากการวิเคราะห์ AI อาจส่งผลให้คำแนะนำผิดพลาด เช่น แนะนำวงเงินสูงเกินความสามารถ
  • ค่าใช้จ่ายแฝง: บัตรที่มีฟีเจอร์ AI บางใบอาจมีค่าธรรมเนียมรายปีที่สูงกว่าปกติ

AI จะมาแทนมนุษย์ในการอนุมัติสินเชื่อหรือไม่?

ในอนาคต การอนุมัติวงเงินบัตรเครดิตอาจไม่ต้องรอการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่อีกต่อไป เพราะ AI สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงจากข้อมูลเครดิตภายในไม่กี่วินาที อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังคงเห็นว่าควรมี “มนุษย์” ร่วมในการตรวจสอบขั้นสุดท้าย โดยเฉพาะในกรณีที่มีความซับซ้อน

อนาคตของบัตรเครดิตในโลกหลังปี 2025

เมื่อบัตรเครดิตไม่ใช่แค่เครื่องมือใช้จ่าย แต่กลายเป็นผู้ช่วยทางการเงินที่มี AI คอยแนะนำ พฤติกรรมการเงินของผู้บริโภคก็จะเปลี่ยนไปอย่างมาก ผู้ใช้จะสามารถวางแผนการใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น ลดหนี้ และได้สิทธิประโยชน์ที่แม่นยำกว่าเดิม

แนวโน้มที่น่าจับตา

  • การผนวกบัตรเครดิตกับ Digital Wallets เช่น Apple Pay และ Google Wallet ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
  • ระบบ “Smart Limit” ที่ปรับวงเงินอัตโนมัติตามสถานะการเงินและเครดิต
  • ระบบ “AI Credit Score” แบบเรียลไทม์ที่เปลี่ยนได้ตามพฤติกรรมรายวัน

บัตรเครดิต AI ไม่ใช่อนาคตที่ไกลตัวอีกต่อไป แต่คือคลื่นลูกใหม่ที่กำลังเข้ามาปฏิวัติวงการการเงินส่วนบุคคลในปี 2025 และหลังจากนั้น ผู้ใช้บัตรควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งในแง่ของความเข้าใจระบบ AI การรักษาความเป็นส่วนตัว และการใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ

จะรูดบัตร หรือ จะผ่อน 0% เลือกแบบไหนดี?

การใช้บัตรเครดิตเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการกลายเป็นเรื่องปกติในยุคดิจิทัล แต่เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจซื้อของราคาสูง ไม่ว่าจะเป็นมือถือ โน้ตบุ๊ก หรือเฟอร์นิเจอร์ เรามักจะเจอคำถามว่า “จะรูดเต็มจำนวน หรือผ่อน 0% ดี?” บางคนมองว่าการรูดจบทีเดียวสะดวกกว่า แต่บางคนเลือกผ่อนเพื่อแบ่งเบาภาระ

บทความนี้จะพาคุณวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสียของทั้งสองวิธี พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ เพื่อให้คุณเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสถานะทางการเงินและเป้าหมายของตัวเอง

ทำความเข้าใจพื้นฐาน: รูดเต็ม vs ผ่อน 0%

รูดเต็มจำนวนคืออะไร?

คือการชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิตโดยไม่แบ่งยอด หากรูด 30,000 บาท ยอดนั้นจะปรากฏในใบแจ้งหนี้เดือนถัดไปทั้งหมด หากคุณจ่ายเต็มภายในกำหนด ก็จะไม่มีดอกเบี้ยใด ๆ

ผ่อน 0% คืออะไร?

คือการแบ่งจ่ายยอดรวมออกเป็นงวด ๆ โดยไม่เสียดอกเบี้ย (กรณีเป็นโปรฯ ผ่อน 0% จริง) เช่น ผ่อนมือถือราคา 30,000 บาท เป็นเวลา 10 เดือน เดือนละ 3,000 บาท โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย

1. กระแสเงินสด (Cash Flow)

  • รูดเต็มจำนวน: เหมาะกับคนที่มีเงินพร้อมจ่าย และต้องการจบภาระเร็ว ไม่มีหนี้ค้าง
  • ผ่อน 0%: เหมาะกับคนที่ต้องการแบ่งเบาภาระ หรือมีรายได้ประจำแต่ไม่อยากจ่ายเงินก้อน

2. ดอกเบี้ย

  • รูดเต็มจำนวน: ถ้าจ่ายตรงเวลา = ดอกเบี้ย 0% แต่ถ้าผิดนัดจ่าย อาจเจอดอกเบี้ยสูงถึง 16-18% ต่อปี
  • ผ่อน 0%: ไม่ต้องกังวลเรื่องดอกเบี้ยเลย ตราบใดที่เป็นโปรผ่อน 0% จริง (ควรอ่านเงื่อนไขให้ดี)

3. เครดิตในระบบ

  • รูดเต็ม: อาจกระทบ credit utilization หากยอดที่รูดใช้วงเงินสูง เช่น รูด 50,000 บาทจากวงเงิน 60,000 บาท ทำให้เครดิตเหลือน้อย ส่งผลต่อคะแนนเครดิต
  • ผ่อน 0%: วงเงินจะถูกกันไว้ตามยอดรวม เช่น ผ่อน 30,000 บาท วงเงินจะถูกกันไว้ทั้ง 30,000 บาทแม้จ่ายรายเดือน

ตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพ

กรณีศึกษา: คุณเอกจะซื้อโน้ตบุ๊กราคา 30,000 บาท

Option A: รูดเต็มจำนวน

  • ยอดตัดบัตร: 30,000 บาท
  • จ่ายเต็มภายใน 45 วัน ไม่เสียดอกเบี้ย
  • หากลืมหรือจ่ายไม่ครบ โดนดอกเบี้ยเฉลี่ย 18% ต่อปี (เดือนละประมาณ 450 บาท)

Option B: ผ่อน 0% 10 เดือน

  • ยอดที่ต้องจ่ายต่อเดือน: 3,000 บาท
  • ไม่มีดอกเบี้ยเพิ่ม หากจ่ายตามกำหนด
  • วงเงินบัตรจะถูกกันไว้ทั้ง 30,000 บาท จนกว่าจะจ่ายครบ

ถ้าคุณมีเงินพร้อมและสามารถจ่ายได้ภายในกำหนด รูดเต็มก็น่าสนใจ แต่ถ้าต้องการรักษาเงินสดไว้ใช้จ่ายอื่น ๆ การผ่อน 0% ช่วยให้สภาพคล่องดีขึ้น

คำถามที่ควรถามตัวเองก่อนตัดสินใจ

  • มีเงินจ่ายครบเต็มจำนวนในรอบบิลหรือไม่?
  • สินค้าที่จะซื้อนั้น มีโปรผ่อน 0% จริงไหม หรือมีค่าธรรมเนียมแฝง?
  • มีค่าใช้จ่ายอื่นในเดือนเดียวกันที่ต้องรับผิดชอบหรือไม่?
  • ต้องการรักษาเงินสดไว้เผื่อฉุกเฉินหรือเปล่า?

ข้อควรระวังเกี่ยวกับโปรผ่อน 0%

ไม่ใช่ทุกโปรคือ “0% จริง”

บางร้านมีการบวกค่าธรรมเนียมเพิ่มแล้วแปลงเป็นผ่อน 0% หรือมีเงื่อนไขซ่อน เช่น ต้องสมัครบริการเสริม หรือมีค่าดำเนินการเพิ่มเติม จึงควรอ่านรายละเอียดและถามพนักงานให้ชัดเจนก่อนตกลงผ่อน

อย่าลืมเช็กวงเงินคงเหลือ

การผ่อนจะทำให้วงเงินของคุณถูกกันไว้ตามยอดทั้งหมด หากวงเงินไม่พอ บัตรอาจไม่ผ่าน และส่งผลต่อการใช้จ่ายในอนาคต

เมื่อไหร่ควรเลือก “รูดเต็ม”

  • เมื่อคุณมีเงินสดพร้อมจ่ายเต็มจำนวนในรอบบิล
  • เมื่อไม่มีโปรผ่อน 0% หรือมีค่าธรรมเนียมแฝง
  • เมื่อคุณไม่ต้องการให้วงเงินบัตรถูกกันไว้หลายเดือน

เมื่อไหร่ควรเลือก “ผ่อน 0%”

  • เมื่อคุณต้องการควบคุมงบรายเดือนให้แน่นอน
  • เมื่อมีค่าใช้จ่ายก้อนอื่นที่ต้องจัดการควบคู่กัน
  • เมื่อของชิ้นนั้นมีโปรผ่อน 0% แท้ ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่ม

ไม่มีคำตอบเดียวสำหรับทุกคน

การเลือก “รูดเต็ม” หรือ “ผ่อน 0%” ขึ้นอยู่กับสถานะทางการเงินและพฤติกรรมการใช้จ่ายของแต่ละคน หากคุณมีสภาพคล่องสูง และไม่มีแผนใช้จ่ายอื่น ๆ รูดเต็มอาจเป็นทางเลือกที่จบง่าย แต่ถ้าคุณต้องการบริหารเงินสดให้ยืดหยุ่นและมั่นใจว่าจะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม ผ่อน 0% คือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ก่อนตัดสินใจ ควรพิจารณาทั้งเงินในกระเป๋า รายจ่ายระยะสั้น และแผนการเงินในอนาคต เพื่อเลือกวิธีที่ทำให้การใช้บัตรเครดิตของคุณทั้ง “สะดวก” และ “ฉลาด” มากที่สุด

บริหารการเงินยังไง ในช่วงเศรษฐกิจขาลงในปี 2025

เมื่อราคาสินค้าและค่าครองชีพในปี 2025 พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การบริหารเงินเดือนจึงกลายเป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนควรมี โดยเฉพาะในยุคที่เงินเดือนเท่าเดิม แต่รายจ่ายกลับเพิ่มขึ้นทุกเดือน บทความนี้จะช่วยแนะนำแนวทางการจัดการเงินเดือนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คุณมีเงินเหลือเก็บ แม้จะอยู่ในยุคที่ข้าวของแพงแสนแพงก็ตาม

เข้าใจสถานะทางการเงินของตัวเองก่อน

1. วิเคราะห์รายรับรายจ่ายในแต่ละเดือน

ก่อนจะเริ่มวางแผนการเงิน สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้ว่าคุณมีรายรับเท่าไหร่ และใช้จ่ายอะไรไปบ้าง แนะนำให้ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างน้อย 2-3 เดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมของพฤติกรรมการเงิน และระบุจุดรั่วไหลของเงินได้ชัดเจนขึ้น

2. แบ่งประเภทค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจน

ค่าใช้จ่ายหลักมักแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่:

  1. ค่าจำเป็น เช่น ค่าอาหาร, ค่าเช่าบ้าน, ค่าเดินทาง
  2. ค่าผ่อนหรือหนี้สิน เช่น ผ่อนรถ, ผ่อนบ้าน, บัตรเครดิต
  3. ค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงหรือไลฟ์สไตล์
  4. ค่าใช้จ่ายไม่ประจำ เช่น ค่ารักษาพยาบาล และ ค่าของขวัญ

การรู้ประเภทค่าใช้จ่ายช่วยให้คุณกำหนดลำดับความสำคัญได้ง่ายขึ้น

เทคนิคการจัดการเงินเดือนให้เหลือเก็บ

1. ใช้สูตร 50/30/20 ปรับตามบริบท

สูตรการจัดสรรเงินแบบคลาสสิก 50/30/20 คือ:

  • 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น
  • 30% สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อความสุข
  • 20% สำหรับการออมและการลงทุน

ในปี 2025 ที่ค่าครองชีพสูงขึ้น อาจต้องปรับสูตรเป็น 60/20/20 หรือแม้แต่ 70/15/15 เพื่อให้ออมเงินได้ต่อเนื่อง

2. จ่ายให้ตัวเองก่อน

ทันทีที่ได้รับเงินเดือน ให้โอนส่วนที่ต้องการออมออกมาก่อนใช้จ่าย เช่น ตั้งเป้าออม 3,000 บาทต่อเดือน ก็โอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ทันที วิธีนี้ช่วยลดโอกาสที่เงินจะหมดก่อนถึงสิ้นเดือน

3. ลดรายจ่ายฟุ่มเฟือยด้วยแนวคิด “จำเป็นจริงหรือ?”

ทุกครั้งที่คุณจะซื้อของ ลองถามตัวเองว่า “จำเป็นจริงหรือแค่อยากได้?” เช่น กาแฟแก้วละ 120 บาทที่ซื้อทุกเช้า อาจเปลี่ยนเป็นชงดื่มเอง ซึ่งช่วยประหยัดได้มากกว่า 2,000 บาทต่อเดือน

ปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ให้สอดคล้องกับยุค

1. ใช้โปรโมชันและส่วนลดอย่างฉลาด

หลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee, Lazada, Grab, หรือแอปธนาคาร มักมีโค้ดส่วนลดหรือ Cashback การใช้โปรโมชั่นเหล่านี้อย่างมีกลยุทธ์จะช่วยให้คุณประหยัดได้หลายพันบาทต่อปี

2. ทำอาหารกินเองบ่อยขึ้น

ค่าอาหารนอกบ้านเฉลี่ยต่อมื้ออยู่ที่ 80–150 บาท แต่หากทำอาหารเองจะประหยัดไปได้มาก และยังควบคุมคุณภาพได้อีกด้วย

3. พิจารณาการเดินทางให้คุ้มค่า

แทนที่จะขับรถทุกวัน ลองใช้ขนส่งสาธารณะหรือคาร์พูลร่วมกับเพื่อนร่วมงาน อาจช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้หลักพันต่อเดือน

สร้างรายได้เสริม เพิ่มโอกาสให้เงินงอกเงย

1. สำรวจทักษะที่มี และเริ่มหารายได้เสริม

ไม่ว่าจะเป็นการรับจ้างพิเศษ ขายของออนไลน์ หรือเขียนบทความ การหารายได้เสริมช่วยให้คุณไม่ต้องพึ่งพาเงินเดือนเพียงอย่างเดียว

2. ลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจ

ปี 2025 เป็นยุคที่ทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม หุ้น หรือคริปโตฯ แต่อย่าลงทุนเพราะกระแส ให้ลงทุนในสิ่งที่คุณศึกษามาแล้วเท่านั้น

การบริหารเงินไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้

แม้รายได้จะสำคัญ แต่การบริหารรายจ่ายให้มีประสิทธิภาพต่างหากที่ทำให้คุณมีเงินเหลือเก็บในยุคของแพงอย่างปี 2025 เริ่มต้นจากการเข้าใจสถานะทางการเงิน วางแผนอย่างมีระบบ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

โปรโมชั่นบัตรเครดิตห้าง เด็ดสุด ณ ปัจจุบัน เช็คเลย

การมีบัตรเครดิตที่ใช้ร่วมกับห้างสรรพสินค้าได้อย่างคุ้มค่า ไม่เพียงช่วยให้เราประหยัด แต่ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการใช้จ่ายประจำวันอีกด้วย ปัจจุบันบัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารต่าง ๆ ได้ร่วมมือกับห้างดังหลายแห่งเพื่อออกโปรโมชั่นพิเศษ ทั้งส่วนลด เครดิตเงินคืน หรือคะแนนสะสมพิเศษ ซึ่งเหมาะมากกับสายช้อปที่รักการเดินห้างเป็นชีวิตจิตใจ

ทำไมสายช้อปควรมีบัตรเครดิตคู่ใจ?

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า “การเลือกใช้บัตรเครดิตให้ถูกที่ ถูกเวลา” ช่วยให้คุณได้ส่วนลดมากกว่าที่คิด เช่น ได้ส่วนลดเพิ่มจากสินค้าลดราคาอยู่แล้ว, ผ่อน 0%, หรือรับเครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 15% โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขยุ่งยาก เพียงใช้จ่ายผ่านบัตรที่ร่วมรายการเท่านั้น

รวมโปรบัตรเครดิตห้างยอดนิยมในไทย ปี 2025

1. Central The 1 Credit Card

หนึ่งในบัตรที่สายช้อป Central ควรมี เพราะมาพร้อมสิทธิพิเศษเฉพาะห้างในเครือเซ็นทรัล เช่น Central, Robinson, Supersports, Tops และ Power Buy

  • รับส่วนลดสูงสุด 5% ที่ห้างในเครือ
  • รับคะแนน The 1 เพิ่ม 2-4 เท่า เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร
  • โปรผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับสินค้าที่ร่วมรายการ
  • รับสิทธิพิเศษ Central Online, เช่น โค้ดส่วนลด และส่งฟรี

2. SCB M VISA (MCard)

บัตรจากความร่วมมือของธนาคารไทยพาณิชย์และเครือเดอะมอลล์ เหมาะสำหรับผู้ที่ช้อปปิ้งที่ The Mall, Emporium, EmQuartier และ Paragon

  • รับส่วนลด 5-10% ในห้าง (เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ)
  • รับคะแนน M Point x2 – x4 ทุกการใช้จ่ายในห้าง
  • โปรผ่อน 0% สูงสุด 6 เดือน เมื่อซื้อสินค้าในเครือ
  • สิทธิพิเศษเช่น ฟรีค่าส่ง, สิทธิใช้ห้องรับรอง, ส่วนลดร้านอาหาร

3. Aeon Royal Orchid Plus Platinum

แม้เป็นบัตรที่โดดเด่นด้านสะสมไมล์ แต่ Aeon ก็มีโปรกับห้างดังเช่น Big C, MaxValu และร้านค้าชั้นนำในห้าง

  • เครดิตเงินคืนสูงสุด 5% เมื่อซื้อสินค้าผ่านบัตร
  • ผ่อนสินค้าในห้าง 0% นาน 3-6 เดือน
  • โปรโมชั่นร่วมกับแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้างบ่อยครั้ง

4. Krungsri Credit Card (เฉพาะใบที่ร่วมโปรกับห้าง)

บัตรเครดิตกรุงศรีมีหลายประเภทที่ร่วมโปรกับห้าง เช่น Central, HomePro, Robinson และ Power Buy

  • รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อใช้จ่ายครบตามเงื่อนไข
  • ใช้คะแนนแลกส่วนลดเพิ่มได้ (เช่น 1,000 คะแนน = ลด 100 บาท)
  • โปรผ่อน 0% 6-10 เดือน

5. KBank X Lotus’s Credit Card

บัตรจากความร่วมมือของกสิกรไทยและห้าง Lotus’s เหมาะกับการใช้จ่ายประจำบ้านและช้อปของกิน

  • รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 3% เมื่อชำระที่ Lotus’s
  • รับคูปองส่วนลดจาก Lotus’s Online เมื่อใช้จ่ายครบกำหนด
  • สะสมคะแนนแลกของใช้ภายในห้างหรือแลกเป็นเงินสด

สิทธิพิเศษเสริมที่หลายคนมองข้าม

ส่วนลดร้านอาหารในห้าง

บัตรบางใบมีโปรร่วมกับร้านอาหารในศูนย์การค้า เช่น ส่วนลด 10% จาก MK, Yayoi, Bar B Q Plaza, หรือสิทธิ 1 แถม 1 จาก Coffee World และคาเฟ่ดัง ๆ

สิทธิคืนภาษี (VAT Refund)

หากคุณเป็นนักท่องเที่ยวหรือมีแขกต่างชาติในครอบครัว การใช้บัตรเครดิตที่ร่วมโปร VAT Refund สามารถยื่นขอเงินคืนภาษีได้ง่ายขึ้น บางบัตรยังมีบริการช่วยกรอกเอกสารให้อีกด้วย

กิจกรรมสะสมแต้มแลกของขวัญ

ช่วงเทศกาลอย่างปีใหม่, วันแม่, Black Friday หรือ Mid-Year Sale หลายห้างจะมีโปรร่วมกับบัตรเครดิตให้ใช้คะแนนสะสมแลกรับของพรีเมียม เช่น กระเป๋า, พัดลม, ไมโครเวฟ ฯลฯ ซึ่งคุ้มค่ามากหากใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่แล้ว

เคล็ดลับช้อปห้างให้คุ้มด้วยบัตรเครดิต

  • ตรวจสอบโปรโมชั่นล่าสุดก่อนใช้จ่ายทุกครั้ง
  • ลงทะเบียนผ่านแอปหรือเว็บไซต์ก่อนใช้สิทธิ์
  • เลือกบัตรที่เข้ากับห้างที่คุณเดินบ่อยที่สุด
  • ระวังเงื่อนไข เช่น ยอดขั้นต่ำ, วันที่ใช้ได้, หรือจำนวนครั้งต่อวัน

เลือกบัตรให้เหมาะ ช้อปห้างให้คุ้ม

บัตรเครดิตแต่ละใบมีจุดเด่นต่างกัน แต่หากคุณเป็นสายช้อปที่เดินห้างบ่อย การเลือกบัตรที่ให้สิทธิพิเศษกับห้างที่คุณใช้งานเป็นประจำ จะช่วยประหยัดเงิน เพิ่มคะแนนสะสม และได้ของแถมอีกมากมาย อย่าลืมเช็กโปรและสิทธิต่าง ๆ ให้ครบก่อนรูดทุกครั้ง เพื่อความคุ้มค่าทุกบาทที่จ่าย