วันหยุดยาวเดือนมิถุนายน 2568 ได้หยุดวันไหนบ้าง?

เปิดรายละเอียดวันหยุดยาว มิถุนายน 2568 จะได้เตรียมตัววางแผนเดินทางไปเที่ยวกัน ต้องเช็คให้แน่ใจก่อนว่า วันหยุดราชการ, วันหยุดธนาคาร ในเดือนมิถุนายน 2568 นั้น จะมีวันหยุดวันไหนบ้าง

หลังจากที่เราผ่านวันหยุดยาวในเดือนพฤษภาคม 2568 มาได้ไม่กี่วัน คนไทยหลายๆคนก็เริ่มหาวันหยุดยาวในเดือนมิถุนายนกันแล้ว เนื่องจากจะได้เตรียมความพร้อมที่จะเดินทางไปเที่ยว หรือ กลับบ้านต่างจังหวัด เพราะว่าหยุดยาวที่ผ่านมาไม่ได้เดินทางกลับบ้าน เนื่องจากค่าเดินทางแพงมากในช่วงวันหยุดยาวในเดือนพฤษภาคม 2568 เพราะฉะนั้นเรามาเช็คกันให้ชัวร์ว่า วันหยุดในเดือนมิถุนายน 2568 นั้นจะมีวันหยุดยาววันไหนให้เราได้เลือกหยุด และ ลาเพิ่มกันบ้าง

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2568 

  • วันหยุดเพิ่มกรณีพิเศษ (เป็นวันหยุดข้าราชการ และ ธนาคาร)

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2568 

  • วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี (เป็นวันหยุดราชการ และ ธนาคาร)

จากข้อมูลวันหยุดดังกล่าว ส่งผลให้ช่วงเดือนมิถุนายน 2568 มีวันหยุดยาวถึง 4 วันด้วยกัน เริ่มตั้งแต่วันตามรายละเอียดด้านล่าง

  • วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2568
  • วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568
  • วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2568 (บางบริษัทอาจจะไม่หยุดในวันนี้)
  • วันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2568

 

 

สภาพอากาศวันนี้ คนกรุงรับมือฝนตกหนัก 70%

กรมอุตุแจ้งเตือนพยากรณ์อากาศวันนี้ 14 พฤษภาคม 2568 ประกาศเตือนคนกรุง รับมือฝนตกหนักร้อยละ 70% ภาคใต้และด้านตะวันตกของไทย ฝนตกสะสมอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วม

ด้านตะวันตกของไทยฝนที่ตกสะสมอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมขังแบบฉับพลัน พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้าภาคใต้และประเทศไทย

พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคใต้และประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนฟ้าคะนองกับมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ และ ด้านตะวันออกของประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และฝนกที่ตกสะสม ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากโดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม เนื่องจากลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย

ในส่วนของคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยจะมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทย และ ทะเลอันดับมันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศเทศ ตั้งแต่เวลา 6.00 น. วันนี้ถึง 6.00 วันพรุ่งนี้

  • กรุงเทพ และ ปริมณฑล มีฝนฟ้านองร้อยละ 70 ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง
  • ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, ตาก, สุโขทัย, กำแพงเพชร, พิจิตร, พิษณุโลก และเพชรบูรณ์
  • ภาคตะวันออกเฉี่ยงเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย, ชัยภูมิ, ขอนแก่ง, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, อำนาจเจริญ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี
  • ภาคกลาง ฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ มีฝนตกหนักบางแห่ง จังหวัดนครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, พระนครศรีอยุธยา, กาญจนบุรี, สุพรรณบุรี, ราชบุรี, นครปฐม, สมุทรสาคร และ สมุทราสงคราม
  • ภาคตะวังออก มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ และ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง และ จันทบุรี
  • ภาคใต้ ฝั่งตะวันออก มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช และ สงขลา
  • ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกร้อยละ 70% ของพื้นที่ มีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง, พังงา, ภูเก็ต และ กระบี่

 

 

5 ข้อดีของบัตรกดเงินสด ที่คนมีรายได้ประจำควรรู้

หากคุณเป็นคนที่มีรายได้ประจำ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ ข้าราชการ หรือแม้แต่ฟรีแลนซ์ที่มีรายได้สม่ำเสมอ การมี “บัตรกดเงินสด” ติดกระเป๋าไว้ อาจเป็นตัวช่วยที่ดีในช่วงเวลาที่ต้องใช้เงินฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน หรือจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝัน

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5 ข้อดีของบัตรกดเงินสด ที่เหมาะกับคนมีรายได้ประจำ พร้อมคำแนะนำในการใช้งานอย่างชาญฉลาด เพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากบัตรประเภทนี้ได้เต็มที่ และไม่เป็นหนี้โดยไม่จำเป็น

1. ใช้เป็นวงเงินสำรองฉุกเฉินได้ทันที

บัตรกดเงินสดคือเพื่อนแท้ในยามวิกฤต

บัตรกดเงินสดมีลักษณะคล้ายกับเงินสดที่สามารถเบิกออกมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ โดยไม่ต้องยื่นขอสินเชื่อทุกครั้งเมื่อมีความจำเป็น การมีวงเงินสำรองจากบัตรกดเงินสดจึงช่วยให้คนมีรายได้ประจำสามารถบริหารจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทางด่วน หรือค่าซ่อมรถ

สะดวกและเข้าถึงง่าย

ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดได้จากตู้ ATM ทุกเครือข่ายที่ร่วมรายการตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ไม่ต้องพึ่งการยืมเงินจากคนใกล้ตัวหรือแหล่งเงินกู้นอกระบบ

2. ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือคนค้ำประกัน

สมัครง่าย ไม่ซับซ้อน

คนที่มีรายได้ประจำส่วนใหญ่สามารถสมัครบัตรกดเงินสดได้โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน ซึ่งต่างจากการขอสินเชื่อทั่วไปที่อาจมีเงื่อนไขหลายอย่าง การใช้เพียงสลิปเงินเดือนหรือ Statement ธนาคาร ก็สามารถขออนุมัติบัตรได้

เหมาะกับผู้เริ่มต้นสร้างเครดิต

บัตรกดเงินสดยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างประวัติเครดิตในระบบ โดยการใช้วงเงินอย่างมีวินัย จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือทางการเงินในอนาคตได้ดี

3. รูดไม่เป็น เบิกเป็นเงินสดเท่านั้น จึงควบคุมการใช้เงินได้ง่าย

ลดความเสี่ยงจากการใช้จ่ายเกินตัว

บัตรกดเงินสดไม่สามารถรูดซื้อสินค้าได้เหมือนบัตรเครดิต ผู้ถือบัตรจึงมักจะใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ทำให้การใช้เงินเป็นไปอย่างมีเหตุผลมากขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมพฤติกรรมการใช้จ่าย

มีการคำนวณที่ชัดเจน

เมื่อกดเงินออกมาใช้แล้ว จะมีการคิดดอกเบี้ยตามวันที่ใช้จริง ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวางแผนการชำระคืนได้ง่ายขึ้น และรู้ว่าควรจ่ายคืนเมื่อใดเพื่อประหยัดดอกเบี้ยมากที่สุด

4. จ่ายคืนขั้นต่ำได้ และหมุนเวียนวงเงินได้เรื่อย ๆ

ผ่อนจ่ายได้ตามความสามารถ

อีกหนึ่งข้อดีของบัตรกดเงินสด คือการอนุญาตให้ผู้ถือบัตรจ่ายคืนขั้นต่ำรายเดือนเพียง 3-5% ของยอดที่ใช้ไป ทำให้ไม่เป็นภาระเกินตัวในช่วงที่การเงินตึงตัว

คืนปุ๊บ วงเงินกลับมาปั๊บ

เมื่อผู้ใช้จ่ายคืนยอดเงินที่ใช้ไปแล้ว วงเงินจะกลับมาให้ใช้ได้อีกทันที เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้ประจำ และต้องการหมุนเงินเป็นรอบ ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

5. โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษมากมาย

รับส่วนลด หรือเงินคืน

หลายธนาคารมีการจัดโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้า หรือมอบเงินคืนเมื่อใช้ตามยอดที่กำหนด แม้บัตรกดเงินสดจะไม่ได้มีโปรแรงเท่าบัตรเครดิต แต่ก็ยังมีสิทธิพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยประหยัดได้ไม่น้อย

ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้า หรือรายปี

บัตรกดเงินสดส่วนใหญ่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี หรือหากมี ก็มักจะมีเงื่อนไขให้ยกเว้นได้ง่าย ทำให้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการวงเงินสำรองโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายประจำ

 

รายละเอียดการสมัครบัตรเครดิต UOB แต่ละประเภท

บัตรกดเงินสดคือเครื่องมือทางการเงินที่ใช้เป็น

  • สำหรับคนมีรายได้ประจำ บัตรกดเงินสดเปรียบเสมือน “ตัวช่วย” ที่ใช้ให้เป็นก็ได้ประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสะดวก ความคล่องตัว และความยืดหยุ่นในการใช้เงิน
  • อย่างไรก็ตาม แม้บัตรกดเงินสดจะมีข้อดีมากมาย แต่การใช้งานอย่างมีวินัย และการวางแผนการชำระเงินที่ดีเท่านั้น ที่จะทำให้คุณไม่ตกเป็นทาสของดอกเบี้ยที่สูงจนเกินไป
  • หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือการเงินที่ช่วยเสริมสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน บัตรกดเงินสดอาจเป็นคำตอบที่ใช่ แต่ก่อนสมัคร ควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขของแต่ละธนาคารให้รอบคอบ เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์สูงสุด

โควิด 19 ล่าสุดในปี 2568 เป็นสายพันธุ์ โอมิครอน XEC

จากที่เราพอจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ล่าสุดอย่าง โอมิครอน XEC ที่กำลังแพร่ระบาดในโรงเรียนอยู่ในขณะนี้ ทำให้หลายโรงเรียนต้องปิดการเรียน เนื่องจากเกิดการระบาดเป็นวงกว้าง ซึ่งสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ในตอนนี้ เป็นสายพันธุ์ โอมิครอน XEC ซึ่งเป็นสายพันธุ์โควิดที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่ค้นพอก่อนหน้านี้

สายพันธุ์ที่กำลังระบาดในประเทศไทยตอนนี้ เป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายง่าย ติดกันง่ายทำให้เราเห็นตัวเลขคนติดโควิดสูงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาบวกกับช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดกระโดดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางด้านกรมควบคุมโรคได้ออกมาแจ้งตัวเลขผู้ป่วยโควิด 19 โดยมียอดสะสมรวม 41,197 ราย เสียชีวิตสะสม 15 ราย ตามที่คาดการณ์เอาไว้เนื่องจากโควิด 19 กลายเป็นโรคประจำถิ่นเหมือนกันไข้หวัด ที่สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี

ทางกรมควบคุมโรคได้ออกมาแจ้งเกี่ยวกับกลุ่มเสี่ยง 608 ได้แก่ผู้สูงอายุ และ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เพราะถ้าหากว่าติดเชื้อโควิด อาจจะมีความเสี่ยงเสียชีวิตได้ ถ้าหากสงสัยว่าติดโควิด แนะนำให้ทำการตรวจด้วย ATK จะได้ทราบว่าติดเชื้อหรือไม่

อาการโควิด 2568 สายพันธุ์ โอมิครอน XEC มีอาการอะไรบ้าง?

  • ไข้ขึ้นสูง อาจมีอาการหนาวสั่น
  • มีอาการไอต่อเนื่อง ในช่วง 24 ชั่วโมง เป็นการไอต่อเนื่อง 1-3 ชั่วโมง
  • อาจสูญเสียการรับกลิ่นหรือได้รับรสเปลี่ยนแปลง
  • หากใจลำบาก
  • มีอาการเหนื่อย หรือ หมดแรง
  • ปวดเมื่อยตามตัว และ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ปวดหัวรุนแรง
  • เจ็บคอ
  • คัดจมูก และ มีน้ำมูกไหล
  • เบื่ออาหาร
  • ท้องเสีย
  • รู้สึกไม่สบายตัว หรือ มีอาการอาเจียน

 

ประเทศไทยฝนตกหนัก พื้นที่ไหนเสี่ยงน้ำท่วมเช็คได้เลย

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนของประเทศไทย สิ่งที่มาพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องก็คือ “น้ำท่วม” ซึ่งมักสร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ระบบระบายน้ำยังไม่สมบูรณ์ บทความนี้จะพาไปสำรวจว่า พื้นที่ไหนของไทยเสี่ยงน้ำท่วมบ้าง พร้อมแนะนำแหล่งตรวจสอบข้อมูลอัปเดตสถานการณ์ฝนและน้ำท่วมแบบเรียลไทม์

สาเหตุหลักของน้ำท่วมในประเทศไทย

แม้ฝนจะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่หากตกหนักและตกต่อเนื่องหลายวันโดยไม่มีการระบายออกที่ดี ก็อาจก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมได้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของไทย ได้แก่:

  • ฝนตกหนักต่อเนื่อง จากพายุฤดูร้อนหรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
  • การระบายน้ำไม่ทัน ในเขตเมืองหรือพื้นที่ที่มีการก่อสร้างอาคารถนนจำนวนมาก
  • แม่น้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา แม่กลอง และปิง
  • พื้นที่ต่ำ-แอ่งกระทะ ที่มักกลายเป็นจุดรับน้ำ
  • ขยะอุดตันท่อระบายน้ำ ทำให้การระบายชะลอตัวหรือหยุดนิ่ง

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในช่วงฝนตกหนัก

1. กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่เผชิญปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมาทุกปี พื้นที่เสี่ยงสูงได้แก่ เขตดอนเมือง หลักสี่ ลาดพร้าว บางเขน บางนา สะพานใหม่ และพื้นที่แนวคลองต่าง ๆ เช่น คลองลาดพร้าว คลองบางซื่อ

2. ภาคกลาง

จังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี นครสวรรค์ และชัยนาท มักได้รับผลกระทบจากน้ำล้นตลิ่งหรือเขื่อนปล่อยน้ำเพื่อระบาย

3. ภาคเหนือ

จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และตาก มีภูมิประเทศเป็นภูเขา การไหลของน้ำจึงรุนแรง หากมีฝนตกหนักต่อเนื่อง อาจเกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน โดยเฉพาะหมู่บ้านหรืออำเภอที่อยู่เชิงเขา

4. ภาคอีสาน

จังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี และนครราชสีมา มีโอกาสน้ำท่วมจากฝนตกหนักและระบบระบายน้ำในเมืองไม่ทัน โดยเฉพาะช่วงปลายฤดูฝน

5. ภาคใต้

ภาคใต้มีฝนตกทั้งจากมรสุมและพายุเขตร้อน โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และพัทลุง พื้นที่ชายฝั่งมักเผชิญปัญหาน้ำท่วมขังและดินถล่มในพื้นที่ลาดชัน

เช็คสถานการณ์น้ำท่วมได้จากที่ไหน?

การรับรู้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วม ปัจจุบันมีหลายช่องทางที่สามารถตรวจสอบสถานการณ์ได้สะดวกและแม่นยำ

1. เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา

ให้ข้อมูลพยากรณ์อากาศรายวัน รายชั่วโมง และเตือนภัยฝนตกหนัก
www.tmd.go.th

2. แอปพลิเคชัน Thai Weather หรือ Radar by TMD

ตรวจสอบภาพเรดาร์ฝนได้แบบเรียลไทม์ พร้อมการแจ้งเตือนเมื่อมีฝนเข้าใกล้พื้นที่คุณ

3. ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

อัปเดตพื้นที่น้ำท่วม น้ำป่า ดินถล่ม และเปิดเผยการสั่งการจากส่วนกลางไปยังแต่ละจังหวัด
www.disaster.go.th

4. เฟซบุ๊กกลุ่มข่าวท้องถิ่น

ข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ที่มักแชร์ภาพถ่าย วิดีโอ และสภาพจริง ซึ่งช่วยให้ติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด

เตรียมตัวอย่างไรให้ปลอดภัยเมื่อน้ำท่วม

หากคุณอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ควรมีแผนเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เช่น

  • ตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าให้อยู่สูงกว่าระดับน้ำ
  • จัดกระเป๋าฉุกเฉินที่มีของจำเป็น เช่น น้ำดื่ม อาหารแห้ง ยา และเสื้อผ้า
  • สำรวจเส้นทางอพยพหากน้ำท่วมสูง
  • ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอและอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม
  • หากต้องขับรถฝ่าพื้นที่น้ำท่วม ควรประเมินระดับน้ำก่อน และหลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ต่ำ

อย่าประมาท แม้ฝนจะเป็นเรื่องปกติ

แม้การเกิดฝนตกหนักจะเป็นธรรมชาติของฤดูฝน แต่การรู้เท่าทันสถานการณ์และเตรียมความพร้อมล่วงหน้าจะช่วยลดความเสียหายได้มาก การตรวจสอบข่าวสารจากแหล่งทางการเป็นสิ่งสำคัญ และการวางแผนป้องกันไว้เสมอจะช่วยให้คุณและครอบครัวปลอดภัยในช่วงฤดูฝนปีนี้

ปี 2025 ใช้ AI เขียน Content ยังทำได้ไหม?

ในยุคที่เทคโนโลยี AI เติบโตอย่างรวดเร็ว หนึ่งในเครื่องมือที่เปลี่ยนโฉมวงการคอนเทนต์คือ AI Content Writer หรือเครื่องมือเขียนบทความด้วยปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงตลอดช่วงปี 2020–2024 แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2025 คำถามที่เริ่มถูกหยิบยกขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็คือ “AI ยังน่าใช้เขียนบทความอยู่ไหม?” หรือ “เราควรกลับมาเขียนเองแล้วหรือเปล่า?” บทความนี้จะพาคุณวิเคราะห์แนวโน้ม ข้อดี-ข้อเสีย และคำแนะนำสำหรับการเลือกใช้ AI เขียนบทความในยุคปัจจุบัน

AI Content Writer คืออะไร และเคยรุ่งเรืองแค่ไหน?

AI Content Writer คือเครื่องมือที่ใช้โมเดลภาษา (Language Model) เช่น GPT-4, Claude หรือ Gemini เพื่อช่วยสร้างเนื้อหาที่มนุษย์เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเขียน ไม่ว่าจะเป็นบทความ SEO, รายงานข่าว, บล็อก หรือแม้แต่สคริปต์โฆษณา ในช่วงปี 2021–2023 เครื่องมือเหล่านี้สามารถผลิตเนื้อหาได้รวดเร็ว มีต้นทุนต่ำ และแม่นยำในเชิงไวยากรณ์ ทำให้ธุรกิจจำนวนมากเปลี่ยนจากการจ้างนักเขียนมาเป็นการใช้ AI แทน

ความสำเร็จในยุคแรกของ AI Writer

  • ประหยัดเวลาในการผลิตเนื้อหา
  • ต้นทุนต่ำกว่าใช้แรงงานคน
  • รองรับหลายภาษา และปรับโทนการเขียนได้
  • เหมาะสำหรับการผลิตเนื้อหา SEO จำนวนมาก

แต่เมื่อเทคโนโลยีเริ่มเป็นที่แพร่หลาย สิ่งที่ตามมาคือเนื้อหาที่เริ่ม “คล้ายกันเกินไป” และไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับเว็บไซต์หรือแบรนด์ได้อีกต่อไป

แนวโน้มในปี 2025: คนเริ่มกลับมาเขียนเอง?

แม้ว่า AI จะยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิตเนื้อหา แต่ในปี 2025 เราเริ่มเห็นแนวโน้มที่น่าสนใจจากทั้งฝั่ง Google และพฤติกรรมของผู้ใช้คือ

1. Google เน้น “เนื้อหาคุณภาพ” ที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น

อัลกอริธึมล่าสุดของ Google ในปี 2024–2025 เริ่มให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์จริง” และ “ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” มากขึ้น ซึ่ง AI แม้จะเขียนได้เร็ว แต่ขาดมุมมองส่วนตัว หรือ Insight ลึกซึ้งที่ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเท่านั้นที่ให้ได้

2. ผู้อ่านเริ่มเบื่อเนื้อหาแบบ AI

การอ่านบทความที่มีโครงสร้างซ้ำ ๆ หรือใช้ภาษาที่ดูเรียบเกินไป ทำให้ผู้อ่านเริ่มรู้สึกว่า “นี่ไม่ใช่คนเขียน” และความเชื่อมั่นในเนื้อหาก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้บล็อกหรือเว็บไซต์ที่ใช้ AI อย่างเดียว อาจเริ่มมี Bounce Rate สูงขึ้น

3. AI เป็นเพียง “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “เจ้าของเสียง”

หลายธุรกิจเริ่มใช้ AI เพื่อช่วยในกระบวนการ เช่น ร่างโครงเรื่อง, ค้นหาข้อมูลเบื้องต้น หรือเขียนเป็นดราฟท์ แต่ให้คนจริงเป็นผู้ปรับแต่ง (Human Editing) เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์หรือความเชื่อถือในตัวผู้เขียน

ข้อดีของการใช้ AI Writer ในปี 2025

  • เหมาะสำหรับเนื้อหาเชิงปริมาณ เช่น รายงานข่าว, สรุปข้อมูล, FAQ
  • ช่วยเริ่มต้นไอเดียได้อย่างรวดเร็ว
  • ดีต่อการเขียนบทความที่ต้องการโครงสร้าง SEO ชัดเจน
  • รองรับการเขียนหลายภาษาในระดับพื้นฐานได้ดี

ข้อเสียที่ควรพิจารณา

  • ขาด “เสียง” หรือมุมมองส่วนตัวที่ทำให้บทความมีชีวิต
  • อาจใช้ข้อมูลล้าสมัย หรือไม่ตรงกับบริบทท้องถิ่น
  • หากไม่มีการรีไรต์หรือกลั่นกรอง อาจกระทบต่ออันดับ SEO

คำแนะนำ: ควรใช้ AI Writer อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด?

1. ใช้ AI เป็นตัวช่วยคิด ไม่ใช่คนเขียนแทน

เริ่มจากให้ AI สร้างร่างแรกของบทความ แล้วให้มนุษย์ปรับแก้ภาษาหรือเพิ่มมุมมองที่เฉพาะตัว เพื่อให้ได้เนื้อหาที่ทั้งเร็วและลึก

2. ผสมผสานความเป็นมนุษย์เข้าไป

เสริมเรื่องราวส่วนตัว, ประสบการณ์จริง หรือกรณีศึกษาที่ AI ไม่มีทางรู้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

3. ตรวจสอบความถูกต้องทุกครั้ง

AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด หากอิงจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ควรตรวจสอบแหล่งข้อมูลก่อนใช้งาน

AI Writer ยังน่าใช้อยู่ไหมในปี 2025?

คำตอบคือ “ยังน่าใช้” แต่ต้องใช้อย่างรู้เท่าทัน AI ไม่ใช่เครื่องมือที่จะมาแทนมนุษย์ทั้งหมด แต่เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการเขียน หากใช้ให้ถูกวิธี และมีมนุษย์คอยกำกับเนื้อหาอยู่เสมอ คุณจะได้บทความที่ทั้งเร็ว มีคุณภาพ และตรงกับกลุ่มเป้าหมายในระยะยาว

บัตรกดเงิน สมัครผ่านทางออนไลน์ยังไงให้ผ่านง่าย

ในยุคที่ความคล่องตัวทางการเงินเป็นเรื่องสำคัญ บัตรกดเงินสดกลายเป็นเครื่องมือที่หลายคนเลือกใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด และด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน การสมัครบัตรกดเงินสดออนไลน์จึงเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็ว แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสมัครผ่านในครั้งแรก

บทความนี้จะพาคุณไปดูเทคนิค วิธีเตรียมตัว และข้อควรระวัง ที่จะช่วยให้คุณ สมัครบัตรกดเงินสดออนไลน์ได้ผ่านง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลายื่นซ้ำ

ทำความเข้าใจ: บัตรกดเงินสดคืออะไร?

บัตรกดเงินสด (Cash Card หรือ Personal Loan Card) เป็นบัตรที่อนุมัติวงเงินให้ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ได้ทันที หรือใช้วงเงินดังกล่าวโอนเข้าบัญชีเพื่อใช้จ่ายตามความจำเป็น โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

จุดเด่นของบัตรกดเงินสด

  • อนุมัติวงเงินแบบหมุนเวียน (Revolving Credit)
  • ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน
  • เบิกเงินสดผ่าน ATM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • บางแบรนด์มีดอกเบี้ย 0% ช่วงโปรโมชัน หรือเลือกผ่อนได้ตามแผนที่เหมาะสม

ก่อนสมัคร: คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรมี

1. รายได้ขั้นต่ำ

  • โดยทั่วไป สถาบันการเงินมักกำหนดรายได้ขั้นต่ำไว้ที่ประมาณ 7,000 – 15,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคารหรือบริษัทไฟแนนซ์

2. อายุผู้สมัคร

  • อายุขั้นต่ำ 20 ปี และต้องไม่เกิน 60 ปี ณ วันครบกำหนดชำระเงินกู้

3. เอกสารที่ใช้ประกอบการสมัคร

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สลิปเงินเดือนล่าสุด หรือหนังสือรับรองเงินเดือน
  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 3-6 เดือน

รายละเอียดการสมัครบัตรเครดิต UOB แต่ละประเภท

วิธีสมัครบัตรกดเงินสดออนไลน์ให้ผ่านง่าย

1. เลือกบัตรให้เหมาะกับรายได้ของคุณ

  • ควรเลือกบัตรที่กำหนดรายได้ขั้นต่ำให้ตรงกับคุณสมบัติของคุณ อย่าเลือกบัตรที่เกินศักยภาพ เพราะอาจถูกปฏิเสธจากระบบอัตโนมัติได้ทันที

2. กรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน

  • ข้อมูลที่ไม่ตรงกับเอกสาร เช่น รายได้, ที่อยู่, ตำแหน่งงาน อาจทำให้ธนาคารต้องใช้เวลาตรวจสอบนาน หรือไม่อนุมัติเลยก็ได้

3. อย่าสมัครหลายใบพร้อมกัน

  • ระบบเครดิตบูโรจะเห็นการขอสินเชื่อทุกครั้ง การสมัครบัตรหลายใบในช่วงเวลาเดียวกัน อาจทำให้ดูเป็นความเสี่ยง และธนาคารจะมองว่าคุณต้องการใช้เงินด่วนเกินไป

4. ตรวจสอบเครดิตบูโรก่อนสมัคร

  • หากคุณมีประวัติชำระล่าช้าหรือค้างชำระเกิน 90 วันในอดีต อาจมีผลต่อการอนุมัติ หากไม่แน่ใจ แนะนำให้เช็คเครดิตบูโรด้วยตัวเองผ่านแอปฯ หรือที่ธนาคาร

5. มีบัญชีเงินเดือนที่มั่นคง

  • บัญชีที่เงินเดือนเข้าประจำ จะช่วยให้ธนาคารประเมินรายรับของคุณได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสอนุมัติไวกว่า โดยเฉพาะหากเป็นบัญชีของธนาคารเดียวกับผู้ให้บริการบัตร

เทคนิคเพิ่มโอกาสอนุมัติเร็ว

1. สมัครผ่านช่องทางของธนาคารที่คุณใช้บัญชีเงินเดือน

หลายธนาคารมีข้อเสนอพิเศษหรืออนุมัติเร็วสำหรับลูกค้าเงินเดือน เพราะมีข้อมูลอยู่แล้ว และไม่ต้องตรวจสอบซ้ำมาก

2. ตรวจสอบข้อมูลในเอกสารให้ตรงกันทุกใบ

ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร ตำแหน่งงาน ควรตรงกันทั้งหมดในทุกเอกสาร และไม่มีการแก้ไขด้วยลายมือหรือขีดฆ่า

3. ถ่ายเอกสารให้ชัดเจน

เอกสารเบลอ ถ่ายมาไม่ครบ หรือมีเงาทับ อาจทำให้เจ้าหน้าที่ตีกลับ และส่งผลต่อเวลาอนุมัติ

หลังสมัคร: สิ่งที่ควรติดตาม

1. ตรวจสอบสถานะการสมัคร

หลังจากยื่นสมัครแล้ว ให้ติดตามผลการอนุมัติผ่านช่องทางที่ผู้ให้บริการระบุ เช่น SMS, Email หรือโทรสายด่วน

2. หากไม่ผ่าน ให้สอบถามเหตุผล

ธนาคารหรือบริษัทที่ออกบัตรมักมีเหตุผล เช่น รายได้ไม่ถึง เครดิตบูโรไม่ดี หรือเอกสารไม่สมบูรณ์ การรู้สาเหตุจะช่วยให้แก้ไขได้ตรงจุด

ข้อควรระวังในการใช้บัตรกดเงินสด

  • ดอกเบี้ยสูง: บัตรกดเงินสดมักมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 25-28% ต่อปี หากไม่บริหารเงินให้ดี อาจกลายเป็นหนี้สะสม
  • ใช้เฉพาะกรณีจำเป็น: ควรกดเงินสดเฉพาะเวลาฉุกเฉิน หรือใช้จ่ายที่จำเป็นจริง ๆ เพราะการใช้เพื่อฟุ่มเฟือยอาจสร้างภาระระยะยาว
  • ชำระเงินขั้นต่ำไม่ใช่ทางออกระยะยาว: หากชำระแค่ขั้นต่ำทุกเดือน จะเสียดอกเบี้ยมาก และใช้เวลานานในการชำระหนี้ ควรวางแผนจ่ายให้หมดเร็วที่สุด

สมัครให้ผ่านได้ ถ้าเตรียมตัวดี

การสมัครบัตรกดเงินสดออนไลน์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การได้รับอนุมัติเร็วและง่ายต้องอาศัยการเตรียมตัว ตรวจสอบข้อมูล และเลือกให้ตรงกับเงื่อนไขของตัวเอง หากทำได้ตามคำแนะนำข้างต้น โอกาสที่จะได้รับบัตรกดเงินสดในมือก็ไม่ไกลเกินเอื้อม สุดท้าย อย่าลืมใช้บัตรอย่างมีวินัย เพื่อไม่ให้กลายเป็นหนี้ที่สร้างภาระมากกว่าช่วยเหลือในระยะยาว

เตรียมปรับภาษีน้ำมัน เพิ่มรายได้รับวิกฤติเศรษฐกิจโลก

เปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ได้แจ้งเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ได้แก่น้ำมันเบนซิน และ น้ำมันดีเซล ตามที่กระทรวงการคลังได้เสนอภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบว่ามีการประกาศกฎกระทรวงเรื่องกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ในราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลใช้ทันที

ทางกระทรวงการคลังได้ให้เหตุผลในการปรับขึ้นภาษีน้ำมันครั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งเห็นควรว่าควรจะเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าน้ำมัน และ ผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทน้ำมันเบนซิน และ น้ำมันดีเซลเพื่อให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะตอนนี้อยู่ในช่วงไม่แน่นอน

กรมสรรพสามิตได้ออกมารายงานว่า การปรับขึ้นอัตราภาษีครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณเดือนละ 2,900 ล้านบาท หรือ ประมาณ 34,800 ล้านบาทต่อปี การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต และ ภาษีท้องถิ่นครั้งนี้ จะไม่กระทบกับราคาขายปลีกน้ำมันเนื่องจากจะให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดการเก็บเงินส่งกองทุนน้ำมันลง เพื่อเป็นการชดเชกับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่รัฐบาลจัดเก็บเพิ่มเติม โดยจะมีการรักษาระดับราคานี้จนถึงปีงบประมาณ 2568 จากนั้นจะมีการทบทวนแนวทางการดำเนินการอีกครั้ง

รายละเอียดการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต และ ภาษีส่วนท้องถิ่นของน้ำมันประเภทต่างๆ

  • น้ำมันเบนซิน 95 จากเดินเก็บภาษีสรรพสามิต 6.50 บาทต่อลิตร ปรับอัตราใหม่เป็น 7.50 บาทต่อลิตรเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดินเก็บ 0.650 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.750 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร
  • น้ำมันแก็สโซฮอล์ 95 (E10) จากเดิมเก็บภาษีสรรพาสามิต 5.85 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.75 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.90 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.585 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.675 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.090 บาทต่อลิตร
  • น้ำมันแก็สโซฮอล์ 95 (E20) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.20 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.00 บาท ต่อลิตรเพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.520 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.600 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.080 บาทต่อลิตร
  • น้ำมันแก็สโซฮอล์ 95 (E85) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 0.975 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 1.125 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.15 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.0975 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.1125 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.080 บาทต่อลิตร
  • น้ำมันดีเซล (H-Diesel) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.99 บาทต่อลิตร อัตราใหม่6.92 บาทต่อลิตรเพิ่มขึ้น 0.93 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.599 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.6920 บาทต่อลิตรเพิ่มขึ้น 0.093 บาทต่อลิตร

 

สินเชื่อเปิดเทอมวงเงิน 10,000 บาท ธนาคารออมสิน

ธนาคารออมสินออกสินเชื่อเพื่อผู้ปกครอง วงเงิน 10,000 บาทต่อราย ดอกเบี้ยต่ำ ช่วงเปิดเทอมหลายๆครอบครัวก็กำลังเริ่มวางแผนงบประมาณสำหรับเปิดเทอมอยู่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่าชุดนักเรียน, อุปกรณ์การเรียน, หนังสือ, ค่ารถรับส่ง รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆในช่วงเปิดเทอม ที่จะต้องใช้เงินเยอะมาก ที่ตอนแรกๆอาจจะดูเหมือนว่าใช้เงินไม่เยอะเท่าไหร่ แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว ลมแทบจับ ใช้เงินเยอะมาก

แถมปัจจุบันเคราะซ้ำกรรมซัด ค่าครองชีพสูงเข้าไปอีก ทำให้ปัจจุบันข้าวของ อาหารการกินแพงแบบขั้นสุด เมื่อก่อนข้าวจานละ 20 บาท ปัจจุบัน 80 บาท เข้าไปแล้ว ทำให้ผู้ปกครองหลายๆท่าน ต้องบริหารการเงิน และ แหล่งเงินสำรองเอาไว้ให้ดีๆ เพื่อเอาไว้ใช้จ่ายเฉพาะหน้า เผื่อว่ามีเหตุฉุกเฉินที่จะต้องใช้เงินนั่นเอง

ล่าสุดธนาคารออมสิน ออกสินเชื่อแบบเฉพาะกิจที่มีชื่อว่า “สินเชื่อธนาคารประชาชนต้อนรับเปิดเทอม” ซึ่งเป็นสินเชื่อขนาดเล็ก ที่มีจุดเด่นก็คือดอกเบี้ยต่ำ ไม่ต้องใช้หลักประกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครอง ในช่วงเปิดเทอม

ทางผู้อำนวยการของธนาคารออมสิน ได้ออกมาเปิดเผย ตามที่รัฐบาลมอบหมายให้สถาบันการเงินเข้าช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ที่จะต้องใช้เงินเยอะมาก และเพื่อเป็นการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบ เพื่อเสริมภาพคล่องทางการเงิน และ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และยังช่วยให้ส่งเสริมให้เด็กไทย สามารถเข้าถึง การศึกษาได้อย่างต่ำเนื่อง ทางธนาคารออมสินได้เดินหน้าในภารกิจเชิงสังคม เพื่อสนับสนุน รายละเอียดสินเชื่อดังกล่าว สามารถดูเพิ่มเติมได้ด้านล่าง

นวัตกรรมการเงินเพื่อสังคม ผ่อนเกณฑ์อนุมัติให้เข้าถงง่าย ช่วยเหลือผู้ปกครอง (สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดเครื่องแบบนักเรียน หรือ ค่าหนังสือ อุปกรณ์การเรียน)

  • วงเงินสูงสุด 10,000 บาท
  • ดอกเบี้ยหมื่นละ 60 บาทต่อเดือน
  • ผ่อนชำระสูงสุด 12 เดือน
  • ไม่มีหลักประกัน

สามารถขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 หรือครบวงเงินโครงการ หรือ อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก Effective Rate ร้อยละ 12.96 ต่อปี

สำหรับผู้ปกครองท่านไหนที่สนใจสินเชื่อเพื่อผู้ปกครอง สามารถสมัครได้ผ่านแอป MyMo หรือ ที่สาขาของธนาคารออมสินทั่วประเทศ

ประเทศไทยเฝ้าระวังน้ำท่วม ดินถล่ม 18 จังหวัด รับมือฤดูฝน

ปี 2568 ในเดือนพฤษภาคม 2568 ประเทศไทยก็ได้เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ บางพื้นที่มีโดนฝนไปบ้างแล้ว ตอนนี้ทางการได้ออกมาแจ้งเตือนฝนตกหนัก และ บางแห่งอาจมีดินถล่ม ให้ประชาชนเฝ้าระวัง ทั้งหมด 18 จังหวัด ประกาศรายชื่อพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อรับมือฤดูฝน นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่าอ่างเก็บน้ำตอนนี้เก็บน้ำอยู่ที่ 56%

อ่างเก็บน้ำที่มีความจุอยู่ที่ 56% ของความจุยังถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่บริหารจัดการได้ แต่ปริมาณน้ำที่ใช้การอยู่ที่ 36% อาจจะต้องพิจารณาถึงการวางแผนการใช้น้ำในระยะยาว โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงในอนาคต

ปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมงสูงสุดในแต่ละภูมิภาค

  • ภาคเหนือ จังหวัดลำพูด สะสม 43 มม.
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุดรธานี 62 มม.
  • ภาคตะวันตก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 80 มม.
  • ภาคกลาง จังหวัดสมุทรปราการ 50 มม.
  • ภาคตะวันออก จังหวัดจันทบุรี 106 มม.
  • ภาคใต้ จังหวัดพังงา 132 มม.

จับตาสภาพอากาศวันนี้ มีแนวโน้มฝนที่จะเพิ่มขึ้น

จากการรายงาน วันนี้ลมใต้และลมตะวันตกเฉี่ยงใต้ ยังคงพัดนำความชื้นเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้หลายพื้นที่มีฝนตก ภาคใต้ยังคงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักบางพื้นที่ เนื่องจากอิทธิพลของลมตะวันตก และ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และ อ่าวไทย

คาดการณ์ 9-12 พฤษภาคม 2568

จากการคาดการณ์ ระหว่างวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2568 มีการคาดการเกี่ยวกับความกดอากาศสูง กำลังปานกลางจากประเทศจีน จะลงมาปกคลุมประเทศเวียดนามและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้ประเทศไทยตอนบน มีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น และ อาจจะมีฝนตกหนักบางแห่ง ปัจจุบันภาคใต้มีฝนมากขึ้นอยู่แล้วเนื่องจากลมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน มีกำลังแรงขึ้น

พื้นที่เฝ้าระวังน้ำหลาก และ ดินโคลนถล่ม

สทนช. ออกมาแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากและดินโคลนถล่มจากฝนตกหนัก และ ปริมาณฝนสะสม ช่วงวันที่ 7-11 พฤษภาคม 2568 ในบางส่วนของพื้นที่ตามรายการด้านล่าง

  • ภาคเหนือ บริเวณจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, น่าน และ พะเยา
  • ภาคตะวันออก บริเวณจังหวัดชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี และ ตราด
  • ภาคใต้ บริเวณจังหวัดชุมพร, ระนอง, พังงาน, ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, พัทลุง, กระบี่, ตรัง และ สตูล