บริหารการเงินยังไง ในช่วงเศรษฐกิจขาลงในปี 2025

เมื่อราคาสินค้าและค่าครองชีพในปี 2025 พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การบริหารเงินเดือนจึงกลายเป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนควรมี โดยเฉพาะในยุคที่เงินเดือนเท่าเดิม แต่รายจ่ายกลับเพิ่มขึ้นทุกเดือน บทความนี้จะช่วยแนะนำแนวทางการจัดการเงินเดือนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คุณมีเงินเหลือเก็บ แม้จะอยู่ในยุคที่ข้าวของแพงแสนแพงก็ตาม

เข้าใจสถานะทางการเงินของตัวเองก่อน

1. วิเคราะห์รายรับรายจ่ายในแต่ละเดือน

ก่อนจะเริ่มวางแผนการเงิน สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้ว่าคุณมีรายรับเท่าไหร่ และใช้จ่ายอะไรไปบ้าง แนะนำให้ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างน้อย 2-3 เดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมของพฤติกรรมการเงิน และระบุจุดรั่วไหลของเงินได้ชัดเจนขึ้น

2. แบ่งประเภทค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจน

ค่าใช้จ่ายหลักมักแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่:

  1. ค่าจำเป็น เช่น ค่าอาหาร, ค่าเช่าบ้าน, ค่าเดินทาง
  2. ค่าผ่อนหรือหนี้สิน เช่น ผ่อนรถ, ผ่อนบ้าน, บัตรเครดิต
  3. ค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงหรือไลฟ์สไตล์
  4. ค่าใช้จ่ายไม่ประจำ เช่น ค่ารักษาพยาบาล และ ค่าของขวัญ

การรู้ประเภทค่าใช้จ่ายช่วยให้คุณกำหนดลำดับความสำคัญได้ง่ายขึ้น

เทคนิคการจัดการเงินเดือนให้เหลือเก็บ

1. ใช้สูตร 50/30/20 ปรับตามบริบท

สูตรการจัดสรรเงินแบบคลาสสิก 50/30/20 คือ:

  • 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น
  • 30% สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อความสุข
  • 20% สำหรับการออมและการลงทุน

ในปี 2025 ที่ค่าครองชีพสูงขึ้น อาจต้องปรับสูตรเป็น 60/20/20 หรือแม้แต่ 70/15/15 เพื่อให้ออมเงินได้ต่อเนื่อง

2. จ่ายให้ตัวเองก่อน

ทันทีที่ได้รับเงินเดือน ให้โอนส่วนที่ต้องการออมออกมาก่อนใช้จ่าย เช่น ตั้งเป้าออม 3,000 บาทต่อเดือน ก็โอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ทันที วิธีนี้ช่วยลดโอกาสที่เงินจะหมดก่อนถึงสิ้นเดือน

3. ลดรายจ่ายฟุ่มเฟือยด้วยแนวคิด “จำเป็นจริงหรือ?”

ทุกครั้งที่คุณจะซื้อของ ลองถามตัวเองว่า “จำเป็นจริงหรือแค่อยากได้?” เช่น กาแฟแก้วละ 120 บาทที่ซื้อทุกเช้า อาจเปลี่ยนเป็นชงดื่มเอง ซึ่งช่วยประหยัดได้มากกว่า 2,000 บาทต่อเดือน

ปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ให้สอดคล้องกับยุค

1. ใช้โปรโมชันและส่วนลดอย่างฉลาด

หลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee, Lazada, Grab, หรือแอปธนาคาร มักมีโค้ดส่วนลดหรือ Cashback การใช้โปรโมชั่นเหล่านี้อย่างมีกลยุทธ์จะช่วยให้คุณประหยัดได้หลายพันบาทต่อปี

2. ทำอาหารกินเองบ่อยขึ้น

ค่าอาหารนอกบ้านเฉลี่ยต่อมื้ออยู่ที่ 80–150 บาท แต่หากทำอาหารเองจะประหยัดไปได้มาก และยังควบคุมคุณภาพได้อีกด้วย

3. พิจารณาการเดินทางให้คุ้มค่า

แทนที่จะขับรถทุกวัน ลองใช้ขนส่งสาธารณะหรือคาร์พูลร่วมกับเพื่อนร่วมงาน อาจช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้หลักพันต่อเดือน

สร้างรายได้เสริม เพิ่มโอกาสให้เงินงอกเงย

1. สำรวจทักษะที่มี และเริ่มหารายได้เสริม

ไม่ว่าจะเป็นการรับจ้างพิเศษ ขายของออนไลน์ หรือเขียนบทความ การหารายได้เสริมช่วยให้คุณไม่ต้องพึ่งพาเงินเดือนเพียงอย่างเดียว

2. ลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจ

ปี 2025 เป็นยุคที่ทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม หุ้น หรือคริปโตฯ แต่อย่าลงทุนเพราะกระแส ให้ลงทุนในสิ่งที่คุณศึกษามาแล้วเท่านั้น

การบริหารเงินไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้

แม้รายได้จะสำคัญ แต่การบริหารรายจ่ายให้มีประสิทธิภาพต่างหากที่ทำให้คุณมีเงินเหลือเก็บในยุคของแพงอย่างปี 2025 เริ่มต้นจากการเข้าใจสถานะทางการเงิน วางแผนอย่างมีระบบ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

โปรโมชั่นบัตรเครดิตห้าง เด็ดสุด ณ ปัจจุบัน เช็คเลย

การมีบัตรเครดิตที่ใช้ร่วมกับห้างสรรพสินค้าได้อย่างคุ้มค่า ไม่เพียงช่วยให้เราประหยัด แต่ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการใช้จ่ายประจำวันอีกด้วย ปัจจุบันบัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารต่าง ๆ ได้ร่วมมือกับห้างดังหลายแห่งเพื่อออกโปรโมชั่นพิเศษ ทั้งส่วนลด เครดิตเงินคืน หรือคะแนนสะสมพิเศษ ซึ่งเหมาะมากกับสายช้อปที่รักการเดินห้างเป็นชีวิตจิตใจ

ทำไมสายช้อปควรมีบัตรเครดิตคู่ใจ?

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า “การเลือกใช้บัตรเครดิตให้ถูกที่ ถูกเวลา” ช่วยให้คุณได้ส่วนลดมากกว่าที่คิด เช่น ได้ส่วนลดเพิ่มจากสินค้าลดราคาอยู่แล้ว, ผ่อน 0%, หรือรับเครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 15% โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขยุ่งยาก เพียงใช้จ่ายผ่านบัตรที่ร่วมรายการเท่านั้น

รวมโปรบัตรเครดิตห้างยอดนิยมในไทย ปี 2025

1. Central The 1 Credit Card

หนึ่งในบัตรที่สายช้อป Central ควรมี เพราะมาพร้อมสิทธิพิเศษเฉพาะห้างในเครือเซ็นทรัล เช่น Central, Robinson, Supersports, Tops และ Power Buy

  • รับส่วนลดสูงสุด 5% ที่ห้างในเครือ
  • รับคะแนน The 1 เพิ่ม 2-4 เท่า เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร
  • โปรผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับสินค้าที่ร่วมรายการ
  • รับสิทธิพิเศษ Central Online, เช่น โค้ดส่วนลด และส่งฟรี

2. SCB M VISA (MCard)

บัตรจากความร่วมมือของธนาคารไทยพาณิชย์และเครือเดอะมอลล์ เหมาะสำหรับผู้ที่ช้อปปิ้งที่ The Mall, Emporium, EmQuartier และ Paragon

  • รับส่วนลด 5-10% ในห้าง (เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ)
  • รับคะแนน M Point x2 – x4 ทุกการใช้จ่ายในห้าง
  • โปรผ่อน 0% สูงสุด 6 เดือน เมื่อซื้อสินค้าในเครือ
  • สิทธิพิเศษเช่น ฟรีค่าส่ง, สิทธิใช้ห้องรับรอง, ส่วนลดร้านอาหาร

3. Aeon Royal Orchid Plus Platinum

แม้เป็นบัตรที่โดดเด่นด้านสะสมไมล์ แต่ Aeon ก็มีโปรกับห้างดังเช่น Big C, MaxValu และร้านค้าชั้นนำในห้าง

  • เครดิตเงินคืนสูงสุด 5% เมื่อซื้อสินค้าผ่านบัตร
  • ผ่อนสินค้าในห้าง 0% นาน 3-6 เดือน
  • โปรโมชั่นร่วมกับแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้างบ่อยครั้ง

4. Krungsri Credit Card (เฉพาะใบที่ร่วมโปรกับห้าง)

บัตรเครดิตกรุงศรีมีหลายประเภทที่ร่วมโปรกับห้าง เช่น Central, HomePro, Robinson และ Power Buy

  • รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อใช้จ่ายครบตามเงื่อนไข
  • ใช้คะแนนแลกส่วนลดเพิ่มได้ (เช่น 1,000 คะแนน = ลด 100 บาท)
  • โปรผ่อน 0% 6-10 เดือน

5. KBank X Lotus’s Credit Card

บัตรจากความร่วมมือของกสิกรไทยและห้าง Lotus’s เหมาะกับการใช้จ่ายประจำบ้านและช้อปของกิน

  • รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 3% เมื่อชำระที่ Lotus’s
  • รับคูปองส่วนลดจาก Lotus’s Online เมื่อใช้จ่ายครบกำหนด
  • สะสมคะแนนแลกของใช้ภายในห้างหรือแลกเป็นเงินสด

สิทธิพิเศษเสริมที่หลายคนมองข้าม

ส่วนลดร้านอาหารในห้าง

บัตรบางใบมีโปรร่วมกับร้านอาหารในศูนย์การค้า เช่น ส่วนลด 10% จาก MK, Yayoi, Bar B Q Plaza, หรือสิทธิ 1 แถม 1 จาก Coffee World และคาเฟ่ดัง ๆ

สิทธิคืนภาษี (VAT Refund)

หากคุณเป็นนักท่องเที่ยวหรือมีแขกต่างชาติในครอบครัว การใช้บัตรเครดิตที่ร่วมโปร VAT Refund สามารถยื่นขอเงินคืนภาษีได้ง่ายขึ้น บางบัตรยังมีบริการช่วยกรอกเอกสารให้อีกด้วย

กิจกรรมสะสมแต้มแลกของขวัญ

ช่วงเทศกาลอย่างปีใหม่, วันแม่, Black Friday หรือ Mid-Year Sale หลายห้างจะมีโปรร่วมกับบัตรเครดิตให้ใช้คะแนนสะสมแลกรับของพรีเมียม เช่น กระเป๋า, พัดลม, ไมโครเวฟ ฯลฯ ซึ่งคุ้มค่ามากหากใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่แล้ว

เคล็ดลับช้อปห้างให้คุ้มด้วยบัตรเครดิต

  • ตรวจสอบโปรโมชั่นล่าสุดก่อนใช้จ่ายทุกครั้ง
  • ลงทะเบียนผ่านแอปหรือเว็บไซต์ก่อนใช้สิทธิ์
  • เลือกบัตรที่เข้ากับห้างที่คุณเดินบ่อยที่สุด
  • ระวังเงื่อนไข เช่น ยอดขั้นต่ำ, วันที่ใช้ได้, หรือจำนวนครั้งต่อวัน

เลือกบัตรให้เหมาะ ช้อปห้างให้คุ้ม

บัตรเครดิตแต่ละใบมีจุดเด่นต่างกัน แต่หากคุณเป็นสายช้อปที่เดินห้างบ่อย การเลือกบัตรที่ให้สิทธิพิเศษกับห้างที่คุณใช้งานเป็นประจำ จะช่วยประหยัดเงิน เพิ่มคะแนนสะสม และได้ของแถมอีกมากมาย อย่าลืมเช็กโปรและสิทธิต่าง ๆ ให้ครบก่อนรูดทุกครั้ง เพื่อความคุ้มค่าทุกบาทที่จ่าย

เงินเดือนข้าราชการ พฤษภาคม 2568 รัฐจ่าย 2 รอบ

เดือนพฤษภาคม 2568 นี้ทางรัฐบาลได้แจ้งออกมาว่า เงินข้าราชการรัฐบาลจะจ่ายเงิน 2 รอบ สามารถทำการตรวจสอบเงินข้าราชการ 2568 ได้เลย ปรับทุกวุฒิการศึกษา

ติดตามความเคลื่อนไหว รอบจ่ายเงินเดือนล่าสุดกับ เงินเดือนข้าราชการ เดือนพฤษภาคม 2568 นี้รัฐบาลจ่ายเงิน 2 รอบซึ่งก็มีคำถามตามเข้ามาว่า เงินเข้าวันไหนบ้าง แล้วใครได้รับเงินบ้าง สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

เงินเดือนข้าราชการ 2568 เงินขึ้นกี่บาท

ตรวจสอบเงินเพิ่มขึ้น สำหรับเงินข้าราชการ 2568 ล่าสุด มีเงินเพิ่มทุกวุฒิการศึกษา ปวช., ปวส., ปริญญาตรี, ปริญญาโท และ ปริญญาเอก เงินขึ้นกี่บาท ให้กับทุกคนที่ถูกบรรจุใหม่

เงินเดือนข้าราชการ เดือนพฤษภาคม 2568 ค่าจ้าง ลูกจ้างประจำมีการจ่ายเงินเดือน 2 รอบโดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังได้ออกมากำหนดให้ข้าราชการ และ ลูกจ้างประจำได้รับเงินเดือน 2 รอบต่อเดือน เริ่มมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2567

ข้อกำหนดให้ข้าราชการ แสดงความประสงค์รับเงินเดือน 2 รอบทุกเดือน

  • ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรับเงินเดือน สามารถทำการยื่นขอเอกสารแสดงความประสงค์ได้ปีละ 1 ครั้ง
  • โดยสามารถยื่นแบบแสดงความประสงค์ต่อส่วนราชการได้ตั้งแต่วันที่ 1-15 ธันวาคม ของทุกปี
  • จะมีผลสำหรับการรับเงินเดือน หรือ ค่าจ้างตั้งแต่เดือนมกราคม ของปีถัดไป

สรุปเงื่อนไขการแบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการปี 2568

  • ข้าราชการสามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินเดือนแบ่งจ่าย 2 รอบต่อเดือนหรือไม่ โดยเป็นไปตามความสมัครใจ

การเลือกรับเงินเดือนข้าราชการ 2568 

  • ข้าราชการ และ ลูกจ้างประจำที่ไม่แสดงความประสงค์ที่จะรับเงินเดือน 2 รอบ จะได้รับเงินเดือนในรอบที่ 2 ของเดือนนั้นๆ
  • การรับเงินเดือน 2 รอบ เป็นทางเลือกสำหรับข้าราชการเท่านั้ นหากไม่เลือกก็ยังคงได้รับเงินเดือนตามปกติเพียงแต่ได้รับในรอบที่ 2

กำหนดวันจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2568 ในเดือนพฤาษภาคม 2568

  • กำหนดจ่ายรอบแรก รัฐจ่ายวันที่ 16 พฤษภาคม 2568
  • กำหนดจ่ายรอบ 2 รัฐจ่ายวันที่ 27 พฤษภาคม 2568

 

 

ไม่อยากจ่ายเงินเพิ่มรีบยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ให้ทันรอบบัญชี

กรมสรรพากร ออกมาแจ้งเตือนธุรกิจนิติบุคคล ในการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 รอบบัญชีปี 2567 ให้ทันกำหนดเวลา เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงค่าปรับ และ การต้องมานั่งจ่ายเงินเพิ่ม สามารถเช็คช่องทางเพิ่มเติม เพื่อยื่นแบบกระดาษ หรือ ยื่นแบบออนไลน์ได้ด้านล่าง

ยื่นให้ทันรอบปีเสียภาษี กรมสรรพากรออกมาย้ำเตือน ธุรกิจนิติบุคคล ที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 รอบบัญชีปี 2567 ภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อเลี่ยงค่าปรับ และ เลี่ยงการจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งการยื่นแบบสามารถยื่นได้ 2 แบบด้วยกัน

  1. ยื่นแบบกระดาษ
  2. ยื่นแบบออนไลน์

ภ.ง.ด.50 คืออะไร นิติบุคคลต้องรู้และเข้าใจด่วน

สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่คุ้นเคย ภ.ง.ด50 ซึ่งก็คือแบบฟอร์มที่นิติบุคคลมีหน้าที่ต้องยื่นต่อกรมสรรพากร เพื่อแสดงรายการภาษีเงินได้ประจำปี โดยภาษีที่ต้องชำระนั้น จะคำนวณจากกำไรทางภาษี ซึ่งมาจากรายได้ของกิจการมาหักกับค่าใช้จ่ายต่างๆตามทีกฎหมายกำหนดนั่นเอง

กรมสรรพากรส่งจดหมายแจ้งเตือน กำหนดเวลายื่น ภ.ง.ด.50 2567

กรมสรรพากรได้ออกมาจัดส่งจดหมายแจ้งเตือนไปยังนิติบุคคล เพื่อย้ำกำหนดการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่สิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีรายละเอียดตามด้านล่า

ช่องทางการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 และ กำหนดเวลาสุดท้าย

  • ยื่นผ่าน Internet สามารถยื่นได้ที่เว็บไซต์ rd.go.th ภายใน 158 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2568
  • ยื่นด้วยกระดาษสามารถยื่นได้ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทุกสาขา ภายใน 150 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568

การคำนวณภาษีสำหรับธุรกิจ SME

  • ยกเว้นภาษีสำหรับกำไรสุทธิ 300,000 บาทแรก สำหรับนิติบุคคล SME ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 30 ล้านบาท
  • อัตราภาษี 15% สำหรับกำไรสุทธิส่วนที่เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 3,000,000 บาท
  • อัตราภาษี 20% สำหรับกำไรสุทธิส่วนที่เกิน 3,000,000 บาทขึ้นไป

 

กรมบัญชีกลางอัปเดตจ่ายเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568

เปิดเผยข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยความคืบหน้าการจ่ายเงิน สำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิในโครงการ สวัสดิการแห่งรัฐ 2565 ในเดือนพฤษภาคม 2568 ผู้ที่ได้รับสิทธิ สามารถใช้บัตรประจำตัวประชาชนแบบ Smart Card เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆตามที่ได้กำหนด

สิทธิที่จะได้รับวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นวงเงินที่ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และ ไม่สามารถสะสมเพื่อใช้ในเดือนถัดไปได้

  • วงเงินซื้อสินค้าจำเป็นและสินค้า เพื่อการอุปโภคบริโภค คนละ 300 บาทต่อเดือน
  • วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม คนละ 80 บาทต่อ 3 เดือน ใช้ได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 ถึงเดือนมิถุนายน 2568
  • วงเงินค่าเดินทางระบบขนส่งสาธารณะ คนละ 750 บาทต่อเดือน ครอบคลุมทั้งรถโดยสาร บขส.ม รถไฟ, รถเมล์ ขสมก., รถไฟฟ้า และ รถโดยสารเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ

สิทธิที่จะได้รับวันที่ 20 พฤษภาคม 2568

สำหรับสิทธิที่จะได้รับในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 สำหรับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการซึ่งจะได้รับเบี้ยความพิการอยู่แล้วเดือนละ 800 บาท

การโอนเงิน เงินจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักของผู้ที่ได้รับสิทธิ หรือบัญชีเงินฝากธนาคาร ของผู้ที่มีสิทธิ หรือ ผู้ที่ได้รับมอบอำนาจที่ใช้รับเงินเบี้ยความพิการ 800 บาท

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการได้ที่ Call Center ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 02-109-2345 หรือ เบอร์ของกรงบัญชีกลางที่ 02-270-6400 ในวันและเวลาราชการ

 

ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้าน อาจโดนเก็บภาษีเพิ่ม

เปิดเผยข้อมูลจากทางกระทรวงการคลังว่ามีแผนจะขยายฐานภาษี หรือ VAT เพิ่มไปยังผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี เพื่อเป็นการจัดการปัญหาธุรกิจนอกระบบ ที่มีรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง และเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล

ทางด้านรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเปิดเผยว่าปัจจุบันมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากหันมาทำธุรกิจส่วนตัว และ เลือกวิธีเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยยื่นรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีซึ่งทำให้ไม่เข้าข่ายเก็บ VAT และ ยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนแบบเหมาจ่ายได้สูง

จากข้อเสนอใหม่นี้ ทางกระทรวงการคลังได้กำหนดให้ธุรกิจที่มีรายได้น้อยกว่า 1.8 ล้านบาท เข้าระบบ VAT แบบพิเศษ โดยเรียกเก็บในอัตราต่ำกว่า 1% ของรายได้ต่อปี ซึ่งจะคล้ายกับโมเดลภาษีของหลายประเทศ หากดำเนินการเสร็จแล้ว คาดว่าจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 200,000 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างรายได้การเสียภาษี

  • รายได้ 1.5 ล้านบาท
  • สามารถหักค่าใช้จ่าย 60%
  • เหลือฐานภาษีเพียง 600,000 บาท
  • จะทำให้เสียภาษีเพียงหลักหมื่นบาทต่อปีเท่านั้น

สำหรับแนวทางการเก็บภาษีรูปแบบใหม่นี้ อาจจะส่งผลให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นแสนล้านบาทต่อปี และ ช่วยลดภาระการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลซึ่งล่าสุดอยู่ที่ 4.4% ของ GDP ให้ลดลงเหลือเพียง 3.5%

กลุ่ม SME โดยเฉพาะกลุ่มรายย่อย อาจจะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นทันที จากการเสีย VAT ถึงแม้ในอัตราขั้นต่ำเพียง 1% เท่านั้นก็อาจจะกระทบกระแสเงินสดได้ หากยังไม่มีนะบบบัญชีที่ดี อาจจะต้องลงทุนเพิ่ม เรื่องการจากนักบัญชีหรือ ระบบจัดเก็บเอกสาร นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบย้อนหลัง และ ทำให้บางรายที่เพิ่งเริ่มต้นรู้สึกว่าระบบภาษีใหม่ อาจจะเป็นภาระจนตัดสินใจไม่ทำธุรกิจต่อ

 

สิทธิประโยชน์บัตรเครดิตที่หลายคนมองข้าม (แต่ควรใช้!)

เมื่อพูดถึงบัตรเครดิต หลายคนมักนึกถึงแค่เรื่อง “รูดซื้อ” หรือ “ผ่อนสินค้า” เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว บัตรเครดิตในปัจจุบันมาพร้อมกับสิทธิประโยชน์อีกมากมายที่หลายคนอาจมองข้าม ทั้งที่สามารถช่วยให้ประหยัดเงิน ใช้ชีวิตสะดวกขึ้น หรือเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้จ่ายได้แบบไม่รู้ตัว

เพราะอะไรเราถึงมองข้ามสิทธิประโยชน์?

เหตุผลที่ผู้ถือบัตรเครดิตจำนวนมากไม่ใช้สิทธิให้เต็มที่ มักมาจากการ “ไม่รู้ว่ามี” หรือ “เข้าใจผิดว่ายุ่งยาก” บางสิทธิ์อาจต้องกดลงทะเบียนก่อนใช้ บางอย่างต้องยื่นเอกสาร บางรายการอาจต้องใช้ผ่านช่องทางเฉพาะ เช่น แอปพลิเคชันของธนาคาร หรือเว็บไซต์พันธมิตร แต่ถ้าเข้าใจและใช้ให้เป็น กลับได้ความคุ้มค่าเกินคาด

สิทธิประโยชน์บัตรเครดิตที่หลายคนมองข้าม

1. ประกันภัยการเดินทาง

หลายบัตรเครดิต โดยเฉพาะสายพรีเมียม หรือบัตรที่ออกแบบมาสำหรับนักท่องเที่ยว มักมีประกันเดินทางแถมมาให้แบบไม่เสียเงินเพิ่ม เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยกระเป๋าหาย หรือเที่ยวบินล่าช้า เพียงแค่จองตั๋วเครื่องบินด้วยบัตรนั้น แต่หลายคนไม่เคยรู้และปล่อยสิทธิไปฟรี ๆ

2. รับเงินคืน (Cashback) แบบอัตโนมัติ

บางบัตรให้ cashback สูงถึง 1-5% โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม ขอแค่ใช้จ่ายตามหมวดที่กำหนด เช่น ร้านอาหาร เติมน้ำมัน หรือซูเปอร์มาร์เก็ต บางรายการอาจต้องลงทะเบียนล่วงหน้า แต่เงินที่ได้คืนมาทุกเดือนสามารถสะสมเป็นเงินก้อนช่วยลดค่าใช้จ่ายได้จริง

3. สิทธิ์เลานจ์สนามบิน

สิทธิพิเศษระดับพรีเมียมที่หลายคนมองว่า “เฉพาะมหาเศรษฐี” แต่จริง ๆ แล้วบัตรเครดิตระดับกลางถึงสูงหลายใบก็ให้สิทธิเข้าเลานจ์ฟรี เช่น LoungeKey หรือ Miracle Lounge แค่แสดงบัตรกับ boarding pass ก็สามารถเข้าใช้บริการได้แล้ว

4. ส่วนลดร้านอาหารและโรงแรม

ผู้ถือบัตรบางใบจะได้รับส่วนลด 10-50% เมื่อทานอาหารในร้านที่ร่วมรายการ หรือจองโรงแรมผ่านพาร์ตเนอร์ เช่น Agoda, Expedia หรือโรงแรมในเครือใหญ่ ๆ บางบัตรยังมีโปร 1 แถม 1 สำหรับห้องอาหารโรงแรมหรูอีกด้วย

5. ผ่อน 0% นานขึ้นกว่าที่คิด

หลายคนเข้าใจว่าผ่อน 0% มีเฉพาะมือถือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ความจริงแล้วบัตรเครดิตสามารถผ่อนสินค้าอื่นได้เช่นกัน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ประกันภัย ทองคำ หรือแม้แต่แพ็กเกจท่องเที่ยว โดยระยะเวลาผ่อนอาจยืดได้ถึง 10 เดือนหรือนานกว่านั้นหากใช้ผ่านพาร์ตเนอร์

6. สะสมคะแนนแลกของหรือเที่ยวบิน

ทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรส่วนใหญ่จะได้รับคะแนนสะสมที่สามารถแลกของรางวัล บัตรกำนัล หรือไมล์สะสมสายการบินได้ หลายคนปล่อยคะแนนหมดอายุทั้งที่สามารถใช้แลกตั๋วเครื่องบินฟรี หรือของใช้มูลค่าสูงจากแคตตาล็อกของธนาคาร

7. คุ้มครองสินค้าที่ซื้อด้วยบัตร

บัตรเครดิตบางใบมีการคุ้มครองสินค้าที่ซื้อ เช่น หากสินค้าชำรุด เสียหาย หรือถูกขโมยภายในระยะเวลาที่กำหนด ก็สามารถยื่นเคลมผ่านบริษัทบัตรเครดิตได้ ถือเป็นสิทธิที่ช่วยให้ผู้ใช้อุ่นใจมากขึ้น แต่หลายคนไม่รู้เลยว่าใช้งานได้

สิทธิประโยชน์ที่ใช้ได้ผ่าน Mobile Banking หรือแอปของบัตร

สะดวกขึ้น ถ้าโหลดแอปของธนาคารเจ้าของบัตร

สิทธิพิเศษหลายอย่าง เช่น รับเงินคืน ลงทะเบียนโปรโมชั่น หรือแลกคะแนน มักจะต้องทำผ่านแอปของธนาคาร เช่น KTC Mobile, SCB EASY, Krungsri App เป็นต้น แอปเหล่านี้ยังแจ้งเตือนโปรใหม่ ชำระค่าบัตร ดูยอดใช้จ่าย และสมัครสิทธิเพิ่มได้ทันที

อย่าปล่อยสิทธิ์ดี ๆ ให้หลุดมือ สำหรับผู้ที่ถือบัตรเครดิต

ถ้าคุณมีบัตรเครดิตอยู่แล้ว ลองย้อนกลับไปดูว่าแต่ละใบมีสิทธิอะไรบ้าง แล้วเริ่มใช้สิทธิเหล่านั้นให้คุ้มค่า เช่น ตรวจสอบโปรโมชั่นล่าสุดในเว็บไซต์ของธนาคาร เชื่อมแอปพลิเคชันเพื่อดูสิทธิพิเศษ และอย่าลืม “ลงทะเบียน” หากต้องทำก่อนใช้งาน

จำไว้ว่าการใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่ใช้จ่ายให้ครบยอด แต่คือการ “ใช้ให้คุ้มทุกบาท” เพราะสิทธิประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ อาจช่วยคุณประหยัดเงินได้มากกว่าที่คิด!

สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เปรียบเทียบ 5 ธนาคาร

ปี 2025 ถือเป็นช่วงเวลาที่คนไทยจำนวนมากกำลังมองหาแหล่งเงินทุนที่มีเงื่อนไขดี โดยเฉพาะ “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ” ที่ช่วยลดภาระการผ่อนจ่ายในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พร้อมเปรียบเทียบข้อเสนอจาก 5 ธนาคารยอดนิยม เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำคืออะไร?

สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ คือ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อทั่วไป เช่น ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) หรือดอกเบี้ยลดต้นลดดอก โดยมักเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีประวัติการเงินดี มีรายได้ประจำ หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ข้อดีของการเลือกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

  • ลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยในระยะยาว
  • มีโอกาสปลดหนี้ได้เร็วขึ้น
  • เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในการลงทุน ต่อยอดธุรกิจ หรือปิดหนี้บัตรเครดิต

เปรียบเทียบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 2025 จาก 5 ธนาคารชั้นนำ

เราคัดเลือกธนาคารที่มีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพร้อมเงื่อนไขที่น่าสนใจในปี 2025 มาให้คุณเปรียบเทียบได้ง่าย ๆ ดังตารางด้านล่าง

ธนาคาร ชื่อสินเชื่อ ดอกเบี้ยเริ่มต้น วงเงินสูงสุด ระยะเวลาผ่อน คุณสมบัติเด่น
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สินเชื่อส่วนบุคคล Speedy Loan 9.99% ต่อปี 5 ล้านบาท สูงสุด 72 เดือน สมัครออนไลน์ได้ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Krungsri) สินเชื่อ Krungsri Personal Loan 9.50% ต่อปี 2 ล้านบาท สูงสุด 60 เดือน อนุมัติเร็ว ผ่อนสบายรายเดือน
ธนาคารกรุงเทพ (BBL) สินเชื่อบัวหลวงพิเศษ 8.88% ต่อปี 1 ล้านบาท สูงสุด 60 เดือน ดอกเบี้ยต่ำ เหมาะสำหรับกลุ่มข้าราชการ
ธนาคารออมสิน (GSB) สินเชื่อเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต 6.99% ต่อปี 200,000 บาท สูงสุด 96 เดือน สำหรับผู้มีรายได้น้อย ไม่มีหลักประกัน
ธนาคารกรุงไทย (KTB) สินเชื่อกรุงไทย Smart Money 8.75% ต่อปี 1 ล้านบาท สูงสุด 60 เดือน ไม่ต้องมีบัญชีเงินเดือนกับธนาคาร

เลือกสินเชื่ออย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด?

1. พิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate)

อย่ามองแค่ดอกเบี้ยเริ่มต้น ควรดูดอกเบี้ยทั้งปีจริง (APR) ซึ่งรวมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แล้ว เพื่อประเมินต้นทุนรวมของเงินกู้

2. เปรียบเทียบยอดผ่อนรายเดือน

เลือกแผนการผ่อนที่เหมาะสมกับรายได้ เพื่อไม่ให้ภาระหนี้กระทบกับค่าใช้จ่ายประจำวัน

3. ตรวจสอบเงื่อนไขก่อนสมัคร

เช่น ต้องมีรายได้เท่าไหร่? ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันหรือไม่? ยกเลิกก่อนกำหนดมีค่าปรับหรือเปล่า?

สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในปี 2025 ยังน่าใช้หรือไม่?

แม้ดอกเบี้ยในระบบการเงินโลกอาจมีแนวโน้มผันผวน แต่ธนาคารในประเทศไทยยังแข่งขันกันเสนอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อดึงดูดลูกค้า หากคุณวางแผนทางการเงินดี มีรายได้มั่นคง และใช้สินเชื่อในวัตถุประสงค์ที่จำเป็น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและช่วยคุณจัดการเรื่องเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนะนำ: ก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อ ควรปรึกษาเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือเช็คเงื่อนไขเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของธนาคารนั้น ๆ เพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและอัปเดตล่าสุด

บัตร KTC กับการใช้จ่ายต่างประเทศ มีค่าธรรมเนียมเท่าไหร่? ประหยัดได้ยังไง

สำหรับใครที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ หรือมีแผนจะช้อปปิ้งผ่านเว็บไซต์ต่างประเทศ การใช้บัตรเครดิตถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทั้งสะดวกและปลอดภัย หนึ่งในบัตรที่หลายคนเลือกใช้งานก็คือ บัตรเครดิต KTC ด้วยสิทธิประโยชน์ที่หลากหลาย แต่หลายคนอาจสงสัยว่า “ถ้าใช้บัตร KTC ในต่างประเทศ จะเสียค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง?” บทความนี้จะพาคุณมาเจาะลึกทุกประเด็น พร้อมแนะนำวิธีประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างชาญฉลาด

ค่าธรรมเนียมเมื่อใช้บัตร KTC ในต่างประเทศ

1. ค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงินต่างประเทศ

เมื่อคุณรูดบัตร KTC ที่ต่างประเทศ หรือสั่งซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ต่างประเทศ ระบบจะทำการแปลงสกุลเงินอัตโนมัติจากสกุลเงินท้องถิ่นเป็นเงินบาท โดยจะมีค่าธรรมเนียมเรียกว่า “ค่าความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” หรือ Foreign Currency Conversion Fee ซึ่ง KTC เรียกเก็บที่อัตรา 2.5% ของยอดใช้จ่าย

2. ค่าธรรมเนียมถอนเงินสดจากตู้ ATM ต่างประเทศ

ถ้าคุณใช้บัตร KTC เพื่อกดเงินสดที่ตู้ ATM ต่างประเทศ จะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมดังนี้:

  • ค่าธรรมเนียมถอนเงินสด: 3% ของยอดที่ถอน
  • ดอกเบี้ยรายวัน: เริ่มนับตั้งแต่วันที่ถอนเงินจนถึงวันที่ชำระเต็มจำนวน
  • ค่าธรรมเนียมจากตู้ ATM เจ้าของประเทศ: แล้วแต่ธนาคารในพื้นที่จะเรียกเก็บ (ไม่สามารถควบคุมได้)

การคิดอัตราแลกเปลี่ยนของบัตร KTC

อัตราแลกเปลี่ยนที่ KTC ใช้ จะอิงตามอัตราแลกของระบบ Visa หรือ Mastercard ในวันที่มีการตัดยอดรายการ ไม่ใช่วันรูดบัตร ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อนได้เล็กน้อย ดังนั้น การวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายและตรวจสอบค่าเงินล่วงหน้าจะช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนได้

วิธีประหยัดค่าธรรมเนียมเมื่อใช้บัตร KTC ต่างประเทศ

1. หลีกเลี่ยงการเลือกให้ร้านแปลงเป็นเงินบาท (DCC)

เวลาใช้บัตรที่ต่างประเทศ ร้านค้าบางแห่งจะเสนอให้คุณ “รูดแบบแปลงเงินเป็นเงินบาททันที (DCC – Dynamic Currency Conversion)” ซึ่งดูเหมือนจะสะดวก แต่จริง ๆ แล้ว อัตราแลกเปลี่ยนจะสูงกว่าปกติ และยังอาจเสียค่าธรรมเนียมซ้อน ควรเลือกให้ระบบคิดเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศนั้น แล้วให้ KTC แปลงค่าเงินทีหลังจะคุ้มกว่ามาก

2. สมัคร KTC Multicurrency Card

KTC มีบัตรแบบเติมเงินที่รองรับการถือหลายสกุลเงิน (Multicurrency) ซึ่งเหมาะกับนักเดินทางหรือคนที่ใช้จ่ายต่างประเทศบ่อย โดยสามารถเติมเงินไว้ล่วงหน้าในสกุลเงินต่าง ๆ เช่น USD, JPY, EUR และรูดใช้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงิน

3. ตรวจสอบโปรโมชัน KTC สำหรับใช้ต่างประเทศ

KTC มักมีแคมเปญพิเศษร่วมกับสายการบิน โรงแรม หรือเว็บไซต์ต่างประเทศ เช่น Agoda, Expedia, หรือ AirAsia ให้ส่วนลดเพิ่มเติมเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร KTC ดังนั้นก่อนเดินทางหรือสั่งซื้อออนไลน์ ควรเข้าเว็บไซต์ KTC หรือแอป KTC Mobile เพื่อตรวจสอบโปรโมชันก่อนเสมอ

4. พกบัตรเสริมไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน

หากคุณเดินทางต่างประเทศกับคนในครอบครัว การสมัคร บัตรเสริม KTC ให้ผู้ร่วมเดินทางไว้ใช้งาน จะช่วยให้ควบคุมค่าใช้จ่ายง่ายขึ้น และยังได้รับคะแนนสะสมรวมกันอีกด้วย

บัตร KTC กับการใช้จ่ายต่างประเทศ คุ้มไหม?

แม้ว่าการใช้บัตรเครดิต KTC ในต่างประเทศจะมีค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงิน 2.5% แต่ก็ยังถือว่าเป็นอัตรามาตรฐานในวงการบัตรเครดิต และด้วยสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่ KTC มอบให้ เช่น โปรโมชันส่วนลด การสะสมคะแนน KTC FOREVER หรือการเลือกไม่ใช้ DCC ก็สามารถช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น

หากคุณเป็นสายท่องเที่ยวหรือช้อปบ่อยกับเว็บต่างประเทศ การเลือกใช้ บัตร KTC อย่างถูกวิธี จะทำให้คุณได้รับความคุ้มค่าทั้งในด้านความสะดวก ความปลอดภัย และสิทธิประโยชน์ในระยะยาว

รีวิว iPad Pro M4 2025 น่าซื้อไหม

Apple เปิดตัว iPad Pro รุ่นใหม่ประจำปี 2025 มาพร้อมชิป Apple M4 ที่ถือเป็นขุมพลังระดับเดียวกับ MacBook Pro รุ่นล่าสุด และเทคโนโลยีหน้าจอ OLED แบบ Tandem ตัวแรกในกลุ่ม iPad ที่บาง เบา และแรงขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่คำถามคือ…มันเหมาะกับใคร? และคุ้มค่าที่จะอัปเกรดไหมในปีนี้? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจคำตอบอย่างละเอียด

สเปกเด่นของ iPad Pro M4 (2025)

1. ชิป M4 – ประสิทธิภาพเทียบเท่า Mac

iPad Pro M4 ใช้ชิป Apple M4 รุ่นล่าสุดที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm ซึ่งเร็วกว่า M2 เดิมถึง 50% และมี Neural Engine ที่ทรงพลังรองรับงาน AI ได้เต็มรูปแบบ การใช้งานตัดต่อวิดีโอ 4K, เรนเดอร์ 3D หรือแม้แต่ใช้งานแอปที่ซับซ้อนก็ลื่นไหลมากขึ้นแบบสัมผัสได้

2. จอ OLED Tandem – สีสวยที่สุดในบรรดา iPad

หน้าจอ OLED แบบใหม่ที่ Apple เรียกว่า Ultra Retina XDR มีการใช้ OLED 2 แผ่นซ้อนกันเพื่อเพิ่มความสว่างและลด burn-in ตัวเครื่องยังบางลงเหลือเพียง 5.1 มม. เท่านั้น บางกว่าทุก iPad ที่เคยมี

3. รองรับ Magic Keyboard ใหม่ และ Apple Pencil Pro

Apple เปิดตัว Magic Keyboard รุ่นใหม่ที่ดูเป็น “MacBook ย่อส่วน” มากกว่าเดิม และ Apple Pencil Pro ที่เพิ่มฟีเจอร์ “squeeze” หรือบีบเพื่อเรียกคำสั่ง พร้อมระบบ Find My ในตัว

iPad Pro M4 2025 เหมาะกับใคร?

1. สายครีเอเตอร์: กราฟิก – วิดีโอ – ดนตรี

ผู้ที่ทำงานด้านกราฟิก เช่น นักวาดภาพ, นักตัดต่อวิดีโอ, ช่างภาพ หรือโปรดิวเซอร์เพลง จะได้ประโยชน์จากจอ OLED และประสิทธิภาพของ M4 อย่างเต็มที่ รองรับทั้งแอป Pro เช่น Final Cut Pro, Logic Pro, Procreate, LumaFusion ได้ดีเยี่ยม

2. นักเรียนระดับมหาวิทยาลัย หรือคนที่ใช้ iPad ทำงานแทน Laptop

iPad Pro M4 เมื่อจับคู่กับ Magic Keyboard และ Apple Pencil Pro กลายเป็นเครื่องมือทำงานเต็มรูปแบบเหมือนแล็ปท็อป โดยมีน้ำหนักเบา พกพาสะดวก ใช้งานทั้งจดโน้ต สรุปเนื้อหา ประชุม Zoom หรือพรีเซนต์งานได้สบาย

3. คนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีล้ำ ๆ และพร้อมลงทุนกับอุปกรณ์ระดับไฮเอนด์

หากคุณเป็นสายไอทีที่รักความเร็ว ความบาง และความใหม่ล่าสุด iPad Pro M4 ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมันรวมเอานวัตกรรมล่าสุดจาก Apple ไว้ครบครัน

แล้วใคร “ไม่จำเป็น” ต้องอัปเกรด?

1. ผู้ใช้ iPad Pro M2 หรือ M1

แม้ M4 จะเร็วกว่า แต่ถ้าคุณใช้งานทั่วไปหรือมี iPad Pro รุ่น M1 หรือ M2 อยู่แล้ว ยังไม่จำเป็นต้องอัปเกรดทันที เว้นแต่คุณต้องการจอ OLED หรือใช้งานระดับมืออาชีพที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด

2. ผู้ที่ใช้ iPad เพื่อความบันเทิงหรือทั่วไป

ถ้าใช้งานดูหนัง ฟังเพลง จดโน้ต เล่นเกม หรือใช้แอปพื้นฐาน iPad Air รุ่น M2 หรือ iPad รุ่นธรรมดาจะคุ้มค่ากว่าในแง่ของราคา และประสบการณ์ใช้งานที่ใกล้เคียงกันในหลายด้าน

iPad Pro M4 2025 ราคาและรุ่นที่มีให้เลือก

  • ขนาด 11 นิ้ว: เริ่มต้นที่ประมาณ 41,900 บาท
  • ขนาด 13 นิ้ว: เริ่มต้นที่ประมาณ 55,900 บาท
  • Magic Keyboard และ Apple Pencil Pro ขายแยก (รวมแล้วเพิ่มอีกประมาณ 10,000 – 14,000 บาท)

ควรซื้อ iPad Pro M4 2025 ไหม?

iPad Pro M4 ปี 2025 เป็น iPad ที่ล้ำที่สุดในตอนนี้ ด้วยชิป M4, จอ OLED Tandem และอุปกรณ์เสริมใหม่ที่ยกระดับการใช้งานเทียบเท่า MacBook หรือมากกว่าสำหรับบางสายงาน หากคุณเป็นครีเอเตอร์, คนที่ใช้ iPad ทำงานจริงจัง หรือผู้ที่ต้องการที่สุดของเทคโนโลยี iPad Pro M4 คือคำตอบที่คุ้มค่าการลงทุน

แต่ถ้าใช้เพื่อความบันเทิงหรือมี iPad รุ่นก่อนที่ยังตอบโจทย์อยู่ การรอรุ่นหน้าอาจเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่า