บัตรเครดิตยูโอบีวัน สมัครออนไลน์

บัตรเครดิตยูโอบีวัน คือบัตรเครดิตเงินคืนที่ถือว่าดีที่สุดจากทางธนาคาร UOB เป็นบัตรที่รับคืนได้ทุกวันจากทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต UOB One เป็นบัตรที่เปรียบเสมือนเพื่อร่วมทางสำหรับการมใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทำให้คุณได้รับเงินคืนทุกๆการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แถมยังช่วยให้คุณใช้จ่ายได้อย่างคุ้มค่า เพราะว่าผู้ถือบัตรจะได้รับเงินคืนทุกๆการใช้จ่ายนั่นเอง

สมัครบัตรยูโอบีวัน รับเครดิตเงินคืน 2,000 บาท

  • โปรโมชั่นสมัครบัตรเครดิต ยูโอบีวัน รับเงินคืน 2,000 บาท
  • โปรโมชั่นสมัครบัตรตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 ถึง 31 มีนาคม 2568

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต ยูโอบีวัน

  • รับเครดิตเงินคืน 10% ที่รถไฟฟ้า และ รถไฟฟ้า MRT
  • รับเครดิตเงินคืน 10% ที่คาเฟ่อเมซอน
  • รับเครดิตเงินคืนที่ 7-11, Grab และ ร้านวัตสัน

รายละเอียดบัตรเครดิต UOB One

  • รับเงินคืน 10% และ 5% สำหรับร้านค้าที่ร่วมรายการ
  • รับเครดิตเงินคืน 1% สำหรับยอดใช้จ่ายอื่นๆ
  • สิทธิซื้อบัตรชมภาพยนต์ 1 ฟรี 1
  • รับประกันอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง
  • ยิ่งชวนมาก ยิ่งได้มาก แนะนำเพื่อนสมัครบัตร รับเงินคืน 1,000 บาท เมื่อแนะนำเพื่อสำเร็จ 1 คน
  • ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีแรก 2,000 บาท ในปีถัดไป + VAT 140 บาท
  • อายุผู้สมัคร 20-60 ปีอัตรา

ข้อควรรู้ก่อนสมัครบัตร UOB One

  • ค่าธรรมเนียมรายปี ปีแรก ฟรี
  • ค่าธรรมเนียมสำหรับบัตรหลักในปีถัดไป 2,000 บาท + VAT 140 บาท
  • ค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับบัตรเสริม 1,000 บาท + VAT 70 บาท
  • ค่าธรรมเนียมรายปี สำหรับปีถัดไป จะได้รับการยกเว้นเมื่อมียอดใช้จ่าย ผ่านบัตร UOB One ไม่ต่ำกว่า 60,000 บาท ภายในระยะเวลา 12 รอบบัญชี
  • ค่าธรรมเนียมในการเบิกถอนเงินสด 3% ของเงินสดที่ถอนในแต่ละครั้ง
  • อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำกว่าร้อยละ 8 ของยอดเงินตามใบแจ้งยอดบัญชีในแต่ละเดือน เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2568
  • ระยะเวลาในการชำะเงินคืน โดยปลอดดอกเบี้ย หากชำระตามกำหนด สูงสุด 55 วัน นับจากวันที่สรุปยอดรายการครั้งก่อน

เปิดรายละเอียดคุณสมบัติผู้สมัคร

  • บัตรหลัก 20-60 ปี
  • บัตรเสริม 15-80 ปี

รายได้ต่อเดือน

  • รายได้ต่อเดือนคนไทย 15,000 บาท ขึ้นไป
  • รายได้ต่อเดือนสำหรับชาวต่าวชาติ 50,000 บาทขึ้นไป

อายุงาน 

  • พนักงานประจำ 4 เดือน ต้องผ่านการทดลองงาน
  • เจ้าของกิจการ 3 ปี

เอกสารประกอบการพิจาณา 

  • สำเนาบัตรประชาชน สำหรับคนไทย, สำเนาทะเบียนบ้าน, หนังสือรับรองรายได้, สลิปเงินเดือน เดือนล่าสุด, สำเนาบัญชีส่วนตัว
  • ต่างชาติ ใช้สำเนาหนังสือเดินทาง, ใบอนุญาตทำงาน, หนังสือรับรองรายได้, สลิปเงินเดือน เดือนล่าสุด, สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท, สำเนาบัญชีส่วนตัว

 

 

กรมบัญชีกลางชี้แจง เรื่องการแจกเงิน 10,000 บาท

จากการเปิดเผยข้อมูลล่าสุด จากกรมบัญชีกลางได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับเงิน 10,000 บาท ซึ่งเป็นเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับกลุ่มผู้สูงวัย เด็ก และ คนพิการ ได้รับเงิน มกราคม 2568 นั้น ทางกรมบัญชีกลางแนะนำให้ตรวจาอบก่อนเชื่อ มาพร้อมกับเงื่อนไขแจกเงิน 10,000 บาทเฟส 2 ซึ่งระยะเวลาในการประกาศรายชื่อผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับเงินจะได้รับจากแอป ทางรัฐ หลายคนยังสงสัยว่าเงินจะเข้าวันไหน สามารถไปตรวจสอบได้ด้านล่างเลย

ทางกรมบัญชีกลาง ได้ออกมาตรวจสอบประเด็นเกี่ยวกับข่าวกระทรวงการคลัง ได้มีการโอนเงินเยียวยากลุ่มผู้สูงอายุ ในเดือนมกราคม 2568 คิดเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท ไม่ใช่ 11,000 บาท ตามที่มีกระแสข่าวบนโลกออนไลน์ รวมไปถึงการแชร์ภาพข่าวปลอมดังกล่าวด้วย

ทางกรมบัญชีกลางได้ออกมาเปิดเผยถึงประเด็นที่ว่า กระทรวงการคลังได้โอนเงินเยียวยากลุ่มผู้สูงอายุผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ซึ่งผู้ที่ได้รับสิทธิจะต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย และ มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ณ วันที่ 15 กันยายน 2567 หรือ เกินก่อนวันที่ 16 กันยายน 2507 ทางกรมบัญชีกลางยังออกมาย้ำว่า ยังไม่มีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับเด็ก หรือ คนพิการ แนะนำว่าอย่าสับสน ข้อมูลที่ถูกส่งต่อๆกัน อาจจะเป็นข้อมูลที่ผิด

แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ล่าสุดใครได้รับเงินบ้าง

  1. ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 23 เมษายน 2567
  2. เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
  3. มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ณ วันที่ 15 กันยายน 2567 หรือ เกิดก่อนวันที่ 16 กันยายน 2507
  4. .ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
  5. ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566
  6. ไม่เป็นผู้อยู่ในวถานสงเคราะห์ในสังกัด กระทรวงการพัฒนาสังคม และ ความมั่นคงของมนุษย์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
  7. ไม่เป็นผู้ต้องขัง 4 ประเภท ได้แก่นักโทษเด็ดขาด, ผู้ต้องขังระหว่างผู้ต้องกักขัง และ ผู้ต้องกักกัน ตามฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
  8. ไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ คนพิการ

รายละเอียดแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับผู้สูงอายุ

  • การจ่ายเงินกับกลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่จ่ายเงินไม่สำเร็จครั้งแรก 3 ครั้ง
  • หากพ้นกำหนดการจ่ายเงินซ้ำ ครั้งที่ 3 ไปแล้ว รัฐจะทำการยุติการจ่ายเงินให้กับกลุ่มเป้าหมาย และ ถือว่ากลุ่มเป้าหมาย ไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ

กระทรวงการคลังจะมีการประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิรับเงินผ่านแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ ซึ่งเป็นช่องทางเดียวกับที่เปิดให้ลงทะเบียน ซึ่งประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ประมาณวันที่ 20 – 21 มกราคม 2568

เงิน 10,000 บาทเฟส 2 จะใช้งบประมาณประมาณ 40,000 ล้าน บาท โดยผู้ที่ได้รับเงินจะได้รับก่อนวันตรุษจีน 2568 หรือวันที่ 29 มกราคม 2568

เงินช่วยเหลือ ผู้สูงอายุ เงินคนพิการ และ เงินเด็กเข้าบัญชีแล้ว

วันที่ 10 มกราคม 2568  3 กลุ่มเปราะบาง วันนี้มีเงินเข้าบัญชีแล้ว สำหรับใครที่ยังมีคำถามว่า ใครได้เงินบ้าง แล้วเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ, เงินเยียวยา เงินอุดหนุนบัตร และ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการ เข้าเกณฑ์จ่ายเงินเข้าบัญชี มกราคม 2568 สำหรับผู้ที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ สามารถเข้าไปตรวจสอบเงินโอนเข้าบัญชีได้ผ่านแอปทางรัฐ แอปเงินเด็กซึ่งประชาชนมีสิทธิเปิดลงทะเบียนเงินผู้สูงอายุ

CreditCardTH ได้ตรวจสอบข้อมูล และติดต่อการโอนเงินช่วยเหลือล่าสุดเกี่ยวกับการเยียวยากลุ่มเปราะบาง วันนี้มีเงินเข้าบัญชีแล้วสำหรับกลุ่มเปราะบาง ใครได้รับเงินบ้าง สามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ด้านล่างเลย

เงินเยียวยากลุ่มเปราะบางได้แก่ เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ, เงินอุดหนุนบุตร, เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และ เงินคนพิการ สำหรับคนที่เข้าเกณฑ์การจ่ายเงิน จะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีวันที่ 10 มกราคม 2568 ทางด้านกรมบัญชีกลาง ได้ย้ำประชาชนที่มีสิทธิ ให้ลงทะเบียนเงินผู้สูงอายุรอบใหม่ได้เงินใช้ทุกเดือน

กลุ่มเปราะบางเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ เดือนมกราคม 2568 เบี้ยยังชีพผู้สูงอายึ โอนเงินวันไหนได้กี่บาท สามารถเช็คได้ด้านล่าง

ตารางจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุ 2568

  • เดือนมกราคม 2568 เงินโอนเข้าวันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2568

เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนมกราคม 2568 จ่ายแบบขั้นบันได

  • ผู้สูงอายุ 60-69 ปี รับเบี้ยยังชีพเป็น 600 บาท
  • ผู้สูงอายุ 70-79 ปี รับเบี้ยยังชีพเป็น 700 บาท
  • ผู้สูงอายุ 80-89 ปี รับเบี้ยยังชีพเป็น 800 บาท
  • ผู้สูงอายุ 90 ปีขึ้นไป รับเบี้ยยังชีพเป็น 1,000 บาท

ทำบัตรเครดิตผ่านตัวแทน หรือ สมัครผ่านออนไลน์ อันไหนดีกว่า

ปัจจุบันการสมัครบัตรเครดิต เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือสมัครเพื่อนำมาผ่อนสินค้า หรือ บริการถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ ซึ่งผู้บริโภคอย่างเราๆ สามารถเลือกสมัครกับทางสถาบันการเงินชั้นนำต่างๆในประเทศไทยได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่แล้วจะมี 2 ตัวเลือกหากเราต้องการสมัครบัตรเครดิตโดย สมัครผ่านทางเซลล์ หรือ คลิกสมัครผ่านทางออนไลน์ด้วยตัวเอง โดยกรอกข้อมูลง่ายๆ ไม่กี่อย่าง แล้วรอธนาคารติดต่อกลับ

คนไทยหลายคนเลยมีคำถามว่าถ้าจะสมัครบัตรเครดิตสักใบ เราจะเลือกสมัครผ่านตัวแทนดีกว่าไหม จะโดนเอาเอกสารไปใช้อย่างอื่นรึเปล่า หากสมัครกับทางตัวแทน อันนี้เป็นอะไรที่ผู้สมัครหลายๆท่านให้ความกังวลเรื่องความปลอดภัยของเอกสาร ทำให้เลือกสมัครผ่านทางออนไลน์กันเป็นส่วนใหญ่

การสมัครบัตรเครดิตผ่านตัวแทนนั้น จะปลอดภัยหากว่าเราเลือกตัวแทนที่เชื่อถือได้ ยกตัวอย่างเช่น การเปิดบูธต่างๆของทางธนาคาร ที่ห้างสรรพสินค้า ซึ่งตัวแทนเหล่านี้ จะมีการติดต่อกับทางธนาคารโดยตรง จะมีรายละเอียดต่างๆที่ครบ สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากจะมีสมัครงานช่วยดูแลในเรื่องเอกสารต่างๆ ว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ และ ยังให้คำแนะนำสำหรับผู้สมัครได้ดีอีกด้วย ตัวแทนสมัครบัตรเครดิตบางท่าน ยังช่วยผู้สมัครดูในเรื่องของตัวเลขบัญชี ว่าคุณสามารถสมัครผ่านหรือไม่ ด้วยตัวเลขบัญชีเท่านี้ เป็นต้น

นอกจากนี้ตัวแทนที่ให้บริการสมัครบัตรเครดิต โดยมากจาะส่งเอกสารไปยังสำนักงานใหญ่ หรือ หน่วยงานที่จัดการเรื่องบัตรเครดิตโดยตรง ตรวจสอบได้ และ สามารถพิจารณาบัตรเครดิตได้อย่างรวดเร็ว กว่าการสมัครผ่านสาขาของธนาคาร ส่วนมากของสาขาธนาคารจะมีรอบการส่งเอกสารแต่ละสัปดาห์ แตกต่างจากการสมัครผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ ส่วนมากจะต้องส่งเอกสารตามหลัง ซึ่งอาจจะใช้เวลาที่นานกว่า แต่จะได้รับความสะดวกสบายมากกว่า เนื่องจากจะมีพนักงานติดต่อกลับ

ทำบัตรเครดิตผ่านตัวแทน น่ากลัวหรือไม่?

การสมัครบัตรเครดิตผ่านตัวแทนนั้นไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เนื่องจากเอกสารทุกอย่างที่เรากรอก ทางตัวแทนจะให้เราเซ็นชื่อกำกับทุกครั้ง ว่าใช้ทำอะไร โดยตัวแทนจะมีตราประทับปั้มมาให้ ทำให้เรามั่นใจได้ในระดับนึงว่าเอกสารของเรา จะไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด นอกจากนี้หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าการสมัครบัตรเครดิตผ่านตัวแทนนั้น มีโอกาสที่ได้รับบัตรมากกว่าสมัครผ่านทางออนไลน์หรือไม่ ต้องตอบตรงนี้ว่า ไม่เกี่ยวกับ จะสมัครผ่านตัวแทน หรือ สมัครผ่านทางออนไลน์ โอกาสที่จะสมัครบัตรเครดิตผ่านนั้นเท่ากันหมด เนื่องจากทางธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลของเราโดยละเอียด ว่ามีคุณสมบัติที่จะสมัครบัตรเครดิตผ่านหรือไม่ รายได้เหมาะกับการสมัครบัตรเครดิตแบบไหน

สมัครบัตรเครดิตผ่านทางเว็บไซต์ดียังไง?

หลายคนที่กำลังตัดสินใจจะสมัครบัตรเครดิตผ่านทางออนไลน์อยู่ตอนนี้อาจจะมีคำถามว่า ถ้าเลือกสมัครบัตรเครดิตผ่านทางออนไลน์นั้นจะดีกว่าไหม แล้วมันดีกว่ายังไง ต้องตอบตรงนี้เลยว่า การสมัครบัตรเครดิตผ่านทางออนไลน์นั้น เราสามารถดูและ เปรียบเทียบบัตรเครดิตได้อย่างละเอียด แถมยังสามารถดูรีวิวจากการสมัครบัตรของลูกค้าท่านอื่นได้อีกด้วย ซึ่งการสมัครบัตรผ่านตัวแทนเราอาจจะเปรียบเทียบได้น้อยกว่า ไม่ว่าจะเป็น โปรโมชั่นของบัตรเครดิตต่างๆ, การแลกคะแนนสะสม รวมไปถึงโปรโมชั่นต่างๆ ของบัตรเครดิตนั้นๆ

นอกจากนี้การสมัครบัตรเครดิตผ่านทางออนไลน์นอกจากจะได้เปรียบเทียบบัตรเครดิตแล้ว เรายังสามารถเช็คสิทธิพิเศษต่างๆ ที่บางครั้งตัวแทนไม่ได้บอกเรา แต่กลับมีข้อมูลบนเว็บไซต์ที่มากกว่า เนื่องจากการให้ข้อมูล และ รายละเอียดนั้นมันละเอียดและลึกกว่าที่ตัวแทนจะอธิบายให้เรานั่นเอง อีกอย่างก็คือการเลือกสมัครผ่านทางออนไลน์นั้นมันง่าย สะดวกบายกว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถสมัครได้ จุดเด่นที่สำคัญแถมยังเป็นจุดดึงดูดให้ผู้ที่ต้องการสมัครบัตรเครดิต สมัครผ่านทางออนไลน์ก็คือ โปรโมชั่นเฉพาะสมัครบัตรเครดิตผ่านช่องทางออนไลน์ ที่เหนือกว่าการสมัครผ่านตัวแทน ยกตัวอย่างเช่น การแจกของพวกหูฟัง, Cash Voucher ต่างๆ ที่มีให้เฉพาะลูกค้าที่เลือกสมัครผ่านทางออนไลน์เท่านั้น

 

 

กรุงเทพฯติดอันดับ เมืองที่มีมลพิษสูงสุดที่ในโลกอันดับ 9

จากการอัพเดทข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศแบบ Realtime ของ IQAir วันที่ 9 มกราคม 2568 เวลาโดยประมาณ 8.30 กรุงเทพมหานครของเรา ติดอันดับเมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก โดยมีคะแนนดัชนีคุณภาพอากาศ AQI อยู่ที่ 163 คะแนน ซึ่งคะแนนระดับนี้ มีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน คนที่เป็นโรคทางเดินหายใจ หรือ ภูมิแพ้ อาการอาจจะกำเริบได้ แนะนำไม่ให้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง และใส่หน้ากากอนามัยเพื่อลดเความเสียง สำหรับมิลพิษหลักที่ทำให้ระดับมลพิษของกรุงเทพฯสูงขนาดนี้ก็คือ PM2.5 นั่นเองอยู่ที่ 72.5 µg/m³ เป็นระดับที่สูงกว่าเกณฑ์แนะนำประจำปีขององค์การอนามัยโลกถึง 14.5 เท่า

นอกจากกรุงเทพฯแล้ว ประเทศไทยยังมีจังหวัดเชียงใหม่ที่ติดอันดับ 14 เมืองที่มีมลพิษสูงที่สุดในโลกอีกเช่นเดียวกัน สำหรับอับดับดัชนีคุณภาพอากาศ หรือ AQI นั่นจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็นข้อมูลแบบ Realtime สำหรับใครที่สนใจอยากจะตรวจสอบข้อมูลแบบ Realtime สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ IQAir เพื่อตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวของท่านเอง

เปิด 10 อันดับเมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก ณ วันที่ 9 มกราคม 2568

  • นิวเดลี ประเทศอินเดีย AQI 281
  • ละฮอร์ ประเทศปากีสถาน AQI 198
  • กินชาซา ประเทศคองโก AQI 191
  • กัมปาลา ประเทศยูกันดา AQI 189
  • ธากา ประเทศบังคลาเทศ AQI 187
  • ฮานอย ประเทศเวียดนาม AQI 183
  • มานามา ประเทศบาห์เรน AQI 164
  • กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย AQI 163
  • โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม AQI 161

IQAir คืออะไร?

IQAir คือบริษัทเทคโนโลยี ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพอากาศระดับโลก ซึ่งการให้ข้อมูลของบริษัท IQAir  นั้นเป็นข้อมูลในรูปแบบ Realtime บริษัทนี้สามารถให้ข้อมูลแบบ Realtime ได้ก็เพราะว่ามีเครื่องตรวจจับคุณภาพอากาศที่ถูกวางไว้ทั่วโลก ทำให้ IQAir  สามารถบอกข้อมูลคุณภาพอากาศได้ตรงมากๆ การให้ข้อมูลของ IQAir  นั้นจะให้ผ่าน AirVisual ที่ดัชนีคุณภาพอากาศของสหรัฐ หรือ US AQI ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากทางสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกานั่นเอง เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อการสื่อสารว่าอากาศที่เราหายใจเข้าไปนั้นมีมลพิษมากน้อยแค่ไหน และ มีผลต่อสุขภาพของมนุษย์หรือไม่

ดัชนี AQI สามารถวัดระดับมลพิษทางอากาศได้ทั้งหมด 5 ชนิดด้วยกัน 

  1. PM2.5 ฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่้งสามารถแทรกซึมเข้าไปในปอดของมนุษย์ และ เข้าสู่กระแสเลือดได้
  2. PM10 ฝุ่นที่มีอนุภาพขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เป็นฝุ่นที่ทำให้เกิดปัญหาทางเดินหายใจได้
  3. O3 โอโซน เป็นก๊าซที่อาจจะทำให้เกิดปัญหางเดินหายใจ และ ปัญหาสุขภาพอื่นๆ
  4. NO2 ไนโตรเจนไอออกไซด์ สามารถทำให้ทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองและทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจกำเริบได้
  5. CO คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น อาจทำให้เกิดอันตรายหากสูดดมในปริมาณมาก

 

เปิดตารางรับเงินอุดหนุนบุตร 2568

สำหรับใครที่กำลังรอรายละเอียดการจ่ายเงินอุดหนุนบุตรอยู่ในตอนนี้ ทางกรมบัญชีกลางได้ออกมาเปิดเผย เกี่ยวกับการโอนเงินว่าจะจ่ายเงินเข้าบัญชีวันไหนบ้างในปี 2568 รวมไปถึงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, เบี้ยคนพิการ และ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับรอบจ่ายครั้งแรก ของเงินอุดหนุนบุตรในปี 2568 นั้นจะตรงกับวันที่ 10 มกราคม 2568 นี้ มาพร้อมกับขั้นตอนการลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง

กรมบัญชีกลางได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดการจ่ายเงินเยียวยากลุ่มเปราะบางตลอดปี 2568 ว่าจะทำการโอนเงินวันไหนบ้างสำหรับเบี้ยยังชีพ, เบี้ยผู้สูงอายุ, เบี้ยคนพิการ และ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาพร้อมกับขั้นตอนการลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือ

เงินอุดหนุนบุตร เบี้ยเด็กแรกเกิด มกราคม 2568 เงินเข้าบัญชีวันไหน

กรมบัญชีกลางแจ้งว่า เงินอุดหนุนบุตรจะถูกโอนเข้าบัญชี ผู้ที่ได้รับสิทธิในวันที่ 10 มกราคม 2568 โดยจะทำการยึดหลักเกณฑ์จ่ายเงินเข้าบัญชี ทุกๆวันที่ 10 ของเดือนถ้าหากเดือนไหนตรงกับวันเสาร์ และ วันอาทิตย์ หรือ วันหยุดราชการ จะทำการจายเงินเด็กแรกเกิดเข้าบัญชีล่วงหน้าก่อนวันหยุด

สามารถตรวจสอบเงินอุดหนุนบุตรผ่านช่องทางไหนได้บ้าง?

การลงทะเบียนขอรับเงินอุดหนุนบุตร เบี้ยเด็กแรกเกิด

การขอรับเงินอุดหนุนเงินเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และ เด็กที่มีสัญชาติไทยนั้น ผู้ปกครองสามารถยื่นคำร้องได้ในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิด และ ผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ตามทะเบียนบ้าน สำหรับรายพื้นที่ในการลงทะเบียนสามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

  • กรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเขต
  • เมื่อพัทยา ลงทะเบียนได้ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา
  • ส่วนภูมิภาค ลงทะเบียนได้ที่องค์การบริหารส่วนตำบล หรือ เทศบาล
  • ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น เงินเด็ก ทั้งนี้ผู้ปกครองจะต้องพิสูจน์ และ ยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชั่น ThaiID ของกรมการปกครองก่อน เมื่อตรวจสอบสิทธิผ่านแล้วจะได้รับเงินที่มีผลตั้งแต่เดือนที่ลงทะเบียนรับเงิน

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนโทร 082-091-7245, 082-037-9767, 083-431-3533, 065-731-3199 หรือ ติดต่อที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300

วันจ่ายเงินอุดหนุนบุตร 2568

  • วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2568
  • วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568
  • วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน 2568
  • วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม 2568
  • วันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2568
  • วันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568
  • วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2568
  • วันพุธที่ 10 กันยายน 2568

เปิดรายละเอียดประกันสังคม 2568 เพิ่มสิทธิมากขึ้น

จากการตรวจสอบตัวเลขผู้ประกันตนในปี 2567 มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมกว่า 24.80 ล้านคน ประกอบไปด้วย มาตรา 33 จำนวน 12.07 ล้านคน และ มาตรา 39 จำนวน 1.72 ล้านคน มาตรา 40 จำนวน 11.01 ล้านคน ทางสำนักงานประกันสังคมได้แจ้งว่าการจ่ายสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมจะมีอยู่ 7 กรณีด้วยกัน ได้แก่ผู้ประกันตนไปแล้วคิดเป็นจำนวน 38.58 ล้าน คิดเป็นจำนวนเงิน 112,829.93 ล้านบาท สำหรับกองทุนเงินทดแทน คิดเป็นจำนวน 1,821.25 ล้านบาท รวมสิทธิประโยชน์จากทั้ง 2 กองทุน คิดเป็นจำนวน 114,651.18 ล้านบาท

กองทุนประกันสังคม มีเงินสมทบมากกว่า 2.6 ล้านล้านบาท และได้ผลตอบแทนจากเงินสะสมจากการลงทุนคิดเป็นจำนวน 989,740 ล้านบาทในปี 2567

ประกันสังคม 2568 เพิ่ม สิทธิ 4 สิทธิด้วยกัน

1. เพิ่มเงินสงเคราะห์บตรเพิ่มเป็น 1,000 บาท

ในปี 2568 ประกันสังคมได้มีการพิจารณาเพิ่มสิทธิสำหรับเงินสงเคราะห์บุตร จากการพิจารณาเพิ่มเติม ในส่วนนี้ให้กับผู้ประกันตน จะมีผลบังคับให้ใช้ทันทีตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 และ ส่วนที่คณะกรรมการประกันสังคม หรือ บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบแล้วรอออกประกาศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ผู้ประกันตน มาตรา 33 และ มาตรา 39 ซึ่งมีบัตรตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 6 ปี จะได้รับเงินสงเคราะห์บัตร จาก 800 บาทเพิ่มเป็น 1,000 บาท ต่อเดือน ต่อบัตร 1 คน โดยให้สิทธิคราวละไม่เกิน 3 คน

ในกรณีผู้ประกันตน ทีได้รับเงินสงเคราะห์บัตรใหม่ จะต้องยื่นแบบคำขอกับทางสำนักงานประกันสังคมโดยสำนักงานจะต้องจ่ายเงินวงเคราะห์บัตรของเดือนมกราคม 2568 เป็นเงิน 1,000 บาทให้โดยอัตโนมัติ

2. มะเร็งรักษาทุกโรงพยาบาล ที่เอ็มโอยูประกันสังคม

เริ่มต้นตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 สำหรับการรักษามะเร็ง สามารถรักษาได้ทุกโรงพยาบาล โดยผู้ประกันตน สามารถไปรักษาได้ที่โรงพยาบาลแห่งใดก็ได้ที่ได้ทำข้อตกลงระหว่างสำนักงานประกันสังคม แล้วประกันสังคมจะตามไปจ่าย ไม่ต้องรักษาเฉพาะแต่โรงพยาบาล ประกันสังคมตามสิทธิเท่านั้น ตามโครงการ SSO Cancer Care โดยสำนักงานประกันสังคม หรือ สปส. รักษาโรงมะเร็งที่มีคุณภาพสำหรับผู้ประกันตนแบบครงวงจร ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยจนถึงการรักษา

ปัจจุบันสามารถเข้ารับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลใดก็ได้ ที่ทำข้อตกลงระหว่างประกันสังคม ซึ่งมีแล้วมากกว่า 50 โรงพยาบาล ที่เข้าร่วมข้อตกลงกับทางประกันสังคม รวมถึงการเพิ่มยามุ่งเป้าสำหรับมะเร็ง ถือว่าเป็นการเพิ่มการเข้าถึงการรักษาโรงมะเร็งของผู้ประกันตน ผู้ประกันตน สามารถตัดสินใจร่วมกับทางทีมแพทย์ที่ทำการรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิผู้ประกันตนหรือ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคม หรือ สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศ สามารถโทรสายด่วนได้ที่เบอร์ 1506 กด 1 สำนักงานประกันสังคม

3. เพิ่มโรงพยาล ประกันสังคม 7 แห่ง

ในปี 2568 นี้ทางประกันสังคมได้มีการเพิ่มโรงพบาบาล ที่อยู่ในคู่สัญญาประกันสังคมถึง 7 แห่งด้วยกันเป็นโรงพบาบาลรัฐ 4 แห่ง และ โรงพยาบาลเอกชน 3 แห่ง สามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

  • โรงพยาบาล จุฬาภรณ์ จังหวัดกรุงเทพมหานคร
  • โรงพยาบาล กาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎ์ธานี
  • โรงพยาบาล ราชวิถี 2 รังสิต จังหวัด ปทุมธานี
  • โรงพยาบาล ผู้สูงอายุบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร
  • โรงพยาบาล พญาไทศรีราชา 2 จังหวัดชลบุรี
  • โรงพยาบาล วัฒนแพทย์สมุย จังหวัดสุราษร์ธานี
  • โรงพยาบาล ราชธานี หนองแค จังหวัดสระบุรี

จากการประกาศดังกล่าวทำให้ปัจจุบัน ประกันสังคมมีโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทั้งหมดเป็น 271 แห่ง เป็นโรงพยาบาลรัฐ 174 แห่ง และ โรงพยาบาลเอกชน 97 แห่ง ผู้ประกันตนสามารถเปลี่ยนโรงพยาบาล และ สิทธิประกันสังคมได้ปีละ 1 ครั้ง และ ในปีนี้สามารถเลือกเปลี่ยนได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568

4. เงินทดแทนว่างงานขยับเป็น 60%

บอร์ดประกันสังคมได้ลงมติเห็นชอบในกรณีว่างงาน โดยเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 มีมติเห็นชอบแรวทางการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน สำหรับการว่างงาน เพราะเหตุถูกเลิกจ้าง ให้มีสิทธิรับเงินทดแทนเป็น 60% ของค่าจ้างรายวัน เพิ่มขึ้นจากเดิม 50% ของค่าจ้างรายวัน

เล็งเพิ่มสิทธิทำฟัน ประกันสังคม

ในส่วนของสิทธิทำฟันประกันสังคม นั้นตอนนี้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิทำฟันปีละ 900 บาท ทางด้านประกันสังคมแจ้งว่า จะมีการพิจารณาและมีความชัดเจนเกี่ยวกับ สิทธิประโยชน์ของสิทธิการทำฟันยกตัวอย่างเช่น รากฟันเทียม และ อื่นๆ รวมถึงกรณีที่ไม่ได้ใช้สิทธิก็สามารถเก็บสิทธินั้นไปใช้ในปีถัดไปได้ เป็นการรักษาสิทธิไว้ให้ผู้ประกันตน โดยจะเริ่มโครงการทดลองทำเป็น sandbox เพื่อดูผลที่เกิดขึ้น

สรุปในปี 2568 สำหรับสิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย ทางคณะกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม เตรียมพร้อมเพื่อปรับสิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วยให้รักษาได้รวดเร็ว และครอบคลุมทุกโรค เพื่อดูแลผู้ประกันตน รองรับเทคโนโลยีด้านการรักษา เช่น การผ่าตัดแผลขนาดเล็กผ่านกล้อง จำนวน 27 รายการ รวม 76 โรค และ รักษาได้ภายใน 28 วัน เพื่อเป็นการลดระยะการพักฟื้น ลดภาระค่าใช้จ่ายในการนอนพักรักษาตัว เพื่อให้ผู้ประกันตนสามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้อย่างรวดเร็ว

 

 

 

เปิดรายละเอียดผู้มีสิทธิลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568

แจ้งอัพเดทความคืบหน้าล่าสุด สำหรับผู้ที่มีสิทธิลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 นี้ ทางกระทรวงการคลังได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้มีการจัดเตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรายใหม่ ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ระบุในที่ประชุมเกี่ยวกับคณะกรรมการประชารัฐสวัสดดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ได้หารือเกี่ยวกับเกณฑ์เปิดลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ โดยเบี้องต้นจะทำการตรวจสอบสิทธิ 14.5 ล้านคน

สำหรับการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ในปี 2568 นั้นจากการกำหนด คาดว่าอาจจะมีประมาณ 10 ล้านคนเข้ามาลงทะเบียนใหม่ เป็นการประมาณการตัวเลขจากกลุ่มคนเช่นเด็กที่เติมโต ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และ กลุ่มที่เคยลงทะเบียนเอาไว้ แต่ไม่ได้รับสิทธิ โดยทั้งหมดจะต้องทำการตรวจสอบตามกลไก ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ อาจจะมีสูงถึง 25 ล้านคน

เกณฑ์การลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568

ทางด้านกระทรวงการคลังได้ออกมาเปิดเผยกระบวนการในการลงทะเบียนเบื้องต้น คาดว่าจะมีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 25 ล้านคน ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน

  1. กลุ่มเดิมคือผู้ที่มีสิทธิในปัจจุบันที่ผ่ารกระบวนการแล้วกว่า 14.5 ล้านคน
  2. กลุ่มใหมที่ประมาณการเอาไว้ที่ 10 ล้านคน

สำหรับกลุ่มใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิมาก่อน จะมาจากประชาชนที่มีอายุครบ 18 ปีเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา และกลุ่มที่เคยลงทะเบีนแต่ไม่ได้รับสิทธิประมาณ 4-5 ล้านคน และกลุ่มอื่น ที่คาดการณ์เอาไว้ว่ามีหลายล้านคนที่คาดว่าจะมาลงทะเบียน แต่ไม่ได้หมายความว่า การลงทะเบียนจะได้รับสิทธิทั้งหมด จะต้องมาตรวจสอบกลไกหลังจากนี้อีก

ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะต้องลงทะเบียนใหม่หรือไม่?

  • ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ สำหรับกลุ่มผู้ที่มีสิทธิเดิมจำนวน 14.5 ล้านคน ไม่จำเป็นจะต้องลงทะเบียนใหม่ รัฐบาลจะนำรายชื่อไปคัดกรองสิทธิให้อัตโนมัติ
  • กลุ่มผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิ กลุ่มนี้จะต้องลงทะเบียนใหม่ โดยการลงทะเบียนจะเริ่มต้นขึ้นก่อนสิ้นเดือนมีนาคม 2568

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะแจ้งให้ศึกษาการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” และ ขึ้นตอนการลงทะเบียน เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน นอกจากนี้ยังได้มีคำสั่งให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. ได้ดำเนินการตรวจสอบทบทวนหลักเกณฑ์ทั้งแบบเก่า และ แบบใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมกับการดำเนินการ และป้องกันไม่ให้คนจนไม่จริงเข้ามาสวมสิทธิ

หลักเกณ์รายได้ครัวเรือนยังอยู่คงเดิม ในขณะที่เกณฑ์เรื่องการถือครองที่ดิน จะทำให้สามารถตรวจสอบและใช้ได้จริง พร้อมกับการดูรายละเอียดในเรื่องสิททรัพย์การถือครองสลาก และ พันธบัตร

กำหนดการลงทะเบีนน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568

  • มกราคม 2568 เปิดให้ลงทะเบียนสำหรับผู้ถือบัตรเก่า และ ผู้สนใจรายใหม่
  • มีนาคม 2568 ประกาศผลการลงทะเบียน และ เปิดให้ยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ
  • เมษายน 2568 เริ่มใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่

เปิดเกณฑ์คุณสมบัตรผู้เข้าร่วมโครงการ เบื้องต้นคาดว่าจะยังไม่ได้เปลี่ยนจากเดิมตามรายละเอียดด้านล่าง

  • ลงทะเบียนรายบุคคล และ ตรวจสอบคุณสมบัติเป็นรายบุคคล และ ครอบครัว
  • ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
  • มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
  • มีรายได้คนละไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ภายในครอบครัว มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี
  • ทรัพย์สินทางการเงินได้แก่ เงินฝากพันธบัตร, ตราสารหนี้ต่างๆ จะต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน และ ครอบครัวไม่เกิน 100,00 บาทต่อคนต่อปี เช่นเดียวกัน
  • ต้องไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือ ที่ดินที่เกินจากเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด
  • ไม่มีบัตรเครดิต
  • ไม่มีวงเงินกู้บ้านตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป
  • วงเงินกู้ซื้อรถตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป
  • ต้องไม่เป็นภิกษุ สามเณร ผู้ต้องขัง หรือ บุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ ข้าราชการ พนักงานราชการ ผู้รับบำเหน็จรายเดือน ผู้รับบำนาญ ข้าราชการการเมือง รวมไปถึง สส. และ สว.

 

วันตรุษจีน 2568 วันไหว้ วันจ่าย วันเที่ยว ตรงกับวันไหน

เทศกาลตรุษจีนเป็นเทศกาลที่คนจีน และ คนไทยเชื้อสายจีนต่างก็ให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นเทศกาลที่สืบทอดกันมาหลายพันปี ในวันตรุษจีนนั้นคนจีน และ คนไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่จะเลือกใส่เสื้อสีแดงเนื่องจากเป็นสีมงคลของคนจีนนั่นเอง สำหรับคำถามที่ถูกถามเข้ามาทุกๆปี สำหรับวันตรุษจีนนั้นมักจะถามกันว่า วันตรุษจีนปีนี้ตรงกับวันอะไร วันไหนที่เป็นวันจ่าย, วันไหว้ และ วันเที่ยว

วันตรุษจีนคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ?

วันตรุษจีน ถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนจีน เป็นวันสำคัญที่มีมานานตั้งแต่ 4,000 ปีก่อน ในอดึตวันตรุษจีนถูกเรียกว่า วันชุงเจ๋ หมายถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากช่วงก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นช่วงปลายปีเมืองจีนจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะในช่วงฤดูหนาว ทำให้ไม่สามารถทำการเกษตรได้ และเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ก็จะสามารถกลับมาทำการเพาะปลูกได้ตามปกติ ทำให้เกิดเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิขึ้น ชาวจีนเลยได้มีการกำหนดให้วันแรกของฤดูใบไม้ผลิของแต่ละปี เป็นวันสำคัญเรียกว่า “วันตรุษจีน”

10 อย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับวันตรุษจีน

  1. วันตรุษจีนถือเป็นเทศกาลปีใหม่ของคนจีน ตามธรรมเนียมประเพณีปฎิบัติ 3 วัน ได้แต่วันจ่าย, วันไหว้ และ วันเที่ยว
  2. วันจ่าย ภาษาจีนเรียกว่า “ตื่อเส็ก” เป็นวันก่อนสิ้นปี นิยมออกไปหาซื้ออาหาร, ผลไม้ และ เตรียมเครื่องเซ่นไหว้
  3. วันไหว้ หรือ วันสิ้นปีของชาวจีน เป็นการนำอาหาร, ผลไม้ และ เครื่องเซ่นไหว้ ไปขอพรกับเทพเจ้า และ บรรพบุรุษ
  4. วันเที่ยว ภาษาจีน เรียกวันนี้ว่า “วันชิวอิก” หรือวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันสิริมงคล งดทำบาป, ไม่พูดจาไม่ดี, ไม่ทำความสะอาดบ้าน เป็นวันที่นิยมเดินทางท่องเที่ยวเป็นครอบครัว
  5. ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ อั่งเปาตั่วตั่ว ไก๊ ภาษาจีนแปลว่า ปีใหม่นี้ ขอให้สมปรารถนา มีแต่ความสุข โชคดีร่ำรวยตลอดปี
  6. อั่งเป่า แปลความหมายตามภาษาจีนคำว่า อั่ง แปลว่าแดง คำว่าเปา แปลว่า ซอง รวมความหมายของคำว่า อั่งเปา แปลว่า ซองสีแดงไว้ใส่เงิน
  7. แต๊ะเอีย แปลเป็นไทยได้ว่า เงินที่อยู่ในซอง นิยมใส่กันเป็นเลขคู่ เพราะหมายถึงโชคทวีคูณนั่นเอง
  8. อาหารนำโชค เป็นมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ นิยมกินเกี้ยว เพื่อให้มั่งมีเงินทอง และ มื้อแรกของปีใหม่ นิยมกินเจ เพื่อที่จะได้บุญตลอดปี
  9. ผมไม้ต้องห้าม สำหรับวันตรุษจีน ก็คือผลไม้ที่มีสีดำ เนื่องจากเป็นผลไม้ที่สื่อถึงการไว้ทุกข์ ไม่เป็นมงคล
  10. เครื่องแต่งกาย ส่วนใหญ่จะเลือกใส่เสื้อผ้าสีสดใส โดยเฉพาะสีแดง ที่เป็นสีมงคล ไม่ควรใส่เสื้อสีเทา และ สีดำเนื่องจากไม่เป็นสิริมงคล

ตรุษจีน 2568 ตรงกับวันอะไร ?

วันตรุษจีน วันจ่าย 2568 ตรงกับวันที่ 27 มกราคม 2568

  • วันนี้คนจีน และ คนไทยเชื้อสายจีนจะออกไปซื้อของเพื่อมาเตรียมไว้เทพเจ้า, บรรพบุรุษ และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โดยเน้นการเตรียมอาหาร, ผลไม้, เครื่องเซ่นไหว้ รวมถึงของใช้จำเป็นสำหรับครอบครัว

วันตรุษจีน วันไหว้ 2568 ตรงกับวันที่ 28 มกราคม 2568

  • วันไหว้ ถือว่าเป็นวันที่สำคัญที่สุดสำหรับวันตรุษจีน การไหว้จะเริ่มต้นจากการไหว้เทพเจ้า ตามด้วยการไหว้บรรพบุรุษ และ ผีไร้ญาติ ถือว่าเป็นวันสำคัญเนื่องจากเป็นการไหว้เพื่อขอบคุณเทพเจ้า, บรรพบุรุษที่คุ้มครอง และ เพื่อเป็นการขอพรให้ปีใหม่มีความสุข รำรวย สุขภาพแข็งแรงตลอดปี

วันตรุษจีน วันเที่ยว 2568 ตรงกับวันที่ 29 มกราคม 2568

  • วันเที่ยวถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนจีน วันนี้คนจีน และ คนไทยเชื้อสายจีน จะเลือกใส่เสื้อผ้าที่มีสีสดใส ออกไปไหว้ขอพรจากญาติผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเลือกส้ม 4 ผลอวยพรผู้ใหญ่ และ ออกไปเที่ยวเพื่อพักผ่อน เป็นวันที่ต้องไม่พูดจาหยาบคาย

 

 

เปิดรายละเอียด วิธีขอสเตทเม้นของแต่ละธนาคาร

Statement คืออะไร

ปัจจุบันการทำธุรกรรมทางเงินต่างๆ หรือจะเป็นการสมัครบัตรเครดิตจากธนาคารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สมัครบัตร UOB, สมัครบัตร KTC, สมัครบัตรกสิกรไทย หรือจะเป็นการขอสินเชื่อต่างๆ ทางธนาคารจะทำการขอดูสเตทเม้น ย้อนหลังของผู้สมัคร เนื่องจากทางธนาคารจะต้องเช็คความสามารถในการชำระหนี้ หากต้องการจะกู้ยืมเงิน หรือ สมัครบัตรเครดิตต่างๆ นอกจากนี้การขอสเตทเม้น นั้นยังใช้สำหรับการขอวีซ่าเพื่อการเรียนต่อต่างประเทศ รวมไปถึงการสมัครงานบางแห่งด้วย

Statement คืออะไร?

สำหรับคำถามที่ว่า Statement คืออะไรนั้นในวงการการเงิน หรือ ธนาคาร คำๆนี้จะหมายถึงข้อมูลที่บันทึกการเคลื่อนไหวของบัญชีธนาคารนั่นเอง การขอดูรายละเอียดบัญชีธนาคารย้อนหลัง ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงิน และ ถอนเงิน สามารถตรวจสอบได้ผ่าน Statement นั่นเอง ปกติแล้วหากคุณต้องการสมัครบัตรเครดิต ไม่ว่าจากธนาคารไหนก็ตาม ทางธนาคารจะขอดูสเตทเม้น จากบัญชีธนาคารของคุณย้อนหลัง 3 เดือน หรือ 6 เดือน และ 12 เดือน ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของธนาคารนั้นๆ

การขอดู Statement ย้อนหลัง

การขอดู Statement ย้อนหลังจากทางธนาคาร ถือว่ามีความสำคัญมากๆ เป็นตัวตัดสินได้เลยว่าคุณจะสมัครบัตรเครดิตผ่านหรือไม่ผ่าน หรือ กู้ผ่านหรือไม่ผ่าน เนื่องจากสเตทเม้น เป็นตัวชี้วัดว่าคุณมีศักยภาพในการผ่อนชำระคืนมากน้อยแค่ไหน ทางธนาคารเลยต้องการตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบัญชีย้อนหลัง เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันว่าเราสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้หรือไม่ ในส่วนของการขอ Statement เพื่อทำวีซ่าเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ เนื่องจากจะต้องใช้เป็นหลักฐานว่าเราสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆได้ครอบคลุมตลอดระยะเวลาที่เราเรียนต่อหรือไม่

สมัครบัตรเครดิต จะต้องขอ Statement หรือไม่?

การสมัครบัตรเครดิตจากทางธนาคารต่างๆ เอกสารหลักที่ธนาคารจะขอดูเลยก็คือ Statement ของผู้ขอสมัครนั่นเอง เนื่องจากสเตทเม้น สามารถใช้เป็นหลักฐาน ว่าเรามีความสามารถพอที่จะจ่ายค่าบัตรเครดิต ในระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด Statement เป็นเอกสารที่แสดงให้ธนาคารเห็นพฤติกรรมการใช้เงิน รวมไปถึงวินัยการใช้เงินของเราได้เป็นอย่างดี แม้แต่การสมัครงานบางแห่งที่เราขอเรียนเงินเดือนที่มากกว่าหรือเท่ากับเงินเดือนปัจจุบัน บริษัทเหล่านั้นอาจจะขอ Statement จากทางเราเพื่อเป็นการยืนยันว่าเราได้รับเงินเดือนตามที่แจ้งไปจริงๆ

ธนาคารกรุงเทพ

ธนาคารกรุงเทพ ลูกค้าสามารถขอสเตทเม้น ได้ผ่าน 2 ช่องทาง

  • ขอสเตทเม้นผ่านธนาคาร โดยการเดินทางไปที่ธนาคาร และ ทำการขอสเตทเม้น กับทางเจ้าหน้าที่โดยตรงเลย สำหรับเอกสารที่จำเป็นจะต้องใช้ก็คือ บัตรประจำตัวประชาชน, สมุดบัญชี สำหรับค่าธรรมเนียมในการขอสเตทเม้นไม่เกิน 6 เดือนจะไม่เสียค่าธรรมเนียม หากขอเกิน 6 เดือน หรือ 12 เดือน ธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียม 200 บาท และ หากขอ 2 ปี จะเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท
  • ขอสเตทเม้นผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถขอสเตทเม้น ผ่าน Mobile Banking ผ่าน Application ของธนาคารกรุงเทพ

ธนาคารกรุงไทย

ธนาคารกรุงไทย สามารถขอ สเตทเม้นได้ผ่าน 2 ช่องทางด้วยกัน

  • สามารถขอสเตทเม้นผ่านสาขาของธนาคาร โดยนำบัตรประชาชน และ สมุดบัญชีไปเพื่อขอ สเตทเม้น สำหรับค่าธรรมเนียมในการขอ 3-6 เดือนจะเสียค่าธรรมเนียม 100 บท และ 6-12 เดือนจะเสียค่าธรรมเนียม 200 บาท หากขอ 2 ปี ขึ้นไป จะเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท
  • ขอสเตทเม้นผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถทำรายการได้ผ่าน Mobile Banking ผ่าน Application Krungthai NEXT ของธนาคากรุงไทย ไม่เสียค่าธรรมเนียมในการขอผ่านทางออนไลน์

ธนาคารกสิกรไทย

ธนาคารกสิกรไทย สามารถขอได้ 2 ช่องทาง

  • สามารถขอได้ผ่านทางธนาคาร โดยให้เตรียมสมุดบัญชี และ บัตรประจำตัวประชาชนไปเพื่อยื่นขอกับทางธนาคาร ค่าธรรมเนียมหากน้อยกว่า 6 เดือนจะเสียค่าธรรมเนียม 200 บาท หากขอ 6-24 เดือน จะเสียค่าธรรมเนียม 200 บาท และ หากขอมากกว่า 24 เดือนจะเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท
  • การขอสเตทเม้นผ่านทางออนไลน์ของธนาคารกสิกรไทย สามารถขอได้ ผ่านทาง Mobile Banking บน Application K Plus ไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น

ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)

ธนาคาร TTB สามารถขอได้ผ่าน 2 ช่องทาง

  • ผ่านทางธนาคาร โดยผู้ขอจะต้องเตรียมสมุดบัญชี และ บัตรประชาชนไป ค่าธรรมเนียม 6 เดือน เสียค่าธรรมเนียม 100 บาท 6 เดือนขึ้นไป เสียค่าธรรมเนียม 200 บาท
  • ขอผ่านทางออนไลน์ สามารถขอได้ผ่าน Mobile Banking ผ่านแอป TTB Touch หากต้องการใช้ Application TTB Touch จะต้องทำการเปิดกับทางธนาคารการเริ่มต้นใช้งาน

ธนาคารไทยพาณิชย์

ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สามารถขอได้ผ่าน 2 ช่องทาง

  • ผ่านทางธนาคาร โดยจะต้องเตรียมเองการบัตรประจำตัวประชาชน และ สมุดบัญชีธนาคารเพื่อขอสเตทเม้น หากขอ 6 เดือน จะเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 100 บาท หากเกินกว่านั้น จะเสียค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่แต่ละสาขา
  • ขอสเตทเม้นผ่านทางออนไลน์ สำหรับลูกค้าธนาคาร SCB สามารถขอผ่านช่องทางออนไลน์ผ่าน Mobile Banking บน Application SCB Easy โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม และ ยังสามารถขอได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย